ปารีสคอมมูน
คือคณะรัฐบาลที่บริหารกรุงปารีสชั่วคราวตั้งแต่วันที่ ๑๘ มีนาคม (นับอย่างเป็นทางการ ๒๘ มีนาคมไปจนถึง ๒๘ พฤษภาคม ๑๘๗๑)
ดำรงอยู่ก่อนจะเกิดความขัดแย้งระหว่างบรรดานักอนาธิปไตยและชาวลัทธิมาร์กซ ซึ่งและทั้งสองกลุ่มที่มีความคิดไม่เหมือนกัน
ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องต่ออำนาจรัฐแห่งชนชั้นผู้ใช้แรงงานที่ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นครั้งแรกท่ามกลางยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม การโต้แย้งไม่ลงรอยกันในแนวคิดเป็นสาเหตุให้เกิดการแยกตัวของกลุ่มการเมืองทั้งสอง โดยรูปการทั่วไป
ปารีสคอมมูน มีลักษณะค่อนไปในแนวทางการบริหารท้องถิ่น สภาเมือง(ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่าคอมมูน)ได้บริหารกรุงปารีสเพียงสองเดือนในฤดูใบไม้ผลิแห่งปี
๑๘๗๑
อย่างไรก็ตามท่ามกลางสถานการณ์ที่วุ่นวาย
ความไม่ลงรอยกันในการบัญชาการมักลงเอยด้วยความรุนแรง มันเป็นฉากสำคัญทางการเมืองแห่งยุคสมัย
ภูมิหลัง
คอมมูนคือผลพวกแห่งการลุกขึ้นสู้ในปารีสหลังจากฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย(Franco-Prussian War)
การลุกขึ้นสู้ครั้งนี้มีสาเหตุสำคัญมาจากความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นของชนชั้นคนงานต่อความพ่ายแพ้และหายนะในสงคราม ความไม่พอใจของคนงานและการลุกขึ้นสู้นี้
ถอดแบบมาจากการลุกขึ้นสู้ครั้งแรกของคนงานทอผ้าไหมแห่งเมืองลียง (Canut Revolts) ชาวปารีส
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นคนงานและชนชั้นกลางระดับล่างที่สนับสนุนสาธารณรัฐประชาธิป ไตยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการเรียกร้องที่จะให้นครปารีสมีการปกครองตนเอง
โดยให้สภาเมืองมาจากการเลือกตั้งเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กหลายๆแห่งในประเทศ
แต่กลับถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงจากรัฐบาลแห่งชาติที่มีความระแวงระวังต่อบรรดาชาวเมืองปารีสที่ปกครองยากและดื้อรั้น โดยให้มีส่วนร่วมแต่ไม่อาจออกเสียงใดๆ
การเรียกร้องต้องการที่จะให้มีจัดการด้านเศรษฐกิจอย่าง ”ยุติธรรม”
ย่อมไม่อาจเป็นไปได้ถ้าไม่ใช้แนวทางสังคมนิยม สรุปได้ว่าการ ”ร้องขอ” เพียงอย่างเดียวจะไม่มีทางที่จะได้มาซึ่งสาธารณรัฐสังคมประชาธิปไตย!
สงครามฝรั่งเศสกับปรัสเซียเริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมปี๑๘๗๐โดย กษัตริย์นโปเลียนที่สามได้นำประเทศฝรั่งเศสก้าวเข้าสู่ภัยพิบัติ ในเดือนกันยายนกรุงปารีสก็ถูกล้อม ช่องว่างระหว่างความเป็นอยู่ของคนจนกับคนรวยในเมืองหลวงได้ขยายห่างออกไปมากกว่าปีก่อนหน้านี้
การขาดแคลนอาหาร ความล้มเหลวทางการทหาร ที่ร้ายสุดคือ ทหารปรัสเซีย(เยอรมัน)ได้ระดมยิงปารีสอย่างหนัก ความไม่พอใจต่อรัฐบาลได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง หลังจากถูกล้อมอยู่สี่เดือนจนถึงเดือนมกราคม ปี
1871 “รัฐบาลป้องกันชาติ” ของผู้นิยมสาธารณรัฐก็บรรลุการหยุดยิงกับจักรวรรดิ์เยอรมันใหม่ที่พึ่งได้รับการสถาปนา เยอรมันเฉลิมฉลองชัยชนะด้วยการยาตราทัพเข้าปารีสที่พึ่งจะผ่านความทุกข์ทรมานจากการปิดล้อม
ชาวปารีสส่วนมากรู้สึกเคียดแค้นขมขื่นต่อพวกปรัสเซีย (ซึ่งบัดนี้กลายเป็นแกนนำของจักรวรรดิ์เยอรมัน)
และการที่มีการเฉลิมฉลองการยึดครองเมืองของพวกเขา
ประชาชนชาวปารีสนับหมื่นคนได้ติดอาวุธตนเองในนามของ “หน่วยพิทักษ์ชาติ”
และได้ขยายจำนวนออกไปอย่างรวดเร็วในการป้องกันเมือง กองกำลังแต่ละหน่วยในย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นผู้ใช้แรงงานจัดการเลือกผู้นำของตนเอง ซึ่งจะเป็นใครก็ได้โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นพวกเสรีนิยมหรือกรรมกรสังคมนิยม
ขั้นตอนต่อไปคือการจัดตั้ง ”คณะกรรมการกลาง” ประกอบไปด้วยผู้รักชาติที่นิยมสาธารณรัฐและชาวสังคมนิยม ทั้งสองกลุ่มมีความมุ่งมั่นในการปกป้องปารีสเพื่อต่อต้านการโจมตีของทหารเยอรมันและป้องกันสาธารณรัฐจากการฟื้นตัวของพวกนิยมกษัตริย์อีกด้วย แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ ๑๘๗๑ พวกนิยมกษัตริย์กลับได้รับเลือกเข้าสภาแห่งชาติด้วยเสียงข้างมาก
ประชาชนชาวปารีสส่วนใหญ่ไม่ยอมจำนนแม้กองทัพเยอรมันจะบุกเข้ามา มันยิ่งกระตุ้นความรู้สึกที่อยากต่อต้านขึ้นจนถึงขีดสุด
และได้เตรียมการสู้รบไว้ก่อนที่กองทัพเยอรมันจะยาตราเข้ากรุงปารีส บรรดากรรมกรที่หนุนช่วยหน่วย
”พิทักษ์ชาติ”
ต่างจัดการเคลื่อนย้ายปืนใหญ่จำนวนมากที่พวกเขาถือว่าเป็นเสมือนสมบัติของตนเพราะต่างก็ได้ออกเงินบริจาคซื้อหามา แล้วนำไปเก็บไว้ยังสถานที่ปลอดภัยจากพวกเยอรมัน ตำบลมองต์มาร์ทคือแหล่งที่สำคัญที่สุดของแห่งหนึ่งของ
” ลานปืนใหญ่”
อดอล์ฟ
ติเยร์ ได้รับเลือกเป็น
“ผู้มีอำนาจบริหาร” ของรัฐบาลใหม่ เป็นเงื่อนไขในการยืดเวลาที่จะตัดสินใจว่าควรจะมีประธานาธิบดีหรือกษัตริย์ ติเยร์เป็นเสมือนประมุขรัฐบาลชั่วคราวแห่งชาติได้ตระหนักว่าในสถานการณ์ที่กระแสยังกระเพื่อมอยู่นี้ คณะกรรมการกลางของหน่วยพิทักษ์ชาติก็กำลังก่อตั้งศูนย์กลางทางการเมืองและกองกำลังขึ้นเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ตัวติเยร์เองก็มีความกังวลอยู่กับบรรดากรรมกรติดอาวุธที่สังกัดกองกำลังพิทักษ์ชาตินี้ กลัวว่าจะเป็นเรื่องที่จะกระตุ้นความไม่พอใจของเยอรมัน
ลักษณะของการลุกขึ้นสู้
กองทหารเยอรมันได้เข้าปารีสเพียงชั่วคราวและถอนออกไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สำหรับปารีสเองกำลังอยู่ในสภาวะการต่อสู้ทางการเมืองที่ดุเดือดร้อนแรง มีการเสนอให้มีการประชุมตัวแทนสมัชชา แห่งชาติที่พึ่งเลือกตั้งเข้ามาใหม่ในหลายๆที่ตั้งแต่เหนือจรดใต้
โดยต่างมีความเห็นว่าไม่ควรเปิดประชุมกันในเมืองหลวงที่ยังสับสนวุ่นวายอยู่ ความที่ไม่มีอะไรชัดเจนเช่นนี้..ทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจขึ้นในปารีส พร้อมๆกับความรู้สึกหวาดระแวงต่อเป้าประสงค์ของ
”สมัชชาแห่งชาติ” ที่สมาชิกส่วนข้างมากเป็นกลุ่มนิยมกษัตริย์ สำหรับคณะกรรมการกลางของหน่วยพิทักษ์ชาติแนวทางเสรีนิยมได้เพิ่มมากขึ้นจนสามารถกุมอำนาจได้อย่างมั่นคง รัฐบาลมีความเห็นว่าไม่สามารถอนุญาตให้หน่วยพิทักษ์ชาติมีปืนใหญ่ถึงสี่ร้อยกระบอกได้ และต้องขจัดการครอบครองอาวุธอย่างไร้ขอบเขตของประชาชนให้หมดไป วันที่ 18 มีนาคม 1871 ติเยร์จึงมีคำสั่งให้เข้ายึดคลังปืนใหญ่ที่มองต์มาร์ทและที่อื่นๆทั่วทั้งเมืองเป็นเบื้องแรก ทหารที่ท้อแท้ปราศจากขวัญและถูกปลุกเร้าจิตสำนึกให้ระลึกถึงความเป็นเสมือนพี่น้อง(ภราดรภาพ)
ร่วมท้องถิ่นกับกองกำลังพิทักษ์ชาติ จึงเกิดความลังเลกับคำสั่งที่ให้ยิงเข้าไปในกลุ่มชน
นายพล โคลด มาร์แตง เลอคอมเต
ผู้บัญชาการกองทหารที่มองต์มาร์ทซึ่งรู้จากทหารภายหลังว่าเป็นผู้ออกคำสั่งยิงหน่วยพิทักษ์ชาติและพลเรือน
ถูกกระชากลงจากหลังม้าและถูกยิงเป้าพร้อมๆกับนายพล โธมัส ผู้นิยมสาธารณรัฐที่เคยเป็นผู้บัญชาการของหน่วยพิทักษ์ชาติมาก่อนก็ถูกจับได้ในบริเวณใกล้ๆนั้น
หน่วยทหารต่างก็เริ่มทยอยเข้าร่วมกับประชาชนที่ลุกขึ้นสู้ ข่าวได้แพร่สะพัดไปถึงผู้นำรัฐบาลอย่างรวดเร็ว ติเยร์
สั่งให้ถอนกำลังบางหน่วย
ตำรวจ ที่ยังเชื่อฟังคำสั่งของรัฐบาลอยู่ออกจากปารีสอย่างเร่งด่วนพร้อมด้วยคณะผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ
ตัวเขาได้หลบหนีไปแวร์ซายส์ก่อนหน้านี้แล้ว ติเยร์ยืนยันในยุทธศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
(คือการถอยออกจากปารีสก่อนหลังจากนั้นค่อยเกลับมาปราบปรามการลุกขึ้นสู้ของประชาชน) ได้วางแผน ไตร่ตรองโดยใช้ตัวอย่างของการปฏิวัติ
1848
แต่มันต่างกันตรงที่เขาหนีออกจากปารีสด้วยความตื่นตระหนก ไม่มีหลักฐานใดๆพอที่จะเชื่อว่ารัฐบาลได้กระทำตามแผนนี้อย่างจริงจังตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤติการณ์ บัดนี้คณะกรรมการกลางของหน่วยพิทักษ์ชาติจึงเป็นรัฐฐาธิปัตย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของนครปารีส คอมมูนจึงจัดการให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่
๒๖ มีนาคม ปีเดียวกันนั้นเอง
สมาชิกสภาคอมมูน
๙๒ คน ประกอบด้วยสัดส่วนของกรรมกรผู้ชำนาญงาน
และผู้คนจากหลากหลายสาขาอาชีพเช่น แพทย์
นักหนังสือพิมพ์
นักสาธารณรัฐนิยมฝ่ายปฏิรูปตามลำดับ
ตลอดจนนักสังคมนิยมที่หลากหลายความคิด
ฯลฯ หลายคนเคยเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน และดูเหมือนว่ามีแนวโน้มคล้ายกับกลุ่มจาโคแบง
หากมองย้อนกลับไปในอดีตของการปฏิวัติใหญ่ปี 1789
ผู้นำที่มีประสบการณ์ของกลุ่ม
“บลังกิสต์” สานุศิษย์ของนักปฏิวัติสังคมนิยม เอากุสต์ บลังกี ถูกคาดหวังจากบรรดาผู้ที่ชื่นชมในศักยภาพของเขาว่าจะมาเป็นผู้นำการปฏิวัติกลับถูกจับเมื่อวันที่ 17 มีนาคม
และจองจำอยู่ในคุกตลอดระยะการดำรงอยู่ของคอมมูน ชาวคอมมูนไม่ประสบความ สำเร็จในการเจรจาแลกตัวเขากับ
อาร์คบิชอป จอร์จ ดาร์บัว
พระราชาคณะแห่งปารีสในการต่อรองครั้งแรก ครั้งต่อมากับตัวประกัน 74 คนที่ถูกกักไว้แต่ติเยร์ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ปารีสคอมมูนจึงได้ออกประกาศวันที่ 28 มีนาคม
ให้เขตต่างๆขึ้นต่อองค์กรของตนแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกปิดล้อมก็ตาม
มาตรการทางสังคม :
คอมมูนได้นำปฏิทินปฏิวัติที่ถูกยกเลิกไปแล้วกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งในระยะ
เวลาของการลุกขึ้นสู้ และชอบที่จะใช้ธงแดงของชาวสังคมนิยมมากกว่าธงไตรรงค์ของผู้นิยมสาธารณรัฐ ในปี
1848 ระหว่างสาธารณรัฐที่สองพวกฝ่ายซ้ายและชาวสังคมนิยมต่างก็รับเอาธงแดงเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มตนต่างไปจากพวกสาธารณรัฐ
นั่นดูเหมือนว่าเป็นการแสดงสัญลักษณ์แห่งความแตกต่างที่พวกสาธารณรัฐรับมาจากพวกเสรีนิยม
จิรองแดง ในการเคลื่อนไหวปฏิวัติใหญ่ปี 1789 โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างในขบวนการ.. สภาได้เริ่มต้นการบริหารที่ดีด้วยการบริการชุมชนในปัจจัยพื้นฐานที่สุดสำหรับประชากรร่วมสองล้านคน จนสามารถบรรลุความต้องการของคนส่วนใหญ่ ในทางนโยบายมีแนวโน้มที่ค่อนข้างจะก้าวไปในทิศทางสังคมประชาธิปไตยมากกว่าการปฏิวัติสังคม เพราะคอมมูนมีอายุไม่ถึงหกสิบวันจึงกำหนดแนวทางปฏิบัติได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเช่น
-แยกศาสนจักรออกจากอาณาจักรโดยเด็ดขาด
-ยกเว้นค่าเช่า หนี้สินทั้งปวงที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ถูกปิดล้อม(ในระยะนี้ไม่มีการใช้จ่ายใดๆ)
-ยกเลิกการทำงานกลางคืนของโรงงานขนมปังนับร้อยๆแห่งในปารีส
-ห้ามเก็บค่าที่พักสำหรับเพื่อนร่วมงานที่ยังโสดและลูกๆของผู้ปฏิบัติงานของหน่วยพิทักษ์ชาติที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่
-ให้โรงรับจำนำของรัฐคืนเครื่องมือทำกินและเครื่องครัวที่มีราคาไม่เกินยี่สิบฟรังค์แก่เจ้าของในขณะที่ถูกล้อม คอมมูนตระหนักว่าช่างฝีมือเหล่านี้ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องจำนำเครื่องมือทำกินของตนในระหว่างการสู้รบ
-ยืดเวลาชำระหนี้ทางการค้าและภาระผูกพันใดๆออกไปโดยห้ามคิดดอกเบี้ยและ
-ให้สิทธิ์แก่ลูกจ้างที่จะยึดและเข้าประกอบการในวิสาหกิจที่เจ้าของละทิ้ง
อย่างไรก็ตามคอมมูนยังสงวนสิทธิ์ในการให้ค่าชดเชยแก่เจ้าของเดิมอยู่
การประกาศแยกศาสนจักรออกจากอาณาจักรทำให้ทรัพย์สินของโบสถ์กลายมาเป็นทรัพย์สินของสาธารณะ และรวมไปถึงการแยกกิจกรรมทางศาสนาออกจากโรงเรียนสามัญทั่วไปด้วย
(หลังการล่มสลายของคอมมูน
การแยกศาสนจักรและอาณาจักรยังไม่ได้บรรจุในประมวลกฎหมายฝรั่งเศส กระทั่งปี 1880-81 ระหว่างสาธารณรัฐที่สาม ได้ถูกใช้ในนาม Jules Ferry laws กระทั่งปี 1905
จึงได้มาเป็นประมวลกฎหมายฝรั่งเศสว่าด้วยการแยกศาสนจักรและอาณาจักร) โบสถ์ยังได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมทางศาสนาได้ต่อไป แต่ต้องเปิดให้เป็นสถานที่ประชุมพบปะในกิจกรรมสาธารณะได้ในเวลาเย็นถนนทุกสาย ร้านกาแฟ
และโบสถ์ กลายมาเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมและการถกเถียงอภิปรายทางการเมือง โครงการทางกฎหมายอื่นๆนั้นมุ่งเน้นและให้ความความสำคัญในการปฏิรูปการศีกษาโดยตั้งเป้าที่จะให้เกิดการเรียนและการฝึกฝนอาชีพได้เปิดกว้างและเป็นไปได้สำหรับทุกคน
การเคลื่อนไหวของสตรี
กลุ่มสตรีจำนวนไม่น้อยได้เคลื่อนไหวก่อตั้งองค์กรสตรีขึ้น ตามแบบอย่างการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ในปี 1789 and 1848 นาตาลี เลอเมล นักสังคมนิยมช่างทำปกหนังสือและ เอลิซาเบธ
ดิมิตทริ๊ฟ
สมาชิกของสากลที่หนึ่งชาวรัสเซียผู้ลี้ภัย ได้ร่วมกันก่อตั้ง
“สหภาพสตรีพิทักษ์ปารีสและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ” ขึ้นในวันที่ 11 เมษายน 1871 อองเดร เลโอ
นักเขียนสตรีสหายของ เปาเล มิงค์
เป็นสมาชิกผู้เอาการเอางานในการต่อต้านระบบการปกครองแบบบิดากับบุตรที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก ต่อต้านระบอบทุนนิยม เรียกร้องความเท่าเทียมกันทางเพศ ความเท่าเทียมในอัตราค่าจ้าง และสิทธิในการฟ้องหย่าของสตรี สิทธิทั่วไปทางการศึกษาที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา และการศึกษาวิชาชีพสำหรับเยาวชนหญิง พวกเธอยังเรียกร้องให้ขจัดความแตกต่างระหว่างสตรีที่แต่งงานอย่างถูกต้องกับเมียน้อย และให้รับรองสิทธิทางกฎหมายระหว่างลูกนอกสมรสกับลูกในสมรสให้เท่าเทียมกัน เรียกร้องให้เลิกโสเภณีและซ่องที่ถูกกฎหมาย สมาคมสตรีได้มีส่วนร่วมในหลายๆชุมชน
ยังมีส่วนร่วมบริหารและเข้าร่วมประชุมปฏิบัติการอื่นๆอีกด้วย คู่เคียงไปกับ ยูยีน วาร์แลง นาตาลี เลอเมล ได้ก่อตั้งภัตตาคารแนวสหกรณ์ La Marmite
ที่สนองเสบียงฟรีให้แก่คนยากจนที่เข้าร่วมต่อสู้ในป้อมค่ายระหว่าง
”สัปดาห์แห่งการนองเลือด”
เปาเล มิงค์ ได้เปิดโรงเรียนฟรีในโบสถ์ เซ็นต์ปิแอร์ แห่ง มองต์มาร์ท กระตุ้นให้สมาคม ”แซงท์ ซุลปี”ทางฝั่งซ้ายมีชีวิตชีวาขึ้นอีก แอน จาคลาด สตรีชาวรัสเซียที่บอกปัดการแต่งงานกับ โดสโตเยียฟสกี้ (ปัญญาชน นักเขียนชาวรัสเซีย) และมาเป็นภรรยาของนักเคลื่อนไหวหนุ่มลัทธิบลังกี วิคเตอร์ จาคลาด ได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ “ปารีส คอมมูน” ร่วมกับ อองเดร เลโอ เธอเป็นสมาชิกของ ”สมาคมผู้เฝ้าระวังแห่งมองต์มาร์ต”(Comité de vigilance de Montmartre”) เช่นเดียวกับกับ หลุยส์ มิเชล และ เปาเล มิงค์ คล้ายๆกับหน่วยรัสเซียในสากลที่หนึ่ง วิคตอรีน โบรแชร์ ใกล้ชิดกับนักเคลื่อนไหวในสมาคมสตรีสากลได้ก่อตั้งสหกรณ์ผู้ผลิตขนมปังในปี ๑๘๖๗ ได้ร่วมต่อสู้ในตลอดช่วงระยะเวลาของคอมมูน ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นเช่น หลุยส์ มิเชล “พรมจารีย์แดงแห่งมองต์มาร์ท” ผู้ซึ่งเข้าร่วมกับหน่วยพิทักษ์ชาติจนสุดท้ายถูกเนรเทศไปยังเกาะ นิวคาเลโดเนีย เป็นสัญลักษณ์ที่มีชีวิตต่อการมีส่วนร่วมของสตรีกลุ่มเล็กๆในการลุกขึ้นสู้ กองกำลังสตรีจากหน่วยพิทักษ์ชาติได้สู้รบป้องกัน”พลาซ บลังเช “ (จตุรัสขาว) อย่างทรหด
การบริหารท้องถิ่น
:
ภาระหน้าที่ของบรรดาผู้นำคอมมูนนั้นมีมากมาย
สมาชิกคณะกรรมการ(ไม่ได้เป็นตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งตามรูปแบบหากเป็นตัวแทนจากความเรียกร้องต้องการแบบเร่งด่วนของสมาชิก) ต่างถูกคาดหวังว่าจะดำเนินงานต่อทั้งการบริหารจัดการเรื่องราวต่างๆและงานการ
ทหารเท่าที่จะทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ให้จัดตั้งองค์กรที่จะรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ โดยเฉพาะ
ในระหว่างการถูกปิดล้อมขึ้นตามเขตต่างๆตามคำเรียกร้องต้องการของมวลชน
ตัวอย่างเช่นโรงอาหาร และหน่วยพยาบาลฉุกเฉินตามการขยายตัวของคอมมูน ในขณะเดียวกันเขตชุมชนเหล่านี้ต่างก็ปฏิบัติตามความต้องการของคนในท้องถิ่น โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบที่ปฏิรูปของสภาคอมมูน เนื่องจากองค์ประกอบทั้งหมดของคอมมูนมีลักษณะที่ปฏิวัติ พรรคฝ่ายปฏิวัติประกอบด้วย เหล่าผู้
นิยมลัทธิพรูดอง (แปรเป็นลัทธิอนาธิปไตยในเวลาต่อมา) สมาชิกชาวสังคมนิยมของสากลที่หนึ่ง(สมาคมคนงานระหว่างประเทศ) กลุ่มลัทธิบลังกี และพวกนิยมสาธารณรัฐเสรีนิยม นักอนาธิปไตยและนักลัทธิมาร์กซซึ่งได้รับการยอมรับอย่างมากในปารีสคอมมูนอย่างไม่เคยมีมาก่อน เนื่องมาจากแนวคิดทางการเมืองที่เป็นกระแสหลัก การควบคุมโดยกรรมกร เป็นการประสานงานกันอย่างน่าทึ่งท่ามกลางนักปฏิวัติที่หลากหลายความคิด
ตัวอย่างเช่น
ในการประชุมบริหารงานส่วนท้องถิ่นครั้งที่สาม มีการจัดให้มีอุปกรณ์การศึกษาในโรง เรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โรงเรียนสอนศาสนาของโบสถ์(ที่เตรียมตัวเป็นพระ)
ถูกยกเลิก
และตั้งโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นแทน
ในการประชุมครั้งที่ยี่สิบได้จัดเตรียมโครงการให้เสื้อผ้าและอาหารฟรีแก่เด็กนักเรียน ยังมีตัวอย่างความสำเร็จของคอมมูนที่คล้ายกันนี้อีกหลายประการเป็นสิ่งผสม
ผสานทำให้เกิดความความมีชีวิตชีวาแก่คอมมูน
ในขั้นตอนการริเริ่มของมวลชนกรรมกรธรรมดาๆนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการดำเนินงานและความรับผิดที่ชอบสืบช่วงต่อจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการที่รัฐบาลติแยร์ซึ่งได้ถอนตัวออกไปได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้นอีกไม่กี่สัปดาห์ คอมมูนก็ถูกโจมตีอย่างบ้าระห่ำโดยกองกำลังทหารที่ได้รับการสนับสนุนจากแวร์ซาย
(ซึ่งรวมถึงบรรดาทหารเชลยศึกฝรั่งเศสที่เยอรมันปลดปล่อยด้วย)
ในวันที่ ๒ เมษายน กองกำลัง”พิทักษ์ชาติ” ของคอมมูน เริ่มมีการประทะกันอย่างประปรายกับทหารจากแวร์ซาย ไม่ว่าในแนวของมวลชนส่วนใหญ่ที่ต้องการสู้รบหรือส่วนที่ต้องการเจรจา ในวันที่ ๒ ชานเมืองใกล้ๆ คูเบอวัวว์ ถูกยึดครองโดยกองทหารรัฐบาล และช้าไปสำหรับความพยายามที่ล้ม เหลวของกองกำลังคอมมูนที่เริ่มรุกไปยังแวร์ซายในวันที่ ๓ การต้านทานและการอยู่รอดจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญที่จำต้องพิจารณา และบรรดาผู้นำคอมมูนเองได้ตัดสินใจเปลี่ยนกองกำลังพิทักษ์ชาติมาเป็นหน่วยป้องกันอย่างจริงจัง
ชุมชนผู้ลี้ภัย(การเมือง)ต่างชาติในปารีสได้ให้การสนับสนุนอย่างเข้มแข็ง หนึ่งในนั้นคือ ยาโรสลาฟ ดาโบรสกี้ อดีตนักชาตินิยมชาวโปล คือผู้บัญชาการกองพลชั้นเยี่ยมของคอมมูน สภาและคณะ กรรมการเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของความเป็นสากล เสาอนุสรณ์ (Vendôme Column)
ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของนโปเลียนที่ ๑
ซึ่งคอมมูนพิจารณาว่าเป็นสัญลักษณ์ของระบอบโบนาปาร์ตและลัทธิคลั่งชาติถูกโค่นลง
สาส์นแสดงความชื่นชมจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จากบรรดาสหบาลกรรมกรและองค์กรสังคมนิยมต่างๆรวมทั้งจากบางส่วนของเยอรมันด้วย แต่ความหวังใดๆที่จะได้รับการหนุนช่วยจากเมืองต่างๆในฝรั่งเศสนั้นเท่ากับศูนย์ ติเยร์และคณะรัฐมนตรีของเขาในแวร์ซายบริหารงานเกือบทั้งหมดจากข่าวที่รั่วไหลออกมาจากปารีส
ทำให้เกิดความสงสัยว่าในทำไมเมืองใหญ่ๆในส่วนภูมิภาคต่างของฝรั่งเศสจึงมีการต่อต้าน การเคลื่อนไหวในเมือง นาบองเนอะ
ลิมอเกอะ และมาร์เซย ถูกบดขยี้ลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาต่อมาสถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก
คณะกรรมการส่วนข้างมากที่ชนะมติ (ฝ่ายคัดค้านคือ ออยเกน เนวาแลง ช่างเย็บหนังสือ ผู้ช่วยของ มิคาเอล บาคูนิน เอกสารคัดค้านจาก คาร์ล มาร์กซ
และนักเสรีนิยมอื่นๆ) ในการก่อตั้ง ”คณะกรรมการความปลอดภัยแห่งสาธารณะ” ด้วยชื่อและรูปแบบเดียวกันกับองค์กรของกลุ่ม
จาโคแบง ที่ตั้งขึ้นในปี 1792 แห่งการปฏิวัติใหญ่ฝรั่งเศส ที่มีการให้อำนาจอย่างกว้างขวางแต่มีความหยาบกร้านทางทฤษฎีและไม่ได้ผลทางปฏิบัติ ตลอดเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมกองทัพฝ่ายรัฐบาลยังคงเสริมกำลังอย่างต่อเนื่อง โดยปรัสเซียยอมปลดปล่อยเชลยศึก ฝรั่งเศสเพื่อช่วยเหลือรัฐบาล
ติเยร์ ในการเอาชนะการต่อต้านอย่างเข้มแข็งของชาวเมืองจนสามารถผลักดันกองกำลังพิทักษ์ชาติให้ถอยร่นไปได้
วันที่ 21 พฤษภาคมประตูป้อมด้านตะวันตกของกำแพงเมืองปารีสก็ถูกเปิดออก กำลังทหารของแวร์ซายประสพชัยชนะอีกและเข้ายึดครองพื้นที่ด้านตะวันตกของปารีสไว้ ได้รับการต้อนรับจากชาวเมืองแถบนั้นซึ่งไม่ได้อพยพออกจากปารีสหลังจากการหยุดยิง
ดูเหมือนว่าวิศวกรคนหนึ่ง (ซึ่งฝังตัวเป็นสายลับให้รัฐบาลติเยร์) ได้ฉวยโอกาสให้สัญญานแก่ทหารรัฐบาล ในขณะที่ประตูด้านนี้ไม่มีกำลังป้องกัน ประชาชนส่วนใหญ่ในแต่ละเขตของปารีสมีความรู้สึกที่ดีต่อภาพลักษณ์คอมมูนได้ทำการต่อสู้อย่างทรหด บัดนี้ได้เริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเริ่มเข้าสู่ภาวะคับขัน
แต่ละเขตต่างปรับการต่อสู้มาเป็นการวางกำลังป้องกันฐานของตนในแต่ละเขตแทนเพื่อความอยู่รอดกำลังเผชิญกับความพ่ายแพ้
เครือข่ายแนวป้องกันที่เชื่อมกันด้วยถนนแคบๆอันเป็นเส้นแบ่งของแต่ละเขต ซึ่งก่อนหน้านี้แทบกล่าวได้ว่ามีความแข็งแกร่งชนิดที่ ”ไม่อาจตีให้แตกได้โดยง่าย” บัดนี้เขตต่อเขตส่วนใหญ่ได้ถูกแทนที่และถ่างออกไปด้วยแนวถนนขนาดใหญ่ของโครงการเฮ้าส์มานน์ (โครงการก่อสร้างขยายพัฒนาศูนย์ กลางธุรกิจของปารีสที่เสนอโดย บารอน เฮ้าสมานน์). รัฐบาลแวร์ซายล์รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งและได้รวมศูนย์กำลังที่เหนือกว่า หลังจากได้เรียนรู้ยุทธวิธีการต่อสู้บนท้องถนนจากชาวคอมมูน ได้โอบล้อมแนวป้องกันของชาวคอมมูนไว้เกือบทั้งหมด ในระหว่างการล้อมปราบกองทหารของรัฐได้ รับคำสั่งให้ทำลาย ไล่ล่า เข่นฆ่ากองกำลังพิทักษ์ชาติและพลเรือนอย่างไม่มีการละเว้น นักโทษที่มีอาวุธในครอบครองหรือผู้ต่อต้านจะถูกยิงทิ้ง การยิงเป้าหมู่จะพบเห็นได้ตลอดเวลา
เครือข่ายแนวป้องกันที่เชื่อมกันด้วยถนนแคบๆอันเป็นเส้นแบ่งของแต่ละเขต ซึ่งก่อนหน้านี้แทบกล่าวได้ว่ามีความแข็งแกร่งชนิดที่ ”ไม่อาจตีให้แตกได้โดยง่าย” บัดนี้เขตต่อเขตส่วนใหญ่ได้ถูกแทนที่และถ่างออกไปด้วยแนวถนนขนาดใหญ่ของโครงการเฮ้าส์มานน์ (โครงการก่อสร้างขยายพัฒนาศูนย์ กลางธุรกิจของปารีสที่เสนอโดย บารอน เฮ้าสมานน์). รัฐบาลแวร์ซายล์รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งและได้รวมศูนย์กำลังที่เหนือกว่า หลังจากได้เรียนรู้ยุทธวิธีการต่อสู้บนท้องถนนจากชาวคอมมูน ได้โอบล้อมแนวป้องกันของชาวคอมมูนไว้เกือบทั้งหมด ในระหว่างการล้อมปราบกองทหารของรัฐได้ รับคำสั่งให้ทำลาย ไล่ล่า เข่นฆ่ากองกำลังพิทักษ์ชาติและพลเรือนอย่างไม่มีการละเว้น นักโทษที่มีอาวุธในครอบครองหรือผู้ต่อต้านจะถูกยิงทิ้ง การยิงเป้าหมู่จะพบเห็นได้ตลอดเวลา
วันที่ 5 เมษายน 1871 คอมมูนได้ออกคำประกาศว่า ผู้ใดที่ฝักไฝ่รัฐบาลแวร์ซายน์
จะต้องถูกควบคุมในฐานะตัวประกันของประชาชนชาวปารีสและจะต้องถูกพิจารณาโทษในลักษณะเดียวกัน ตามมาตรา 5 ของกฤษฎีกาที่รัฐบาลแวร์ซายล์ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่านักโทษหรือพลพรรคสามัญของคอมมูนปารีสจะต้องถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิต หากแต่ตัวประกันที่ถูกควบคุมตัวไว้ต้องได้รับการชดใช้เป็นสามเท่า แต่คำประกาศนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย มันเป็นเพียงข้อต่อรองเท่านั้นเพราะคอมมูนได้เพียรพยายามหลายครั้ง
ที่จะแลกเปลี่ยนตัวประกันระหว่าง เมอร์ซิเออร์ ดาบัวร์ อาร์คบิชอป แห่งปารีสกับ
โอกุสเต บลังกี แต่ถูก
ติเยร์ ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะเลขานุการของเขา
จูลส์ บาร์เทเลมี แซงท์ อิลแลร์
(Jules
Barthélemy-Saint-Hilaire,) ถึงกับสบถออกมาอย่างฉุนเฉียวว่า “ตัวประกัน! อะไรก็ตัวประกัน ! เลวจริงๆ ”
สัปดาห์นองเลือด
:
ในที่สุด..ระหว่างสัปดาห์ของการนองเลือดและการประหัตประหารโดยกองทหารของกลุ่มแวร์ซายล์ เธโอฟิลเลอ เฟอเร ก็ได้ลงนามในคำสั่งประหารชีวิตตัวประกันหกคน(รวมทั้งเมอร์ซิเออร์
ดาร์บัวร์) ทั้งหมดถูกยิงเป้าในวันที่ 4 พฤษภาคม ในคุก เดอ ลา โรเกต์ เรื่องนี้ กล่าวอย่างติดตลกว่า “ช่างยอดเยี่ยมเสียนี่กระไร !
บัดนี้เราหมดได้เสียโอกาสที่จะหยุดการนองเลือดไปเสียแล้ว” จากนั้นไม่นาน เฟอเรก็ได้ถูกประหารชีวิตจากการแก้เผ็ดจากกองกำลังแวร์ซายล์ (หมายเหตุ: โอกุสเต
เวมอเรล ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสู้รบในแนวต้านทาน ถูกจับและส่งตัวไปแวร์ซายล์และเสียชีวิตที่นั่น)
ทางด้านตะวันออกของปารีสซึ่งเป็นเขตพำนักของชนชั้นคนงานที่ยากจน การสู้รบยังคงดำเนินไปอย่างเหนียวแน่นรุนแรงตามถนน ตรอก
ซอก ซอย ทั้งหลาย
การต่อสู้ครั้งนี้ได้เป็นที่ เรียกขานในภายหลังว่า ลา เซอร์แมง
ซองกลองเตอะ (สัปดาห์เลือด) วันที่
๒๔ พฤษภาคม
ในเขตเบลเลอวิวว์ เมนิลมองตอง
ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของคนจนยังคงมีการต่อต้านอย่างประปราย การต่อต้านจบสิ้นลงในช่วงบ่ายถึงเย็นของวันที่
๒๘ พฤษภาคมที่แนวต้านสุดท้ายบนถนน รัมปองโน
ในเขตเบลเลอวิลล์จอมพล
แมคมาฮอน ได้มีประกาศถึงชาวเมืองปารีสว่า “บัดนี้กองทัพฝรั่งเศสจะปกป้องพวกท่านทั้งหลาย
ปารีสได้รับการปลดปล่อยแล้ว
ในเวลา 16 น. ทหารของเราได้ยึดที่มั่นสุดท้ายของผู้ก่อจลาจลได้แล้ว และการสู้รบได้สิ้นสุดลง ความสงบเรียบร้อย การทำงาน และความปลอดภัยจะกลับมาเหมือนเดิม” การตอบโต้ด้วยกำลังทหารบัดนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว ผู้ใดให้การสนับสนุนคอมมูนไม่ว่าด้านใดๆ ถือเป็นอาชญากรทางการเมือง ซึ่งคนจำนวนหมื่นจะถูกตั้งข้อกล่าวหา ชาวคอมมูนส่วนหนึ่งถูกยิงเป้าโดยหันหลังพิงกำแพง ซึ่งบัดนี้รู้จักกันในนาม ”กำแพงของชาวคอมมูน”
ซึ่งอยู่ที่สุสาน แพร์ ลาเช
หลายหมื่นคนในจำนวนนั้นได้ถูกตัดสินโทษโดยศาลทหารซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่าถูกกฎหมายหรือไม่และหลายคนถูกยิงเป้า
การสังหารหมู่ในหลายแห่งถูกกล่าวขวัญกันในทางลบเช่นที่
สวนสาธารณะ ลุกเซ็มบูร์ก และที่ค่ายทหาร
โลโบ หลังโรงแรม เดอวิลล์ ในทุกๆวันคนเกือบสี่หมื่นคนที่บาดเจ็บหิวโหยถูกกวาดต้อนเป็นขบวนเดินเท้าไปยังแวณ์ซายล์เพื่อไต่สวนคดีอย่างไม่ขาดสาย มีทั้งขบวนของผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ไปยังคุกชั่วคราวที่แวร์ซายล์ภายใต้การควบคุมของกองทัพ หลังจากการพิจารณาคดีไปแล้ว 1,200 คน
10,000 คนมีความผิด 23
คนถูกประหารชีวิต คนจำนวนมากถูกตัดสินจำคุก 4,000
คนถูกเนรเทศไปใช้ชีวิตที่หมู่เกาะ นิว คาเลโดเนีย
(ซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในมหาสมุทรปาซิฟิก)
จำนวนคนที่เสียชีวิตในสัปดาห์เลือดไม่อาจประเมินได้อย่างถูกต้องแน่นอน แต่มีการประมาณการว่าอยู่ระหว่าง 10,000 ถึง 50,000 คน
เบเนดิค แอนเดอร์สัน (Benedict Anderson) ประเมินว่า
“ 7500 คน ถูกจำคุกหรือเนรเทศไปยังอาณานิคมและ อย่างน้อย 20,000 คนถูกประหารชีวิต
หนึ่งในบรรดานายพลของ
ติเยร์ ที่มีส่วนในการล้อมปราบคือ มาควิส เดอ กาลลิฟเฟต์ ผู้มีฉายาว่า “ปืนแห่งคอมมูน”
ซึ่งภายหลังได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาล
“พิทักษ์ส่ธารณรัฐ” ของ วาลเดกซ์- รุซโซ หลังการสังหารหมู่ ติเยร์ส กล่าวว่า “บนพื้นกระจัดกระจายไปด้วยซากศพ
คงจะ เป็นบทเรียนที่น่าสะพรึงกลัว”
อัลเฟรด คอบบาน ประเมิน ว่า 30,000 คนถูกฆ่า
บางทีอาจมากถึง 50,000 คนที่ถูกประหารและถูกจำคุก
70,000 คนลี้ภัยไปยัง นิว คาลิโดเนีย คนมากกว่าหมื่นคน โดยส่วนมากเป็นผู้นำชาวคอมมูน ที่หลบหนีไปยัง เบลเยี่ยม สหราชอาณาจักร( 3,000 -4,000 คนหลบอยู่ตามท่าเรือ
ในฐานะผู้อพยพลี้ภัย) อิตาลี เสปน และสหรัฐอเมริกา
การอพยพลี้ภัยและการเดินทางรุ่นสุดท้ายได้รับการอภัยโทษในปี 1880 ภายหลังบางคนกลายเป็นนักการเมือง สมาชิกสภาแห่งนครปารีส เป็นวุฒิสมาชิก ในปี 1872 สภาได้ยกเลิกกฎหมาย
ที่ห้ามฝ่ายซ้ายดำเนินการทางการเมืองและก่อตั้งสมาคม ส่วนกฎหมายนิรโทษกรรมนั้นออกเมื่อปี 1880 ยกเว้นผู้ที่ถูกพิพาก ษาโทษในคดีลอบสังหารและวางเพลิง ปารีสยังคงอยู่ภายใต้กฏอัยการศึกต่อไปอีกห้าปี
หวลรำลึก
คาร์ล
มาร์กซ
ได้ค้นพบสาเหตุของความถดถอยของชาวคอมมูนที่ต้องสูญเสียช่วงจังหวะเวลาอันล้ำค่าไปจากการลงคะแนนเลือกผู้บริหารแทนที่จะเข้าโจมตีรัฐบาลแวร์ซายอย่างฉับพลัน ธนาคารแห่งชาติฝรั่งเศสในนครปารีสมีเงินสะสมอยู่หลายพันล้านฟรังค์
ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครชาวคอมมูนเข้าไปดูแลแตะต้อง
พวกเขาเรียกร้องขอกู้เงินจากธนาคารทั้งๆที่สามารถได้มาอย่างง่ายดาย ชาวคอมมูนเพียงแต่ยึดโรงผลิตกษาปณ์และผลิตเหรียญ
5
ฟรังค์
(ที่มีตราสัญลักษณ์เป็นรูปฉมวกสามง่าม)
ซึ่งหายากมากในปัจจุบันออกมาใช้ที่พวกเขาไม่เข้ายึดทรัพย์สินของธนาคารแห่งชาติ เป็นเพราะเกรงจะถูกประ ณาม ดังนั้นเงินจำนวนมหาศาลจึงถูกขนจากปารีสไปยังแวร์ซาย...เงินที่เป็นค่าใช้จ่ายในการบดขยี้คอมมูน ชาวคอมมิวนิสต์ ชาวสังคมนิยมปีกซ้าย กลุ่มอนาธิปไตย และกลุ่มการเมืองอื่นๆ ต่างมีความเห็นว่าคอมมูนเป็นรูปแบบสำหรับของสังคมที่ปลดปล่อยแล้วในอนาคตพร้อมกับเป็นระบบการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยในระดับพื้นจากของการมีส่วนร่วมของประชาชนระดับรากหญ้า มาร์กซ
เองเกลส์ บาคูนิน ตลอดจน เลนินและทรอตสกี กระทั่งเหมาเจ๋อตุง ต่างพยายามจะถอดบทเรียนที่สำ คัญทางทฤษฎี
(โดยเฉพาะพิจารณาในแง่ของเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ และการสูญสลายของรัฐ)
จากประสบการณ์ที่มีอย่างจำกัดของคอมมูน
ยิ่งเน้นถึงการถอดบทเรียนจากการปฏิบัติที่
เอ็ดมอนด์ เดอ คองคอร์ท
ได้จดบันทึกไว้ใน “สามวันหลังจากสัปดาห์แห่งการนองเลือด”
ว่า....เลือดยังคงหลั่งต่อไป
จะหลั่งต่อไปอีกจากการเข่นฆ่าประชาชนที่มีส่วนร่วมในการต่อสู้จนกว่าจะถึงการปฏิวัติในครั้งหน้า...สังคมเก่าให้สันติภาพได้เพียงยี่สิบปีก่อนหน้านี้”
จุลสารเรื่อง
”สงครามกลางเมืองฝรั่งเศส”( The Civil War in
France 1871) ที่คาร์ล มาร์กซเขียนขึ้นในระหว่างที่ก่อตั้งคอมมูน
ได้สดุดีความสำเร็จของคอมมูนและอธิบายว่ามันคือต้นแบบสำหรับรัฐบาลปฏิวัติในอนาคต
”ในที่สุดก็ค้นพบรูปแบบ”
ในการปลดปล่อยของชนชั้นกรรมาชีพแล้ว
มาร์กซเขียนว่า: “คนงานแห่งนครปารีสและคอมมูนของพวกเขาจะได้รับการแซ่ซ้องตลอดไป ในฐานะที่เป็นผู้สร้างสังคมใหม่อันรุ่งโรจน์ไว้ล่วงหน้า
บรรดาผู้ที่อุทิศชีวิตทั้งมวลจะถูกจดจารึกไว้ในดวงใจที่ยิ่งใหญ่ของชนชั้นกรรมกร ประวัติศาสตร์ของผู้ทำลายจะตอกย้ำไปตลอดกาลว่าการสวดอ้อนวอนร้องขอจะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆเลย”
ฟรีดดริค เองเกลส์ ได้ตอกย้ำความคิดนี้ ต่อมาได้เสริมในกรณีที่(คอมมูน)ไม่มีกองทัพในการป้องกันของตนเองมีแต่การจัดกำลังตรวจตราประจำท้องที่เท่านั้น และ..คอมมูนไม่มีลักษณะความเป็น ”รัฐ”
ในความหมายเดิมที่มีอำนาจในการปราบปราม มันเป็นเพียงแค่ช่วงระยะของการเปลี่ยนผ่าน ภายหลังเลนินและบอลเชวิคได้ให้คำนิยามว่า:คอมมูนก็คือรูปแบบแรกสุดของเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ นั่นหมายถึงว่ารัฐที่ดำเนินการโดยคนงานเพื่อผลประโยชน์ของคนงาน แต่มาร์กซและเองเกลส์ ไม่ได้ให้คำวิจารณ์ที่ละเอียดมากไปกว่านี้ การแตกแยกระหว่างนักลัทธิมาร์กซและนักลัทธิอนาธิปไตยที่เกิดขึ้นในการประชุมสภาคนงานสากล
(สากลที่หนึ่ง) ที่กรุงเฮกเมื่อปี 1872
น่าจะมาจากท่าทีของมาร์กซที่ยืนยันความเห็นของตนว่าคอมมูนควรมีการป้องกันตัวเอง
ต้องมีการจัดการอย่างจริงจังกับพวกปฏิกิริยา การก่อตั้งกองกำลัง และการตัดสินใจแบบรวมหมู่ มุ่งไปสู่ทิศทางของการปฏิวัติ ฯลฯ
การไม่ลงรอยเรื่องอื่นๆคือนักสังคมนิยมที่ต่อต้านเผด็จการไม่เห็นด้วยกับแนวคิดคอมมิวนิสต์ในการเผด็จอำนาจชั่วคราวในระยะเปลี่ยนผ่านของรัฐ (นักอนาธิปไตยชอบที่จะดำเนินการหยุดงานทั่วไปและล้มล้างรัฐโดยทันที โดยกระจายอำนาจแบบไม่มีการรวมศูนย์ของกรรมกรอย่างที่คอมมูนได้เคยกระทำ) ปารีสคอมมูนได้ถูกกล่าวถึงด้วยความเคารพจากบรรดาผู้นำฝ่ายซ้ายทั้งหลาย เหมาได้อ้างถึงบ่อยครั้ง เลนินตลอดจนถึงมาร์กซ ได้จัดให้คอมมูนเป็นตัวอย่างตลอดกาลของ “เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ”