ระบอบซูบาตอฟ
ความอ่อนแอของพรรคประกอบกับการเปลี่ยนขั้วเคลื่อนไหวของกรรมกร
ถูกบีบให้ตัวมันเองจำต้องแสดงออกไปในทิศทางอื่น ในปี 1900-1902
เอส วี ซูบาตอฟ หัวหน้าหน่วยตำรวจลับมอสโคว์ โอครานา
ได้มีความคิดที่จะจัดตั้งองค์กรแรงงานที่ถูกกฎหมายขึ้น
โดยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของตำรวจที่เขาสามารถเข้าร่วมแม้กระทั่งรับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการในฐานะผู้แทนของตำรวจด้านการตรวจสอบรักษาความปลอดภัย,และดำเนินกิจกรรม, ให้เป็นองค์กรทางเศรษฐกิจอย่างเคร่งครัด
ไม่ให้มีลักษณะสีสันทางการเมือง
ซูบาตอฟไม่เพียงแต่จัดตั้งสหภาพแรงงานที่ถูกกฎหมายภายใต้การควบ
คุมของตำรวจขึ้นเท่านั้น (เป็นกลยุทธิที่นักปฏิวัติเรียกกันขำๆว่า
“ระบอบสังคมนิยมของตำรวจ”)
แต่ยังก้าวคืบไปสู่การรับนักปฏิวัติเข้าเป็นสมาชิกด้วยด้วยการเข้าเยี่ยมนักปฏิวัติที่ถูกจองจำอยู่เสมอๆ
สร้างภาพว่าเขาสนใจเป็นห่วงเรื่องสวัสดิการและความเป็นอยู่ของผู้ถูกคุมขัง นำขนมปังกรอบ ชา และแม้แต่วรรณกรรมมาร์กซิสต์เข้าไปให้อ่าน
ดำเนินการไต่สวนโดยไม่ใช้สถานที่ในคุกหากแต่เป็นห้องสมุดในบ้านของเขาเอง ซึ่งเขาจะพยายามโน้มน้าว เกลี้ยกล่อม
นั่นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะป้องกันมิให้กรรม
กรเข้าร่วมเคลื่อนไหวเรียกร้องผลประโยชน์ของตนเอง โดยการผสมผสานการปราบปรามที่รุนแรง
ด้วยวิธีเช่นนี้ผู้ที่อ่อนแอไร้เดียงสาส่วนหนึ่งก็ถูกหลอกให้ติดกับ
และกลายเป็นกระบอกเสียงให้แก่ซูบาตอฟภายหลังที่ถูกปล่อยตัว
เมื่อติดกับครั้งหนึ่งแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนี เป็นที่รู้กันว่านักปฏิวัติมักปฏิบัติต่อสายลับนักปล่อยข่าวพวกนี้ไม่ดีนัก
ความเฉลียวฉลาดของซูบาตอฟนั้นล้ำหน้ากว่าหัวหน้าตำรวจคนอื่นๆของระบอบซาร์มาก
วิธีการของเขากล่าวได้ว่าประสบผลสำเร็จมากและเกิดขึ้นจริงในเวลานั้น
ในบรรยากาศที่แรงงานทั่วไปกำลังอยู่ในความสับสนวุ่นวายและการขาดองค์กรมวลชนที่ถูกฎหมาย
มวลชนคนงานจำนวนมากต่างก็เข้าไปเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานที่ตำรวจตั้งขึ้น เพื่อให้ข่าวสารแก่กรรมกรอย่างถูกต้อง?? อันจะนำไปสู่ความมุ่งหวังของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมการนัดหยุดงาน
สหภาพแรงงานนี้ควบคุมกรรมกรหลายหมื่นคน
มากกว่าจำนวนกรรมกรที่มีความสัมพันธ์และเคลื่อนไหวอยู่ในคณะกรรมการของกลุ่มสังคมประชาธิปไตยอย่างเทียบไม่ได้ เนื่องจากธรรมเนียมปฏิบัติสามารถแก้ปัญหาได้ เหล่ากรรมกรจึงถูกผลักเข้าไปในเกมส์ของตำรวจ,และใช้โอกาสนี้บีบให้เกิดข้อเรียกร้องและการจัดตั้งองค์กรอย่างถูกกฎหมายขึ้นในสถานประกอบการ
สหภาพแรงงานของซูบาตอฟให้โอกาสแก่กรรมกรในการบริหารจัดการองค์กรกันเองและสามารถแสดงออกได้ถึงความคับแค้นใจ
คำถามอยู่ที่ว่า...อะไรคือทัศนคติของสังคมประชาธิปไตยที่ควรใช้ต่อสู้กับสหภาพแรงงานปฏิกิริยาของตำรวจ
หลายปีผ่านไปเมื่อชนชั้นกรรมกรรัสเซียได้อำนาจรัฐแล้ว
เลนินได้ให้คำตอบนี้ในนิพนธิชั้นเยี่ยมของเขาเรื่อง”คอมมิวนิสต์ปีกซ้าย,โรคไร้เดียงสา” (Left
Wing Communism, an Infantile Disorder:) ว่าด้วยยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีของการปฏิวัติว่า
“ภายใต้ระบอบซาร์
เราไม่มีโอกาส ”ถูกกฎหมาย” ได้เลย ไม่ว่าในปี 1905
อย่างไรก็ตามเมื่อสายลับและตำรวจลับของซูบาตอฟจัดตั้งกลุ่ม”แบล๊ค ฮันเดรด”[1](Black
Hundred) ที่ประกอบด้วยกรรมกรฝ่ายขวา
และกลุ่มคนทำงานในสังคมโดยมีเป้าประสงค์ในการจับกุมและปะทะกับนักปฏิวัติ
เราได้ส่งสมาชิกพรรคของเราเข้าไปร่วมกับคนและกลุ่มเหล่านี้......พวกเขาเข้าไปทำความสัมพันธิ์กับมวลชนที่สามารถทำกาปลุกระดมได้,และประสบความสำเร็จในการดึงมวลชนเหล่านั้นออกมาจากอิทธิพลของเหล่าสายลับของซูบาตอฟ”
เลนินมิได้จำกัดอยู่แค่ข้อสังเกตุของเขาเพียงแค่ปัญหาของระบอบซาร์ของรัสเซียเท่านั้น
หากแต่ยังได้วางรากฐานและกฎเกณฑ์ทั่วไปโดยใช้หลักการของลัทธิมาร์กซในองค์กรมวลชนของชนชั้นกรรมาชีพอีกด้วยโดยการสร้างพรรคปฏิวัติที่แท้จริงขึ้น, มันไม่เพียงพอที่จะเคลื่อนไหวเพียงด้านแคบๆ
แต่มันมีความจำเป็นที่จะปูทางไปสู่มวลชนโดยไม่คำนึงถึงอุปสรรคใดๆ, มันมีความจำเป็นที่จะต้องเดินไปสู่มวลชนไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร
“การปฏิเสธที่จะทำงานในสหภาพแรงงานปฏิกิริยานั้นหมายถึงการเสียโอกาสสำคัญในการพัฒนามวลชนคนงานผู้ล้าหลังที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้นำกรรมกรปฏิกิริยา, บรรดาสายลับของชนชั้นนายทุน, นักแรงงานขุนนาง, หรือกรรมกรผู้ที่กำลังจะกลายเป็นสมุนรับใช้ของนายทุนอย่างเต็มตัว”
“ทฤษฎีไร้สาระที่ว่าชาวคอมมิวนิสต์ไม่ควรเข้าไปทำงานในสหภาพแรงงานปฏิกิริยานั้นแสดงให้เห็นถึงทัศนะที่สุดขั้วของลัทธิฉวยโอกาสเอียงซ้ายอย่างชัดเจนในปัญหาความผิดพลาดของพวกเขาในการทำงานมวลชน ถ้าต้องการช่วยเหลือมวลชน,ได้รับความเห็นอกเห็นใจและได้รับการสนับสนุนจากมวลชน ก็ต้องไม่กลัวความยากลำบาก ไม่กลัวการกล่าวร้ายส่อเสียด ไม่กลัวการเล่นเล่ห์เพทุบาย ไม่กลัวการสบประมาท
และการก่อกวนจากบรรดาผู้นำที่เป็นนักฉวยโอกาสและพวกนักสังคมคลั่งชาติ คนพวกนี้ย่อมมีสายสัมพันธ์กับบรรดานายทุนและตำรวจอยู่แล้วไม่ว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม นั่นจึงจะเป็นการปฏิบัติงานที่สมบูรณ์ ที่ใดที่มีมวลชนเราต้องเข้าไป
ต้องจิตใจที่เสียสละไม่ว่าในเรื่องใดๆเพื่อจะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆได้ ดำเนินการปลุกระดม และโฆษณาชวนเชื่ออย่างเป็นระบบ ด้วยความมุ่งมั่น สม่ำเสมอ
อดทน ในสถาบัน ชมรม
และสมาคมทั้งหลายแม้ว่ามันจะเป็นองค์กรปฏิกิริยาของกรรมกร หรือกึ่งกรรมกร”
สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะเด่นของเลนิน
ที่ใช้วิธีผสมผสานและยืดหยุ่นในการประยุกต์ใช้ทฤษฎีและหลักการในการแก้ปัญหาการบริหารองค์กร
ผู้มีอำนาจมีความพยายามที่จะสร้างกำแพงคั่นกลางระหว่างนักลัทธิมาร์กซและมวลชน ดังนั้นกรรมกรชาวสังคมประชาธิปไตยต้องทำงานกันอย่างระมัดระวัง
,
มีความอดทนและใช้ยุทธวิธีที่พลิกแพลงเข้าไปทำลายอุปสรรคสิ่งกีดขวางเหล่านี้ด้วยการรุกเข้าไปในองค์กรสหภาพฯ
เพื่อบรรลุภาระหน้าที่ในการติดอาวุธทางความคิดแบบลัทธิมาร์กซให้แก่มวลชนกรรมกร
ภายใต้แรงกดดันของกรรมกรพื้นฐานสมาชิกในสหภาพแรงงานของซูบาตอฟบางส่วนได้เริ่มการเคลื่อน
ไหวต่อสู้เปลี่ยนแปลงภายในองค์กร
ภายหลังคลื่นการหยุดงานในปี 1903
ซูบาตอฟก็มาถึงทางตันแม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวอยู่บ้าง
ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีการรวมตัวกันของกรรมกรโรงงานและสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายกับสหภาพแรงงานของซูบาตอฟ ก่อตั้งขึ้นโดยสาธุคุณ
กาปอนโดยได้รับอนุญาตจากตำรวจ
นักสังคมประชาธิปไตยจำนวนมากต่างเห็นโอกาสและมีความจำเป็นในการเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์กรนี้เพื่อการเข้าถึงมวลชน
แต่ไม่ยอมรับลักษณะปฏิกิริยาของมันไม่ว่าจะตั้งแต่เริ่มต้นหรือในท้ายที่สุด นักปฏิวัติต่างมีความเข้าใจในวิถีทางการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่แท้จริงของชนชั้นกรรมาชีพ
ลักษณะพิเศษที่เลนินมักจะใช้อยู่เสมอในการทำงาน
คือไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามต่อปัญหาความแตกต่างในทางทฤษฎีอย่างเด็ดขาด
และใช้ยุทธวิธีที่มีลักษณะยืดหยุ่นอย่างมากในการทำงานร่วม
กันทั้งในด้านบริหารองค์กรโดยการประสานผลประโยชน์พื้นฐานเข้าด้วยกัน
ชนชั้นปกครองมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างกำแพงกั้นระหว่างนักลัทธิมาร์กซและมวลชน
กรรมกรฝ่ายสังคมประชาธิปไตยต้องใช้ความอดทนระมัดระวังในการเคลื่อนไหวอย่างมาก, ใช้ยุทธวิธีอย่างยืดหยุ่นพลิกแพลงเพื่อทะลายสิ่งกีดขวางเหล่านี้โดยรุกเข้าไปในสหภาพแรงงานเพื่อนำเอาความคิดลัทธิมาร์กซไปติดอาวุธทางความคิดให้แก่เพื่อนกรรมกร
โดยวิธีนี้สหภาพฯที่จัดตั้งโดยซูบาตอฟจึงไม่สามารถต้านทานความกดดันเช่นนี้ได้ สมาชิกบางส่วนได้ปรับเปลี่ยนหน่วยงานของตน(workshop)ไปเป็นองค์กรเคลื่อนไหวต่อสู้ ซูบาตอฟ เริ่มหมดบทบาทลงไป
เนื่องจากไม่สามารถต้านทานกระแสคลื่นของการนัดหยุดงานของปี 1903 ได้
แต่สหภาพแรงงานที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของของฝ่ายปฏิกิริยาก็ยังเคลื่อนไหวต่อไปโดยยังใช้แนวทางเดียวกับซูบาตอฟ
เช่น ”สหพันธ์กรรมกรโรงงานและหน่วยงานรัสเซีย”
ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก
ที่ก่อตั้งขึ้นโดยบาทหลวงกาปอน ที่ได้รับการอนุมัติจากตำรวจ
นักสังคมประชาธิปไตยส่วนใหญ่ได้พยายามไขว่คว้าโอกาสในการเข้าร่วมขบวนกับองค์กรของบาทหลวงกาปอนเพื่อเป็นการปูทางเข้าหามวลชน พวกเขาต่างยอมรับลักษณะปฏิกิริยาของมัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งสุดท้าย
นักปฏิวัติบางคนมักจะเข้าใจเอาเองว่าหนทางในการเคลื่อนไหวที่แท้จริงของชนชั้นกรรมกรได้คลี่คลายลงไปแล้วโดยเริ่มต้นจากความคิดที่เป็นนามธรรม(อัตวิสัย)
ที่ว่าชนชั้นกรรมาชีพจำต้องมีพรรคปฏิวัติเป็นแกนนำ พวกเขาหลงคิดเอาว่ากำลังอยู่ในองค์กร(ที่แท้จริง)ของชนชั้นกรรมา
ชีพซึ่งพัฒนาขึ้นมาจากสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรม
และเพียงแต่เข้าใจเอาจากอัตวิสัยของตนที่ไม่ได้เจาะลึกลงไปว่ามันความคล้ายคลึงกันหรือไม่
โดยไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าองค์กรของชนชั้นกรรมกรควรมีหน้าตาเช่นไร? องค์กรสหภาพใหม่นี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของตำรวจเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับควบคุมชนชั้นกรรมาชีพแล้วหรือไม่
?
ชาวลัทธิมาร์กซจะเข้าร่วมในองค์กรที่น่าขยะแขยงนี้อย่างไร? กระทั่งการเข้าไปเริ่มงานโฆษณา ปลุกระดม
เพียงอย่างเดียวของกลุ่มนักสังคมประชาธิปไตยหน่วยเล็กๆนั้นดูเหมือนจะไร้ประโยชน์
กรรมกรที่มีการจัดตั้งเป็นชนชั้นกรรมาชีพที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์สูงส่วนมากล้วนเป็นสมาชิกสหภาพของบาทหลวงกาปอน
คนเหล่านี้ย่อมเห็นพวกกรรมกรหนุ่มๆที่พยายามเข้าไปชี้นำหรือสอนบทเรียนแก่พวกเขาไม่อยู่ในสายตา
การโฆษณาชวนเชื่อดูเหมือนเหมือนว่าจะไม่มีผลแต่อย่างใด เอส. โซมอฟ (ไอ. เอ.
พุชกิน)สมาชิกเมนเชวิค ได้อธิบายสถานการณ์ของพวกเขาในองค์กรจัดตั้งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อต้นปีว่า
“เป็นภาพที่น่าเศร้า
องค์กรจัดตั้งที่พอจะถือว่าดีก็มีแต่เพียงในเขตนาร์วาเท่านั้น ตัวอย่างเช่นในจำนวนกรรมกร 30,000 คน
องค์กรจัดตั้งของพรรคสังคมประชาธิปไตยมีอยู่แค่ 6 หรือ 7 หน่วยเท่านั้น(หนึ่งหน่วยมีสมาชิก 5 ถึง 6คน)
การเคลื่อนไหวในโรงงานปูลิตอฟและโรงประกอบหัวรถจักรและตู้รถไฟก็เป็นการเคลื่อนไหวในด้านเศรษฐกิจการเมืองตามวัฒนธรรมแบบเก่า จริงอยู่, แม้จะมีตัวแทนขององค์กรอยู่แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ยากที่จะเข้าใจได้ ชีวิตรวมหมู่ในโรงงานไม่ได้สะท้อนออกซึ่งความเป็นหน่วยจัดตั้งเลย
ต่อสถานการณ์วุ่นวายที่ยืดเยื้อเช่นนี้ทำให้บทบาทการเคลื่อน
ไหวของกาปอนมีพลังเพิ่มมากขึ้น
มันเป็นความต้องการของมวลชวนกรรมกรทั้งมวลที่จะเคลื่อนไหวรวมตัวกันเป็นพลังทางชนชั้นซึ่งระบอบซูบาตอฟไม่เคยให้ความใส่ใจ
ยิ่งไปกว่านั้นกรรมกรที่สังกัดหน่วยจัดตั้งของเราส่วนมากเป็นคนรุ่นหนุ่มที่พึ่งจะพ้นระยะทดลองงานและยังไม่มีบารมีพอต่อสภาพ
แวดล้อมในโรงงาน”
การเคลื่อนไหวของกรรมกรในหน่วยจัดตั้งย่อมมีความสามารถเหนือกว่าระดับกรรมกรโดยทั่วไป ซึ่งทำงานได้ดีกว่าและมีความกระตือรือล้นมากกว่า
ไม่เพียงแต่งานทางด้านการเมืองก็ทำได้ค่อนข้างดีโดยเฉพาะในสถานประกอบการที่มีสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากในการเจาะทะลวง เอ.เอ็ม. บูอิโก กรรมกรโรงงานปูลิตอฟบันทึกไว้ว่า “ในวันเวลาดังกล่าว ถือกันโดยทั่วไปว่าถ้ากรรมกรที่ไม่ใช่ระดับผู้ชำนาญงาน, ไม่ใช่ระดับช่างฝีมือก็จะไม่มีพวกพ้องบริวารและผู้สนับสนุน ทัศนะเช่นนี้มาจากรากเหง้าของระบอบเก่า
สำหรับหน่วยโฆษณากรรมกรอาวุโสระดับผู้ชำนาญงานมักจะไม่คอยให้ความสนใจต่อคนงานที่มีอาวุโสน้อยแลยังไม่มีความชำนาญ ถ้าคนงานหนุ่มเหล่านี้เริ่มต้นการพูดคุย(โฆษณา)บรรดากรรมกรอาวุโสมักจะพูดตัดบทว่า
“พวกแกน่าจะไปเรียนรู้การจับค้อน ใช้มีด
ใช้สิ่วให้ถูกวิธีก่อนเถอะว่าควรทำอย่างไร
ก่อนที่พวกแกจะมาถกเถียงและสอนคนอื่น”
บาทหลวงกาปอน
สหภาพแรงงานของกาปอนเริ่มก่อตั้งเมื่อเดือน
เมษายน 1904
ซึ่งตามสภาพที่เป็นจริงคือสมาคมมิตรภาพที่จัดการเกี่ยวกับห้องสมุด การประกันตนและการบริการทางสังคม
เช่นจัดแสดงคนตรีในช่วงเย็นเพื่อให้บริการแก่กรรมกรและครอบครัว
โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นทางออกแก่กรรมกรได้ผ่อนคลายความคับข้องใจในบางครั้งบางคราว การพูดเรื่องการเมืองเป็นเรื่องที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาดด้วยการประกาศเป้าประสงค์ที่ไม่สู้จะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวต่อสู้ของมวลชนกรรมกร เช่นการรณณรงค์เรื่อง ”สำนึกในความเป็นชาติ” ในมวลหมู่กรรมกร, สนับสนุนเรื่องที่ ”สมเหตุผล”
ที่เป็นไปได้เช่นเรื่องสิทธิของกรรมกร, การเลี้ยงดูบุตรฯลฯ
เคลื่อนไหวเรียกร้องโดยวิธีที่กฎหมายรับรองโดย
“ดำเนินกิจกรรมที่มีการอำนวยความสะดวกในการปรับปรุงกฎหมายแรงงาน,เงื่อนไขของการทำงานและการพัฒนาคุณภาพชีวิต
"
ตั้งแต่นั้นมากลุ่มผู้นำก็ได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆไปตามหน้าที่ของตนทั้งนี้รวมไปถึงบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่านักปฏิวัติทั้งหลายด้วย
ไม่ใช่เรื่องแปลก...ที่กรรมกรนักปฏิวัติและปัญญาชนต่างก็มององค์กรใหม่นี้ด้วยความคลางแคลงใจและด้วยความเป็นปฏิปักษ์อย่างสูง
แม้ว่าพวกตำรวจและบรรดาผู้นำหุ่นในสหภาพจะพยายามบีบคั้น
จำกัด การเคลื่อนไหวของกรรมกรให้ เป็นการต่อสู้แบบ ”ถูกกฎหมาย”
หรือให้อยู่ในกรอบของกฎหมายก็ตาม ในที่สุดพวกเขากลับต้องพบกับความล้มเหลว
กระแสสูงของความไม่พอใจเกิดขึ้นทั่วไปในสังคมสืบเนื่องมาจากสงครามระหว่าง
รัสเซียกับญี่ปุ่นและเริ่มกระจายไปสู่มวลชนกรรมกรกลุ่มที่ล้าหลังที่สุด จนถึงขณะนี้ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบซาร์ยิ่งเพิ่มมากยิ่งขึ้นซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่พวกปัญญาชนเสรีนิยมและบรรดานักศึกษา
กองกำลังขนาดใหญ่ของชนชั้นกรรมกรดูเหมือนว่ายังไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ แต่....ถึงแม้ว่าจะอยู่ในความสงบบรรดาโรงงานและถิ่นที่อยู่ของกรรมกรกำลังอยู่ในภาวะที่เดือดพล่านด้วยความไม่พอใจ
ต่อภววิสัยเช่นนี้...จิตสำนึกได้แสดงออกถึงความเรียกร้องต้องการต่อความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งองค์กรใต้ดินขึ้น
ภายหลังที่
เพลเว (Plehve)
รัฐมนตรีมหาดไทยผู้น่าชิงชังถูกลอบสังหารในเดือนกรกฎาคม
1904 กลุ่ม
ชนชั้นปกครองต่างสิ้นหวังที่กองทัพถูกพิชิต
ทำให้พวกเขาตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว,จึงพยายามหาทางยับยั้งการก่อปฏิวัติโดยมวลชนชั้นล่างโดยยอมโอนอ่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในสังคมโดยการกำหนดจากข้างบน ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1904
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มปกครองและมวลชนกรรมกรได้คลายความตึงเครียดลงบ้าง
เปิดโอกาสให้ให้มวลชนกรรมกรมีพื้นที่หายใจได้มากขึ้น จากเดือนกันยายน 1904
เป็นต้นมาบรรดาชมรมของกรรมกรได้มีการประชุมกันอย่างต่อเนื่องตามโรงงานต่างๆในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กโดยได้รับการอุปถัมภ์จากชมรมสหภาพแรงงานของบาทหลวงกาปอน,ซึ่งตอนนั้นเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่กรรมกร
กรรมกรรุ่นใหม่ๆที่ไร้ประสบการณ์การต่อสู้ได้รับการจัดตั้งขึ้น สหภาพของกาปอนยามนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 8,000 คน
และขยายสาขาออกไปตามเขตต่างๆในเมืองอีก 11 แห่ง
มีกรรมกรเข้าร่วมเป็นสมาชิกจำนวนมากกว่าที่เคยเป็นสมาชิกในองค์กรจัดตั้งของพรรคสังคมประชาธิปไตยที่อย่างมากมีเพียง
5-600 คน อย่างเทียบไม่ได้
บรรดากรรมกรที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพของกาปอนนั้นไม่เหมือนกรรมกรรุ่นเก่าที่มีสำนึกเรื่องสังคมประชาธิปไตย
หากแต่เป็นมวลชนที่ค่อนข้างจะดิบเถื่อนไม่เคยผ่านการฝึกฝน(การต่อสู้)มาก่อน
และยังดูดซับเอาสภาวะความล้าหลังที่ยาวนานมานับพันปีของชนชั้นชาวนามาอย่างเต็มเปี่ยม ตราบเท่าที่ความอยุติธรรมยังดำรงอยู่ ชาวนารัสเซียยังคงมีความเชื่อที่ผิดๆว่าพวกตนเป็นเพียง
”ข้ารองพระบาท” ของพระเจ้าซาร์
ไม่ได้คิดว่าสถาบันกษัตริย์ต่างหากที่จะต้องมีภาระในการปกป้องประชาชน
มันคงไม่ใช่โดยเหตุบังเอิญที่มีพระเป็นผู้นำสหภาพฯ
นักลัทธิมาร์กซถูกกีดกันไม่สามารถเข้าไปมีบทบาทอย่างจริงจังได้ในองค์กรนี้
แม้ว่าการเคลื่อนไหวของมวลชนกรรมกรที่มีความสำคัญโดยพื้นฐานซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยแสดงบทบาทของตนผ่านองค์กรจัดตั้งของพรรคสังคมประชาธิปปไตยมาตลอดนับเป็นทศวรรษได้จบสิ้นลง
และนี่คือโฉมหน้าใหม่ที่เกิดขึ้นในสภาวะแวดล้อมของเวลานั้น
มันเป็นเรื่องที่บางคนได้ละเลยต่อประเด็นสำคัญไป
เมื่อได้อ่านข้อวิจารณ์ที่กล่าวว่าการปฏิวัติในปี 1905 นั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่าง
”เป็นไปเอง”
แน่นอนปัจจัยของความเป็นไปเองนั้นปรากฎอยู่,แต่ไม่ใช่ด้านหลัก เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นและนำไปสู่กรณี 9 มกราคมนั้น
กลุ่มผู้นำในองค์กรจัดตั้งของสหภาพฯกาปอนได้มีการวางแผนกันมาเป็นอย่างดี โดยใช้บทบาทภายใต้แรงกดดันของมวลหมู่กรรมกร,ซึ่งหลายๆคนในนั้นเคยผ่านการปลุกระดมจากหัวข้อโฆษณาของนักลัทธิมาร์กซมาก่อนในกรณีการหยุดงานครั้งใหญ่เมื่อทศวรรษที่
1890
ภาพลักษณ์ของกาปอนนั้นดูเป็นปริศนา
ทัศนะที่เด่นชัดของชาวลัทธิมาร์กซมีความเห็นว่ากาปอนคือเป็นสายลับของตำรวจ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าทำหน้าที่การวางแผนการสังหารหมู่ในวันที่
9 มกราคม 1905 โดยเจตนา
เป็นที่รับรู้กันโดยไปทั่วที่หลักสูตรการอบรมระยะสั้นของกลุ่มผู้นิยมสตาลินได้ประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่า
“ในปี 1904 ก่อนการนัดหยุดงานที่โรงงานปูลิตอฟ พวกตำรวจได้ใช้สายลับเข้าไปยุแหย่ปลุกปั่นกรรมกรโดยพระรูปหนึ่งชื่อกาปอน...
ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือตำรวจในองค์กรโอครานา(ตำรวจลับ)โดยการสร้างเงื่อนไขสำหรับการยิงมวลชนกรรมกรและทำลายการเคลื่อนไหวของชนชั้นกรรมกรด้วยวิธีรุนแรง”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า..กาปอนนั้นคบหากับตำรวจลับตั้งแต่ครั้งก่อตั้งสหภาพฯแล้ว
ในขณะเดียวกันก็ยังมีความสัมพันธ์กับสมาชิกระดับสูงของรัฐบาลอีกด้วยซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกัน วันที่ 9 มกราคม, กาปอนเดินขบวนเคียงข้าง ปินชาส์ รูเทนแบร์ก
นักสังคมประชาธิปไตยและรอดตายจากเงื้อมมือตำรวจของระบอบซาร์ไปอย่างหวุดหวิด, ภายหลังได้หลบภัยไปอยู่กับ แม๊กซิม กอร์กี้
และยังได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดกับเลนินในเจนีวาและเริ่มมีความใกล้ชิดกับกลุ่มบอลเชวิค เลนินเชื่อในความจริงใจของเขา
แต่ความเข้าใจของกาปอนเกี่ยวกับการปฏิวัตินั้นยังคงอยู่ในระดับพื้นฐานอยู่มาก
การลี้ภัยได้ทำลายตัวเขาเองเหมือนกับที่ได้ทำลายคนอื่นๆ
กาปอนเริ่มประพฤติตนออกนอกลู่นอกทางและติดการพนันและในที่สุดก็กลับรัสเซีย
เขาเริ่มพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆโดยติดต่อกับตำ
รวจโดยเขียนจดหมายถึง ดูรโนโว รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ในที่สุดเขาถูกลอบสังหารในเดือนมีนาคม 1906
ที่น่าขันก็คือกระสุนสังหารนั้นมาจากเพื่อนสมาชิกพรรค สังคมนิยม-ปฏิวัติ
ที่เคยเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันในวันอาทิตย์นองเลือดในเดือนมกราคมนั่นเอง
ความคิดที่ว่าโดยจิตสำนึกแล้วกาปอนนำคนงานไปเพื่อถูกฆ่านั้นเป็นเรื่องที่ผิดอย่างแน่นอน ความขัด
แย้งทางบุคลิกภาพของเขาสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถทางสติปัญญาแบบคนงานรุ่นใหม่ทีพึ่งจะมาจากชนบทซึ่งมีลักษณะชนชั้นกรรมาชีพเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เขานำเอาอคติและความคิดปฏิกิริยาติดตัวมา แต่ด้วยการที่เป็นนักจัดตั้งที่มีความสามารถ พูดจาปราศรัยได้น่าฟัง มีความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ, สามารถพูดภาษาที่กรรมกรเข้าใจได้
อีกทั้งสามารถผสมผสานความเข้มแข็งและคำสอนของศาสนาเข้าด้วยกันได้อย่างน่าทึ่ง
, ทำให้การต่อสู้ทางชนชั้นให้สอดคล้องกับระบบกษัตริย์ สร้างความงุนงงสับสนทางจิตสำนึกให้แก่ผู้คนที่ถูกกดขี่นับล้านๆคน
กาปอนในฐานะที่เป็นลูกชาวนา,ผู้ซึ่งเคยสัมผัสกับความคิดปฏิวัติมาตั้งแต่วัยเด็ก
ความเชื่อของเขาแสดงออกถึงการดิ้นรนอย่างไร้ทิศทางของชนชั้นนี้
ซึ่งปรารถนาที่จะต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีกว่าในโลกที่เป็นอยู่ แต่ยังคงสับสนด้วยความหวังที่จะได้รับความสุขสมบูรณ์ของชีวิตหลังความตาย และยังมีความเชื่อมั่นใน
”พ่อของแผ่นดิน”อยู่
ไม่มีใครที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกของมวลชนได้ดีไปกว่ากาปอน ด้วยเหตุนี้มวลชนจึงเทิดทูนเขา ไลโอเนล โคชัน ได้เขียนไว้ในบันทึกเรื่อง
“สิบวันแรกของเดือนมกราคม” ว่า
“เขา(กาปอน)ได้เปล่งประกายของความเป็นทั้งผู้นำและศาสคาพยากรณ์
....สำหรับทุกคำพูดของเขาทำให้ผู้คนมีความหวังในชีวิต
เสื้อคลุมสีดำของพระและไม้กางเขนเป็นประดุจแม่เหล็กที่ดูดเอาผู้ทุกข์ระ
ทมนับแสนมารวมกัน”
พลวัตรทั้งหมดของกาปอนนั้นได้ทุ่มเทไปในการปลุกเร้า ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถควบคุมได้
ในขณะที่นักปฏิวัติทั้งหลายต่างก็ประทับตราเขาว่าเป็นสายของตำรวจที่ส่งมาปลุกปั่นยุแยง
และบรรดาเจ้าหน้าที่ต่างก็สาปแช่งเขาในฐานะตัวแทนของการปฏิวัติที่อันตรายยิ่ง โดยมิได้พิจารณาถึงความมุ่งมั่นทางอัตวิสัยของเขา
ซึ่งภายหลังต่อมาได้ถูกบรรยายว่ายังห่างไกลจากสภาพความจริง
กาปอนไม่มีความพร้อมในการใช้กำลังที่เขาช่วยเสกสร้างขึ้นมา
ตลอดระยะเวลาการเคลื่อนไหวต่อสู้เขาได้สร้างรอยประทับขึ้นจากเหตุการณ์ที่ดำเนินไปโดยอยู่เหนือความควบคุมและความเข้าใจของเขา
ก่อนหน้าวันสังหารหมู่เพียงวันเดียวผู้นำคนนี้ได้กล่าวด้วยความไม่แน่ใจว่า
“ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดตามมา?” ดีหรือไม่ผมไม่รู้ได้
อาจเป็นบางอย่างที่ยิ่งใหญ่
แต่อะไรก็ไม่แน่นอน
ผมไม่สามารถพูดได้
ไม่รู้จะออกหัวหรือหาง”
การสะสมความเคียดแค้นและขมขื่นของกรรมกรโรงงานในไม่ช้าก็ระเบิดออกเป็นการนัดหยุดงานในเดือนธันวาคมที่โรงงานสร้างอาวุธโปลิตอฟ
ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ของชนชั้นกรรมาชีพในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 1904
โดยมวลชนกรรมกรได้จัดให้มีการประชุมกันภายในโรง
งานหลายแห่งโดยการอุปถัมภ์ของสหภาพกาปอน
เพื่อให้กรรมกรได้ระบายความคับแค้นใจและเรียนรู้ถึงพลังของชนชั้นตน
พวกนายจ้างเริ่มหวาดกลัวและได้ตัดสินใจระงับการประชุม
ชนวนระเบิดก็คือการไล่คนงานที่เป็นแกนนำการเคลื่อนไหวของสหภาพฯกาปอนออกจากงานจำนวน
4 คน วันที่ 28 ธันวาคม
กาปอนได้จัดประชุมตัวแทนกรรมกรใน 11 โรงงาน
ท่ามกลางอารมณ์ความรู้สึกที่เดือดพล่านได้ผลักดันให้กลุ่มผู้นำกรรมกรและแม้แต่ผู้นำของลัทธิผู้นิยมกาปอนเองให้มีลักษณะสู้รบมากขึ้น
เมื่อความเป็นจริงทางภววิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้
แน่นอนตัวแทนของทั้งพรรคสังคมประชาธิปไตยและพรรคสังคมนิยมปฏิวัติต่างก็ได้รับเชิญเข้าร่วมเคลื่อนไหวด้วย
ที่ประชุมได้ตัดสินใจส่งตัวแทนไปทำความตกลงยื่นข้อร้องเรียนต่อกรรมการบริหารและผู้ที่รับผิดชอบของโรงงานต่างๆในเซนตปีเตอร์สเบิร์ก แสดงออกถึงความไม่พอใจในสถานะและสภาพการทำงานของเหล่ากรรมกร วันที่ 3 มกราคม กรรมกร 13,000 คนได้นัดหยุดงาน
เหลือเพียงสองคนที่เป็นสายของตำรวจเท่านั้นที่ยังทำงานอยู่
กลุ่มผู้หยุดงานเรียกร้องให้ลดเวลาทำงานเหลือ 8 ชั่วโมงต่อวัน โดยไม่มีการทำงานล่วงเวลา รับรองสภาพการทำงาน ค่ารักษาพยาบาลฟรี เพิ่มค่าแรงให้แก่กรรมกรหญิง อนุญาตให้มีตัวแทนกรรมกรในการประชุม และให้จ่ายค่าแรงในระหว่างวันที่มีการหยุดงาน
การนัดหยุดงานที่โรงงานปูลิตอฟ
การเรียกร้องนั้นมีความเป็นไปได้ว่าเกิดจากแนวคิดของกาปอน เพื่อจะหันเหแนวทางการเคลื่อนไหวต่อสู้ให้ไปสู่แนวทางสันติเพื่อประกันความปลอดภัย
หรืออาจจะเป็นไปได้ที่กาปอนมีความมั่นใจว่าเขาสามารถสร้างบทบาทขึ้นในฐานะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่าง”พ่อของแผ่นดิน”และลูกๆได้ การเคลื่อนไหวยังคงเดินหน้าต่อไปแม้ว่ามวลชนยังอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายสับสน โดยตรรกแล้วเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นแนวคิดที่จะไม่ก่อเกิดอันตรายใดๆขึ้น
ความคิดที่จะถวายฎีกาต่อพระเจ้าซาร์และคำเรียก
ร้องต้องการเฉพาะหน้านั้นเป็นอารมณ์ร่วมของมวลชนอยู่แล้ว
การประชุมกลุ่มมวลชนได้เกิดขึ้นทั่วไปในนครหลวงกาปอนต้องวิ่งรอกไปทั่วเพื่อเข้าร่วมการประชุม
เขากล่าวคำปราศรัยด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆภายใต้อารมณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวร่วมกับมวลชนผู้ที่ยกย่องเชิดชูเขา ผู้ที่อยู่ในเหตุ การณ์ได้เล่าถึงบรรยากาศที่สุดแสนจะประทับใจในการประชุมครั้งนั้น ถึงบุคลิกภาพในการปราศรัยของเขาซึ่งดูเสมือนดั่งคำสั่งสอนของพระศาสดา
กาปอนได้รับฉันทานุมัติและมีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในการนำการต่อสู้ของมวลชนกรรมกร
เขาเรียกร้องให้มวลชนยืนหยัดร่วมกันและถ้าจำเป็น..ก็ขอตาย ร่วมกัน
........”ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างตกอยู่ในอาการปลื้มปิติ หลายคนร่ำไห้, กระทืบเท้า, กระแทกเก้าอี้ ,ทุบกำแพงด้วยกำปั้นและยกมือโห่ร้อง
ให้สัตย์ปฏิญานว่าจะยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันจนถึงวาระสุดท้าย”
การเคลื่อนไหวได้แปรสภาพเป็นการนัดหยุดงานทั่วไปอย่างรวดเร็ว วันที่ 5 มกราคม กรรมกร 26,000 คน ร่วมหยุดงาน ; วันที่ 7 105,000 คน
และวันต่อมามีกรรมกรเข้าร่วมถึง 111,000
คนการเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังมีลักษณะทางการเมืองอีกด้วย มติที่ประชุมในวันที่ 5
ยังเรียกร้องให้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยเร่งด่วน, เรียกร้องให้มีเสรีภาพทางการเมือง, ให้ยุติสงคราม(กับญี่ปุ่น)และปลดปล่อยนักโทษการ
เมืองทั้งหมด
การริเริ่มตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวทั้งหมดนี้มีความเป็นไปได้ว่ามาจากมวลชนกรรมกรที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากพรรคสังคมประชาธิปไตย พรรคสังคมประชาธิปไตยได้ทำการปลุกระดม โฆษณาและจัดตั้ง
สร้างความสัมพันธ์กับกรรมกรฝ่ายก้าวหน้าทั้งกลุ่มใหญ่และกลุ่มย่อย
ทำการบ่มเพาะพวกเขามาเป็นเวลานานแล้ว โดยหน่วยเคลื่อนไหวโฆษณาของพรรค
ยิ่งไปกว่านั้นกรรมกรจำนวนมากเคยได้รับผลสะเทือนจากการปลุกระดมมวลชนของพรรคสังคมปนะชาธิปไตยที่ได้กระทำมาอย่างเป็นระบบอย่างน้อยก็นับเป็นสิบปีก่อนจะเกิดเหตุการณ์
9 มกราคม คำขวัญพื้นฐานที่นักลัทธิมาร์กซที่ได้ฝังลึกไว้ในจิตสำนึกของชนชั้นกรรมาชีพได้เริ่มปรากฏผล
ปัญหาข้อหลักๆที่พรรคสังคมประชาธิปไตยได้เรียกร้องมาโดยตลอดนั้นได้เป็นจริงขึ้นมาโดยผ่านข้อเสนอที่มีชื่อเสียงของกาปอนเช่น ลดชั่วโมงทำงานเป็น 8 ชั่วโมง/วันและให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นต้น
แม้ว่าคำขวัญของพรรคสังคมประชาธิปไตยจะได้รับการตอบสนองจากมวลชน
แต่สำหรับตัวพรรคเองกำลังอยู่ในภาวะที่โดดเดี่ยวและไม่มีบารมีพอ
อีกไม่กี่ปีต่อมามาร์ตอฟได้เขียนไว้ในหนังสือ”ประวัติ
ศาสตร์ของพรรคสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย” ของเขายอมรับว่า.. ”ทั้งสองปีกของพรรคสังคมประชาธิป
ไตย(บอลเชวิคและเมนเชวิค....ผู้แปล)ไม่สามารถแม้แต่จะสังเกตได้ถึงการเกิดสภาวะการปฏิวัติที่โหมกระหน่ำในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อเดือนมกราคม
1905 เอาเสียเลย
ไม่เพียงแต่ฝ่ายนำของพรรคที่อยู่นอกประเทศเท่านั้นแม้แต่องค์กรจัดตั้งภายใน(ประเทศ)ทั้งหมดก็เช่นกัน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุ
การณ์ครั้งนั้นเท่าที่ควร”
และแม้แต่กลุ่มบอลเชวิคเองก็ยอมรับในการสรุปในสมัยประชุมสมัชชาครั้งที่ 3
โดยแถลงว่า....”เหตุการณ์เดือนมกราคม
พบว่าในการประชุมคณะกรรมการแห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งที่ในขณะนั้นความสัมพันธ์กับมวลชนกรรมกรของกลุ่มเมนเชวิคเป็นการจัดการที่สับสนอลหม่านอย่างยิ่ง
(องค์กรโซเวียตคนงานในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอยู่ภายใต้การควบคุมบริหารโดยสมาชิกของกลุ่มเมนเชวิคเป็นส่วนใหญ่...ผู้แปล)
มีเพียงเขตวาซิลีและวีบอร์กเท่านั้นที่สามารถดำเนินงานไปได้”
เช่นเคย....”สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว”
คือคำขวัญในการเคลื่อนไหวมวลชน
พวกเขา(ผู้สนับสนุนกาปอน)
เห็นว่าพรรคสังคมประชาธิปไตยนั้น ”ไม่มีอะไร”เลย
มองว่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเสียด้วยซ้ำไป ในการประชุมมวลชนกรรมกรครั้งหนึ่งกาปอนกล่าวบริภาษนักพูดของพรรคสังคมประชาธิปไตยว่า “อย่ามาเสนอความเห็นที่ทำให้แตกแยกเลย
ขอให้เรามาเดินหน้าไปด้วยกันสู่เป้าหมายที่ศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ร่มธงแห่งสันติที่เป็นเอกภาพเถิด”
อำนาจการนำของกาปอนนั้นไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ ซึ่ง
ต่างจากนักปฏิวัติสังคมประชาธิปไตยซึ่งเป็นผู้ที่มวลชนกรรมกรยังมีความคลางแคลงใจอยู่ สมาชิกบอลเชวิคกล่าวรายงานในที่ประชุมสมัชชาครั้งที่
3
แห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อเดือนเมษายนว่า
พวกเขาเข้าไปร่วมเคลื่อนไหวช้าไปมากเนื่องจากเห็นว่ามันเป็นองค์กรปฏิกิริยาที่ตำรวจก่อตั้งขึ้น
เริ่มจะมาสนใจอย่างจริงจังก็ต่อเมื่อการนัดหยุดงานเป็นไปในทิศทางที่น่าเชื่อถือได้เท่านั้น
ในบางส่วนของเมืองเขตวีบอร์กเป็นเขตที่น่าสนใจอย่างยิ่งความเห็นของพวกเขาถูกรับฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่ในเขตอื่นพวกเขากลับถูกละเลยไม่ให้ความสนใจ
บ่อยครั้งที่ผู้เป็นประธานไม่อนุญาตให้พวกเขาแม้แต่จะพูด
จนกระทั่งวันที่
9
มกราคมผู้แทนของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้รายงานว่า “คนงานมีทัศนะคติต่อต้านคณะ
กรรมการ(บอลเชวิค)อย่างรุนแรง
นักปลุกระดมของเราถูกโจมตี,เอกสารใบปลิวถูกทำลายและเงิน จำนวน 500
รูเบิลแรกถูกส่งไปช่วยสนับสนุนคนงานที่ปูลิตอฟโดยนักเรียนนักศึกษาแม้ไม่ค่อยเต็มใจนัก” นักเขียนฝ่ายเมนเชวิคต่างยืนยันว่า
”ในเขตนาวาร์,การเคลื่อนไหวเริ่มขึ้นในช่วงสายของวันที่ 8 มกราคม
มวลชนกรรมกรต่างมีความกระตือรือร้นสนใจในเนื้อหาข้อเรียกร้องของกาปอน
มีเพียงพรรคสังคมประชาธิปไตยเพียงหนึ่งเดียวที่พยายามนำเสนอเนื้อหาด้านการเมือง
ต้องถูกโห่และตระโกนด้วยความไม่พอใจจากกลุ่มกรรมกรด้วยถ้อยคำ “ไร้สาระ” “ไล่มันไป”
การแสดงออกถึงความอ่อนด้อยและการถูกโดดเดี่ยว(จากมวลชน)ของพรรคสังคมประชาธิปไตยตั้งแต่การเริ่มต้นการปฏิวัตินั้น
ลิฟชิทส์
นักเคลื่อนไหวของพรรคในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้เปิดเผยถึงความรู้สึกที่คับแค้นสิ้นหวังถึงความไม่มีบทเรียนในการปฏิบัติและไม่มีความสามารถที่จะจูงใจมวลชน ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ก่อนการเคลื่อนไหว 9 มกราคม เขาบันทึกไว้ว่า....”เรา..พรรคการเมืองของกรรมกรรู้ดีว่าการต่อสู้ด้วยสันติวิธีจะไม่อาจนำมาซึ่งสิ่งที่ต้องการและไม่คุ้มค่า
มีแต่จะนำมวลชนไปสู่การถูกเข่นฆ่าปราบปราบปรามอย่างนองเลือด พลังใดเล่าที่จะป้องกันความชั่วร้ายที่น่าสยดสยองเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งระบอบซาร์และระบบพระจะสามารถรับผิดชอบได้หรือ? เพราะพลังเช่นนั้นไม่มีอยู่แล้ว” แต่ภายใน 24
ชั่วโมงสถานการณ์ทั้งมวลก็แปรเปลี่ยนไป
-----------------------------------------------------
[1]คือกลุ่มองค์กรปฏิกิริยาขวาจัดที่ต่อต้านชาวยิว
ระบอบซาร์ใช้องค์กรนี้เป็นหน่วยติดอาวุธสำรองเพื่อต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกรและนักปฏิวัติ
No comments:
Post a Comment