9.วิกฤตเศรษฐกิจ
เป็นความโชคร้ายของกลุ่มเผด็จการชิลี เนื่องจากทำรัฐประหารไปก่อนหน้าของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งนับว่าเป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เศรษฐกิจของชิลีซึ่งโดยปกติแล้วต้องพึ่งพาการส่งออกมาโดยตลอด จึงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากผลของการลดลงของความต้องการสินค้าของตลาดภายนอก ทำให้ราคาทองแดงตกต่ำลงอย่างมาก
ปี 1974-75 ก่อนภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การส่งออกทองแดงมีจำนวนเกือบจะ75%ของสินค้าส่งออกทั้งหมดของประเทศ
และมูลค่าการส่งออกทองแดงในปี
1975 ต่ำกว่าปี 1974 ถึง45% และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปี 1973-4. ถึง 34% และขาดดุลการค้าถึง 400 ล้านดอลลาร์ (460 ล้าน SDRs/ Special Drawing Rights )
ด้วยความช่วยเหลือจากระบอบจักรวรรดิ์นิยมโลกทำให้กลุ่มปกครองชิลีรอดพ้นจากภาวะล้มละลาย ในเดือน มิถุนายน 1976 ไอ.เอ็ม.เอฟ. ได้อนุมัติเงินกองทุนสำรอง(SDRs)79 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยลดการขาดดุลของปี 1975 ในเดือนธันวาคมปีเดียวกันธนาคาร โลก
ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯและเยอรมันตะวันตก(ในเวลานั้น)ได้อนุมัติเงินกู้แก่ชิลีรวมทั้ง
หมด 60 ล้านดอลลาร์...ซึ่งเป็นการกู้ครั้งที่ 4 และ 5 ตั้งแต่มีการรัฐประหาร
เดือนพฤษภาคม
1976 กลุ่มธนาคาร 16 แห่งโดยเฉพาะในสหรัฐและแคนาดา ได้ให้เงินกู้แก่ชิลี 125
ล้านดอลลาร์สำหรับระยะเวลา 3-5 ปี เดือนมิถุนายนปีเดียวกันธนาคาร อินเตอร์ อเมริกัน ดีเวลลอป เม้นท์ ได้ให้เงินกู้เพิ่มอีก 20 ล้านเหรียญในระยะเวลา
20 ปี เพียง 4 ปีแรกหลังการรัฐประหาร
กลุ่ม ปกครองได้กู้เงินไปแล้วประมาณ 1000 ล้านดอลลาร์จากธนาคารเอกชนของสหรัฐฯ ทั้งหมดนี้เป็นข้อแตกต่างจาก การรวมหัวต่อต้านรัฐบาล อาเยนเด
อย่างเป็นระบบโดยระบอบจักรวรรดินิยมโลก
ทัศนะคติของระบอบจักวรรดิ์นิยมเข้าใจได้ไม่ยากเลย เมื่อได้อำนาจ..โดยไม่รอช้ากลุ่มปกครองก็เริ่ม ทำลายและเอาชนะชนชั้นกรรมกรอย่างเป็นระบบ คืนโรงงานที่เป็นได้แปรสภาพไปเป็นของรัฐไปแล้วให้แก่เจ้าของเดิม และคืนที่ดินให้แก่เจ้าที่ดิน
นโยบายด้านเศรษฐกิจของกลุ่มปกครองเผด็จการดำเนินรอยตาม
”สำนักเศรษฐศาสตร์ชิคาโก” ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของ มิลตัน ฟรีดแมน โดย เฉพาะอย่างยิ่ง นโยบาย ”เปิดประตู” เพื่อรับการลงทุนจากต่างประเทศ ....เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชิลีต้องประสบกับความอัปยศอดสูเมื่อต้องกลายไปเป็นผู้ถูกพิชิต
ที่ถูกกดขี่ถึงสองชั้นจากชนชั้นนายทุนและเจ้าที่ดินชิลีและระบบผูกขาดขนาดมหึมาของสหรัฐอเมริกา
หลังจากกองทัพยึดอำนาจ ฟรีดแมน ได้ไปยังชิลีและเสนอแนะอย่างเย็นชาว่าให้ตัดงบประมาณรายจ่ายลง
20% และให้เลิกจ้างพนักงานของรัฐเป็นจำนวนมาก มีการลดค่าเงิน เอสคูโด
เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
ด้วยเหตุนี้ในปี 1975 ค่าครองชีพจึงถีบตัวสูงขึ้นเป็น 340%.
แม้นโยบาย
“เปิดประตู” จะเป็นที่ถูกใจและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
แต่ก็นำไปสู่ความไม่ลงรอยกันกับประเทศอื่นๆที่เป็นสมาชิกของสนธิสัญญาแอนดีส สนธิสัญญานี้เป็นความพยายามในการป้องกันตนเองของบรรดาประเทศสมาชิกจากการเอารัดเอาเปรียบของประเทศจักรวรรดิ์นิยม ชิลีได้ลาออกจากกลุ่มสนธิสัญญานี้เมื่อปี 1976.
นโยบาย
“ประหยัด” ของเดือนเมษายน 1975 ได้นำไปสู่ความหายนะ
ตามที่สำนักงานสถิติแห่งชาติได้พิมพ์ออกมาเมื่อปี 1976 ผลผลิตมวลรวมประชาชาติลดลง 16.2% ในปี 1975 ผลผลิตทางอุตสา- หกรรมลดลง 25%. อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับ 340.7% ซึ่งปี 1974 อยู่ที่ 380% สิ้นปี
1976อัตราเงินเฟ้อลดลงไปอยู่ที่ 174.3%.
เหนือสิ่งอื่นใดความต้องการในการบริโภคสินค้าลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
สถานการณ์ที่ไม่อาจรับได้
ระว่างกลางปี
1976 ตามการประเมินของทางการ
ระดับของการว่างงานมีมากกว่า 23% (ในบางภาคส่วน 50%) ตัวเลขของการว่างานเพิ่มสูงขึ้นมากแม้ว่า”เศรษฐกิจเริ่มจะฟื้นตัว” ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากรายงานของวันที่ 6 กรกฎาคม 1978
อัลวาโร บาร์ดอน ประธานธนาคารกลางชิลีพยายาม แสดงให้เห็นว่าภาคส่วนนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว
เขาได้แสดงตัวเลขของการว่างงานในระยะเดียวกันใน ซานติอาโก ดังต่อไปนี้
มิถุนายน
1972: 2.3%
มิถุนายน 1973: 2.3%
มิถุนายน 1974: 7.5 %
มิถุนายน 1975: 12.0%
มิถุนายน 1976: 13.4%
มิถุนายน 1977: 10.2%
มิถุนายน 1978: 9.4%
และยังเพิ่มตารางตัวเลขที่มีการเปลี่ยนแปลงของจำนวนคนว่างงานใน
เกรทเตอร์ ซานติอาโก ในปี 1978 ไว้ดังนี้
ตำแหน่งงานในภาคธุรกิจต่างๆ
อุตสาหกรรม จาก 84,900 เป็น 325,000 คน
ก่อสร้าง
25,900 77,500
อื่นๆ
3,500 20,000
บริการ 61,400 725,000
อื่นๆ 8,500 95,300
นักการธนาคารอนุรักษ์นิยมผู้นี้ได้ประกาศถึงความสำเร็จว่า “เรากำลังก้าวคืบเข้าสู่ระดับปกติเช่นเดียว
กับในปี 1969 แล้ว” จากการสำรวจของของสภามหาวิทยาลัยชิลีที่พิมพ์เผยแพร่ และได้ให้ข้อเปรียบเทียบของปี 1974 และ 1977
นั้น
ระดับของอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 9.7% เป็น 13.2%และมีการปลดออกจากงานเพิ่มขึ้นจาก 6.l% เป็น 9.9%. รายงานของทางการได้มีการบิดเบือนความจริงในภารกิจของชาติ จากรายงานของกลุ่มสมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมันตะวันตก
(SPD) ที่ไปเยือนชิลีก่อนหน้านี้ ชี้ว่าอัตราการว่างงานในขณะนั้นน่าจะสูงถึง 30% ไม่ใช่ตัวเลขแค่ 12-13% ตามที่รัฐบาลแถลง
สิ่งหนึ่งที่นอกเหนือความคาดหมายคือ ชนชั้นกรรมกรชิลีต้องยอมใช้ชีวิตในสภาพที่ยากจนข้นแค้น หิวโหย ไม่มีงานทำ และต้องทนทุกข์ยากต่อไป การลดลงในส่วนของประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ(กึ่งกรรมาชีพ)แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนคือการเพิ่มขึ้นของจำนวนโสเภณีและขอทานซึ่งมีอยู่ดาษดื่นทั่วไปทั้งในนครและเมืองต่างๆทั่วประเทศ
สภาพของเศรษฐกิจและสังคมที่กำลังจะดีขึ้นโดยพรรคประชาชนสามัคคีนั้นได้ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับหลังการรัฐประหารวันที่
11 กันยายน อัตราเงินเฟ้อยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นกรรมกรเลวร้ายเสียจนเหลือที่จะรับได้
แม้ว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจทั้งมวลมาแก้ไข แต่เศรษฐกิจของชิลียังคงอยู่ในทางตัน ในความเป็นจริงวิธีการของ ”สำนัก ชิคาโก” นั้นได้ทำให้การว่างงานและความทุกข์ยากเพิ่มมากขึ้น เป็นการทำลายตลาดภายในประเทศและบ่อนเซาะพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมของชาติ ทัศนะคติต่อระบอบทุนนิยมของชิลี ณ ปัจจุบันนี้จึงเป็นเรื่องที่สิ้นหวัง การขาดดุลการค้ายังคงอยู่ที่
190 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 1978 ด้วยการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นในขณะที่ส่งออกน้อยลง ตลาดส่ง ออกที่สำคัญมากของชิลีคือบราซิล อัฟริกาใต้ และอาร์เจนตินา ซึ่งในขณะนั้นชิลีมีความขัดแย้งกับประเทศที่กล่าวมานี้ทั้งหมด ในกรณีกับอาร์เจนตินาความตึงเครียดไม่ว่าด้านความสัมพันธ์ทาง
ด้านเศรษฐกิจและการเมืองได้พุ่งสูงขึ้นถึงจุดที่ใกล้จะแตกหักแล้ว ความไม่มั่นคงของกลุ่มปกครองได้แปรเปลี่ยนไปเป็นวิกฤตศรัทธาของชนชั้นนายทุนชิลี มีการแสดงออกอย่างชัดเจนคือมูลค่าซื้อขายในตลาดหุ้นตกลงอย่างต่อเนื่องถึง
2%
ทั้งอาทิตย์ในเดือนมิถุนายนปีนี้ ประธานตลาดหลัก
ทรัพย์ซานติอาโกได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ลา เซกุนดา ยอมรับว่า ราคาหุ้นที่ตกต่ำลงมันเป็นการ ”สะท้อนภาพของสถานการณ์ทั้งนอกและในประเทศ”
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงการตื่นกลัวของชนชั้นนายทุนชิลีที่ขาดความมั่นใจและมองโลกในแง่ร้ายเมื่อพิจารณาถึงอนาคต
ระบอบ
เอกบุรุษ ของเปรอง*(ฮวน เปรอง นายทหาร อดีตประธานาธิบดีของอาร์เจนตินา)ในอาร์เจนตินาสามารถ
ยืนหยัดอยู่ได้เป็นเวลาหลายๆปี ด้วยการสร้างฐานมวลชนให้มาสนับสนุนตนเองผ่านสหภาพแรงงาน
ของกรรมกรที่สนับสนุนเปรอง(เปรองนิสต์) ซึ่งต้องขอขอบคุณการพองตัวของเศรษฐกิจหลังสงคราม
ที่ส่งเสริมและกระตุ้นความต้องการผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ของอาร์เจนตินาในตลาดโลก แต่ กลุ่มปิโนเช โผล่ขึ้นมาในเวลาเดียวกันกับการถดถอยทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
และภาวะราคาทองแดงตกต่ำ ปี 1972 -74
เป็นปีที่ได้มีการจดบันทึกราคาของผลิตภัณฑ์นี้
ราคาทองแดงยังตกต่ำต่อเนื่องไปจนถึงปี
1974-75. ในสองปีสุดท้ายราคาเริ่มฟื้นตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย
กระนั้นก็ยังมีมูลค่าไม่ถึงระดับก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ ไทมส์ (4/4/78) ได้แสดงความเห็นไว้ดังนี้
“ในสภาพที่เป็นจริง การจะทำให้ราคาทองแดงพ้นจากจากระดับราคาต่ำสุดได้ ความชัดเจนแรกสุด
จะต้องลดการผลิตลงอย่างขนานใหญ่ นั่นแหละถึงจะพบกับแสงสว่าง”
ประเทศผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ได้ก่อตั้งองค์กร CIPEC (The Intergovernmental Council of Countries
Exporters of Copper)
เห็นชอบที่จะลดการผลิตทองแดงลง 15% เพื่อตรึงราคา
แต่ชิลี..ซึ่งประเทศที่ส่งออกทองแดงมากที่สุดปฏิเสธที่จะเข้าร่วมใน CIPEC เป็นที่ชัดเจนว่า กลุ่มปิโนเช
กลัวว่าการลดการผลิตอาจมีผลกระทบในทางสังคมอย่างรุนแรง
สหรัฐฯยังคงเป็นตลาดสำคัญของทองแดงจากชิลี
มันขัดกันกับที่สหรัฐฯก็เป็นประเทศที่ส่งออกทองแดงรายใหญ่และยังเป็นผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ที่สุดอีกด้วย ปัญหาก็คือทองแดงที่สหรัฐฯผลิตนั้นมีราคาสูงและไม่มีคู่แข่ง
พื้น ฐานการผลิตทองแดงสหรัฐฯมีลักษณะผูกขาด จึงกดดันกลุ่มทุนให้ควบคุมจำกัดการนำเข้าทอง
แดงจากประเทศโลกที่สาม
ผู้ปกป้องผลประโยชน์เหล่านี้มีแนวโน้มจะสร้างความหายนะให้แก่ชิลี การลดค่าเงินดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นถึงมาตรการกีดกันที่ซ่อนเร้นของนักปกป้องผลประ
โยชน์เหล่านี้ ซึ่งเป็นการสะท้อนกลับอย่างรุนแรงต่อการส่งออกของชิลีและสำหรับเศรษฐกิจของชิลีโดยรวม...ในเดือนต่อมา
วิกฤติของกลุ่มปกครอง
กลุ่มปกครองแบบเอกบุรุษทุกกลุ่ม มีความจำเป็นที่จะแสดงตัวตนโดยผ่านบุคคลผู้ทรงอำนาจคนหนึ่ง
ที่เป็น ”ผู้เข้มแข็ง” ซึ่งถือเสมือนว่าเป็นตัวแทน “ชาติ”
ที่อยู่เหนือผลประโยชน์ทางชนชั้นหรือพรรค บทวิจารณ์ของ ลีห์ กุซแมน เกี่ยวกับ “ลัทธิผู้นำ”
ของปิโนเช ประการแรก ทหารส่วนหนึ่งไม่พอใจที่รู้สึกว่าพวกเขาถูกกีดกันจากศูนย์กลางของอำนาจ ส่วนแบ่งของเค้กที่ได้รับนั้นนั้นไม่ตรงกับความต้องการ
แต่กลุ่มนี้ยังต้องต่อสู้กับกลุ่มแก๊งอื่นๆอีกต่อไปและลามไปไกลถึงบุคคลบางคนในกลุ่มผู้กุมอำนาจ
ความไม่พอใจกลุ่มปกครองได้เกิดขึ้น ลีห์ได้พยายามแสวงหาการสนับสนุนจากสังคมโดยการใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจของประชาชน โดยพยายามสร้างความประทับใจต่อการเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งที่เป็นตัวแทนของปิโนเช เช่นการพูดถึงความเป็นเสรีนิยม
ที่ตรงกันข้ามกับความเป็น เผด็จการของกลุ่มปกครอง ปิโนเชถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น....จากการห้อมล้อมของคณะปรึกษาที่แย่สุดๆซึ่งล้วนแต่มาจากทหารแทบทั้งสิ้น และได้รับการสนับสนุนจากเยาวชนที่ได้รับการจัดตั้งและดูแลเป็นอย่างดีจำนวนมาก ทำให้เกิดภาพลวงตาในความสง่างามของลัทธิวีรบุรุษชิลี ปิโนเช
มีชีวิตอยู่ในอยู่ในโลกแห่งความฝันอย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนกับจักรพรรดิโรมันที่เต็มไปด้วยความฝันถึง
”สถาบันแห่งชาติแบบใหม่” และผสมผสานด้วยเทคนิคต่างๆ
เพื่อป้องกันความเป็นประชาธิปไตยที่ แท้จริง ซึ่งพวกอัตตาธิปไตยมีส่วนร่วม ตามแนวรัฐธรรมนูญใหม่ของปิโนเชในการคืนความปกติบัญญัติไว้
สามขั้นตอนคือ
1)
ขั้นฟื้นฟู (1973-80) 2) ขั้นเปลี่ยนผ่าน (1980-84) 3)
ขั้นปกติหรือสร้างความเข้มแข็ง(1985)
ถ้าตามแผนนี้ ก็จะไม่มีการเลือกตั้งทั่วไปรวมถึงการเลือกประธานาธิบดีไปจนถึงปี
1991 ถ้าเป็นตาม นั้นอำนาจที่แท้จริงก็จะอยู่ในอุ้งมือของบรรดานายพลทั้งหลาย พรรคลัทธิมาร์กซก็ยังคงถูกสั่งห้าม การเคลื่อนไหวต่างๆก็จะเป็นไปได้ยากยิ่ง
ภยันตรายที่ร้ายแรงของระบอบทุนนิยมชิลี เป็นการแสดงถึงความฝันที่โง่บัดซบของปิโนเช ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้อย่างชัดเจนโดยตัวแทนที่ฉลาดที่สุดของชนชั้นนายทุน วิกฤตเศรษฐกิจ ความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นในสังคม การฟื้นตัวอย่างช้าๆที่มั่นคงของชนชั้นกรรมกร และฐานมวลชนในสังคมที่สนับสนุนกลุ่มปกครองเผด็จการที่ลดน้อยถอยลง
เป็นสาเหตุให้ปัญญาชนชนชั้นนายทุนเกิดความวิตกกังวลตลอดไปจนถึงวอชิงตัน
บรรดานักยุทธศาสตร์ของจักวรรดิ์นิยมอเมริกาต่างวางแผนอย่างเลือดเย็นถึงความเป็นไปได้ในการอยู่รอดและการล้มคว่ำของรัฐบาลทหารชุดปัจจุบันในซานติอาโก
ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความหมายสำคัญต่อการลงทุนของสหรัฐฯซึ่งเพิ่งจะมีการฟื้นขึ้นตัวภายหลังรัฐประหาร
วอชิงตันมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในลาตินอเมริกาแทบทุกเรื่อง จักรวรรดิ์นิยมมีสายลับที่แทรกซึมอยู่ในทุกระดับรวมไปถึงในรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งเป็นการเฝ้าระวังสถานการณ์ในประเทศนั้นๆ พวกเขา(สหรัฐฯ)รู้ว่า.ในปัจจุบันนี้
สังคมโลกไม่ยอมรับและสนับสนุนพวกเผด็จการ
ที่มันยังดำรงอยู่ได้ก็เพราะความเฉื่อยเนือยของมวลชน แต่ในระยะยาว..การกดขี่เช่นนี้จะกระตุ้นให้การปฏิวัติประทุขึ้นไม่ว่าในที่หนึ่ง
หรือที่อื่นๆ
ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก..ไม่เพียงแต่ต่อระบอบเผด็จการเท่านั้นยังรวมไปถึงการดำรงอยู่ของระบอบทุนนิยมในชิลีอีกด้วย ซึ่งจะส่งผลสะท้อนไปในประเทศต่างๆของลาตินอเมริกา
นี่คือคำอธิบายที่เป็นสัจธรรมของการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯที่ไม่เคยคำนึงถึงเรื่อง
”สิทธิมนุษยชน” แต่อย่างใด
ความหวังอันยิ่งใหญ่ที่จะได้รับการช่วยเหลือจากวอชิงตัน และจากบางส่วนของอภิสิทธิ์ชนชาวชิลีและนายทหารระดับสูงของกองทัพ
กุซแมน ได้เปิดฉากดิ้นรนเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมในหนังสือพิมพ์
คอร์เรียเร เดอ ลา เซรา เมื่ออ่านในรายละเอียดของบทความนี้และประกาศอื่น ๆ ของลีห์
ก็พอจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความกลัวของชนชั้นสูงซึ่งเป็นส่วนข้างมากของชนชั้นนายทุนต่อการระเบิดในชิลีเมื่อเขากล่าวเตือนว่า
“นี่คือความเสี่ยงที่ว่าประชาชนจะเลือกการแก้ปัญหาด้วยวิธีรุนแรงในสถาน
การณ์ปัจจุบัน” และยืนยันว่า “มันสายเกินไป
แต่ก็สามารถเสนอนโยบายที่จะกลับไปสู่ภาวะปกติแบบค่อยเป็นค่อยไปได้โดยการกำหนดเวลา วิธีการ และอื่นๆ” และลีห์ ได้กำหนดช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านในระยะ
5 ปี (ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่พลเรือนจะได้มอบอำนาจในเวลาอันรวดเร็ว)
และได้ทำการโฆษณาให้มีการตั้งพรรคการเมืองของชนชั้นนายทุนอย่างถูกกฎหมายแบบพรรคคริสเตียน
เดโมแครท
และพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมกรโดยให้
“ดำเนินการแบบในสแกนดิเนเวีย”
ความล้มเหลวที่แสนจะขมขื่นในความพยายามที่จะ
“ปฏิวัติบนหอคอย” นี้ไม่นานได้ก็ล้มเลิกไป
ลีห์ เรียกร้องต่อปิโนเช ให้ทำการกวาดล้างความเละเทะในระบบของกองทัพดีกว่าที่จะมาคิดขจัดตัวเขา ช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาสิ้นดี ปิโนเช ยืนยันในภายหลัง “ผมมีความมั่นคง มั่นคงมากในรัฐบาล” แต่ขั้นตอนของ ลีห์ ได้มองข้ามการแบ่งฝักแบ่งแบ่งฝ่ายและความตึงเครียดในขบวนแถวของกลุ่มรัฐประ
หารไปเสีย ความกังวลของกองทัพได้แสดงออกถึงความจริงที่มีนโยบายให้กองทหารเตรียมพร้อมอยู่ในค่ายอย่างเข้มงวด พร้อมกับวางเวรยามอย่างหนาแน่นไว้โดยรอบกองบัญชาการของกองทัพ
หนังสือพิมพ์ปฏิกิริยา(เอล เมอคิวริโอ และ ลา เทเซอร์รา)
เข้าตาจนถึงกับเรียกร้อง “ความสามัคคีในชาติ” เพื่อยืนยันความปรารถนาใน “แนวทางแห่งการปรองดองกับกลุ่มปกครอง”
ความตื่นตระหนกในแวดวงของพวกปฏิกิริยานั้นได้สะท้อนออกอย่างชัดเจนที่สุดในหน้าหนังสือพิมพ์
ลา เทเซอร์รา ที่ว่า ”ถ้าไม่ผดุงไว้ซึ่งความสามัคคีที่พวกเขา(ฝ่ายประชาชน)ทุกๆคนต่างก็รู้ดี
...นั่นคือเวลาที่มืดมนของชิลี
ความพยายามที่ได้กระทำเพื่อสร้างความตระหนักเช่นนี้จะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
”....นั่นเป็นสัญญานบอกเหตุของความหวาดกลัวของกลุ่มรัฐประหาร
จะอย่างไรก็ตาม..ภาพของการต่อสู้แย่งชิงกันในกลุ่มรัฐประหาร
แสดงถึงความไม่มั่นคงของระบอบการปกครองในปัจจุบัน พรุ่งนี้
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้.. วิกฤติอย่างใหม่..ความตึงเครียดชนิดใหม่ และการแตกแยกครั้งใหม่จะประทุขึ้น ภายใต้ความกดดันที่ยากจะรับได้ของความขัดแย้งที่สะสมอยู่ภายในสังคมของชิลี
โฆษกของกลุ่มรัฐประหารพยายามยืนยันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยว่า “ความสงบเรียบร้อยจะจะต้องกลับคืนมาในบ้านเมือง”
การกดขี่ได้ให้บทเรียนบางอย่าง เมื่อเดือนที่ผ่านมา DINA (Dirección de
Inteligencia Nacional – หน่วยสืบราชการลับแห่งชาติชิลี )
ก็ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น CNI (Central Nacional de Informaciones ) หน่วยข่าวกลางแห่งชาติ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย และในเวลาไม่นานนัก สัญลักษณ์อย่างแรกคือการฟื้นตัวของขบวนการมวลชน
หลังจาก 5 ปีของประสบการณ์ที่ปวดร้าวจากการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 11 กันยายน