ตอนที่
2 การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมในยุโรป
สภาพโดยสังเขปของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม
การกำเนิดและการพัฒนาของรูปแบบการผลิตทุนนิยมนั้น ใช้ไฟและดาบเป็นเครื่องมือเบิกทาง ในขณะ เดียวกัน ยังใช้ปากกาและลิ้นไปแก้ต่างให้กับความชอบธรรมของตนเองด้วย โดยดำเนินการท้ารบต่อระเบียบแบบแผนของศักดินาจากด้านรูปการจิตสำนึก นี่เป็นยุคแห่งการปลูกฝังความคิดใหม่และวัฒน
ธรรมใหม่ของชนชั้นนายทุน ในประวัติศาสตร์โดยทั่วไปเรียกกันว่า “การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม”
การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมเริ่มแรกสุดได้เกิดขึ้นที่อิตาลีก่อนในศตวรรษที่
14-15 ต่อมาก็ได้ขยายตัวไปสู่ฝรั่งเศส เยอรมัน
อังกฤษ
สเปนและเนเธอร์แลนด์ตามลำดับ
เมื่อย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 16 คู่ขนานไปกับความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบทุนนิยมพัฒนาไปและการต่อสู้คัดค้านศักดินาของประชาชนขึ้นสู่กระแสสูง การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมก็เข้าสู่ยุคเจริญรุ่งเรืองอย่างสุดขีด
การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม คือการวิพากษ์อย่างกว้างขวางที่ชนชั้นนายทุนกระทำต่อระบอบศักดินา ปลายหอกของมันมุ่งจ่อไปยัง ศาสนจักรโรมันคาทอลิก ในสมัยกลาง
ศาสนจักรโรมันคาทอลิกเป็นเสาค้ำทางจิตใจของระบอบศักดินาในยุโรป เป็นตัวแทนทั่วไปของอิทธิพลเน่าเฟะทั้งปวง
ไม่เพียงแต่สร้างระบอบแบ่งชั้นทางศาสนาของตนตามรูปแบบศักดินาจนกลายเป็นเจ้าอาณาจักรศักดินาที่มีอิทธิพลมากที่สุด ถือครองที่ดินถึง 1 ใน 3 ของประเทศต่างๆที่เป็นโรมันคาทอลิกเท่านั้น หากยังพยายามอย่างสุดความสามารถในการอธิบายให้ผู้คนเชื่อว่าระเบียบแบบแผนศักดินานั้นเป็น
เทวลิขิต อีกด้วย ทำการควบคุมปริมณฑลด้านต่างๆทั้งทางชีวิตสังคม ความคิด และวัฒนธรรมอย่างแน่นหนา ปฏิญญาของศาสนจักรก็เป็นปฏิญญาทางการเมืองในเวลาเดียวกัน บทบัญญัติในคัมภีร์ล้วนแล้วแต่มีผลทางกฎ หมายที่ใช้ในศาลต่างๆ สรุปแล้ว....ศาสนจักรโรมันคาทอลิกที่มีองค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรมเป็นผู้นำ,สวมเสื้อคลุมอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับระบอบศักดินา และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดนักคิดแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม
จึงได้พุ่งปลายหอกแห่งการวิพากษ์ไปยังศาสนจักรโรมันคา ทอลิกและเทววิทยาโดยตรง
เพื่อจะต่อต้านกับเทววิทยาของคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งพันธนาการความคิดผู้คนมานับร้อยนับพันปี บรรดานักคิดของชนชั้นนายทุนทั้งหลายได้แต่ไปขอความช่วยเหลือจากจิตวิญญาณของกรีซและโรมันในสมัยโบราณ พวกเขาพยายามยกย่องสรรเสริญวัฒนธรรมคลาสสิคที่สะท้อนการ เมืองแบบ ประชาธิปไตยของเจ้าทาส และเศรษฐกิจสินค้าของระบอบทาส ก่อกระแสค้นคว้าวิชาการดั้งเดิม สืบเสาะค้นหาต้นฉบับตำราดั้งเดิม เลียนแบบศิลปกรรมของศิลปินดั้งเดิม ขุดค้นและใช้ปัจจัยที่เป็นคุณในวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับรูปการจิตสำนึกของศักดินา ตั้งแต่ภาษาไปจนถึงรูปแบบของงานศิลปะ ล้วนส่อแนวโน้ม “ฟื้นคืนของเก่า”
บางประการ
กระทั่งกล่าวถึงวัฒนธรรมของพวกเขาว่าเป็นการ “คืนชีพ” และ
“ฟื้นฟู” ของวัฒนธรรมดั้งเดิม(แบบโรมันและกรีก)
คำว่าฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมจึงได้ชื่อเพราะเหตุนี้
จริงๆแล้วการที่ชนชั้นนายทุนเรียกหาวิญญาณของผู้ล่วงลับ จุดมุ่งหมายก็เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการของศักดินาและสถาปนาสังคมทุนนิยม พวกเขา “หยิบยืมชื่อ คำขวัญสู้รบ และอาภรณ์ของคนโบราณ
เพื่อจะได้สวมใส่ชุดอาภรณ์ที่ได้รับการกราบไหว้บูชามาช้านานชนิดนี้ ใช้ภาษาที่หยิบยืมมานี้ไปแสดงฉากใหม่ของประวัติศาสตร์โลก” (มาร์กซ เรื่อง...ดิ เอททีน บรูแมร์ อ๊อฟ หลุยส์
โบนาปาร์ต ”The Eighteenth Brumaire of Louis Napoleon” เป็นบทความที่มาร์กซเขียนขึ้นเพื่อวิจารณ์ในกรณีที่ นโปเลียน หลุยส์ นโปเลียน หลานชายของจักรพรรดิ์นโปเลียนทำการรัฐประหารและขึ้นครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเมื่อปี
1851 .)
โดยเนื้อแท้แล้ว...ภายใต้รูปแบบ
“ฟื้นฟู” วัฒนธรรมดั้งเดิม
แต่ที่โฆษณานั้นคือเนื้อหาความคิดของชนชั้นนายทุนซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า
“ลัทธิมนุษย์นิยม” ดังนั้นบุคคลที่เป็นตัวแทนความคิดและวัฒนธรรมในขณะนั้นก็ได้ชื่อว่า
“นักลัทธิมนุษย์นิยม” นักลัทธิมนุษย์นิยมเหล่านั้นยืนยันว่า
มนุษย์เป็นผู้สร้างชีวิตและ เป็นเจ้าของชีวิต ใช้ทัศนคติสามัญธรรมดา “ที่เป็นมนุษย์” ไปเป็นปฏิปักษ์กับคำเทศนา
“ที่เป็นเทวะ” ของศาสนจักรโรมันคาทอลิก “มนุษย์”
ในที่นี้...แท้จริงแล้วก็คือตัวชนชั้นนายทุน และ “เทวะ”
ในที่นี้ก็คือผู้ปกครองศักดินาที่ถูกทำให้เป็นแบบเทวะไปแล้วนั่นเอง ลัทธิมนุษย์นิยมได้สะท้อนถึงผลประโยชน์และความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนที่ใช้ในการต่อสู้โฆษณา
ลัทธิมนุษ์นิยมโจมตีเทววิทยาที่ทรงอิทธิพลทางด้านศิลปะวรรณคดี ได้ทลายพันธนาการทางความคิดของศักดินาชั่วขณะหนึ่งจนปรากฏสถานการณ์ใหม่
ด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติก็มีการพัฒนาไปก้าวใหญ่
อลิเฮียริ
ดังเต (Alighieri
Dante 1265-1321)
นักกวีชาวเมืองฟลอเรนซ์ของอิตาลี
ก็ได้แสดงออกให้เห็นซึ่งหน่ออ่อนของกระแสความคิดลัทธิมนุษย์นิยมไว้ในบทกวีอันลือชื่อเรื่อง“หัสนาฏกรรมของเทวะ” โดยใช้นามปากกาเพื่อปกปิดตัวเอง ทำการประณามองค์สันตะปาปาและพวกพระอย่างกล้าหาญ
ต่อจากดังเตก็มีนักเขียนและผลงานปรากฏออกมาจำนวนหนึ่ง ทั้งในอิตาลีและประเทศอื่นๆในยุโรป ที่ลือชื่อที่สุดก็มีบทกวีพรรณนาความรักของฟรานเซสโก
เพทราคา (Francesco Petrarca 1304-1375) เรื่อง“บันเทิงทศวาน” ของจิโอวานนิ
บอคคาค์ซีโอ (Bocaccio Giovanni 1313-1375) นักกวีชาวอิตาลี
“สดุดีเทวาโง่” วรรณกรรมเสียดสีของ เดสิเดอร์ริอุส
อีราสมุส(Desiderius Erasmus 1466-1536)
นักเขียนชาวฮอลแลนด์
“คนยักษ์กับลูกชายของคนยักษ์” นวนิยายเสียดสีของ
ฟรองซัวส์ ราบองเล (Francois Rabenlaie
1494-1553) นักเขียนชาวฝรั่งเศส นวนิยายเรื่องยาว “ท่านจีฮาด” ของ ซาวีดรา
มิกูเอลเดอ เซอร์วานเตส(Saavedra Miguel De Cervantes 1547-1616) นักเขียนชาวสเปน และบทละครของ วิลเลี่ยม
เชคสเปียร์ (William Shakespear 1564-1616) นักเขียนชาวอังกฤษ เป็นต้น
วรรณกรรมเหล่านี้ ได้สะท้อนออกซึ่งความขัดแย้งแห่งยุคสังคมศักดินาสลายตัวในยุโรป ทำการเสียดสีทิ่มแทงอย่างเจ็บแสบต่อศาสนจักร พวกพระและพวกขุนนางศักดินาพยายามโฆษณายกย่องสรรเสริญอารมณ์ความคิดและแบบวิถีชีวิตของชนชั้นนายทุน สร้างวีรภาพของชนชั้นนายทุน พวกเขายังเริ่มใช้ภาษาของประชาชาติของตนในงานเขียน ไม่ใช้ภาษาลาตินที่คนส่วนใหญ่ที่สุดอ่านไม่รู้เรื่องอีกต่อไป เช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่ได้ขยายขอบเขตในการเผยแพร่กระแสความคิดลัทธิมนุษย์นิยมให้กว้างออกไปเท่า
นั้น หากยังมีบทบาทกระตุ้นต่อภาษาประชาชาติและการสถาปนาประเทศของประชาชาติสมัยใหม่ที่ก้าว
หน้าไปอีกด้วย ในด้านศิลปะโดยเฉพาะในด้านจิตรกรรมและแกะสลัก ก็ได้สืบทอดปัจจัยอรรถนิยมของศิลปะคดั้งเดิม
ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ยังคงใช้ศาสนาและเทพนิยายที่มีมาแต่ดั้งเดิมเป็นเค้าเรื่อง แต่ก็บรรยายด้วยทัศนะและวิธีการของโลกสามัญธรรมดา ถลกเสื้อคลุมที่ลี้ลับของเทวะทิ้งไป ทำให้เทวะไม่ใช่สิ่งซึ่งสูงสุดเอื้อมอีกต่อไป
หากเป็นบุคคลที่แสดงออกซึ่งอารมณ์ความคิดของชนชั้นนายทุน ที่มีทั้งดีใจ เสียใจ โกรธ เกลียด
เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ได้แสดงออกอย่างเด่นชัดมากในงานของจิตรกรชาวอิตาลี เช่น เลียวนาร์โด ดา วินชี (Leonado
Da Vinci 1452-1519) ไมเคิล
แองเจโล บัวนาร์โรติ (Michel angelo Buonarroti 1475-1564) และราฟาเอล ซานติ (Raphael Santi
1480-1520) เป็นต้น
สิ่งที่นักลัทธิมนุษย์นิยมโฆษณาป่าวร้องนั้นก็คือ ลัทธิเอกชนของชนชั้นนายทุน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาย่อมจะต้องคัด ค้านมวลชน และดูถูกมวลชน
ในบรรดางานศิลปะวรรณคดีสมัยฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมนั้น
ประชาชนผู้ใช้แรงงานไม่มีฐานะเลยแม้แต่น้อย ถึงจะมีปรากฏตัวออกมาบ้างก็มักจะถูกบิดเบือนเป็นตัวตลกที่น่าสมเพชเสียมากกว่า
การพัฒนาของการผลิตแบบทุนนิยม ได้ผลักดันให้วิทยาศาสตร์ธรรมชาติพัฒนาก้าวหน้าไปด้วย นิโคเลาส์
โคเปอร์นิคุส (Nicolaus Copernicus 1473-1543) นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์อาศัยการสังเกตเป็นเวลายาวนานของตนเอง และผลสรุปที่ได้จากการค้นคว้าของคนรุ่นก่อนเป็นพื้นฐาน เสนอ “ทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง”
ขึ้นเป็นครั้งแรก เขาเห็นว่าศูนย์กลางของจักรวาลคือดวงอาทิตย์ไม่ใช่โลก โลก..เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในหลายๆดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เท่านั้น โลกยังหมุนรอบแกนตัวเองอีกด้วย เช่นนี้แล้วก็ได้ปฏิเสธระบบ
“ทฤษฎีโลกเป็นศูนย์กลาง” ซึ่งเคยครองฐานะครอบงำและถูกปกป้องคุ้มครองโดยศาสนจักรมานานนับพันปีเสียสิ้น ต่อจากนั้น กาลิเลโอ (Galileo
1564- 1642)นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี โจฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes Kepler
1571-1630) นักดารา ศาสตร์ชาวเยอรมันได้ทำการสาธยายพิสูจน์เพิ่มเติมต่อทฤษฎีของโคเปอร์นิคุส แม้ว่าทางศาสนจักรโรมันคาทอลิคใช้วิธีการอันโหดเหี้ยมทุกชนิดไปปองร้ายต่อความ
“นอกรีตนอกรอย” ของโคเปอร์นิคุสก็ตาม
แต่ “โลกยังคงหมุนอยู่” ได้กลายเป็นคำขวัญที่ปลุกเร้าใจผู้คนในขณะนั้นไปแล้ว ทฤษฎีอันเหลวไหลที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลาง โลกไม่เคลื่อนไหว ได้ถูกโค่นลงในที่สุดพร้อมกับเทพนิยายประ เภทพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกที่เชื่อมโยงอยู่กับทฤษฎีนี้ก็ถูกสั่นคลอนไปด้วย
ในการต่อสู้อันแหลมคมนี้ บรูโน จิโอร์ดาโน (Bruno
Giordano ประมาณ 1548-1600) นักคิดและนัก วิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีมีฐานะเด่นเป็นพิเศษ บรูโนได้สรุปรวบยอดผลสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติจากด้านปรัชญา ได้พิทักษ์และพัฒนาทฤษฎีของโคเปอร์นิคุส คัดค้านทฤษฎีพระเจ้าสร้างโลกอันเป็นทฤษฎีอันเหลวไหลไร้สาระ ความคิดและการกระทำของเขาเป็นที่เคียดแค้นชิงชังของศาสนจักรยิ่งนัก จึงได้เฝ้ากลั่นแกล้งปองร้ายเขาตลอดเวลา และในที่สุดเขาถูกชนชั้นปกครองใช้ไฟเผาตายอยู่บนหลักประหารในกรุงโรม บรูโนเชื่อมั่นสัจธรรมของวิทยาศาสตร์อย่างมั่นคง ดูถูกเหยียดหยามเทวสิทธิ์
ในขณะที่ผู้พิพากษาของศาสนจักรตัดสินประหารชีวิตเขานั้น เขาได้ลุกขึ้นโต้ตอบด้วยท่วงท่าอันไม่ประ
หวั่นพรั่นพรึงว่า “พวกท่านอ่านคำพิพากษายังรู้สึกขลาดกลัวกว่าข้าซึ่งฟังคำพิพากษาเสียอีก”
วิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบันก็พัฒนาก้าวหน้าขึ้นในท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดด้วยประการเช่นนี้ ในยุค
ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมชนชั้นนายทุนที่เกิดใหม่ยังอ่อนแอมาก มันพยายามจะทลายเครื่องพันธนาการของระบอบศักดินา
แต่ก็ไม่สามารถเสนอหลักนโยบายสู้รบในการโค่นล้มระบอบศักดินาในขั้นมูลฐานได้ แสดงให้เห็นถึงลักษณะพิเศษที่ชนชั้นนายทุนยังอยู่ในกระบวนการตั้งครรภ์ในตัวระบอบศักดินา ซึ่งได้สะท้อนออกอย่างเด่นชัดในกระแสความคิดลัทธิมนุษย์นิยมที่พวกเขาโฆษณาเผยแพร่
เนื้อหาสำคัญของลัทธิมนุษย์นิยม
ลัทธิมนุษย์นิยมเป็นอาวุธทางความคิดที่สำคัญที่ชนชั้นนายทุนในขณะนั้นใช้ไปคัดค้านระบบทฤษฎีเทว วิทยาของศาสนจักร และสาธยายความเรียกร้องต้องการทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของตนเองเทววิทยาสมัยกลางเห็นว่า เทวะนั้นอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างส่วนมนุษย์นั้นต่ำต้อย บนร่างกายมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยบาป ตามแต่เทวะจะบัญชา ตัวมนุษย์เองนั้นไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้ มนุษย์จึงไม่ควรเรียกร้องอะไร ขอแต่ทำตนเป็นทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์
พินอบพิเทาของเทวะ ก็จะสามารถได้รับ “ความสุข” ใน “ชาติหน้า” เป็นต้น เทศนาโวหารเหล่านี้เป็นเพียงการสะท้อนระเบียบแบบแผนศักดินาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจธรรมชาติแบบพอเพียง อำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เทวะมีต่อมนุษย์นั้น
ก็คือการแสดงออกซึ่งการปกครองแบบอภิสิทธิ์ของเจ้าศักดินานั่นเอง กล่าวสำหรับชนชั้นนายทุนที่ต้องการทำ
ลายพันธนาการของศักดินาพัฒนาทุนนิยมอย่างเสรีแล้ว
มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจทนได้ทีเดียว
ประการแรก....มุ่งตรงต่อเทศนาโวหารของเทววิทยาชุดนี้ นักลัทธิมนุษย์นิยมก็พยายามเน้นและสรร เสริญ คุณค่า
ศักดิ์ศรี และพลังของคน ใช้มนุษย์ภาพไปคัดค้านเทวภาพ พวกเขาเห็นว่าพระเจ้าสร้างสรรพสิ่ง ขณะเดียวกันก็สร้างมนุษย์ มนุษย์นั้นต่างกับสัตว์และพืชก็ตรงที่ว่ามนุษย์มี
“เหตุผล” ซึ่งก็คือ “มนุษย์ภาพ” ที่แท้จริง ในเมื่อมนุษย์ไม่ใช่มีบาปมาแต่กำเนิดก็สามารถผ่านจากการค้นคว้าตนเอง เสาะค้นธรรมชาติและสังคมไปพัฒนา “เหตุผล” ได้มาซึ่ง
“เสรีภาพ” และ “ความสุข” โดยไม่ต้องไปคุกเข่าวิงวอนร้องขอต่อศาสนจักรและพระผู้เป็นเจ้า บางคนก็กล่าวว่ามนุษย์สามารถอาศัยเจตนา รมณ์แห่งตนไปกำกำหนดชะตากรรมของตนเอง บางคนก็กล่าวว่ามนุษย์สามารถอาศัยความเร่าร้อนแบบวีรชนเอกชนไปสู่สรวงสวรรค์ได้ ส่วนเช็คสเปียร์นั้นก็อาศัยปากของตัวละครร้องตะโกนว่า
“อา..มนุษย์ช่างเป็นผล งานชิ้นเยี่ยม มันเปี่ยมด้วยเหตุผลที่สูงค่า มีพลังที่ยิ่งใหญ่ มีท่วงท่าอันสง่างาม มีกิริยาอันสุภาพเสียนี่กระไร ด้านการกระทำดูประหนึ่งเทวทูต ด้านภูมิปัญญาเสมอเหมือนเทพเจ้า มันคือเจตภูตของจักรวาล เจ้าคือวิญญาณของสรรพสิ่ง”
นักลัทธิมนุษย์นิยมก็ได้โฆษณาฐานะที่เป็นอิสระของ”มนุษย์” คัดค้านและลดอำนาจสัมบูรณ์ของ ”เทวะ”เช่นนี้แหละ ในขณะนั้น พวกเขายังไม่กล้าเสนอคำขวัญ ”สิทธิมนุษย์ฟ้าประทาน” อันเป็นคำขวัญของนักคิดแห่งยุคเสริมสร้างภูมิปัญญาในศตวรรษที่
18 อย่างเปิดเผย
ไม่กล้าปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเปิดเผย
หากยังคงยอมรับว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพลังชี้ขาดในขั้นสุดท้าย นักลัทธิมนุษย์นิยมใช้มนุษย์ภาพไปปฏิเสธเทวภาพ เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าชนชั้นนายทุนพยายามต่อสู้ชิงชัยกับชนชั้นศักดินาเพื่อเพิ่มพูนโภคทรัพย์และแผ่อิทธิพลของตนภายใต้ขอบเขตของระบอบศักดินาเท่านั้น ประชาชนผู้ใช้แรงงานเรือนร้อยล้านเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์โลกกลับถูกพวกเขาสบประมาท ว่า เป็น”ฝูงชนเถื่อนที่ด้อยปัญญา ไร้สติสัมปชัญญะ” และถูกขจัดอยู่นอก “คุณค่า” และ “ศักดิ์ศรี”
ประการที่
2
ต่อลัทธิตัดกิเลสที่โฆษณาป่าวร้องโดยศาสนาจักรโรมันคาทอลิค นักลัทธิมนุษย์นิยมได้ทำการโจมตีอย่างสุดกำลังโดยเสนอคำขวัญ
“เสรีภาพส่วนบุคคล”
“ความสุขส่วนบุคคล”
เพื่อแก้ต่างให้กับการเคลื่อนไหวด้านอุตสาหกรรมและวิถีชีวิตของชนชั้นนายทุน พวกเขาพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่า “เสรีภาพส่วนบุคคล” และ “ความสุขส่วนบุคคล” เป็นจุดมุ่งหมายชีวิตของมนุษย์ คือความเรียกร้องต้องการของ “มนุษย์ภาพ” พวกเขาประณามลัทธิตัดกิเลสซึ่งโฆษณาโดยพวกพระว่า เป็นสิ่งซึ่งฝืน “มนุษย์ภาพ” เป็นสุดยอดของความคิดจอมปลอม พวกพระกล่าวว่าโลกเป็น “แหล่งความทุกข์” เรียก ร้องให้ผู้อื่นดูเบาโภคทรัพย์ แต่พวกเขาเองกลับยึดครองที่ดินผืนใหญ่เขมือบสินทรัพย์ของผู้อื่น พวกพระโฆษณาว่า
อันเนื้อหนังมังสาคือคุกตะรางของวิญญาณ
เตือนผู้อื่นให้อดใจละเว้นจากตัณหา
แต่พวกเขาเองกลับละโมบโลภมาก ใช้ชีวิตอันเหลวแหลกเน่าเฟะ
นักลัทธิมนุษย์นิยมได้โจมตีความคิดจอมปลอมชนิดนี้อย่างไม่ปรานีปราศรัย และถือมันเป็นสิ่งยืนยันพิ สูจน์ว่าการแสวงหาโภคทรัพย์และชีวิตที่เสพสุขของชนชั้นนายทุนเป็นสิ่งชอบธรรม พ็อกจิโอ แบรคซิโอลินี(Poggio
Bracciolini 1380-1495) นักมนุษย์นิยมชาวอิตาลีเห็นว่า โภคทรัพย์เป็นเครื่องหมายที่แจ่ม ชัดซึ่งแสดงถึงความเอาใจใส่ของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อคนๆหนึ่ง ฉะนั้นการร่ำรวยมีสินทรัพย์จึงเป็นกุศลผลบุญชนิดหนึ่ง ส่วน โลเรนโซ วัลลา (Lorenzo Valla
1406-1457) นักมนุษย์นิยมชาวอิตาลีอีกผู้หนึ่ง ก็โฆษณาทัศนะวิญญาณกับเนื้อหนังมังสาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เน้นว่าชีวิตทางเนื้อหนังมังสามีคุณค่า
ไม่แพ้การปลดเปลื้องทางวิญญาณ จะต้องเสพสุขสำราญทั้งปวงในชีวิตของชาตินี้
จะเห็นได้ว่า “เสรีภาพส่วนบุคคล” ที่พวกเขาใฝ่หานั้น เป็นเพียงนามแฝงของเสรีภาพในการซื้อขาย เสรีภาพในการขูดรีดและเสรีภาพในทรัพย์สินของชนชั้นนายทุนเท่านั้นเอง และ “ความสุขส่วนบุคคล” ที่พวกเขาโฆษณา
โดยเนื้อแท้แล้วก็คือใช้ลัทธิเสพสุขที่เปิดเผยของชนชั้นนายทุนไปคัดค้านลัทธิเสพสุขที่ไม่เปิดเผยของชนชั้นศักดินานั่นเอง “เสรีภาพ”และ”ความสุข”เช่นนี้
แน่ละย่อมถือเอาความล้มละลายและความขมขื่นของประชาชนผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ที่สุดเป็นเงื่อนไขเบื้องแรก ฉะนั้น
แบรคคิโอลินี
จึงประกาศอย่างเปิดเผยว่า
ต่อเมื่อเจตนารมณ์ของบุคคลเฉพาะรายได้ทำลายกฎของคนส่วนใหญ่แล้วเท่านั้น “ภารกิจอันยิ่งใหญ่” จึงจะประจักษ์เป็นจริงได้
จากนี้จะเห็นได้ว่า ลัทธิมนุษยนิยมที่ชนชั้นนายทุนโฆษณานั้น ได้ถือเอา “มนุษยภาพ”
ที่อยู่เหนือชนชั้นเป็นรากฐานทางทฤษฎี
แต่ว่าในสังคมที่มีชนชั้น
มีแต่มนุษยภาพที่มีลักษณะชนชั้นเท่านั้น
ไม่มีมนุษย์ภาพที่อยู่เหนือชนชั้น
บรรดาตัวแทนนักคิดของชนชั้นนายทุนทั้งหลายจับเอาอาวุธ
“มนุษยภาพ”ขึ้นมา
ก็เพื่อจะประกาศว่าธาตุแท้ของชนชั้นนายทุน
อันได้แก่ลัทธิเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
ลัทธิเสพสุขและความคลั่งไคล้ในการเป็นเจ้าเข้าครอง ทั้งหมดเหล่านี้เป็น “มนุษยภาพทั่วไป” อันเป็นสิ่งซึ่งฟ้าประทาน
จากนี้ไปปลุกเร้าให้ชนชั้นนายทุนทำการช่วงชิงอำนาจการขูดรีดต่อประชาชน อำนาจการครอบครองต่อโภคทรัพย์และอำนาจการปกครองต่อสังคมกับชนชั้นศักดินา
ประการที่
3 เริ่มต้นจาก “มนุษยภาพ”
ชนิดนี้ พวกเขายังเสนอและสาธยายถึงความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนและทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐ ขณะนั้นบรรดาเจ้าศักดินาเฉือนดินแดนแข็งอำนาจ เจ้าครองนครวางอำนาจบาตรใหญ่ สงครามเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน
เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการพัฒนาอย่างราบรื่นของทุนนิยมโดยตรง การลุกฮือขึ้นสู้ของประชาชนในสมัยสะสมทุนปฐมกาลก็คุกคามต่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของชนชั้นนายทุน ในขณะที่ชนชั้นนายทุนยังไม่มีกำลังเพียงพอในการกุมอำนาจรัฐนั้น
จึงมีความเรียกร้องต้องการอันเร่งด่วนที่จะให้มีอำนาจกษัตริย์ที่เข้มแข็งเกรียงไกรอำนาจหนึ่งไปทำลายการเฉือนดินแดนแข็งอำนาจแบบศักดินาและปราบปรามการต่อสู้ของประชาชน เป็นการสนองตลาดการค้าภายในประเทศที่เป็นเอกภาพในการพัฒนาทุนนิยม ขณะที่ตัวแทนนักคิดชนชั้นนายทุนทั้งหลายแสดง ออกซึ่งความเรียกร้องต้องการทางการเมืองนี้ ก็ยังคงหยิบยก “ทฤษฎีมนุษยภาพ” เป็นอาวุธ
ในบทนิพนธ์
“ว่าด้วยกษัตราธิราช” ของนิโคโล แมคเคียเวลลี่ (Machiavelli Niccolo
1469-1527) นักคิดนักการเมืองชาวอิตาลี เริ่มต้นจากความคิดที่ว่า
“สันดานของมนุษย์นั้นชั่วร้ายมาแต่กำเนิด”
จึงได้วางมาตรฐานเป็นแนวปฏิบัติสำหรับกษัตริย์และรัฐของกษัตริย์ เขากล่าวว่า “ใครก็ตามหากคิดจะสถาปนารัฐๆ หนึ่งทั้งตรากฎหมายให้กับรัฐนี้
ก่อนอื่นเขาจะต้องตั้งสมมุติฐานว่ามนุษย์นั้นล้วนแล้วแต่ชั่วร้ายและ พอมีโอกาสก็มักจะแสดงออกซึ่งความชั่วร้ายของพวกเขาออกมา” เขายังกล่าวอย่างเปิดเผยอีกว่า ”เนื่องด้วยมนุษย์นั้นชั่วร้าย” ฉะนั้นเพื่อจะบรรลุจุดมุ่งหมาย ผู้ปกครองก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงวิธีการที่ใช้จะต้องทำให้ตนเองเพียบพร้อมด้วยความดุร้ายเยี่ยงสิงโต และเจ้าเล่ห์ดุจสุนัขจิ้ง จอก แต่ว่า “จะต้องหลีก เลี่ยงการละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่น เพราะว่าผู้คนอาจลืมเลือนการตายของบิดาผู้ให้กำเนิดได้
แต่จะไม่ยินยอมให้เกิดการสูญเสียของสินทรัพย์เป็นอันขาด”
แมคเคียเวลลี่ได้สลัดทิ้งซึ่งจินตภาพของเทววิทยาโดยสิ้นเชิง ประกาศอย่างเปิดเผยว่า ผลประโยชน์ของรัฐเป็นมาตรฐานสูงสุดในการวินิจฉัยพฤติกรรมทางการเมือง เช่นนี้แล้ว แมคเคียเวลลี่ก็ได้เผยให้เห็นถึงความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนอย่างล่อนจ้อนและเป็นจริงในอันที่จะได้มาซึ่งอำนาจรัฐ การพิทักษ์ทรัพย์สิน ขยายทุน
เป็นภาระหน้าที่อันดับแรกโดยอาศัยความรุนแรงที่ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามบรรทัดฐานของศีลธรรมใดๆทั้งสิ้นจึงเป็นรากฐานอันแท้จริงของรัฐชนิดนี้ ฉะนั้น
ทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐของแมคเคียเวลลี่ได้สะท้อนให้เห็นความเรียกร้องต้องการอย่างแรงกล้าในอันที่จะสถาปนารัฐของประชา
ชาติที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางของชนชั้นนายทุนในยุโรปขณะนั้น และทฤษฎีที่ว่า เพื่อผลสำเร็จทางการเมือง ขอเพียงให้บรรลุจุดมุ่งหมายได้ก็ไม่ต้องคำนึงถึงวิธีการที่ใช้ ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า
“ลัทธิแมคเคียเวลลี่”
นี้ได้ถูกนักการเมืองชนชั้นนายทุน
โดยเฉพาะพวกลัทธิฟาสซิสต์ยึดถือเป็นคติประจำใจอย่างเคร่งครัด
ธาตุแท้ของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม
การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมเป็นการเคลื่อนไหวทางความคิดและวัฒนธรรมครั้งหนึ่งของชนชั้นนายทุน มันได้สะท้อนความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่จากด้านรูปการจิตสำนึก
โดยเชื่อมโยงเข้ากับการเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาที่ขึ้นสู่กระแสสูงในศตวรรษที่ 16
ได้สั่นคลอนต่อศาสนจักรโร มันคาทอลิคอันเป็นเสาค้ำทางจิตใจของระบอบศักดินาในยุโรปอย่างรุนแรง
อันเป็นการตระเตรียมประชา มติให้กับการปฏิวัติชนชั้นนายทุน ฉะนั้นมันจึงสอดคล้องกับกระแสประวัติศาสตร์ในขณะนั้น ในขณะ
ที่ชนชั้นนายทุนดำเนินการโจมตีชนชั้นปกครองศักดินาและศาสนจักรโรมันคาทอลิค ซึ่งเป็นตัวแทนของมันที่ถูกทำให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้น เพื่อจะปิดบังอำพรางผลประโยชน์อันคับแคบของตน และปิดบังอำพรางการเป็นปฏิปักษ์กับประชาชนผู้ใช้แรงงานของตน
นักคิดของชนชั้นนายทุนได้เพียรพยายามอ้างตนว่าไม่ใช่ตัวแทนของชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ หากแต่เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่ว่าสิ่งที่ชนชั้นนายทุนทำอยู่นั้น
เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นของประชามหาชน
แม้แต่ในยามที่ชนชั้นนายทุนก่อการรุกโจมตีต่อชนชั้นศักดินานั้น
ก็ไม่ได้หยุดยั้งการขูดรีดและกดขี่ประชาชนผู้ใช้แรงงานแม้แต่น้อย ทั้งจุดมุ่งหมายในการก่อการรุกโจมตีชนชั้นศักดินาของชนชั้นนายทุนก็เพื่อช่วงชิงอำนาจในการปกครองและขูดรีดประชาชนผู้ใช้แรงงานโดยแท้ ฉะนั้นพออำนาจรัฐตกถึงมือ พวกเขาก็มักจะรวมหัวกับอิทธิพลศักดินาทำการรุกโจมตีต่อประชา ชนผู้ใช้แรงงานที่เรียกร้องให้ปฏิวัติต่อไป ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่พวกฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมป่าวร้องนั้น กล่าวสำหรับชนชั้นนายทุนแล้ว มันคือโองการสวรรค์ แต่กับประชาชนผู้ใช้แรงงานแล้ว มันคือกลลวง
ตั้งแต่วันแรกที่อุบัติขึ้น
ชนชั้นนายทุนก็แบกเครื่องหลังที่เป็นสิ่งตรงข้ามกับตนไว้ซึ่งก็คือชนชั้นกรรมา ชีพ ในการต่อสู้กับชนชั้นศักดินาแต่ละครั้ง ผู้นำหน้าของชนชั้นกรรมาชีพยุคใกล้ก็เคยก่อการเคลื่อน ไหวที่เป็นอิสระของตน ทั้งได้เสนอความเรียกร้องต้องการของตนที่ต้องการให้ทรัพย์สินเป็นของสาธารณะมาแล้ว
เช่น โธมัส มึนเซอร์ (Thomas Müntzer ประมาณ 1489 -1525/นักเทศน์และนักการศาสนาชาวเยอรมันในยุคแรกๆของการปฏิรูป
เป็นผู้นำการลุกขึ้นสู้ของชาวนาและชนชั้นล่างเยอรมันในปี
1525 ถูกจับในการสู้รบที่เมือง ฟรังเกนเฮ้าเซ่น
ถูกทรมานและประหารชีวิตในที่สุด .)
ในสงครามชาวนาเยอรมัน
ก็คือธงนำของพวกเขา เบื้องหน้ากระแสความคิดวัฒนธรรมของชนชั้นนายทุนเขาได้ชูธง
“ทรัพย์สินสาธารณะ” อย่างกล้าหาญ
ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการปฏิเสธระเบียบแบบแผนศักดินาในขณะนั้นอย่างถึงที่สุดเท่านั้น
หากยังเป็นการท้าทายต่อแบบวิธีการผลิตของชนชั้นนายทุนและรูปการจิตสำนึกของมันอย่างองอาจกล้าหาญด้วย
โทมัส มึนเซอร์
ภาพจากวิกิพีเดีย
การเปิดโปงกลลวงนี้ยังมาจากอีกด้านหนึ่งคือนักสังคมนิยมอุดมคติยุคแรก การต่อสู้ทางชนชั้นในสังคมที่ดุเดือดแหลมคมในสมัยการสะสมทุนปฐมกาล
ทำให้พวกเขามองเห็น “มะเร็งร้าย”
ของสังคมที่เกิดจากการขูดรีดของทุน ดังนั้น
จึงพยายามสร้างภาพ สังคมที่ “สวยสดงดงาม”
ขึ้นสังคมหนึ่งในสมองของตน
งานเขียนที่เป็นตัวแทนของพวกเขาได้แก่ “ยูโธเปีย”ของโธมัส มอร์ (Thomas
More 1478-1535) ชาวอังกฤษและ “สุริยะนคร” ของทอมมาโซ คามปาเนลล่า
(Tommaso Campanella 1568-1639) ชาวอิตาลี งานเขียนเหล่านี้ได้ตีแผ่ให้เห็นถึงการสะสมปฐมกาลของทุนที่ได้นำความทุกข์ยากลำเค็ญมาสู่ประชาชนผู้ใช้แรงงาน เห็นว่าระบอบทรัพย์สินเอกชนเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายทั้งปวง ขณะเดียวกันก็ได้วาดภาพสังคมระบอบทรัพย์สินสาธารณะอันเป็นสังคมในอุดมคติ กล่าวโดยสรุปแล้ว จุดยืนมูลฐานและจุดเริ่มต้นของพวกเขายังถูกครอบงำโดยโลกทัศน์ของชนชั้นนายทุน ทั้งไม่สามารถค้นพบกำลังทางชนชั้นและวิถีทางที่เป็นจริงในปัจจุบันในการทำให้สังคมในอุดมคตินี้ปรากฏเป็นจริงขึ้นก็ตาม
แต่งานเขียนของพวกเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงจากอีกด้านหนึ่งว่า
ระบอบทรัพย์สินเอกชนของชนชั้นนายทุนที่ตัวแทนของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมพยายามพิทักษ์รักษาและยกย่องสรรเสริญนั้น
เป็นเพียงโซ่ตรวนเส้นใหม่ที่นำมาคล้องคอประชาชนผู้ใช้แรงงานเท่านั้น การอ้างตนเป็น “ตัวแทนของมวลมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก” ล้วนเป็นคำพูดที่ลวงคนทั้งสิ้น
จบตอนทื่ 2….ตอนต่อไปได้แก่
การโหมโรงการปฏิวัติของชนชั้นนายทุน