12. ลี้ภัยอีกครั้ง:1907–1917
ปี 1909 เพื่อทำความกระจ่างในข้อสงสัยทางปรัชญาต่อแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องในการปฏิวัติสังคมนิยม
เลนินได้ตีพิมพ์หนังสือ
”ลัทธิวัตถุนิยมและวิจารณ์ลัทธิจัดเจน” (Materialism and
Empirio-criticism) ซึ่งได้กลายเป็นพื้นฐานทางปรัชญาของลัทธิมาร์กซ-เลนินในเวลาต่อมา
เลนินได้เดินทางตระเวนไปในยุโรปตลอดช่วงของการลี้ภัย เข้าร่วมเคลื่อนไหวทั่วไปในแนวทางสังคมนิยมในสถานที่ต่างๆ
ปี 1914
ซึ่งเป็นระยะแรกของสงครามโลกครั้งที่1(1914 -18) พรรคสังคม-ประชาธิปไตยในยุโรป
ส่วนมากสนับสนุนการทำสงครามด้วยคำขวัญ ”เพื่อปกป้องปิตุภูมิ” เมื่อแรก..
เลนินไม่เชื่อว่าชาวพรรคสังคม-ประชาธิปไตย
จะมีความเอนเอียงทางการเมืองกันได้ถึงขนาดนี้
(เพราะอุดมการณ์ของชาวพรรคสังคม-ประชาธิปไตยนั้นต่อต้านสงคราม-ผู้แปล)
โดยเฉพาะชาวพรรคเยอรมันที่ลงคะแนนเสียงสนับสนุนการทำสงคราม การสนับสนุนการทำสงครามของบรรดาพรรคสังคม-ประชาธิปไตยเช่นนี้
เลนินจำต้องตัดขาดจากสากลที่สอง (1889-1916) ที่มีนักสังคมประชาธิปไตยเยอรมันครอบงำอยู่
เขาคัดค้านการทำสงครามเพราะเห็นว่ากรรมกรและชาวนาควรจะต่อสู้ในสงครามต่อต้านจักรพรรดิ์นิยม เพราะสงครามครั้งนี้(สงครามโลกครั้งที่ 1)
มันเป็นสงครามของชนชั้นนายทุนซึ่งในทางสากลควรจะแปรให้เป็นสงครามระหว่างชนชั้น
ยามต้นสงครามพวกออสเตรียได้พยายามหน่วงเหนี่ยวเลนินให้อยู่แต่ในเมืองโปโรนิน
ซึ่งเป็นที่พำนักในประเทศออสเตรีย
ในที่สุดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 1914
ก็ได้ย้ายไปยังประเทศสวิต เซอร์แลนด์ที่เป็นกลาง ตอนแรกที่เบิร์นและซูริคในเวลาต่อมา
การประชุมเพื่อต่อต้านสงครามของชาวสังคม-ประชาธิปไตยได้จัดขึ้นที่เมือง
ซิมเมอร์วาล (Zimmerwald Conference)ในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวันที่5-8กันยายน ปี 1915
มีผู้แทน 38 คนจาก 11 ประเทศ เลนินและสหายร่วมอุดมการณ์อีก 8
คนที่รู้จักกันในนามของ ”กลุ่มซ้ายซิมเมอร์วาล”(Zimmerwald Left)[1] แพ้มติในการเสนอร่างที่ให้แปรเปลี่ยนสงครามจักรพรรดินิยมให้เป็นสงครามทางชนชั้น เสียงส่วนใหญ่ไม่ยอมรับร่างของฝ่ายซ้าย
บรรยากาศในที่ประชุมช่างเต็มไปด้วยความอะลุ้มอะล่วยและลงมติผ่านคำประกาศที่คลุมเครือออกมาด้วยลักษณะประนีประนอม
ฤดูใบไม้ผลิปี1916ในซูริค....เลนินได้เขียนหนังสื่อเรื่อง
“จักรพรรดินิยมขั้นตอนสูงสุดของทุนนิยม” งานชิ้นนี้ได้สังเคราะห์บทนิพนธ์ของ คาร์ล
เค้าทสกี / จอห์น เอ ฮอบสัน เรื่อง ”บทศึกษา: ว่าด้วยจักรพรรดินิยม” (Imperialism:
A Study) และ “ดาส ฟินันซคาปิตาล” (Das
Finanzkapital /ทุนการเงิน) ของ รูด๊อฟ
ฮิฟเฟอร์ดิง
ประยุกต์เข้ากับสภาวการณ์ของสงครามโลกครั้งแรกกับการต่อสู้ระหว่างจักรวรรดิเยอรมันและจักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่อธิบายถึงการแข่งขันกันระหว่างนายทุนจักรพรรดินิยมได้เป็นอย่างดี บทนำเสนอนี้ได้แสดงถึงขั้นตอนของการรวมศูนย์ทางด้านอุตสาหกรรม/การค้า ทำให้ทุนพาณิชย์เติบโตขึ้น
ซึ่งก็คือพื้นฐานเบื้องต้นของจักรพรรดินิยมที่ถือเอาการแสวงหากำไรเป็นเป้า
หมายสูงสุดและจะนำไปสู่ขั้นตอนต่อไปคือการแบ่งปันโลกของบริษัทผูกขาด
การล่าอาณานิคมไปทั่วโลกของประเทศในยุโรปก็เพื่อค้ำจุนผลประโยชน์ทางธุระกิจของมัน
ดังนั้น..จักรพรรดิ์นิยมก็คือพัฒนาการขั้นสูงของระบอบทุนนิยมที่มีรากฐานมาจากการผูกขาด การส่งออกทุน(ซึ่งมีปริมาณมากกว่าการส่งสิน
ค้า) การขยายอิทธิพลทางธุรกิจการค้าไปทั่วโลก
การล่าอาณานิคมก็เป็นรูปแบบหนึ่งของมัน
13. การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์
เดือนกุมภาพันธ์ 1917
การเดินขบวนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในรัสเซียซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ความทุกข์ยากจากสงครามเป็นแรงกระตุ้นผลักดันให้ ซาร์ นิโคลัส
ที่สองจำต้องสละราชสมบัติ
ระบอบกษัตริย์ถูกแทนที่ด้วยความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ค่อนข้างจะยุ่งยากซับซ้อน
ด้านหนึ่งคือระบอบรัฐสภาของรัฐบาลชั่วคราว และอีกด้านหนึ่งคือสภาปฏิวัติ ของ”โซเวียต”
(โซเวียตแห่งเปโตรกราดที่โด่งดัง) ที่สมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากกรรมกร ทหาร
และชาวนา ในขณะนั้นเลนินยังคงลี้ภัยอยู่ในซูริค
ในช่วงบ่ายของวันที่ 15 มีนาคม
เลนินกำลังเตรียมตัวจะไปห้องสมุดที่อัลท์ชตาดท์(Altstadt) มีซซิ สลาฟ บรอนสกี
เพื่อนผู้ลี้ภัยชาวโปลได้ร้องตระโกนบอกอย่างตื่นเต้นว่า
“คุณไม่รู้ข่าวหรือไงว่าเกิดการปฏิวัติขึ้นในรัสเซียแล้ว” วันต่อมาเลนินเขียนจดหมายถึง อเล็กซานดรา
คอลลอลไท[2] ในสต๊อคโฮล์มเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่า
เป็นความตั้งใจของนักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพสากลที่จะโฆษณาปลุกระดมเพื่อสนับสนุนการยึดอำนาจโดยคณะกรรมการโซเวียตคนงานหรือไม่ วันต่อมา...ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วได้ปลุกเร้ากระตุ้นให้เกิดการจัดตั้งองค์กรบริหารแบบใหม่ในทุกๆระดับชั้น
และพิสูจน์ให้พวกเขาได้เห็นว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ก็จากการลุกขึ้นยึดอำนาจด้วยอาวุธของโซเวียตคนงานเท่านั้น
เลนินตัดสินใจกลับรัสเซียอีกครั้ง
แต่เป็นเรื่องไม่ง่ายนักในระหว่างสงครามที่กำลังดำเนินไปอย่างรุนแรงเช่นที่เป็นอยู่นี้ สวิตเซอร์แลนด์ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรดาประเทศที่กำลังขับเคี่ยวกันในสงคราม
อังกฤษ...พันธมิตรของรัสเซียมีอิทธิพลควบคุมภาคพื้นทะเลอยู่
เลนินเห็นว่าควรจะใช้เส้นทางข้ามประเทศเยอรมันกลับรัสเซียโดยใช้หนังสือเดินทางของสวีเดน โดยผ่านการเจรจากับรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อขออนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวรัสเซียเดินทางกลับบ้านโดยผ่านประเทศเยอรมัน
ด้วยการพ่วงเงื่อนไขการแลกกับเชลยศึกชาวเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี ในที่สุด..วันที่ 31 มีนาคม ฟริตซ์
พลาทเทน[3]ชาวคอม
มิวนิสต์สวิสก็ได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมันผ่านเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำสวิตเซอร์ แลนด์
บารอน กิสแบร์ท ฟอน
รอมแบร์ก (freiherr Gisbert
von Romberg) โดยให้เลนินและผู้ลี้ภัยชาวรัสเซียโดยสารรถไฟตู้หนึ่งเป็นการลับและให้มีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ
ปี 1917 เริ่มขึ้นด้วยคลื่นการนัดหยุดงานในเปโตรกราด หลักจากซบเซามาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม
1916
ในเดือนมกราคมเพียงเดือนเดียวมีกรรมกรเข้าร่วมการหยุดงานมีจำนวนถึง 200,000 กว่าคน
ตรวจสอบแล้วเป็นกรรมกรตามโรงงานต่างๆในเปโตรกราดถึง 177,000 คน
สงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นได้สร้างความยากลำบากแก่มวลชนจนไม่สามารถทนทุกข์ทรมานได้อีกต่อไป
ท่ามกลางฝันร้ายจากสงคราม....วิกฤตทางด้านเศรษฐกิจที่นับวันยิ่งจมดิ่งลงไปก็ยิ่งเพิ่มความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนมากขึ้น ภายในเดือน ธันวาคม 1916 โรงงาน 39
แห่งในเปโตรกราดต้องชะลอการผลิตลงเนื่องจากขาดแคลนพลังงานเชื้อเพลิง และมากกว่า 11
แห่งถูกตัดพลังงาน,การเดินรถไฟตกอยู่ในขั้นหายนะ
ไม่มีเนื้อสัตว์และขาดแคลนแป้งทำขนมปัง
ความหิวโหยกระจายไปทั่วแผ่นดิน
การเข้าแถวรอซื้อขนมปังเริ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันของชาวรัสเซีย
ทั้งหมดนี้รวมไปถึงข่าวความพ่ายแพ้ของกองทัพในแนวรบและเรื่องอื้อฉาวของราชสำนักได้กระจายไปทั่ว,
ทั้งกลุ่มก๊วนของนักบวชกาลีรัสปูติน[4]และกลุ่มอันธพาลทางการเมืองขวาจัด แบล๊ค ฮันเดรด(Black Hundred)[5] สมุนของผู้นิยมระบอบกษัตริย์-เจ้าที่ดินที่มีอำนาจรัฐหนุนอยู่เบื้องหลัง ผู้มีอำนาจปกครองประเทศล้วนถูกครอบงำโดยพวกขุนนางที่ฉ้อฉล,นักแสวงโชค,นักฉวยโอกาสทางการเมืองที่ต่ำทรามได้เผยโฉมหน้าอันเน่าเฟะของมันมาก่อนหน้านี้แล้ว...
สร้างความเกลียดเกลียดชังให้แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก นายทุนเสรีนิยมทั้งหลายใน ”กลุ่มการเมืองก้าวหน้า”
ได้พยายาม ยั่วยุพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ให้ตื่นกลัวต่อการปฏิวัติโดยร้องขอต่อ
พระองค์ให้ทรงปฏิรูปประเทศโดยเร่งด่วน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
อารมณ์ความรู้สึกของมวลชนได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ทรอตสกีได้อธิบายกระบวนการนี้ว่าเป็น
”กระบวนการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในระดับโมเลกุล”
มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยและดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง, กระทั่งต่อนักปฏิวัติเองบางครั้งก็เกิดความผิดพลาดขึ้นได้โดยไม่มีข้อสรุปที่ถูกต้อง,เมินเฉยต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไปอย่างไม่สนใจ
และไม่ได้สังเกตเห็นถึงลักษณะภายนอกที่แสดงออกถึงความไม่พอใจที่สะสมปริมาณมากขึ้น
,ความเดือดดาลและความขมขื่น
มันคล้ายกับปรากฏการณ์ของแรงดันภายใต้เปลือกโลกที่สะสมปริมาณอย่างช้าๆก่อนที่จะทำให้เกิดแผ่น
ดินไหว
กระบวนการนี้ถ้าสังเกตอย่างผิวเผินเพียงภายนอกโดยไม่พิจารณาถึงปริมาณที่เดือดพล่านภาย ใต้พื้นผิวโลกที่ไม่อาจควบคุมได้ ก็ไม่สามารถรู้ได้เช่นกันเมื่อเกิดการประทุขึ้น
เมื่อเกิดการประทุขึ้น
มันได้สร้างความประหลาดใจขึ้นทั่วไป
”ผู้รู้”
ทุกระดับมักจะให้คำอธิบายไม่ไกลเกินไปกว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคือแทบจะไม่ได้บอกอะไรเลย
ที่กล่าวว่า”การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์เกิดขึ้นเพราะการขาดแคลนขนมปัง”
การอธิบายเช่นนี้ออกจะมองข้ามความเป็นจริงมากเกินไป ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง...ภายหลังการปฏิวัติใหญ่เดือนตุลาคม,การขาดแคลนขนมปังยิ่งเลวร้ายเสียยิ่งกว่าก่อนการปฏิวัติ
อีกทั้งตามติดมาด้วยสถานการณ์สงครามกลางเมืองที่พวกปฏิปักษ์ปฏิวัติก่อขึ้น และการรุกรานแทรกแซงของกองทัพต่างชาติถึง 21 ทัพ ทำไมจึงไม่เกิดการปฏิวัติขึ้นเล่า? ไม่เคยมีคำถามเช่นนี้และก็คงไม่มีคำตอบ
ถ้าเรายังยืนยันด้วยความสับสนต่อสภาพภววิสัยที่ได้จุดชนวนการเคลื่อน
ไหวด้วยสาเหตุสำคัญที่ยังซ่อนเร้นอยู่
นั่นคือความสับสนระหว่าง “อุบัติเหตุ” กับ “ความจำเป็น” มันก็คงเหมือนกับตำราเก่าที่เคยสอนกันในโรงเรียนซึ่งยืนยันว่ามูลเหตุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นเกิดจากการลอบสังหารอาร์คดยุ๊ค
เฟอร์ดินาล ที่ซาราเยโว
ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งระหว่างประเทศจักรวรรดินิยมที่สะสมมาก่อนปี 1914
การนัดหยุดงานในวันที่ 9
กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า)นั้นเป็นการนัดหยุดงานที่ใหญ่ที่สุดที่เปโตรกราดเคยเห็นมาตลอดระยะสงคราม การนัดหยุดงานทั่วไปเริ่มที่เขต
วีบอร์กและเนฟสกี
มีผลกระทบต่อโดยเฉพาะอุตสาหกรรมสงครามเป็นอย่างมาก มีกรรมกรเข้าร่วมถึง 145,000
คนซึ่งเป็นการ”ซักซ้อม” สำหรับการปฏิวัติ
การนัดหยุดงานนั้นประกอบไปด้วยการชุมนุม และการเดินขบวนประท้วง
เมืองเปโตรกราดมีสภาพเหมือนค่ายทหารที่เต็มไปด้วยกำลังทหารและตำรวจ
มาตรการใดๆของตำรวจก็ไม่อาจยับยั้งการปฏิวัติได้
จากมุมมองของบรรดานายทุนเสรีนิยมที่พยายามจะหยุดการปฏิวัติโดยร้องขอให้พระเจ้าซาร์ทำการปฏิรูปประเทศ รอดเซียนโก[6] ได้ร้องขอให้พระเจ้าซาร์ยืดอายุสภาดูมาและจัดตั้งรัฐบาลใหม่
คณะกรรมการแรงงานอุตสาหกรรมสงครามที่เมนเชวิคควบคุมอยู่ ได้ฉวยโอกาสใช้วันที่ 14
กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า)ซึ่งเป็นวันเปิดสภาเรียกร้องให้กรรมกรเปโตรกราดเดินขบวนไปยังพระราชวังเทาริดาซึ่งเป็นที่ตั้งของสภาดูมาเพื่อสำแดงพลังสนับสนุนพวกเสรีนิยมปีกซ้าย
กลุ่มบอลเชวิคได้ประณามนโยบายการร่วมมือทางชนชั้นในครั้งนี้และเรียกร้องให้มีการนัดหยุดหนึ่งวัน
เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบการดำเนินคดีตัวแทนของบอลเชวิค กรรมกร 90,000 คนจาก 58
โรงงานตอบรับข้อเรียกร้องนี้
กรรมกรโรงงานปูติลอฟประท้วงด้วยคำขวัญ “สงครามจงพินาศ” “รัฐบาลจงพินาศ” “สาธารณรัฐจงเจริญ” ไม่มีใครสนใจที่จะเดินไปยังพระราชวังเทาริดา รอดเซียนโกยอมรับว่าสภาดูมามีบทบาทลดลง
ผู้ประท้วงพากันมุ่งหน้าไปค้นหาความมุ่งหวังที่ เขตเนฟสกี การซักซ้อมและประเมินความก้าวหน้าเป็นไปอย่างต่อเนื่องบ่งบอกถึงความหนักแน่นจริงจังมากขึ้น
และแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกของมวลชนที่บรรลุถึงจุดเดือด ตัวแทนจากโรงงานปูติลอฟเดินทางไปยังโรงงานอื่นๆ
ในเขต นาร์วาและวีบอร์ก
ซึ่งเป็นสถานที่จุดประกายการเคลื่อนไหวด้วยการร่วมก่อจลาจล”ขนมปัง”
ที่โดดเด่นยิ่งของเหล่ากรรมกรสตรี
การนัดหยุดงานของโรงงานขนาดใหญ่เช่นปูติลอฟ เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 18
กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า)โดยกรรมกรเพียงไม่กี่ร้อยคนในโรงซ่อมที่เรียกร้องให้เพิ่มค่าจ้างและให้รับเพื่อนสมาชิกที่ถูกไล่ออกจากงานกลับเข้ามาใหม่โดยการนำของกรรมกรและนักปฏิวัติ กรรมกร 30,000
คนของบริษัทยักใหญ่นี้ได้ก่อตั้ง”คณะกรรมการหยุดงาน”
ด้วยการออกสู่ถนนและเรียกร้องการสนับสนุนจากกรรมกรด้วยกัน
ฝ่ายจัดการของโรงงานตอบสนองด้วยการปิดประตูทางเข้าออก นั่นกลายเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ทำให้กรรมกรหลายพันคนเกิดความโกรธแค้นและเริ่มเดินขบวนบนท้องถนน
ในขณะเดียวกับที่กรรมกรหญิงกำลังยืนเข้าแถวบนถนนที่หนาวเย็นเพื่อรับบัตรปันส่วนขนมปัง นี้เป็นแรงระเบิดที่รุนแรงเสียยิ่งกว่ากระสุนปืนใหญ่ที่ผลิตโดยโรงงานปูติลอฟเสียอีก
ประจวบกับวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 23
กุมภาพันธ์(ปฏิทินใหม่คือ 8 มีนาคม)เป็นวันสตรีสากล
ถือว่าสเป็นพลังผลักดันการเคลื่อนไหวของมวลชน
กระแสความตื่นตัวของสตรีและเยาวชนซึ่งเมื่อก่อนนี้ยังอยู่ในระดับที่ล้าหลังและไร้การจัดตั้ง ได้สร้างความประหลาดใจแก่นักเคลื่อนไหวเป็นอย่างมาก นักประวัติศาสตร์โซเวียต
อี.เอ็น.บูร์ดาลอฟ
กล่าวยืนยันว่ากรรมกรหนุ่มสาว
“ได้เสนอตัวในที่ประชุมขอเป็นแถวหน้าของขบวน
หากเกิดการประทะกับตำรวจ,และ...ในการปฏิวัติทำหน้าที่เป็นหน่วยสืบเสาะหาตำแหน่งที่ตั้งของหน่วย
ตำรวจ ทหารเพื่อแจ้งให้แก่กรรมกรรุนอาวุโสได้รับรู้ล่วงหน้า ฯลฯ “
วันที่ 24 กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า) กรรมกรกว่า 200,000
คนซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของชนชั้นกรรมกรในเปโตรกราดเข้าร่วมการหยุดงาน
กลุ่มโรงงานต่างๆได้รวมตัวกันเดินขบวนประท้วง มวลชนกรรมกรได้สลัดหลุดพ้นจากความกลัวเก่าๆ ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับผู้ที่สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่พวกเขา การปฏิวัติเริ่มขึ้นแล้ว...!!!! มันได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง , การเคลื่อนไหวต่อสู้ได้พัฒนาขึ้นจากครั้งก่อนด้วยพลวัตรของมันเอง
การประท้วงร่วมกับการนัดหยุดงานได้แพร่ขยายลุกลามออกไปอย่างรวดเร็วประดุจไฟป่าจากเขตวีบอร์กไปยังเขตที่ตั้งของอุตสาหกรรมอื่นๆ
ฝูงชนในขบวนโบกมือเมื่อเดินผ่านหน่วยตำรวจ-ทหารเพื่อมุ่งไปยังใจกลางเมือง
แม้ว่าจะต้องเดินผ่านพื้นน้ำแข็งของแม่น้ำเนวาพร้อมกับเสียงตระโกน “ขนมปัง”
และ “พวกอำมาตย์จงพินาจ”
การประชุมของวันที่ 23 กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า) มีมติให้ทำการต่อต้านสงคราม ค่าครองชีพสูง
และสถานการณ์ทำงานที่เลวของกรรมกรหญิง
การต่อสู้ในรอบนี้ได้พัฒนาไปสู่กระแสหยุดงานครั้งใหม่ที่สตรีเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างสูง พวกเธอเดินไปตามโรงงานต่างๆ,เรียกร้องชักชวนให้กรรมกรออกมาร่วมต่อสู้ เป็นผลให้เกิดการประท้วงของมวลชนตามท้องถนน ธงทิว
ใบปลิว และประกาศ เต็มไปด้วยคำขวัญของการปฏิวัติเช่น “สงครามจงพินาศ” “ความหิวโหยจงพินาศ” “การปฏิวัติจงเจริญ” นักพูดตามท้องถนน
และนักปลุกระดมปรากฏขึ้นทุกหนทุกแห่ง
ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกบอลเชวิคและกรรมกรพื้นฐานทั้งหญิงและชายผู้ซึ่งเคยถูกบังคับให้สงบเสงี่ยมเจียมตัว
บัดนี้พวกเขาต่างค้นพบแล้วว่า..พวกเขามีปากที่จะพูด มีสมองไว้คิดตามที่ใจปรารถนา
เช้าวันนั้น ฟียอร์ด
ฟีโดโรวิช อิลยิน (ราสโคลนิคอฟ) อดีตกะลาสีเรือวัย 25 ปี มองออกนอกหน้าต่างพลางคิด ” วันนี้เป็นวันของผู้หญิงจริงๆ ตามถนนต้องมีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่”
บางสิ่งเกิดขึ้นจริงๆ กรรมกร 128,000
คนพร้อมกันหยุดงานทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยความโกลาหล เหมือนกับประตูถูกเปิดออก ”วันของสตรี”
กลายเป็นวันแรกในการกำหนดชะตาของการปฏิวัติ
กรรมกรหญิงล้วนถูกปลุกขึ้นจากความสิ้นหวังในชีวิตด้วยการเป็นเหยื่อของความหิวโหยเป็นคนกลุ่มแรกๆที่ก้าวออกสู่ถนนเพื่อเรียก
ร้อง “ขนมปัง อิสรภาพ และสันติภาพ”
“ในวันนั้น
เมื่อเราติดอยู่ในเขตที่เราอยู่อาศัย
เมื่อมองจากหน้าต่างออกไปก็เห็นภาพที่ไม่ปกติ รถรางหยุดวิ่ง นั้นหมายความว่าเกิดสิ่งผิดบนท้องถนนซึ่งมีแต่ความว่างเปล่าและเงียบสงัด ที่มุมของโรงละครบอลชอยและถนน กาวานสกายา
กรรมกรหญิงกำลังรวมตัวกัน
ตำรวจม้าพยายามสลายพวกเธอด้วยความรุนแรง, ดันและผลักให้แตกกระจายด้วยจมูกม้าและตีกระหน่ำพวกเธอด้วยด้านแบนของดาบ เมื่อทหารราชองครักษ์ของพระเจ้าซาร์ขี่ม้าอ้อมขึ้นบนทางเท้า
ฝูงชนก็แตกฮือไปชั่วขณะและพากันก่นด่าสาปแช่งอย่างสุดจะอดกลั้น
ทันทีที่ตำรวจม้าหันกลับไปบนถนนฝูงชนก็กลับมารวมตัวกันอีกอย่างเป็นหนึ่งเดียว ในบางกลุ่มพอจะเห็นพวกผู้ชายบ้าง
แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเหล่ากรรมกรหญิงและบรรดาภรรยาของกรรมกร”
วันที่ 25 กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า)
ผู้นำกรรมกร 30-35
คนได้พบปะกันที่สำนักงานสหบาลสหกรณ์กรรมกรแห่งเปโตรกราดเพื่อก่อตั้งโซเวียต(สภา)
ถึงแม้ว่ากว่าครึ่งจะถูกจับไปในเย็นวันเดียวกันนั้น สองวันต่อมาเมื่อกระแสเปลี่ยน, พวกเขาก็ได้ประกาศแถลงการณ์ของคณะกรรมการชั่วคราวของโซเวียตแห่งเปโตรกราด เอ็น. เอส. ชไคซเซ
ผู้แทนของเมนเชวิคในสภาดูมาได้รับเลือกเป็นประธาน, แม้ว่าเขาจะไม่
ได้เป็นตัวแทนของโรงงานใด
แต่เสียงส่วนใหญ่ 150 เสียงในการประชุมโซเวียตที่เลือกเขาให้ดำรงตำ
แหน่งยังเป็นเรื่องที่น่าคลางแคลงใจและไม่มีหลักฐานใดๆ ได้มีการกำหนดจุดมุ่งหมายไว้ในฐานะที่
คล้ายคลึงกับ ”องค์กรพลังของประชาชน
ที่ต่อสู้เพื่อความมั่นคงในเสรีภาพทางการเมืองและรัฐบาลที่ชอบธรรม” ในเย็นวันเดียวกันนั้น ซาร์นิโคลัส จำต้องออกคำสั่งถึงนายพล
คาบาลอฟ ผู้บัญชาการทหารรักษานครหลวงเปโตรกราดให้
“ยุติความวุ่นวายในนครหลวงภายในวันพรุ่งนี้”
ในเวลาบ่ายต่อมากองทหารเริ่มเปิดฉากยิง
ตำรวจรายงานว่า “หากจะให้ฝูงชนสลายตัวมีแต่บรรจุกระสุนแล้วยิงเข้าใส่หัวใจของฝูงชนเท่านั้นที่พอจะเป็นไปได้ เพราะส่วนใหญ่กระจายไปทั่วโดยหลบไปอยู่ตามลานบ้าน ใกล้เคียง
เมื่อหยุดยิงก็จะกลับมาบนพื้นถนนอีก”
เมื่อประชาชนไม่กลัวความตายแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้
กระนั้นก็ดีฝ่ายนำของบอลเชวิคในเปโตรกราดก็ไม่ได้เข้าใจถึงธรรมชาติของสถานการณ์ วี. คายูรอฟ สมาชิก
ในคณะกรรมการบอลเชวิคในวีบอร์กสรุปว่า “สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะชัดเจนก็คือ
: การลุกขึ้นสู้ได้จบลงแล้ว”ที่จริงแล้วมันพึ่งจะเริ่มต้น เท่านั้น
ภายในไม่กี่วันจากวันที่ 25 - 27(ปฏิทินเก่า)
เปโตรกราดยังอยู่ในภาวะหยุดงานทั่วไป
ซึ่งทำให้เกิดสุญญกาศทางอำนาจ
ซึ่งตัวมันเองก็ไม่สามารถแก้ไขได้,ปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวสถานการณ์เอง
จึงมีคำถามว่า ใครเป็นคนปกครอง? ใครเป็นนายของบ้าน? สุดท้ายก็คือต้องตัดสินกันด้วยกำลังซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
กลุ่มชนชั้นปกครองเริ่มฟื้นจากความชงักงันในเบื้องต้นเริ่มและมีการเคลื่อนไหว พระเจ้าซาร์ได้ออกคำสั่งด้วยตัวเองว่า :”ข้าพเจ้าขอสั่งการให้ท่านทั้งหลายจงขจัดความวุ่นวายในนครหลวงให้จบลงภายในวันพรุ่งนี้โดยไม่อาจล้มเหลวได้”
ทหารและตำรวจต่างรับคำสั่งจากพระเจ้าซาร์โดยตรงให้ยิงผู้ประท้วง วันที่ 26
กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า) การยิงเริ่มต้นขึ้น,ทหารส่วนใหญ่ยิงขึ้นฟ้าแต่พวกตำรวจซึ่งค่อนข้างจะมีความคิดล้าหลังและปฏิกิริยาได้ยิงเข้าใส่ฝูงชน
หลายคนบาดเจ็บล้มตาย
นี่คือจุดเปลี่ยนทางด้านจิตสำนึกที่สำคัญของบรรดาทหาร วันนั้นเองกรมทหารปาฟ-ลอฟสค์ ที่ถูกสั่งให้ยิงประชาชนได้หันปากกระบอกเข้าปืนใส่ตำรวจ ในเอกสาร, กลุ่มผู้กุมอำนาจมีกำลังเพียงพอที่จะจัดการ
แต่ในความเป็นจริงกองกำลังเหล่านี้ได้สลายตัวลงเกือบหมดแล้ว
ในภาวะที่ล่อแหลมเช่นนี้การขอกำลังเสริมกลับไร้คำตอบ ทรอตสกีได้สำเนาคำถาม-ตอบ
ที่นายพลอิวานนอฟส่งถึงนายพล คาบาลอฟ ดังนี้
คำถามของอิวานนอฟ : คุณมีกำลังที่ยังสั่งการได้กี่หน่วย และ
มีหน่วยไหนบ้างที่ แปรพักตร์ ?
คำตอบของคาบาลอฟ :
ผมยังควบคุมกำลังรักษากองบัญชาการ 4 กองร้อย
ทหารม้า 5 กองร้อยและกองร้อยทหารคอสแซค
หน่วยปืนใหญ่อีกสองกองร้อย
กำลังที่เหลือนอกนั้นไปเข้ากับพวกปฏิวัติหรือ ไม่ก็วางตัวเป็นกลาง พวกทหารต่างแตกแถวเดินเพ่นพ่านไปทั่วเมืองและทิ้งอาวุธประจำกาย
ถาม:
สถานี(รถไฟ)ไหนบ้างที่มืทหารคุ้มกัน?
ตอบ:
ทั้งหมดตกอยู่ในมือของพวกปฏิวัติ
และถูกคุ้มกันอย่างหนาแน่น
ถาม:
มีเขตไหนบ้างที่ยังปฏิบัติตามคำสั่งอยู่?
ตอบ:
ทั้งเมืองตกอยู่ในมือพวกปฏิวัติหมดแล้ว
โทรศัพท์ใช้การไม่ได้ทุกเขตขาดการติดต่อ
ถาม : มีเจ้าหน้าที่ดูแลในเขตอื่นๆหรือเปล่า?
ตอบ : ผมไม่สามารถตอบได้
ถาม :
คณะรัฐมนตรียังปฏิบัติหน้าที่อยู่หรือไม่?
ตอบ : คณะรัฐมนตรีถูกพวกปฏิวัติจับตัวไปหมดแล้ว
ถาม :
ตอนนี้กำลังตำรวจยังอยู่ในความควบคุมของคุณหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่มีเลย
ถาม : หน่วยงานด้านเทคนิคทหารของกระทรวงกลาโหมและหน่วยส่งกำลังบำรุงหน่วยใดบ้างที่คุณมีอยู่
?
ตอบ : ผมไม่มีเลย
ถาม :
คณมีเสบียงสำรองจำนวนเท่าไหร่ ?
ตอบ :
หน่วยที่ผมรับผิดชอบไม่มีการจัดสำรองไว้เลย เมื่อวันที่ 5
กุมภาพันธ์ในเมืองมีแป้งสาลีสำรองอยู่ 5,600,000 ปอนด์
ถาม : คุณมีอาวุธเท่าไหร่
ปืนใหญ่และคลังแสงถูกพวกกบฏยึดไปกี่มากน้อย ?
ตอบ : ปืนใหญ่และที่ตั้งถูกพวกปฏิวัติยึดไปหมดแล้ว?
ถาม : ยังมีหน่วยใดที่คุณยังพอควบคุมไว้ได้บ้าง?
ตอบ : ผมยังกุมกองบัญชาการในเขตของผมได้อยู่
แต่ในเขตอื่นนั้นขาดการติดต่อ
ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องระหว่างทหารและผู้หยุดงานประท้วงแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง
กรรมกรไปยังค่ายทหารเพื่อขอเครื่องแบบให้แก่บรรดาพี่น้องกรรมกร ที่กองบัญชาการของบอลเชวิคมีการอภิปราย
โต้เถียงกันอย่างต่อเนื่องเผ็ดร้อนเกี่ยวกับการกำหนดยุทธวิธี, ในสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่วันต่อวันหากเป็นชั่วโมงต่อชั่วโมง
ชลียาปนิคอฟไม่เห็นด้วยกับการแบ่งกำลังออกเป็นหน่วยย่อย, ให้ความสำคัญอยู่ที่การรวมกำลังทั้งหมด ชูการินและคนอื่นๆว่ามีความเห็นว่า
ทั้งสองประเด็นต่างมีความจำเป็นพอๆกัน..และความเห็นในเรื่องอื่นๆ
สถานการณ์ได้ดำเนินล้ำหน้าไปเร็วกว่าที่ฝ่ายนำพรรคบอลเชวิคในเปโตรกราดที่ถกเถียงกันมาก ด้วยจำนวนคนและความกล้าหาญ
มวลชนกรรมกรยึดเมืองได้สำเร็จ ทั้งๆที่ขาดแคลนอาวุธและไม่มีทักษะทางการทหารเลย หลังวันที่ 27 กุมภาพันธ์
พื้นที่ส่วนใหญ่ในนครหลวงต่างตกอยู่ในการยึดครองของกรรมกรและทหารรวมทั้ง สะพาน
ค่ายทหาร สถานีรถไฟ
โทรเลขและสำนักงานไปรษณีย์
ในยามนั้นกองกำลังที่ทรงประสิทธิภาพที่กลุ่มปกครองมีอยู่ได้มลายหายไปในอากาศธาตุ คืนวันที่ 28 คาบาลอฟ
ได้หลบหนีไปโดยไม่มีกองกำลังติดตาม... เป็นนายพลผู้ไร้กองทัพ คณะรัฐมนตรีชุดสุดท้ายของรัฐบาลพระเจ้าซาร์ถูกนำไปยังป้อมปีเตอร์และปอลในฐานะนัก
โทษของคณะปฏิวัติ!! จากประสบการณ์ในปี 1905
กรรมกรได้ก่อตั้งโซเวียตขึ้นมาดำเนินการบริหารจัดการสังคม บัดนี้อำนาจเป็นของชนชั้นกรรมกรและทหาร
สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือการโค่นล้มระบอบซาร์ได้บรรลุผลลงไปอย่างสมบูรณ์แล้วโดยชนชั้นกรรมาชีพที่ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาชาวนาในชนบท
จริงๆแล้วการปฏิวัติประสบความสำเร็จแค่เพียงในเปโตรกราดเพียงเมืองเดียวที่มีจำนวนพลเมืองเพียง1 ใน 75
ส่วนของพลเมืองทั้งหมดในรัสเซียเท่านั้น
และที่นี่.. วิธีที่โดดเด่นก็คือการนัดหยุดงาน, เราจะเห็นได้ว่าน้ำหนักในการชี้ขาดอยู่ที่กรรมกรมากกว่าชาวนาในชนบท
การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์นั้นค่อนข้างจะเป็นไปโดยสันติเพราะไม่ได้มีการตระเตรียมกองกำลังใดๆไว้พิทักษ์ป้องกันกลุ่มอำนาจเก่า เมื่อชนชั้นกรรมาชีพเริ่มเคลื่อนไหวก็ไม่อาจมีสิ่งใดมายับยั้งได้
ทรอตสกีได้เขียนถึงความสัมพันธ์ในการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ว่า
“ไม่เกินความจริงหากจะกล่าวว่าเปโตรกราดได้รับความสำเร็จในการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์
และเป็นที่ยอมรับในส่วนต่างๆที่เหลืออยู่ในประเทศ ไม่ว่าในที่ใดๆต่างไม่เห็นกลุ่มชน พรรคการเมือง
สถาบัน กองทหาร ที่พร้อมจะต่อสู้เพื่อกลุ่มปกครองเดิม
อย่างที่พวกปฏิกิริยาได้กล่าวกันในภายหลังว่านั่น
เป็นผลจากการไม่มีกองทหารม้ารักษาความปลอดภัยในพระนครประจำค่ายทหารเมืองปีเตอร์สเบิร์ก..
หรือไม่ก็ ..ถ้าอิวานนอฟเรียกกองพลน้อยมาจากแนวหน้าสักกองหนึ่ง,ชตากรรมของราชวงศ์คงต่างไปจากนี้ แต่ไม่ว่าจะแนวหน้าหรือแนวหลังหลัง,กองพลน้อยหรือกองพลทั้งหลายต่างก็พร้อมที่จะทำสงครามเพื่อปกป้องนิโคลัสที่สองอยู่แล้ว”
บัดนี้กรรกรได้อำนาจแล้ว, แต่เลนินได้อธิบายในภายหลังว่า, “มันยังไม่พอเพียงทั้งทางการจัดตั้งและจิตสำนึกที่จะนำการปฏิวัติให้ก้าวไปได้ตลอดรอดฝั่ง
นี่เป็นปัญหาใจกลางที่ไม่ปกติในการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์
แม้ชนชั้นที่นำการปฏิวัตินั้นจะไม่ใช่ชนชั้นอื่นนอกจากชนชั้นกรรมกรซึ่งมีชาวนาในชนบทที่สวมเสื้อคลุมสีเทาของทหารหนุนช่วยอยู่ มันเป็นการปฏิวัติของนายทุนหรืออย่างไร? แน่นอน...นโยบายเนื้อหาของการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์นั้นเป็นเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน นายทุนมีบทบาทอะไร? บทบาทในการเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติที่ต่อต้านนักการเมืองเสรีนิยม เหมือนกับบรรดาข้าราชการที่ไร้ปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
ซึ่งเป็นไปได้ที่จะรีบกระโดดเข้าไปหาผลประโยชน์ในกองเลือดของการปฏิวัติ พวกเขารีบตั้ง ”รัฐบาลเฉพาะกาล”
เพื่อพยายามควบคุมการเคลื่อนไหวปฏิวัติและทำให้มันหยุดชงักลง
รัฐบาลเฉพาะกาลได้ตั้งคณะกรรมการชั่วคราวของสภาดูมาและเรียกโดยรวมว่า “คณะ
กรรมการเพื่อสร้างระเบียบและความสัมพันธ์กับสถาบันสาธารณะและบุคคลสำคัญ” ที่นำโดย มิคาอิล รอดเซียนโก
อดีตประธานสภาดูมาผู้ที่ยอมรับว่าได้เฝ้ามองการสละราชสม บัติของพระเจ้าซาร์ด้วยความ
”เศร้าหมองสุดที่จะบรรยาย”
ส่วนคนที่มีความโดดเด่นและเป็นสมาชิกฝ่ายก้าวหน้าอย่าง ชูลกิน ก็มีความปรารถนที่จะจัดการฝูงชนด้วยปืนกล ซึ่งบังเอิญพลั้งปากไปกล่าวถึงเหตุ
ผลที่แท้จริงของรัฐบาลชั่วคราวว่า ”ถ้าเราไม่ใช้อำนาจ คนอื่นก็จะใช้กับเรา
ไอ้พวกชั้นต่ำทั้งหลายพวกมันก็พร้อมที่จะเลือกไอ้พวกสารเลวในโรงงานอยู่แล้ว”
ไอ้พวก”สารเลวในโรงงาน” นั้นล้วนเป็นสมาชิกของสภาโซเวียตกรรมกร
ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันคณะกรรมการส่วนใหญ่มีพื้นฐานการต่อสู้มาอย่างยาวนาน,ได้รับเลือกตั้งมาจากสถานประกอบการอย่างเป็นประชาธิปไตย,
กรรมกรเหล่านี้ได้เคลื่อนไหวมานานตั้งแต่ปี
1906 บนเส้นทางการปฏิวัติ,พวกเขาได้รื้อฟื้นวิธีการในอดีตมาใช้อีกนั่นคือการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารในทุกๆโรงงาน
ในความเป็นจริงพวกเขาได้อำนาจมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว ปัญหาก็คือการไม่มีพรรคและขาดแคลนผู้นำการปฏิวัติ
ผู้นำฝ่ายปฏิรูปมีความเห็นว่าพวกตนได้เข้าร่วมเป็นกองหน้าตั้งแต่การปฏิวัติเริ่มต้นขึ้น,เป็นกลุ่มที่มีความ
สำคัญซึ่งอยู่ในคณะกรรมการบริหารของสภาโซเวียตกรรมกร
และพวกเขาก็ไม่มีความคิดที่จะยึดกุมอำนาจไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จ ซ้ำยังกลับทำตัวให้ตกต่ำลงโดยรีบเร่งคืนอำนาจให้แก่ชนชั้นนายทุน หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่มีบทบาทอะไรในการปฏิวัติซ้ำยังกลัวการปฏิวัติเสียด้วยซ้ำไป
ส่วนพวกเสรีนิยมก็ไม่มีฐานมวลชนสนับสนุน
เหตุผลเพียงประการเดียวของรัฐบาลชั่วคราวที่จะอยู่รอดได้คือต้องได้รับการสนับสนุนจากพรรคเมนเชวิคและพรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติ ตัวแทนของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่รู้ดีว่าพวกเขามีความโน้มเอียงที่จะแสวงหาการสนับสนุนจากบรรดาผู้นำโซเวียต
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่จะต้องทำก่อนสิ่งอื่นใด การเคลื่อนไหวเริ่มลดลง ,และพวกเขา(นักปฏิรูป)พยายามกล่าวหาให้ร้ายเพื่อทำลายนักสังคมนิยม ซึ่งในเวลานั้นจำต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นยักษ์มารเพื่อให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัวในสิ่งที่พวกเขาจะต้องสูญเสียไป
ดังนั้นพวกเขาจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนความเดือดดาลเอาไว้ก่อนและเริ่มทำในสิ่งที่เห็นว่าจำเป็น ผู้นำนักปฏิรูปทั้งหลายเร่งจัดการพบปะกันที่พระราชวังเทาริดาร่วมกับสมาชิกคณะกรรมการกลางของกลุ่มแรงงานอุตสาหกรรมสงคราม,
ผู้แทนของเมนเชวิคในสภาดูมา
พวกนักหนังสือพิมพ์ที่คัดสรรแล้วและปัญญาชนในค่ายเมนเชวิค
พวกเมนเชวิคไม่รีรอที่จะเสนอจุดยืนทัศนะในการสามัคคีทุกชนชั้น
ซึ่งเป็นความมุ่งหมายเพียงเรื่องเดียวที่แสดงออกถึงตรรกทั้งหมดของพวกเขาที่วิวัฒนาการมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้
พวกเขาได้ออกแถลงการณ์ซึ่งที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม
เรียกร้องต่อรัฐบาลชั่วคราว “
เตรียมเงื่อนไขสำหรับองค์กรใหม่ของรัสเซียที่เสรี" กรรมกรได้หลั่งเลือดเพื่อแลกมาซึ่งชัยชนะ,ในขณะที่บรรดานายทุนได้แต่คอยเฝ้ามองดูความสยดสยองอยู่ด้านข้าง
ยังคงเป็นเช่นเดิม...พวกเมนเชวิค—ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของ”ไอ้พวกสารเลวในโรงงาน”
ยังปรารถนาที่จะมอบคืนอำนาจให้แก่นายทุน!!!
บรรดากรรมกรและทหารต่างไม่เคยไว้วางใจพวกนายทุน แต่เชื่อมั่นในผู้นำของพวกเขาโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งผู้นำที่หัวรุนแรงและมีภาพพจน์”ซ้าย” อย่าง เคเรนสกี
นักกฎหมายชนชั้นกลางที่ประสบความความสำเร็จในอาชีพที่มีคารมคมคาย,เป็นนักแสดงละครหลอกลวงทางการเมือง
และไม่ได้มีส่วนร่วม กับมวลชน ที่กำลังสับสนและตื่นตระหนกเลย เคเรนสกี
ได้รับการยอมรับจากโซเวียตให้เข้าร่วมในรัฐบาลชั่วคราว
นี่เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่งในเหตุการณ์ปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์
คือเป็นการก้าวเข้าสู่อำนาจของหมู่คนที่ไม่ได้มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังกลัวการปฏิวัติประ
ดุจปีศาจกลัวน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์อย่างพรรคคาเด็ทและพรรคอ๊อคโทบริสต์ (Octobrist)
ที่เป็นพันธมิตรกันในสภาดูมา
วันที่ 2 มีนาคม (ปฏิทินเก่า), รัฐบาลชั่วคราวได้ก่อตั้งขึ้น ประกอบด้วยเจ้าที่ดินใหญ่และนายทุนอุตสา
หกรรม เจ้าชาย ลวอฟ
ดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล(นายกรัฐมนตรี)
มิลยูคอฟ หัวหน้าพรรคคาเด็ทดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เทเรเชนโก
ผู้ประกอบธุรกิจโรงงานน้ำตาลและเจ้าที่ดินใหญ่ผู้มั่งคั่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่วนกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ตกเป็นของ
โคโนวาลอฟ เจ้าของกิจกรรมสิ่งทอ
กุชคอฟ
สมาชิกพรรคอ๊อคโทบริสต์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีการสงครามและนาวี กระทรวงเกษตรเป็นของ ชิกาเรฟ
แห่งพรรคคาเด็ท
โซเวียตกรรมกรได้มอบรัฐบาลรัสเซียให้แก่แก๊งปฏิกิริยาผู้ฉ้อฉล
ผู้นำชนชั้นนายทุนน้อยของโซเวียตไม่ได้มีความเชื่อมั่น
มวลชนในการนำการปฏิวัติ
แต่กลับไปให้ความไว้วางใจอย่างแน่นแฟ้นแก่ชนชั้นนายทุนว่ามีความเหมาะสมในการบริหารประเทศ, พวกเขามีความวิตกกังวลว่าควรส่งมอบอำนาจที่ยึดมาได้โดยกรรมกรและทหารให้แก่
”ผู้รู้” ในเรื่องการเงินเสียแต่เริ่มแรก
กลุ่มเมนเชวิคและพรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติพยายามรณณรงค์เพื่อให้มวลชนเชื่อว่า การปกครองโดยไม่มีชนชั้นนายทุนเข้าร่วมจะเป็นการ”ทำลาย”การปฏิวัติของประชาชน
(หนังสือพิมพ์ อีสเวสติยา/ Izvestiya 2/3/1917) พวกเขาตั้งข้อสังเกตอย่างหนักแน่นต่อเนื้อหาที่ว่าชนชั้นกรรมกรนั้นอ่อนแอเกินไปที่จะนำพาการปฏิวัติให้ลุล่วงไปได้ตลอดรอดฝั่งและจะต้องไม่ปิดกั้นตนเอง โปเตรซอฟ*
กำหนดบทบาทของเมนเชวิคต่ำเกินไปเมื่อเขากล่าวว่า
”ขั้นตอนนี้เป็นการปฏิวัติของชนชั้นนายทุน ซึ่งเป็นชนชั้นที่มีความพร้อมที่สุดทั้งในด้านสังคมและจิตวิทยาในการแก้ปัญหาของชาติ” วันที่ 7
มีนาคม(ปฏิทินเก่า) หนัง สือพิมพ์
ราโบชายา เกเซทตา ขององค์กรเมนเชวิคเปโตรกราดเขียนว่า “สมาชิกของรัฐบาลชั่วคราว!!
ชนชั้นกรรมาชีพและกองทัพรอคอยคำสั่งของท่าน
ในจะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่การปฏิวัติและสร้างประชา -ธิปไตยในรัสเซีย”!!!!!
ไม่ว่าอย่างไร, ความคิดเช่นนี้ก็ยังห่างไกลอย่างสุดกู่จากจิตสำนึกของผู้นำชนชั้นนายทุนในรัฐบาลชั่วคราวสัญชาตญาณเบื้องต้นของพวกเขา(นายทุน)ที่เราเห็นได้ก็คือการอาศัยการปราบปรามซึ่งยังเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้
เพราะพวกเขาถูกบีบให้ต้องหลบเลี่ยงไปมาเพื่อคอยเวลา ดังนั้นพวกเขาจึง”ยอมให้”เฉพาะสิ่งที่มวลชนและทหารได้ต่อสู้เอาชนะมาแล้วเท่านั้น สิ่งเดียวที่พวกเสรีนิยมมีความมุ่งมั่นก็คือยับยั้งการปฏิวัติโดยฉวยโอกาสปรับแต่ง(นโยบาย)จากข้างบนเพื่อจะรักษากลุ่มอำนาจเก่าเอาไว้เท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งกลุ่มอำนาจเก่านั้นได้ถูกทุบทำลายอย่างรุนแรง,บอบช้ำและสั่นคลอน,นายธนาคารและนายทุน,
อำมาตย์ใหญ่,ชนชั้นขุนนาง,
สภาดูมาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันกษัตริย์
การปฏิวัติทำให้บรรดานายทุนเสรีนิยมต่างหวาดกลัว
ซึ่งมันยังตราตรึงอยู่กับความหายนะของสถาบันกษัตริย์ในฐานะที่มันเป็นป้อมปราการอันมั่นคงของทรัพย์สินและฐานันดร การจะรักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้ รัฐบาลชั่วคราวจะต้องเปลี่ยนเอาพระโอรสซึ่งเป็นรัชทายาทขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทนพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่2
โดยให้อยู่ภายใต้ผู้สำเร็จราชการเจ้าชาย มิคาอิล พระอนุชา
หวังให้หนึ่งในตระกูลโรมานอฟขึ้นมาเป็นตัวแทนของราชวงศ์ มันเป็นความผิดพลาดของละครตลกที่แสนจะวิปลาส,
กรรมกรผู้ซึ่งใช้เลือดของตนโค่นราชวงศ์โรมานอฟ ได้มอบอำนาจให้แก่บรรดาผู้นำของพวกเขา, ผู้ซึ่งตอนนี้กลับมอบอำนาจให้แก่พวกนายทุนเสรีนิยมเพื่อจะนำราชวงศ์โรมานอฟกลับคืนมาอีก!!
แต่ก็ยังไม่สูญเปล่าเสียทั้งหมด เมื่อกรรมกรและทหาร,โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเคลื่อนไหวผู้ที่มีความวิตกกังวลและไม่เชื่อถือพฤติกรรมของนักการเมืองชนชั้นนายทุนในรัฐบาลชั่วคราว
แต่พวกเขายังมีความเชื่อมั่นต่อผู้นำที่เป็นชาวเมนเชวิคและพรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติซึ่งมีความเป็นนักสังคมนิยม”ผู้เป็นกลาง”
ที่ส่วนมากดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารโซเวียต, ซึ่งเคยพูดกับพวกเขาอย่างสม่ำเสมอว่าเราต้องมีความอดทน, ภาระหน้าที่แรกสุดก็คือการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยให้มั่นคง
และเตรียมการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญและ.....ฯลฯ มวลชนต่างเชื่อและรับพิจารณาและ “เฝ้ารอคอย” ว่าพวกผู้นำรู้ดีว่าควรทำอย่างไร? กระทั่งความไม่เชื่อมั่นและวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้นทุกวี่วันที่ล่วงเลยไป
กำลังของบอลเชวิคในเดือนกุมภาพันธ์
พรรคบอลเชวิคได้สูญเสียกำลังพื้นฐานไปเป็นจำนวนมากในปี 1904
และยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อต้องเผชิญกับการปราบปรามกวาดล้างในครั้งสุดท้ายเมื่อเร็วๆนี้ หนังสือพิมพ์ “อิสตอริยา” รายงานความเข้มแข็งของพรรคโดยประมาณการจากจำนวนสมาชิกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ไว้ดังนี้
ในเปโตรกราด ประมาณ 2,000 คน
มอสโคว์ ประมาณ 600 คน
อูราล 500
เยคัธริโนสลาฟ 400
นิซซี-นอฟกอรอด 300
รอสตอฟ 170
ทเวอร์ ประมาณ 120
– 150
อิวานโนโว-โวสเนสต์เซ็งค์ ประมาณ 150 -200
คาร์คอฟ 200
ซามารา 150
เคียฟ 200
มาเคเยฟสค์ ประมาณ 180
-200
หากละเว้นไม่กล่าวถึงประเทศขนาดมหึมาที่มีพลเมืองถึง 150 ล้านคนแล้ว
จะเห็นว่าในการเริ่มต้นการปฏิวัติ, พรรคประกอบด้วยสมาชิกเพียงเล็กน้อย
ต่อเรื่องนี้เราจำต้องกล่าวถึงองค์ประกอบอื่นๆด้วย
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าระดับคุณภาพของฝ่ายนำบอลเชวิคนั้นมีแนวโน้มที่เหนือกว่าฝ่ายอื่น,ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยชนชั้นกรรมกรที่ได้รับการบ่มเพาะมาเป็นอย่างดีและมีระดับวินัยที่เหนือกว่าสมาชิกพรรคเมนเชวิคและพรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติ
สัดส่วนที่แตกต่างกันอย่างมากมายนั้นคือสิ่งที่เราเรียกว่า ”ผู้นำโดยธรรม
ชาติ” ในหน่วยงานของพวกเขา
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีจิตสำนึกทางชนชั้นและมีจิตใจสู้รบ,จึงสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ร่วมงานได้แต่ละคนมีการติดต่อสัมพันธ์กับกรรมกรเป็นจำนวนมา
นอกจากนั้นพวกเขายังเป็นรากฐานของบอลเชวิคมาตั้งแต่ 1912–1914
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองศูนย์กลางอุตสาห - กรรม พูดถึงการจัดตั้ง,เมนเชวิคและพรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติยังอยู่ในขั้นตอนที่แย่มาก
โดยพื้นฐานแล้วพรรคบอลเชวิคมีความเหนือกว่าอยู่ค่อนข้างมาก ซูกานอฟ
ซึ่งภายหลังไปเช้าร่วมกับเมนเชวิคกล่าวถึงพวกเขา(บอลเชวิค)ว่าเป็นด้านหลักของกรรมกรในเปโตรกราดเมื่อเหตุการณ์เดือนกุมภาพันธ์ ต่อ
เรื่องนี้ต้องให้น้ำหนักด้านคุณภาพแก่ฝ่ายนำบอลเชวิคในเปโตรกราด
การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์นั้นฝ่ายนำของบอลเชวิคได้แก่ ชลียาปนิคอฟ
ซูลุทสกี และนักศึกษาหนุ่มโมโลตอฟ
ในบทแรกของหนังสือประวัติศาสตร์การปฏิวัติ
ได้ให้ข้อมูลจากการสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดของซูคานอฟชาวเมนเชวิคปีกซ้ายผู้เคยเข้าร่วมการประชุมกล่าวถึงฝ่ายนำของบอลเชวิคในเปโตรกราดว่า ”มีแต่ความเงอะงะ
ลังเลและไม่รู้จะทำอย่างไร”
หรือที่ถูกคือไม่มีความสามารถที่จะคิดได้อย่างถูกต้องต่อปัญหาเฉพาะหน้าทางการเมืองส่งผลให้เราพลอยรู้สึกห่อเหี่ยวใจไปด้วย ซูคานอฟ ประเมิน ชลียาปนิคอฟ
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้นำ ”พรรคของผู้รักชาติ”
ที่พร้อมจะประเมินการปฏิวัติบนจุดยืนในความสำ
เร็จของพรรคบอลเชวิคในเรื่องของผู้ปฏิบัติงานที่มีประสบการณ์, เป็นนักจัดตั้งที่มีความยืดหยุ่นพลิกแพลง
และเป็นสมาชิกระดับผู้ปฏิบัติงานที่เป็นนักเคลื่อนไหวแบบมืออาชีพ แต่ไม่ใช่นักการเมืองที่สามารถเกาะกุมสาระสำคัญของสถานการณ์ทั่วไปได้
ถ้าในเวลานั้น.หากจะมีการเสนอความคิดอื่นใดในทางการเมือง
ก็คงจะเป็นเพียงรูปแบบของการตัดสินใจแบบพรรคการเมืองยุคเก่า
ซึ่งในขณะนั้นบรรดาผู้นำที่รับผิดชอบต่อองค์กรแรงงานเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด มีทั้งอิสระทางความคิดหรือไม่ก็มีความสามารถดำเนินงานอย่างมีเนื้อหาสาระและเป็นรูปธรรม
ไม่เป็นที่สงสัยเลยที่สมาชิกเมนเชวิคอย่างซูคานอฟจะประเมินคุณภาพของ
ชลียาปนิคอฟ ต่ำเกินไปและมีลักษณะด้านเดียว
แต่ว่าอย่างน้อยก็เป็นการเขียนที่ค่อนข้างจะเป็นความจริงอยู่บ้างที่สรุปจากลักษณะ
เฉพาะในด้านจิตใจของ ”กรรมการ” ชาวบอลเชวิค
เหมือนอย่างในปี 1905
ที่ได้สูญเสียความมั่นใจไปอย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใหม่ๆและการเคลื่อนไหวที่ล้าหลังมวลชน
จนกระทั่งเลนินได้ทำการติดอาวุธทางความคิดให้พรรคด้วยมุมมองใหม่ของการปฏิวัติ ความจริงเรื่องนี้ได้รับการปก
ปิดจากงานเขียนประวัติศาสตร์ของสหภาพโซเวียต
ตัวอย่างเช่น:พวกเขาอ้างว่าพรรคได้ออกแผ่นปลิว ในวันที่ 26
กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า)
แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการตรวจสอบปรากฏว่าคณะกรรมการแห่งเปโตรกราดได้พิมพ์แผ่นปลิวครั้งแรกในวันที่
27 กุมภาพันธ์
ซึ่งในเวลานั้นเมืองเปโตรกราดถูกยึดเรียบร้อยแล้วจากการนัดหยุดงานทั่วไป
และการกบฎได้แพร่กระจายไปตามกองทัพและฐานทัพเรือ ซึ่งเป็นการตัดสินชะตาของกลุ่มปกครอง
กล่าวได้ว่าฝ่ายนำของบอลเชวิคในเปโตรกราดไม่ได้นำการเคลื่อนไหวอะไรเลยได้แต่ติดตามการเคลื่อน
ไหว
พรรคแทบจะไม่มีบทบาทอะไรในเหตุการณ์เดือนกุมภาพันธ์
ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตถูกเขียนขึ้นภายใต้อำนาจของครุสชอฟ เช้าวันที่ 25
กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า) ที่สำนักงานของบอลเชวิคได้มีการประชุมตัดสินใจต่อจังหวะก้าวที่จะให้มีการเคลื่อนไหวกระจายไปทั่วประเทศอย่างมีพลังแต่มีการเสนอวิธีการที่แตกต่างออกไป
การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์นั้นไม่เพียงแต่เลนินเท่านั้นที่ให้ความสนใจแต่ยังสร้างความประหลาดใจไปทั่วทั้งพรรคเมื่อการปฏิวัติเริ่มขึ้นพรรคยังคงอยู่ในสภาพที่อ่อนล้ามาก จุดด้อยอย่างที่ มาร์เซล ลิปมาน
ได้ชี้ชัดไว้ในกรณีศึกษาที่ค้อนข้างจะละเอียดแหลมคมของเขาว่า เดือนมกราคม 1917
คณะกรรมการเปโตรกราดไม่มีความสามารถแม้แต่จะออกใบปลิวเนื่องในโอกาสระลึกถึงวันครบรอบเหตุการณ์นองเลือด กระนั้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนพรรคบอลเชวิคมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมากว่าสิบเท่า จนกลายเป็นพลังชี้ขาดของชนชั้นกรรมกร
การเติบโตของพรรคบอลเชวิคในปี 1917
นั้นหมายถึงการเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรคการเมือง นั่นเป็นขั้นตอนแรกของการปฏิวัติแต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่พรรคไม่ได้มีการตระเตรียมและไม่มีความพร้อม, ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงว่าจะมีมวลชนเข้าร่วมมากถึงขนาดนั้น มาร์เซล
ลิปมาน เขียนว่า
“ขาดความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและมีสายตายาวไกล”
และ
“ชาวบอลเชวิคตอบสนองต่อการชุมนุมประท้วงครั้งแรกของกรรมกรโดยส่วนใหญ่เป็นแค่กำลังสำรอง
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเมื่อนึกย้อนไปถึงทัศนคติของพวกเขาในปี 1905
และค่อนข้างจะโดดเดี่ยวตัวเองแม้ในที่ทำงานของพวกเขาเอง”
ตั้งแต่การปฏิวัติเริ่มขึ้นจนกระทั่งบัดนี้ พวกเขายังไม่เคยมีเหตุผลดีพอที่จะมาอ้างถึงการไม่เข้าร่วมของชาวบอลเชวิคในเปโตรกราดที่ครั้งหนึ่งได้พยายามยับยั้งการเคลื่อนไหวในวันสตรีสากลเสียด้วยซ้ำไป วี. เอ็น. คายูรอฟ กรรมการคนสำคัญของเขตวีบอร์ก
ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาเข้าไปแทรกแซงการประชุม
ในหน่วยสู้รบของกรรมกรหญิงในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ (ปฏิทินเก่า) ว่า :”
ผมได้อธิบายความหมายของวันสตรีสากลและการเคลื่อนไหวโดยทั่วไปของผู้หญิง, และเมื่อผมต้องพูดถึงสถานการณ์ในเวลานั้นขั้นแรก
ผมได้พยายามพูดและเรียกร้องให้พวกเธอระงับการเข้าร่วมการประท้วงใดๆ และขอปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะกรรมการพรรค”
แต่พวกเธอกลับไม่สบอารมณ์ที่จะคอยต่อไป
คายูรอฟ ได้เรียนรู้ด้วย
”ความประหลาดใจ”และ ”เดือดดาล”
ที่คำขวัญของพรรคถูกเพิกเฉย
“ผมโมโหมากในความประพฤติของบรร ดาผู้หยุดงานประท้วง” เขาบันทึกว่า : “
แรกสุดพวกเขาปฏิเสธการตัดสินใจของกรรมการประจำเขตของพรรคอย่างเห็นได้ชัดและของผมด้วย
เย็นวานนี้ผมได้ไปเยี่ยมกลุ่มกรรมกรหญิงเพื่อแสดงเอกสารคำสั่งให้ระงับการเข้าร่วมหยุดงานโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า”
ในหนังสือ ประวัติของทรอตสกี
ได้ยืนยันว่า “สำหรับลัทธิบอลเชวิค,เดือนแรกของการปฏิวัติเป็นช่วง
เวลาที่ยากลำบากและความไม่แน่นอน” มันชัดเจนอย่างที่สุดต่อคำยืนยันนี้
ประสบการณ์ทางการเมืองของผู้นำคนสำคัญๆเหมือนถูกคุมขังอยู่ในคุก
ทั้งในไซบีเรีย และต่างประเทศ
การนำในเปโตรกราดเท่าที่เรารู้คือไม่ได้มีการตระเตรียมภาระหน้าที่แต่อย่างใดเลยในช่วงกระแสต่ำก่อนหน้านี้ สาขาพรรคในรัสเซียซึ่งประกอบด้วย
ชลียาปนิคอฟ โมโลตอฟ และ ซาลุทสกี ที่ยังมีการติดต่อกับเลนินทางจดหมาย วี. เอ็น. คายูรอฟ
สมาชิกคณะกรรมการเขตวีบอร์กได้กล่าวในภายหลังว่า
“ไม่เคยได้รับคำชี้แนะจากฝ่ายนำขององค์กรพรรคเลย
คณะกรรมการของเปโตรกราดล้วนถูกจับและสหาย ชลียาปนอคอฟ ตัวแทนของคณะกรรมการกลางก็ไม่สามารถเสนอเข็มมุ่งการเคลื่อนไหวในอนาคตได้”
หลังจากผ่านความไม่พร้อมในตอนแรก
ขอบเขตการเคลื่อนไหวของกรรมกรเริ่มมีความชัดเจนขึ้น
ชาวบอลเชวิคเริ่มปฏิบัติการโดยให้การสนับสนุนการหยุดงานของกรรมกรและขยายงานออกไป กรรมกรเริ่มก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวหยุดงานกันมากขึ้นและมากขึ้น ในวันที่ 25
กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า) มีคนเข้าร่วมการนัดหยุดงานถึง 300,000
คนในเปโตรกราด
คลื่นของการนัดหยุดงานเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการเรียกร้องทางการเมือง กรรมกรถราง
สถานประกอบการเล็กๆ ช่างพิมพ์ ร้านค้า
ทั้งหมดถูกกวาดเข้าไปแสดงบทบาทการต่อสู้โดยเหล่ากรรมกรหญิง เนื้อหาคำขวัญในใบปลิวเช่น “ทุกคนจงเข้าร่วมการต่อสู้” “ออกมาสู่ท้องถนน!” “ระบอบซาร์จงพินาศ” “สงครามจงพินาศ” ฯลฯ
ในไม่ช้า...ชาวบอลเชวิคในเปโตรกราดได้ฟื้นจากความสับสนในเบื้องแรกและลงสู่งาน วันที่มีการสู้รบสมาชิกพรรคบอลเชวิค 3
คนถูกจับ คณะกรรมการเขตวีบอร์ก,กล่าวได้ว่ามีส่วนร่วมการนำในเปโตรกราดจากวันที่
27 กุมภาพันธ์(ปฏิทินเก่า)เป็นต้นไป
กำลังทั้งหมดในองค์กรจัดตั้งของเปโตรกราดถูกส่งไปประจำการในโรงงานต่างๆและค่ายทหาร คลังแสงถูกยึด วี. อเล็กเซเยฟ สมาชิกบอลเชวิค
ได้จัดตั้งคน
งานรุ่นหนุ่มของโรงงานปูติอฟขึ้นเป็นหน่วยจู่โจมตำรวจและยึดเอาอาวุธ เย็นวันที่ 27
ฝ่ายนำบอลเชวิค ส่วนใหญ่ประกอบด้วยกรรมการเขตวีบอร์ก
ได้ประชุมอภิปรายถึงความจำเป็นในการยกระดับการนัดหยุดงานทั่วไปขึ้นเป็นการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ
มีคำสั่งฉันท์พี่น้องไปยังกองทหารและปลดอาวุธ ตำรวจ
ทำการจู่โจมร้านขายอาวุธ, คลังแสง
แล้วติดอาวุธให้แก่กรรมกรโดยไม่ต้องร้องขอ
พวกเขาได้ฟื้นจากความไม่พร้อมของครั้งก่อนแล้ว
ชาวบอลเชวิคในเปโตรกราดต่างรุกด้วยความไม่พอใจ พวกเขาประณามข้อ ตกลงกับพวกนายทุนเสรีนิยม กระชากหน้ากากนัก ”ปกป้องการปฏิวัติ” ( Defencists
คือกลุ่มการเมืองในรัสเซีย(และที่อื่นๆ)เช่นพวกเมนเชวิคและพรรคสังคมนิยมปฏิวัติ
ที่สนับสนุนการทำสงครามโลกครั้งแรกโดยให้เหตุผลว่าเพื่อ”ปกป้อง”
ประเทศชาติและการปฏิวัติ) และเรียกร้องให้กรรมกรออกมาแสดงบทบาทในทันที กรรมกรมุ่งหน้าสู่ค่ายทหารฉันท์พี่น้อง
ทุกหนทุกแห่งพวกเขาได้รับการต้อนรับด้วยความเห็นอกเห็นใจและความเป็นเอกภาพ อารมณ์ความรู้สึกของบรรดาทหารซึ่งบางคนเป็นอดีตคนงานของโรงงานปูติลอฟและเป็นนักปฏิวัติ กองทหารกองแล้วกองเล่ากรมแล้วกรมเล่าต่างออกมาร่วมต่อสู้
เรื่องเช่นเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นที่มอสโคว์ด้วย
กรรมกรและทหารที่ลุกขึ้นสู้เข้ายึดคลังแสงในเปโตรกราด ปืนยาว 40,000 กระบอก ปืนสั้น 30,000
กระบอกถูกติดให้แก่กรรมกร
การได้รับการยอมรับนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ,แต่มันมีผลจากการทำสงคราม
และนอกเหนือจากนั้นคือการสะสมความไม่พอใจของชาว
นารัสเซียที่ต้องทนทุกข์ทรมานมาอย่างยาวนานทกับการถูกเกณฑ์ไปรบในสงคราม
บทบาทของวีรบุรุษนิรนามแต่ละคนนั้นมีมากเกินกว่าที่ประเมินค่าได้
แนวคิดของนักประวัติศาสตร์ชนชั้นนายทุนที่มักจะนำเสนอว่า
กรณีของการปฏิวัติเดือนตุลาคมนั้นเป็นเพียงการทำ ”รัฐประหาร” เท่านั้น
การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์เป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง ,การเคลื่อนไหวแบบเป็นไปเองของมวลชน บทสรุปวิจารณ์ตั้งแต่แรกนั้นเป็นเรื่องที่ผิด,
เป็นแค่การสมคบคิดกันของคนส่วนน้อยที่ตั้งใจนำไปสู่ระบอบเผด็จการ ขณะข้อที่สอง, แน่นอนเช่นที่ว่าการปฏิวัตินั้นไม่มีใครรับรอง
แม้แต่กลุ่มปกครองของระบอบซาร์ก็ไม่ยอมรับ
แม้ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ มุมมองทั้งสองข้อนั้นผิดโดยสิ้นเชิง
การปฏิวัติเดือนตุลาคมไม่ใช่ทั้งการรัฐประหารหรือการสมคบคิด
แต่การจัดการนั้นแสดงออกถึงความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่มีความพยายามอย่างมากมาเป็นเวลาถึง
9 เดือนเพื่อหาทางแก้ปัญหาโดยใช้อำนาจของโซเวียต ด้านหนึ่งที่อธิบายการปฏิวัติเดือน กุมภาพันธ์ว่าเป็นแบบ
”เป็นไปเอง” นั้น
เท่ากับว่าเป็นการมองอย่างผิวเผินและด้านเดียว
อาจจะมีคนกล่าวว่ามันเป็นเพียงฉากๆหนึ่งที่พรรคไม่ได้เข้ามาจัดการ นั่นก็ยังไม่เพียงพอ, มันยิ่งแสดงออกถึงความมืดบอดหนักขึ้นไปอีก
เหมือนการ”ตื่น”ของฝูงวัวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากเหตุผล การใช้คำว่า
”เป็นไปเอง” ในบริบทนี้อธิบายอะไรไม่ได้เลย
เป็นเพียงเปลือกนอกที่ห่อหุ้มความความอับจนในการอธิบายความ
ที่แย่ไปกว่านั้นยังเป็นการดูถูกมวลชนว่าโง่เขลาโดยให้เหตุผลว่าทำไปตามสัญชาติญานเท่านั้น
แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าพรรคบอลเชวิคเป็นผู้นำของการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์กระนั้นก็มีคนนำ บางคนเริ่มเรียกร้องให้หยุดงาน, จัดขบวนประท้วง
กรรมกรรู้ดีว่าการหยุดงานแค่สองชั่วโมงก็ต้องมีผู้นำ บางคนเป็นผู้ริเริ่ม
บางคนเดินผ่านเข้าออกประตูห้องทำงานของผู้จัดการเพื่อยื่นข้อเรียกร้องของกรรมกร คนเหล่านั้นได้รับเลือกจากกรรมกร และการเลือกไม่ได้มีลักษณะที่
”เป็นไปเอง”หรือบังเอิญ
กรรมกรจำเป็นต้องเลือกคนที่มีจิตสำนึกมากที่สุด ไม่มีความกลัว
คนที่มีความมุ่งมั่นที่สุดไม่ว่าหญิงหรือชายในแผนกงานเพื่อเป็นตัวแทนของพวกเขา คนเช่นว่านี้มีประวัติการต่อสู้มายาวนานไม่ใช่พึ่งจะเริ่มเมื่อวานนี้
เธอหรือเขาเป็นที่รู้จักของเพื่อนกรรมกรและรู้ดีว่าควรพูดถึงเรื่องอะไร? นี่คือผู้นำโดยธรรมชาติของชนชั้นกรรมกรแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นตามกฎนี้เสมอไป พวกเขาส่วนมากสังกัดองค์กรสหภาพแรงงาน
หรือไม่ก็พรรคการเมืองปีกซ้าย
ในกรณีของรัสเซียพวกเขาส่วนใหญ่สังกัดพรรคบอลเชวิคแม้ว่ายังมีจำ จำนวนไม่มากนักก้ตาม
สมาชิกบอลเชวิคในช่วงเวลานี้มีแค่จำนวนร้อยในโรงงานหลักๆ เช่นในโรงงานเก่าเลสเนอร์มีประมาณ 70-80 คน ,
30
คน ในอู่ต่อเรือ รุสโซ–บอลติค และ อิซฮอร์สกี
และกลุ่มเล็กในโรงงานอื่นๆ
โรงงานปู ติลอฟที่มีกรรมกรจำนวน 26,000 คน
แต่มีสมาชิกบอลเชวิคเพียง 150 คนเท่านั้น
นับว่าน้อยมากสำหรับการปฏิวัติที่ไม่ประนีประนอมทางชนชั้น
แน่นอน...สัดส่วนนี้ไม่รวมกับสมาชิกคนอื่นๆซึ่งเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งในเหตุการณ์เดือนกุมภาพันธ์ โดยไม่รอการชี้นำจากพรรค,กรรมกรชาวบอลเชวิคในโรงงานและค่ายทหารได้ก้าวออกมารับภาระหน้าที่เป็นผู้ชี้ขาดการประท้วงและหยุดงาน
การต่อสู้ทางการเมืองในอดีตเป็นต้นทุนในการสร้างบทบาทและส่งให้ของพวกเขาออกมาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องกรรม
กรที่อยู่รายรอบตัวเขา
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่ากรรมกรชาวบอลเชวิคแต่ละคน ส่วนมากได้รับการจัดตั้งและเป็นกองกำลังในโรง
งานต่างๆ
เป็นชนชั้นที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติ,ในการจัดทำคำขวัญ
,สร้างรูปแบบการเคลื่อนไหวและการจัดตั้งโดยไม่ต้องคอยคำชี้แนะจากฝ่ายนำบอลเชวิค(ซึ่งล้าหลังภววิสัย..ผู้แปล)
พวกเขาศึกษาทฤษฎีมาไม่มากนักและส่วนใหญ่จะจดจำคำขวัญพื้นฐานของพรรคในการต่อสู้ เพื่อที่ดิน
สาธารณรัฐ และแปดชั่วโมงทำงาน
แต่มันคือความคิดทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับสัญชาติญานพื้นฐานของจิตใจที่ปฏิวัติ ซึ่งเพียงพอสำหรับที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสถานที่ประกอบการของพวกเขาและบนท้องถนนและกลายมาเป็นนักปลุกระดมของพรรค
บรรดาผู้นำท้องถิ่นเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการนำกรรมกรเข้าโค่นล้มระบอบซาร์,
ไม่มากไปกว่านั้น
และถ้าจะให้ก้าวไปไกลกว่านั้นพวกเขาต้องได้รับการชี้นำที่ถูกต้องและชัดเจนจากพรรค
แต่ฝ่ายนำของบอลเชวิคในปีเตอร์สเบิร์กยังคงยึดมั่นอยู่กับคำขวัญเก่า”เผด็จการประชาธิปไตยของกรรมาชีพและชาวนา”
ที่ไม่เพียงพอและล้าสมัย ,ไม่มีมุมมองหรือแนวคิดในการเข้าผนวกอำนาจโดยชนชั้นกรรกรเลย
แม้แต่พวกหัวรุนแรงส่วนมากก็ไม่ได้มองไกลไปกว่าการสถาปนาสาธารณรัฐของชนชั้นนายทุน การโค่นระบอบซาร์ ได้สร้างความสับสนและไร้ทิศทาง ดังนั้น, บทบาทการนำในการลุกขึ้นสู้ของเดือนกุมภาพันธ์จึงกลายเป็นมาตรการที่สำคัญของกรรมกรชาวบอลเชวิค ฝ่ายนำของบอลเชวิคในเปโตรกราด
ได้สูญเสียความคิดริเริ่มซึ่งเป็นผลมาจากความลังเลของพวกเขา
เหมือนเช่นที่เลนินได้ย้ำอยู่เสมอว่ากรรมกรได้แสดงออกซึ่งลักษณะปฏิวัติที่ล้ำหน้ากว่าบรรดาพรรคปฏิวัติทั้งหลายเสียอีก
เช่นเดียวกับในโรงงาน ค่ายทหาร “ผู้นำตามธรรมชาติ”
ส่วนมากเป็นชาวบอลเชวิคซึ่งขณะนี้ได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองแล้ว เช่นเดียวกับอดีตคนงานของโรงงานปูติลอฟที่เคยเข้าร่วมกองทัพในช่วงสงคราม
หน่วยคุ้มกันที่มีลักษณะชี้ขาดอยู่ภายใต้อำนาจของชาวบอลเชวิค
วันเวลาที่ผ่านไปไม่ได้สูญเปล่าชาวบอลเชวิคที่เป็นกำลังหลักได้รับการฝึกฝนจากโรงเรียนการปฏิวัติในภาคปฏิบัติมาตั้งแต่เมื่อปี
1905 และตั้งแต่ 1912-14 แต่สำหรับมวลชนแล้วเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป
สงครามได้เปลี่ยนองค์ประกอบของโรงงานต่างๆไปอย่างสิ้นเชิง
การจะดึงความล้าหลังในอดีตออกจากมวลชนคนงานที่ไม่มีการจัดตั้ง
ความไร้ประสบการณ์ของคนงานระดับต่างๆเป็นเรื่องที่หนักมากสำหรับมวลชนจำนวนนับล้าน ที่มากไปกว่านั้นประสบการณ์(ในการปฏิวัติ)เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์,อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีการต่อต้านขัดขืนอยู่บ้างแม้แต่ในสถานการณ์ปฏิวัติ
ด้วยเหตุผลเช่นว่านี้...มวลชนมักจะยึดติดกับองค์กรของพวกเขาอย่างไม่คำนึงถึงเหตุผลใดๆ เขาจะคิดอย่างง่ายๆว่า
ทำไมจะต้องโละทิ้งเครื่องมือเก่าก่อนที่จะลงมือทำงานใหม่เล่า? ความแตกต่างประการหนึ่งในรัสเซียในปี 1917 คือ
มวลชนอันไพศาลจะแยกพรรคการเมืองและสหภาพแรงงานออกจากกันอย่าง
ชัดเจนนอกเหนือไปจากความคิดที่คลุมเครือของ ”สังคมประชาธิปไตย” จริงอยู่กรรมกรที่ก้าวหน้าส่วน
มากเป็นสมาชิกพรรคบอลเชวิคในระยะก่อนสงคราม,อย่างน้อยก็เป็นกรรมกรที่ได้รับการจัดตั้งมาแล้ว
แต่มวลชนที่พึ่งจะมีความตื่นตัวต่อชีวิตทางการเมือง
ยังไม่สามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างปีกซ้ายหรือปีกขวาได้ในทันทีทันใด พวกเขาไม่อาจตัดสินใจได้อย่างฉับพลันเกี่ยวกับเนื้อหารายละเอียดของนโยบาย
หากแต่เคลื่อนไหวต่อสู้เพราะปรารถนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเขามีศักยภาพเพียง
พอในการดำเนินการปฏิวัติ
แต่ไม่ได้ตระเตรียมในการรักษาอำนาจและปล่อยให้หลุดมือไป การเคลื่อน ไหวของพวกเขาก้าวไปไกลเกินกว่าจิตสำนึก
มันจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวที่เป็นจริง
และมันเป็นภาระอันหนักอึ้งสำหรับชาวบอลเชวิคที่จะต้องทำงานอย่างทรหดอดทนในการยกระดับจิตสำ
นึกของมวลชนเพื่อจะนำไปสู่ระดับความต้องการในสถานการณ์ที่เป็นจริง
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงการชี้ให้เห็นถึงแนวทางที่แตกต่างกันระหว่างบอลเชวิคและเมนเชวิค แต่ในขณะนั้น,ความแตกต่างระหว่างพวกเขาดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด
ทั้งสองกลุ่มไม่ได้ปกป้องสาธารณรัฐประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน
ในกรณีอื่นๆมีการปลุกเร้าให้สามัคคีกันเพื่อบรรลุผลของการปฏิวัติ
กรรมกรฝ่ายเมนเชวิคถูกกวาดเข้าไปในกระแสคลื่นของการปฏิวัติ,สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวบอลเชวิค
มโนคติของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกลุ่มปฏิวัติต่างๆได้แพร่กระจายออกไปในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบอลเชวิค,เมนเชวิค,
แม้กระทั่งกรรมกรของพรรคสังคมนิยมปฏิวัติต่างมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันโดยปราศจากปัญหาใดๆ ในหลายๆเขต,ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มสังคม-ประชาธิปไตยได้ผนึกกำลังร่วมกันโดยเป็นไปเอง
นี่เป็นสัจธรรมที่มีความสำคัญยิ่ง,มันแสดงออกถึงการยืนหยัดและความสามัคคีซึ่งมีอยู่ในตัวตนของชนชั้นกรรมกร
และนั่นย่อมหมายถึงองค์ประกอบของภาระหน้าที่ในการสร้างพรรคการเมืองที่ปฏิวัติ
แม้ว่า ในปี 1912–14
พรรคบอลเชวิคจะประสบความสำเร็จในการเข้าไปบริหารในองค์กรกรรมกรรัสเซียถึงสี่ในห้าส่วน
ซึ่งในระหว่างสงครามกลุ่มเมนเชวิคจะแสดงบทบาทที่ต่างออกไปมาก แต่เมื่อถึงวันที่มีเรื่องร้ายในเดือน
กุมภาพันธ์-เมษายน, ทั้งสองกลุ่มที่แตกแยกกันก็กลับเข้ามาร่วมกันเป็นองค์กรเดียวในแทบทุกจังหวัดยกเว้นเปโตรกราดและมอสโคว์ ในความเป็นจริง,ในหลายๆเขตยังคงร่วมมือจนกระทั่งในการปฏิวัติเดือนตุลาคมภายใต้ร่มธงเดิมของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย(RSDLP) ในเดือนตุลาคม 1917
ฝ่ายปฏิวัติและกลุ่มปีกซ้ายได้รับชัยชนะโดยเสียงข้างมากในสภาโซเวียตในการนำชนชั้นกรรมกรเข้าเผด็จอำนาจรัฐและได้รับชัยชนะในที่สุด
-------------------------------------------------------------------------------
[1] ได้แก่กลุ่มนักสังคมประชาธิปไตยสากลที่มีแนวคิดคัดค้านการเข้าร่วมสงครามของประเทศทุนนิยมในยุโรป มีเลนินเป็นผู้นำ
[2] อเล๊กซานดรา มิคาอิลลอฟนา คอลลอนไท
(Алекса́ндра Миха́йловна Коллонта́й) ( 31 มีนาคม 1872
– 9 มีนาคม 1952)
เป็นนักปฏิวัติหญิงชาวรัสเซีย แรกสุดเป็นสมาชิกกลุ่มเมนเชวิค, หลังจากปี 1914
จึงเปลี่ยนมาเป็นบอลเชวิค
หลังการปฏิวัติรับตำแหน่งในคณะกรรมการกลางพรรค ในปี 1923
ถูกแต่งตั้งให้ไปเป็นเอกอัครราชทูตโซเวียตประจำนอร์เวย์
[3] ฟริตซ์ พลาทเทน ( Fritz Platten 8 July 1883 – 22 April
1944) สหายชาวสวิสเป็นผู้ติดต่อประสานกับรัฐบาลเยอรมันให้เลนินได้กลับรัสเซียเมื่อปี
1917
ใช้ตนเองกำบังกระสุนปืนให้เลนินจากการลอบสังหาร เสียชีวิตจากการกวาดล้างใหญ่(The
great purge)ของสตาลิน
[4] กริกอรี เยฟิโมวิช ราสปูติน
( Григорий Ефимович
Распутин; ) นักบวชชาวรัสเซียผู้มีพลังจิตที่เข้มแข็งเป็นที่ปรึกษา
ครอบครัวโรมานอฟของพระเจ้าซาร์
[5] กลุ่มอันธพาลการเมืองขวาจัดที่ใช้ความรุนแรงต่อต้านพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายในรัสเซียโดยเฉพาะพรรคบอลเชวิค
[6] มิคาอิล วลาดิมีโรวิช รอดเซียนโก
( Михаи́л Влади́мирович Родзя́нко ) นักการเมืองชาวรัสเซีย/ยูเครน หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรค อ๊อคโทบริสต์ (Octobrist) เป็นประธานสภาแห่งชาติดูมาที่ 4 จนถึงปี 1917
No comments:
Post a Comment