ตอนที่ 4 กำเนิดลัทธิมาร์กซรัสเซีย
ความคาดหวังของเพลคานอฟต่อแนวโน้มในอนาคตเป็นเรื่องที่มืดมน ยุทธวิธี
“ลงสู่มวลชน” แบบเก่าล้าสมัยไปแล้ว
ชาวนาปฏิเสธคำโอ้โลมปฏิโลมของชาวนารอดนิคมากยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ ในที่สุดอดีตชาวนารอดนิคส่วนใหญ่ก็ได้ละทิ้งความหวังอย่างไม่แยแส กลับไปใช้ชีวิตในเมืองดื่มกินสนุกสนานหนักยิ่งกว่าเดิม มีความเป็นไปได้ที่ความจัดเจนในระยะที่ผ่านมาของเขาในฐานะที่เป็นหัวหน้า
”ส่วนงานกรรมกร” ได้ผลักดันให้ เพลคานอฟ เสนอความเห็นต่อบรรดาสมาชิกของ
เชอร์นี พาราเดล
ว่าพวกเขาควรจะเข้าไปปลุกระดมมวลชนกรรมกรในโรงงาน ดังนั้นเพลคานอฟจึงเริ่มเข้าไปเสาะหาและสร้างความสัมพันธ์กับกรรมกรที่เขาเคยมีความสัมพันธ์อยู่แต่เดิม ในบรรดากรรมกรเหล่านี้ หนึ่งในนั้น ได้แก่คาลทูลินแห่งสหบาลกรรมกรรัสเซียภาคเหนือ แต่กระแสของลัทธิก่อภัยร้ายยังเป็นที่ชื่นชอบของบรรดากรรมกรที่ก้าวหน้าซึ่งคาลทูลินก็มีส่วนร่วมอยู่ด้วย
เดือนกุมภาพันธ์ 1880 มีความพยายามที่จะลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ ผู้สนับสนุนแนวทางของ เชอร์นี พาราเดล จึงถูกโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด ลมหายใจเฮือกสุดท้ายได้มาถึงในเดือนมกราคม
1880
ตำรวจได้เข้าทะลายโรงพิมพ์ใต้ดินและทำการกวาดล้างจับกุมองค์กรก้าวหน้าต่างๆทั่วรัสเซีย อนาคตของชาวนารอดนิคที่ไม่สนับสนุนการก่อภัยร้ายซึ่งภายหลังทรอตสกีได้ให้ข้อสังเกตว่า ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดๆแต่เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ลัทธิมาร์กซ
อีกด้านหนึ่งซึ่งแตกออกไป คือผู้ที่สนับสนุนกลุ่ม นารอดนายา โวลยา ได้สร้างผลงานที่น่าประทับใจขึ้น กล่าวคือ.....องค์กรเล็กๆที่ประกอบไปด้วยชายหญิงแค่สองสามร้อยคน สามารถทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ทำให้พระเจ้าซาร์ต้องกลายเป็นเสมือนนักโทษที่ถูกคุมขังไว้ในพระราชวังของพระองค์เอง ในเวลานั้นทิศทางของกระแสมวลชนได้หลั่งไหลไปสู่ นารอดนายา โวลยา ที่ดำเนินการโดยตัวแทนซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงนักปฏิวัติรุ่นหนุ่มสาวทั้งสิ้น องค์กรใหม่นี้มีการรวมศูนย์และดำเนินงานลับกันอย่างเข้มข้น นำโดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วย
เอ.ไอ.เซลียาปอฟ , เอ. ดี. มิคไคลอฟ , เอ็ม.เอฟ. โฟรเลนโก, เอ็น .เอ. โมโซรอฟ, เวรา ฟิคเนอร์, โซเฟีย เปอร์รอฟสกายา และคนอื่นๆ เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวของชาวนารอดนิครุ่นเก่า นโยบายของ นารอดนา โวลยา แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้ากว่า และมีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนกว่าในการต่อสู้คัดค้านระบอบเอกาธิปไตย เลนินมักจะกล่าวคำสรรเสริญถึงความไม่เห็นแก่ตนเองของวีรบุรุษและวีรสตรี ชาวนารอดนิคผุู้กล้าหาญเหล่านี้อยู่ เสมอๆในขณะที่มีวิจารณ์ยุทธวิธีการก่อภัยร้ายเพียงด้านเดียว ภายหลังท่านเขียนว่า “สมาชิกของ
นารอดนายา
โวลยา ได้ก้าวล้ำไปหนึ่งก้าวแล้วในการต่อสู้ทางการเมือง เพียงแต่ไม่อาจเชื่อมเข้ากับลัทธิสังคม นิยมเท่านั้น”
นโยบายของ นารอดนายา
โวลยา ที่คาดหวังไว้ในอนาคตถึงการมี ”ตัวแทน”ถาวรที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพอย่างเป็นทางการ
, การโอนที่ดินให้แก่ประชาชน, และมาตรการ ให้โรงงานอยู่ในการจัดการของกรรมกร การเคลื่อนไหวนี้มีพลังจูงใจต่อมวลชนที่กล้าหาญและเสีย สละตัวเอง
รวมถึงคาลทูรินแห่งสหบาลกรรมกรภาคเหนือด้วย
เขาได้แสดงความอาจหาญอย่างมากด้วยการเริ่มต้นจากงานช่างไม้ในหน่วยเรือสำราญของพระจักรพรรดิ์ เป็นแบบอย่างของคนงานที่ได้รับความไว้วางใจ,
และในเดือนกุมภาพันธ์ 1880
เขาได้ประกอบระเบิดที่มีอานุภาพร้ายแรงภาย ในโรงช่างของพระราชวังฤดูหนาว เตรียมที่จะระเบิดพระราชวังของพระเจ้าซาร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางนครหลวงของพระองค์เอง ผลก็คือ..รัฐเผด็จการได้เพิ่มมาตรการปราบปราบที่เข้มข้นขึ้นภายใต้ความรับผิดชอบของนายพล
เมลิคอฟ
กรณีของคาลทูรินเป็นเรื่องที่น่าสลดใจ..ในช่วงแรกๆเขามีความความรู้สึกที่ขัดแย้งอยู่ในใจระหว่างความจำเป็นในการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวด้านแรงงานและลัทธิก่อภัยร้าย เหมือนที่
เวนทูรี ได้อธิบาย ..”คาลทูรินมีเส้นแบ่งระหว่างเป้าหมายของการขู่เข็ญคุกคาม(ศัตรู)และภาระหน้าที่ในการเป็นผู้นำองค์กรกรรมกรอย่างความชัดเจน และในบางครั้งยังเปิดเผยความรู้สึกของตนออกมาว่า
ปัญญาชนได้บีบคั้นเขาโดยเริ่มจากการสะกิดบาดแผลของความล้มเหลวทุกๆครั้งในการก่อภัยร้าย ถ้า..เพียงแต่พวกเขาจะให้เวลาและเปิดโอกาสแก่เราสักนิดเพื่อการสร้างความเข้มแข็งขึ้นมา " แต่แล้วเขาก็ถูกความกระหายที่จะปฏิบัติการในทันทีซึ่งเป็นการนำเขาไปสู่หลักประหาร
ความสำเร็จทุกๆครั้งในการก่อภัยร้าย ก็คือการเพาะเมล็ดพันธ์ของความเสื่อมถอย การลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ในปี 1881 ไม่ได้ทำให้การปกครองที่กดขี่บรรเทาเบาบางลง
ยิ่งการก่อภัยร้ายต่อตัวบุคคลไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี หัวหน้าตำรวจ
ยิ่งเป็นการเปิดทางให้กลไกรัฐที่กดขี่ทั้งปวงทำการต่อต้านการเคลื่อนไหวปฏิวัติรุนแรงยิ่งขึ้น รัสเซียแบ่งการปกครองออกเป็นหลายมณฑล โครพอทกิ้นกล่าวระลึกว่า “แต่ละแห่งขึ้นอยู่กับข้าหลวงใหญ่ ส่วนมากได้รับคำสั่งให้แขวนคอผู้ที่ต่อต้านรัฐอย่างไร้ความปราณี
เช่นโควาลสกี้และพรรคพวกไม่ได้ยิงใครเลยต้องถูกประหารชีวิต การแขวนคอกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน, ภายในสองปีมีการแขวนคอประชาชนไปถึง 23
ราย รวมถึงเด็กชายอายุ 19 ปีคนหนึ่ง เพียงแค่ชูป้ายคำแถลงของนักปฏิวัติที่สถานีรถไฟซึ่งเป็นข้อกล่าวหาเพียงข้อเดียวที่ทำให้เด็กคนนั้นต้องโทษประหาร
“เขายังเป็นแค่เด็กชาย แต่ได้ตายเยี่ยงผู้ใหญ่”
เด็กสาวคนหนึ่งอายุแค่
14 ปีถูกเนรเทศไปไซบีเรียตลอดชีวิต
เพียงเธอพยายามกระตุ้นฝูงชนให้ปล่อยนักโทษบางคนในขณะที่ถูกนำไปประหาร,เธอฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดน้ำ ผู้ต้องโทษใช้เวลาเป็นปีในที่คุมขังที่มีสภาพคล้ายถ้ำเล็กๆที่ชุกไปด้วยไข้ไทฟอยด์และเสียชีวิตไปถึง 20 % ภายในหนึ่งปีในขณะที่รอการไต่สวน นักโทษพากันประท้วงต่อการปฏิบัติอย่างโหดร้ายของผู้คุมด้วยการอดอาหารก็ถูกบังคับให้กินด้วยการจับกรอกแม้ ผู้ที่พ้นโทษแล้วยังคงถูกเนรเทศไปยังไซบีเรีย พวกเขาต้องประ
สบกับความอดอยาก
รอจนกว่าจะได้รับความเห็นใจจากรัฐบาลอนุญาตให้กลับบ้านได้ ทั้งหมดนี้ได้สร้างความโกรธแค้นให้แก่บรรดาคนหนุ่มสาวเหมือนถูกสุมด้วยเปลวไฟของความเดือดแค้นที่ต้อง
การจะแก้แค้น
เหยื่อของภัยขาวจึงถูกทดแทนด้วยสมาชิกรุ่นใหม่
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ต้องตกเป็นเหยื่ออยู่ในวงจรแห่งการกดขี่...ลัทธิก่อภัยร้าย...และการกดขี่อีกต่อไป... คนรุ่นแล้วรุนเล่าต้องเสียชีวิตในเส้นทางเช่นนี้อย่างไม่มีวันจบสิ้น.... ฝ่ายอำนาจรัฐ..ไม่เพียงเฉพาะบุคคลทั่วๆไปและหัวหน้าตำรวจเท่านั้นที่เสริมความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด..แม้ต่อความจริงที่ว่ากลุ่ม นารอดนายา
โวลยา จะประสบความสำเร็จเพียงใดในการลอบสังหาร
รัฐมนตรี
โพเบโดนอสต์เซฟ
อัยการสูงสุดคนใหม่สาบานว่าจะใช้อำนาจรัฐาธิปัตย์แบบ ”เลือดกับเหล็ก”
ในการกวาดล้างกลุ่มที่ก่อภัยร้าย กฎหมายที่เข้มงวดทยอยออกมาโดยให้อำนาจในการจับกุม
เซนเซอร์และการเนรเทศเป็นไปได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ได้สร้างผลสะเทือนไม่แต่เพียงนักปฏิวัติเท่านั้น
ยังลุกลามไปถึงกลุ่มที่มีแนวโน้มไปทางเสรีนิยมอีกด้วย การกดขี่ในชาติได้ยกระดับสูงขึ้น ด้วยการสั่งระงับสิ่งตีพิมพ์ที่ไม่ใช่ภาษารัสเซียทั้งหมด
กฎหมายยังส่งผ่านไปยังบรรดาเจ้าที่ดินให้ดูแลควบคุมชาวนาอย่างเข้มงวดอีกด้วย
กระแสปฏิกิริยาได้แพร่กระจายไปยังโรงเรียนและมหาวิทยาลัย...ซึ่งถูกออกแบบมาให้บดขยี้รูปการต่างๆเกี่ยวกับเสรีภาพเพื่อเป็นการยับยั้งจิตใจที่ต่อต้านคัดค้านของเยาวชนคนหนุ่มสาวซึ่งเป็นเรื่องตรงกัน
ข้ามกับความคาดหวังของบรรดานักก่อภัยร้าย
จากมาตรการที่เข้มงวดนี้..ไม่มีการลุกขึ้นสู้ของมวลชน ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อต้าน ในไม่ช้าความหวังทั้งมวลของยุคแห่งลัทธิวีรชนที่ยอมเสียสละตัวเองก็
มอดมลายเป็นเถ้าถ่านไป ปีกก่อภัยร้ายของลัทธินารอดนิค
ถูกขจัดไปอย่างรวดเร็วจากกระแสของการจับกุม
ปี 1882 ศูนย์กลางขององค์กรถูกกวาดล้าง,ฝ่ายนำถูกจับกุม
การเคลื่อนไหวของชาวนา รอดนิคแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย. .ณ.ชั่วโมงนี้..ชาวนารอดนิคดั้งเดิมที่ไม่ยอมจำนนได้กระจัด กระจายไปเคลื่อนไหวอยู่ในส่วนต่างๆของยุโรป ดุลกำลังใหม่ทางชนชั้นกำลังถือกำเนิดขึ้นภายในประเทศรัสเซียที่ล้าหลัง
นับเป็นปีๆแล้วที่แนวคิดของมาร์กซและเองเกลส์(แม้ว่ารูปแบบจะยังไม่สมบูรณ์และมีลักษณะหยาบๆผิวเผิน) เป็นสิ่งที่นักปฏิวัติรัสเซียมีความคุ้นเคย มาร์กและโดยเฉพาะเองเกลส์มีส่วนสัมพันธ์กับนักทฤษฎีของลัทธินารอดนิคในการถกเถียงโต้แย้งแลกเปลี่ยนกันอยู่ แต่ลัทธิมาร์กซ์ยังไม่ค่อยมีผู้สนับสนุนนักในรัสเซีย
มันยังถูกปฏิเสธจากลัทธิก่อภัยร้ายต่อตัวบุคคล และยังคัดค้านต่อ ”การที่รัสเซียจะก้าวไปบนเส้นทางสังคมนิยม" การยืนยันต่อบทบาทนำของชาวนาในขบวนการปฏิวัตินั้นเหลือที่จะรับได้ในหมู่เยาวชนนักปฏิวัติ หากจะการเปรียบเทียบ ”โฆษณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง” ของบาคูนิน ซึ่งเป็นแนว คิดที่รัสเซียได้ประสบกับบทเรียนอันเจ็บปวดของระบอบทุนนิยม ก็ยังดีกว่าที่จะไม่ยอมทำอะไรเลยของลัทธิยอมจำนน
ชาวนารอดนิครุ่นเก่าส่วนใหญ่จะมีความหมิ่นแคลนและดูเบาในเรื่องทฤษฎี ตราบเท่าที่พวกเขายังพึ่ง พาการอ้างถึงเหตุผลทางอุดมการณ์ เมื่อมาพิจารณาย้อนหลังตามความเป็นจริง จะเห็นว่าแนวทางเคลื่อนไหวที่เคยปฏิบัติกันมานั้นมีความบิดเบี้ยว
อีกทางหนึ่งพวกเขายังคงยึดมั่นในแนวคิดที่ว่าชาวนาว่ายังเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวปฏิวัติอยู่, ซึ่งมันเป็น
”ภารกิจพิเศษทางประวัติศาสตร์” ของรัส เซีย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลัทธิชนชาติสลาฟและกลุ่มลัทธิก่อภัยร้าย
นักอุดมคติของลัทธินารอดนิคจะยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างหัวชนฝา แทนที่จะยอมรับข้อผิดพลาดและเลือกแนวทางปฏิบัติ,ลองดำเนินการทางด้านยุทธศาสตร์และยุทธวิธีอื่นๆเพื่อจะได้เป็นการยืนยันทดสอบว่า แนวคิดเดิมนั้นใช้ไม่ได้, การกระทำเช่นนั้นจะทำให้จมลึกไปสู่หล่มปลักของความพ่ายแพ้
การดำเนินการครั้งแรกในแนวทางใหม่โดยมีเพลคานอฟและพลพรรคเพียงไม่กี่คน
ได้วางรากฐานที่มั่น คงสำหรับอนาคตบนพื้นฐานของการแก้ไขทางด้าน
ความคิด..ทฤษฎี..ยุทธวิธี และแนวทางยุทธศาสตร์ เรื่องนี้...นับเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของเพลคานอฟ
ถ้าปราศจากการกระทำเช่นนี้ก็ไม่อาจคาดคิดไปถึงพัฒนาการของพรรคบอลเชวิค แม้แต่เขาเองก็กล่าวว่า
“นารอดนิคเป็นแค่ปลายก้อย” เพลคานอฟพยายามแสวงหาคำตอบต่อปัญหาหลักเกี่ยวกับวิกฤตการทางอุดมการณ์ของนารอดนิค โดยศึกษางานของมาร์กซและเองเกลส์อย่างจริงจัง เขาถูกบีบให้ต้องหลบภัยไปยังต่างประเทศในเดือนมกราคม 1880 เขาได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักลัทธิมาร์กซชาวฝรั่งเศสและเยอรมันและได้ต่อสู้ทางอุดม การณ์อย่างดุเดือดกับนักอนาธิปไตย การที่ได้ประสบกับการเคลื่อนไหวด้านแรงงานในยุโรปเป็นเรื่องชี้ขาดต่อจุดเปลี่ยนในการพัฒนาทางความคิดของเพลคานอฟ
กลุ่มใต้ดินในรัสเซีย งานนิพนธ์ของมาร์กซ์มีน้อยมาก,ที่พอจะหาได้คงมีแต่เฉพาะเรื่องเศรษฐศาสตร์
และก็เช่นเดียวกับผู้คนในยุคสมัยของเขาที่คุ้นเคยแต่เฉพาะนิพนธ์เรื่อง “ทุน” ของมาร์กซ,ซึ่งก็ถูกเซ็น เซอร์โดยรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ที่พิจารณาว่าเป็นอันตรายต่อความมั่นคง
ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่ว่าพวกเจ้าพนักงานเซนเซอร์เองนั้นมีความเข้าใจมันหรือไม่
? พวกเขาคิดแค่ว่า....ไม่ให้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนกรรมกรเท่านั้น การที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการเคลื่อนไหวปฏิวัติรัสเซีย(เพราะลี้ภัย) ...ได้เปิดโอกาสให้แก่เพลคานอฟและคนอื่นๆได้เข้าถึงงานนิพนธิ์ต่างๆที่หาไม่ได้ในรัสเซีย เพลคานอฟได้ศึกษาปรัชญาลัทธิมาร์กซ..ความเรียงเกี่ยวกับการต่อสู้ทางชนชั้นและทัศนะคติของวัตถุนิยมทางด้านประวัติศาสตร์ได้จุดประกายให้แก่การปฏิวัติรัสเซียในภายภาคหน้า
เมื่อเปรียบเทียบกันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง….ความคิดเก่าเกี่ยวกับลัทธิก่อภัยร้าย..ลัทธิอนาธิปไตย..และลัทธินารอดนิค
ได้แตกสลายไปภายใต้การเข้ามาและการวิพากษ์วิจารณ์ของลัทธิมาร์กซ เขาได้กล่าวไว้หลังจากที่ได้สะสมประสบการณ์ว่า ” ไม่ว่าใคร..ที่ไม่ได้ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นกับเราแทบจะไม่สามารถจินตนาการถึงความกระตือรือร้นที่เราทุ่มเทตัวเองลงในการศึกษาของบทนิพนธิ์เกี่ยวกับสังคมประชา ธิปไตย ท่ามกลางการดำเนินงานของนักทฤษฎีชาวเยอรมัน ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วนับว่าเป็นนักทฤษฎีชั้นยอด
และยิ่งได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับพวกเขายิ่งทำให้เราเข้าใจเรื่องราวของสังคมประชาธิปไตยมากขึ้น
เราก็ยิ่งมีความเชื่อมั่นที่จะแก้ไขและพัฒนาการปฏิวัติของเราเอง...ทฤษฎีของมาร์กซ..เหมือนดั่งกระสวย...ที่สามารถนำเราก้าวออกจากความวกวนของความขัดแย้งที่ถูกยัดเยียดและแฝงฝังอยู่ในใจของเราโดยอิทธิพลของบาคูนิน"
อย่างไรก็ตาม การแยกขั้วออกจากอดีตนั้นไม่ง่ายนักโดยเฉพาะกับ เลฟ ด๊อยท์ช และ เวรา
ซาซูลิค ทั้งสองสามีภรรยายังคงตกอยู่ภายใต้ภาพลวงตาของลัทธิก่อภัยร้าย จริงๆแล้วเมื่อข่าวการลอบสังหารพระเจ้าซาร์มาถึง พวกเขาทั้งหมดยกเว้นเพลคานอฟมีใจที่จะกลับไปสู่ นารอดนายา
โวลยาอีก จากประสบการณ์ที่ผ่านมา,ในแต่ละสถานการณ์ เพลคานอฟได้เข้าใจว่า..ผู้ปฏิบัติงานของพรรคคนงานรัส เซียไม่ได้ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ชาวนารอดนายา โวลยา
เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงวิถีปฏิบัติในการต่อสู้กับระบบซาร์แห่งยุคสมัย
การเคลื่อนไหวตลอดมานั้นได้ก้าวขึ้นสู่กระแสสูงมาจากชีวิตและเลือดเนื้อของวีรชนปฏิวัติที่ได้เสียสละไปแล้วอย่างนับไม่ถ้วนซึ่งไม่อาจจารนัยได้หมดสิ้น เป็นความจริงที่ ว่า..เพราะธรรมเนียมการเคลื่อน ไหวต่อสู้ของชาวนารอดนิค
แม้ว่าจะอยู่ในภาวะที่เสื่อมถอย..แต่ก็ยังคงเป็นที่ดึงดูดใจให้บรรดาคนรุ่นหนุ่มสาวที่มีความสับสน..เสาะแสวงหาหนทางไปสู่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม เช่นอเล็กซานเดอร์ อูลิยานอฟ
พี่ชายของเลนินที่ถูกประหารเพราะมีส่วนร่วมในการวางแผนปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง
ในปี 1887 สำหรับเลนินเองก็มีความเห็นอกเห็นใจชาวนารอดนิค และเป็นที่แน่ นอนว่า การเริ่มต้นชีวิตทางการเมืองของเขาก็คือผู้สนับสนุนพรรค
นารอดนายา โวลยา การจะรัก ษาชีวิตของผู้คนจากวิถีของการก่อภัยร้ายนั้นเป็นหน้าที่แรกๆของนักลัทธิมาร์กซรัสเซีย
โดยไม่คำนึงถึงกำลังที่น้อยนิดของตน กลุ่มของเพลคานอฟ ได้สร้างความตกใจให้แก่ฝ่ายนำของนารอดนายา
โวลยา ที่พยายามขัดขวางสุ้มเสียงของลัทธิมาร์กซโดยใช้ท่าทีแบบขุนนาง กลุ่มของเพลคานอฟ
พยายามแสวงหาเส้นทางที่จะนำไปสู่นักปฎิวัติรุ่นหนุ่มในรัสเซีย ในที่สุดก็ต้องพบกำแพงแห่งอุปสรรคที่สร้างขึ้นมาโดยฝ่ายนำของนารอดนายา
โวลยา ที่ควบคุมโรงพิมพ์ของพรรค บรรณาธิ การหนังสือ”ข่าวสารของพรรค” (The Narodnaya Volya Herald) ปฏิเสธที่จะตีพิมพ์งานของเพลคานอฟ เรื่อง
“ระบอบสังคมนิยมและการต่อสู้ทางการเมือง” งานบุกเบิกชิ้นแรกของเขาในการต่อต้านลัทธิอนาธิปไตย
เบื้องแรก
ทิโคมิรอฟ(Tikhomirov)ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค นารอดนายา
โวลยา
ดูเหมือนว่าจะเห็นคล้อยตามและมีแนวโน้มจะรับคำร้องของกลุ่ม แต่หลังจากพิมพ์หนังสือเล่มดังกล่าวแล้ว ทิโคมิรอฟ เปลี่ยนใจกระทันหันและยกเลิกการรับรองที่จะรับกลุ่มเข้าเป็นองค์กรจัดตั้งของพรรค
นารอดนายา โวลยา โดยมีข้อแม้ว่า
แรกสุด...พวกเขาจะต้องทำการสลายกลุ่ม..และการสมัครเข้าเป็นสมาชิกจะต้องมีการพิจารณาแบบเป็นรายๆไป
ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับการประนีประ นอม,และภายในเดือนกันยายน 1883 นักลัทธิมาร์กซจึงได้ก่อตั้งกลุ่ม ”ปลดปล่อยแรงงานรัสเซีย”
ขึ้นมา
ในช่วงเวลาของการแยกทางกัน
ทางกลุ่มนักลัทธิมาร์กซประกอบด้วยสมาชิกไม่เกินห้าคน ได้แก่ เพลคานอฟ อักเซลรอด
และเวรา ซาซูลิค ซึ่งล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีเกียรติ์ประวัติเป็นที่รู้จักกันดีในการเคลื่อนไหวของนารอดนิค เวรา ซาซูลิค
มีชื่อเสียงซึ่งเป็นคนที่ชาวยุโรปรู้จักกันดีจากผลพวงของกรณี เทรปอฟ เลฟ
ดอยท์ช สามีของซาซูลิค ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในรัสเซียตอนใต้ในฐานะนักโฆษณา ชวนเชื่อของนารอดนิคอยู่จนกระทั่งปลายปีทศวรรษที่ 1870 ส่วนบทบาทของ วาซิลี นิโคเลวิช อิค นาตอฟ(1854-85)
ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก
เขาได้หลบหนีไปยังรัสเซียตอนกลางเพื่อเข้าร่วม กับการประท้วงของขบวนนักศึกษา ก่อนเสียชีวิตเขาได้สะสมเงินไว้เป็นจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือหน่วยในการเคลื่อนไหว น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยวรรณโรค,ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางเขามิให้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมได้มากนัก ส่วน ดอยท์ช ถูกจับกุมในเยอรมันเมื่อปี 1884 ถูกส่งตัวกลับรัสเซียและถูกตัดสินจำคุกหลายปี การเสียชีวิตของ อิคนาตอฟ มีผลกระทบต่อจำนวนสมาชิกในกลุ่มทำให้เหลืออยู่แค่เพียง 3 คน
พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากและการต่อสู้ที่โดดเดี่ยวภายใต้ชื่อจัดตั้งเป็นเวลานานหลายปี
ซึ่งต้องใช้ความหาญกล้าอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนที่เสียงส่วนน้อยซึ่งเปี่ยมไปด้วยจิตสำนึกในการตัดสิน
ใจต่อสู้..ทวนกระแสที่เชี่ยวกราก...โดดเดี่ยวจากมวลชน….สภาพที่เลวร้ายของการลี้ภัยบนหนทางที่ปก คลุมไปด้วยความตีบตัน,และแทบจะไม่มีโอกาส
มันไม่ใช่ครั้งสุดท้าย...ที่พลังของลัทธิมาร์กซรัสเซียได้ลดบทบาทลงสู่ระดับ
”ร่ำไห้ในที่ๆไร้ผู้คน” มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผูกโยงพวกเขาเอาไว้..นั่นก็คือความมั่นคงในอุดมการณ์ ทฤษฎี
และการประเมินเหตุการณ์ในอนาคต
เรื่องนี้..แม้จะเป็นความจริงที่ว่าอุดมการณ์ของพวกเขานั้นได้โบยบินไปสู่ความเป็นสัจธรรม การเคลื่อนไหวด้านแรงงานในรัสเซียพึ่งจะอยู่ในขั้นเริ่มต้น จริงอยู่แม้จะมีการเริ่มเคลื่อนไหวหยุดงาน แต่นั่นไม่ได้อยู่ในวิสัยของสังคมนิยม
กลุ่มแรงงานเหล่านั้นดำรงอยู่และยังคงถูกครอบงำโดยแนวคิดของนารอดนิค
และเสียงที่แผ่วเบาของกลุ่มปลดปล่อยแรงงานยังคงไม่ได้ยินในโรงงาน... แม้แต่ขบวนนักศึกษาก็ยังถูกสะกดไว้ด้วยแนวโน้มของลัทธิอนาธิปไตยและการก่อภัยร้ายสรุปก็คือ..ยังยากที่จะเข้าถึง
จดหมายที่เพลคานอฟเขียนถึง
อัคเซลรอด เมื่อปลายเดือน มีนาคม 1889
มีใจความตอนหนึ่งว่า “ทุกคน (ทั้งพวกเสรีนิยมและสังคมนิยม) กล่าวอย่างไม่มีข้อโต้แย้งว่า....คนรุ่นหนุ่มสาวจะไม่สนใจฟังใครก็ตามที่กล่าวต่อต้านลัทธิก่อภัยร้าย ต่อสิ่งนี้เราจะต้องมีความระมัดระวัง ภายหลังการก่อตั้งกลุ่มปลด
ปล่อยแรงงาน ไม่นานนักก็ต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างรุนแรงจากทุกฝ่ายโดยถูกกล่าวหาว่า”ทรยศ”
ต่อการปฏิวัติของลัทธินารอดนิค จากประเทศที่ลี้ภัย ทิโคมิรอฟ ได้ติดต่อกับบรรดาสหายในรัสเซีย เตือนพวกเขามิให้ยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มของเพลคานอฟ กระแสของการใส่ร้ายบิดเบือนบังเกิดผล โซบอฟสกี
สานุศิษย์ดั้งเดิมของ บาคูนิน ได้ตั้งข้อสังเกตอย่างเหน็บแนมว่า..”พวกคุณทั้งหลายไม่ใช่นักปฏิวัติ แต่เป็นได้แค่นักเรียนของวิชาสังคมวิทยา”
ประเด็นหลักที่ถูกโจมตีอย่างสม่ำเสมอได้แก่ “แนวคิดของ มาร์กซนั้นใช้ไม่ได้ในรัสเซียและนโยบายของเพลคานอฟนั้นก็ลอกเลียนมาจากเยอรมันอย่างไม่มีความละอาย”
ในปลายทศวรรษที่ 1880
จะเห็นว่าแนวคิดของลัทธิมาร์กซได้เป็นที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้าง
ขวางในการเคลื่อนไหวของมวลชนกรรมกรยุโรป, จากการเคลื่อนไหวที่ถูกโดดเดี่ยวในรัสเซียทำให้สมา ชิกของกลุ่ม
”ปลดปล่อยแรงงาน” ถูกดึงเข้ามาใกล้ชิดกับพรรคสังคมนิยมสากลที่มีพลังโดยสัญชาติญาน เพลคานอฟและบรรดาสหายได้ตีพิมพ์บทความ,กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมต่างๆโดยเฉพาะของพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมันที่เป็นพรรคของ มาร์กซ เองเกลส์
ลิปเนคท์
และเบเบล พวกเขาได้รับกำลังใจและความช่วยเหลืออย่างดีจากพรรคสังคมประชาธิปไตยในยุโรป พลังลัทธิมาร์กซในรัสเซียยังเล็กมากแต่ก็ได้ผนึกกำลังเข้ากับกองทัพอันมหึมาของชนชั้นกรรมาชีพในเยอรมัน ฝรั่งเศส เบลเยียม
จำนวนล้านๆคน
ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของลัทธิมาร์กซ..ที่ไม่ใช่ถ้อยคำบรรยายในหนังสือ”ทุน”
หากแต่เป็นจำนวนของสมาชิกสหบาลกรรมกร,สาขาพรรค,และคะแนนเสียงส่วนหนึ่งในรัฐสภา
แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากกลุ่มสังคมประชาธิปไตยยุโรป แต่ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับการทุ่มเทจิตใจ
ผู้นำกลุ่มได้ใช้เวลานับปีในการสร้างความสัมพันธิ์ฉันท์มิตรกับผู้นำกลุ่มนารอดนิคเช่นลาฟลอฟ โดยส่วนตัวแล้ว,ผู้นำพรรคสังคมประชาธิปไตยดูเหมือนว่ายังไม่ค่อยจะไว้วางใจต่อกลุ่มที่แยก
ตัวออกไปนัก การโต้แย้งอย่างเฉียบคมของเพลคานอฟต่อนารอดนิคได้สร้างสร้างความตื่นตะลึงขึ้นอย่างกว้างขวางในการ
”พูดความจริง”
เพลคานอฟเขียนว่า...การต่อสู้กับสาวกบาคูนินของเรา บาง ทีสังคมประชาธิปไตยตะวันตกอาจจะเกิดความหวั่นวิตกมากขึ้น การพิจารณาของพวกเขาไม่ค่อยจะถูกกาละนัก พวกเขาหวาดหวั่นต่อคำโฆษณาชวนเชื่อของเรา
เนื่องมาจากการแยกตัวออกมาจากพรรคปฏิวัติซึ่งจะทำให้พลังต่อต้านรัฐบาลอ่อนด้อยลง”
ความเจ็บปวดส่วนนั้นจะต้องเก็บกลืนเอาไว้ดังที่เองเกลส์ได้ติดต่อกับ เวรา ซาซูลิค ทางจดหมาย ใน ความเห็นของเขายอมรับถึงความเป็นไปได้ในการสร้างสังคมนิยมในประเทศที่ล้าหลังอย่างรัสเซีย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการวิเคราะห์ สำหรับตัวมาร์กซเอง..คำนำในแถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์( The
communist manifesto ) ฉบับพิมพ์ภาษารัสเซียปี 1882 และนิพนธิ์อื่นๆก็ไม่ได้ชี้แสดงถึงความเป็นไปได้ในการสร้างสังคมที่ไร้ชนชั้นในรัสเซียบนพื้นฐานของนิคมหมู่บ้าน(mir /มีร์) แต่ได้ผูกโยงอย่างชัด เจนถึงภาพในอนาคตของการปฏิวัติสังคมนิยมในประเทศที่ระบอบทุนนิยมพัฒนาแล้วอย่างในประเทศ
ยุโรปตะวันตกท่านเขียนว่า ....”สัญญานที่บ่งบอกถึงการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพในตะวันตก,
ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินผืนเล็กๆในรัสเซียปัจจุบันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาการของพรรคคอมมิวนิสต์
ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน”
จากจดหมายที่มีถึงซาซูลิค
ลงวันที่ 23 เมษายน 1885 เองเกลส์ มีความระมัดระวังอย่างยิ่งต่อหนังสือของเพลคานอฟเรื่อง
“ความแตกต่างของเรา”(Our Differences) ด้านหนึ่งเองเกลส์ผู้เฒ่าได้แสดงถึงความภาคภูมิใจว่า “ในรัสเซียคนหนุ่มสาวที่สังกัดพรรคได้ยอมรับทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ทางประวัติ ศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ของมาร์กซที่ตรงไปตรงมาและไม่คลุมเครือ สามารถหักล้างกับแนวคิดที่มีลักษณะอนาธิปไตยทั้งมวลและธรรมเนียมปฏิบัติที่ไร้สาระของคนรุ่นก่อนหน้านี้ลงอย่างสิ้นเชิง”
กรณีดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่บรรดาผู้นำพรรคสังคมประชาธิปไตยสากลจะมองนักลัทธิมาร์กซรัสเซียกลุ่มเล็กๆนี้ด้วยสายตาที่หมิ่นแคลนอีกต่อไป
พรรคที่มีพื้นฐานมาจากพลังสนับสนุนของมวลชน
ยังเป็นเรื่องที่หนักใจสงสัยกันอยู่ในความคิดของบรรดาผู้นำกรรมกรตะวันตกถึงความเป็นไปได้ที่จะสร้างพรรคปฏิวัติลัทธิมาร์กซขึ้นได้ในรัสเซีย ทางนอกประเทศต่างให้ความนับถือเพลคานอฟและกลุ่ม แม้พวกเขาแม้จะรวม่กันแต่ก็ยังคงความเป็นอิสระต่อกันซึ่งเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจ
อะไรคือปัญหาของความไม่ลงรอยกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้นนี้? มันสืบเนื่องมาจากความไม่ชัดเจนทางทฤษฎีหรือ? มีความจำเป็นที่จะต้องแยกแยะคำถามเหล่านี้หรือ
ไม่?
ทำไมนักปฏิวัติรัสเซียจึงไม่สามารถรวมตัวกันได้?
ทัศนะคติในการสงสัยของพวกเขาดูเหมือนว่าจะตัดสินกันที่ความใหญ่เล็กของกลุ่มและมีความคืบหน้าที่ค่อนข้างจะล่าช้า
โดยการเปรียบเทียบแล้วกลุ่มนารอดนิคที่มีองค์กรจัดตั้งที่ใหญ่กว่ามาก,มีทรัพยา กรมากกว่า และมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อทั้งภายในและภายนอกรัสเซีย
กระนั้นกลุ่มที่เพลคานอฟเป็นตัวแทนที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความสำคัญอันใดนักพึ่งจะเป็นหน่ออ่อนของพรรคปฏิวัติซึ่งประกอบไป
ด้วยพลังมวลชนอันไพศาล
ผ่านการต่อสู้มาเป็นเวลาถึง 34
ปี โดยมีจุดมุ่งหมายในการนำมวลชนกรรมกรและชาวนารัสเซียไปช่วงชิงอำนาจและสถาปนารัฐประชาธิปไตยของกรรมกรให้เป็นจริงขึ้นมา