14. สงครามปล้นชิงของจักรพรรดิ์นิยม
9 เมษายน 1917 เลนินและครุฟสกายาได้พบกับบรรดาเพื่อนผู้ลี้ภัยที่กรุงเบิร์น กลุ่มผู้ลี้ภัยจำนวน 30
คนถูกนำตัวไปขึ้นรถไฟจากเบิร์นไปยังซูริค
จากที่นั่นก็เดินทางไปคอยที่เมือง กอทมาดิงเก็น เพื่อโดยสารรถไฟขบวนพิเศษที่จัดไว้ให้
ข้ามเข้าพรมแดนเยอรมันที่ ซิงเงน โดยมีนายทหารเยอรมันสองนายนั่งคุ้มกันไปด้วย กลุ่มผู้ลี้ภัยเดินทางผ่านเมืองฟรังค์เฝิร์ทและเบอร์ลินไปยัง
ซาสซนิทซ์ ลงเรือ ข้ามฟากไปยัง เทรลเลอบอร์ก เพื่อต่อรถไฟที่กรุงสต๊อคโฮม สวีเดน
กลับรัสเซีย ก่อนเที่ยงคืนเล็ก น้อยขบวนรถของเลนินก็ถึงเปโตรกราด ที่นั่นเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยเพลง ลา มาร์เซยเญ[1]ท่ามกลางคลื่นมหาชนมีทั้งคนงาน
ทหารบก ทหารเรือ
โบกสะบัดธงแดงเป็นระลอก เป็นพิธีต้อนรับการกลับบ้านของนักปฎิวัติผู้ลี้ภัยการเมืองชาวรัสเซีย ชไคเซ ประธานสภาโซเวียตแห่งเปโตรกราดสังกัดเมนเชวิคจัดพิธีต้อนรับ, เมื่อก้าวลงจากรถไฟ เลนินเดินไปหามวลชนที่เฝ้ารออยู่และเริ่มต้นปราศรัยถึงความสำคัญของการปฏิวัติรัสเซียที่จะสร้างผลสะเทือนในทางสากล
“สงครามปล้นชิงของจักรพรรดินิยมเริ่มกลายเป็นสงครามกลางเมืองไปทั่วยุโรป
รุ่งอรุณของการปฏิวัติสังคมนิยมได้เกิดขึ้นแล้วทั่วโลก ในเยอรมันเริ่มเข้มข้นขึ้น ทุนนิยมทั้งมวลในยุโรปจะเผชิญกับความเสื่อมสลาย....พี่น้องทหารและสหายทั้งหลายเราจะต้องสู้เพื่อการปฏิวัติสังคมนิยม....เราจะสู้ไปจนกว่าชัยชนะจะตกเป็นของชนชั้นกรรมาชีพอย่างสมบูรณ์ การปฏิวัติสังคมนิยมทั่วโลกจงเจริญ”
เลนินได้เขียนนิพนธ์เดือนเมษายน(The April Theses)ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคบอลเชวิคบนขบวนรถไฟในขณะกลับจากสวิตเซอร์แลนด์ เนื้อหาสาระในนั้นเลนินเรียกร้องไม่ให้ชาวบอลเชวิคอ่อนข้อต่อแก่ชนชั้นนายทุนเหมือนที่นักสังคมนิยมรัสเซียทั้งหลายกระทำในการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ชาวบอลเชวิคจะต้องยืนหยัดผลักดันการปฏิวัติสังคมนิยมของชนชั้นกรรมกรและชาวนาจนให้เดินหน้าไปจนถึงที่สุด ทั้งนี้เพราะ สภาพภววิสัยของรัสเซียในขณะนั้น(ปี
1905)ยังถือว่ายังเป็นเพียงขั้นตอนแรกของการปฏิวัติ สำนึกทางชนชั้นและระบบการจัดตั้งของชนชั้นกรรมาชีพยังไม่เข้มแข็งพอ ทำให้อำนาจต้องตกไปอยู่ในมือของชนชั้นนายทุน ต่อไปในขั้นตอนที่สอง...ชนชั้นกรรมาชีพและชาวนาจนจะต้องยึดอำนาจให้กลับ
มาอยู่ในมือของตน เลนินได้ให้เหตุผลว่า
การปฏิวัติสังคมนิยมจะบรรลุได้ก็ด้วยการยึดอำนาจจากรัฐบาลเฉพาะกาลโดยโซเวียตคนงานเท่านั้นโดย
“ไม่สนับสนุนรัฐบาลเฉพาะกาล..ไม่เอาสาธารณรัฐที่ระบบรัฐสภาของนายทุน ต้องเป็นสาธารณรัฐของโซเวียตกรรมกร ,ผู้ใช้แรงงานด้านเกษตร, กรรมและชาวนาทั่วประเทศจากบนสู่ล่าง”
เพื่อบรรลุภารกิจนี้ เขาเสนอว่าภาระเร่งด่วนของพรรคบอลเชวิคคือจะต้องใช้ความอุตสาหะวิริยะอย่างสูงในการรณณรงค์ให้ความรู้ท่ามกลางประชาชนรัสเซีย เพื่อโน้มน้าวพวกเขาให้เข้าใจถึงความจำเป็นในการได้อำนาจมาของสภาโซเวียตคนงาน
ด้วยความจริงที่ว่า ตัวแทนของของพรรคบอลเชวิคมีไม่มากในคณะกรรมการบริหารสภาโซเวียตทั้งหมดและเป็นเสียงส่วนน้อย ดังนั้นภาระหน้าที่ของพวกเขาคือจะต้องอธิบายอย่างเป็นระบบด้วยความอดทน ยาวนานตราบเท่าที่รัฐบาลเฉพาะกาลยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนชั้นนายทุน ยืนหยัดอธิบายถึงยุทธวิธีที่ผิดพลาดของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอธิบายถึงวิธีปรับการปฏิบัติให้เป็นไปตามความต้องการที่แท้จริงของมวลชน
นิพนธิ์บทนี้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างจะจริงจังหนักแน่นกว่าเนื้อหาอื่นๆชนิดที่นักปฏิวัติผู้สนับสนุนเลนินเคยได้
ฟังมาก่อน
ก่อนหน้านี้นโยบายของบอลเชวิคแทบจะไม่แตกต่างอะไรกับของเมนเชวิค..ที่ว่ารัสเซียยังอยู่ในขั้นตอนของการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน
ยังไม่ใช่ขั้นตอนของสังคมนิยม โจเซฟ สตาลิน และเลฟ คาเมเนฟ ที่พึ่งจะกลับมาจากไซบีเรียหลังพ้นโทษเนรเทศในราวกลางเดือนมีนาคม ทั้งสองเป็นผู้มีบทบาทอย่างสูงในหนังสือพิมพ์ ”ปร๊าฟดา”ของพรรคบอลเชวิคที่รณณรค์สนับสนับสนุนรัฐบาลเฉพาะกาล เมื่อเลนินเสนอบทนิพนธิ์ในที่ประชุมร่วมพรรคแรงงานสังคม-ประชาธิปไตย พวกเมนเชวิคโห่ฮาแสดงความไม่เห็นด้วย บ๊อคดานอฟ เรียกข้อเสนอนี้ว่า
“ความเพ้อฝันของคนบ้าแห่งบอลเชวิค” คอลลอนไท เป็นคนแรกที่สนับสนุนแนวทางในบทนิพนธิ์นี้
การนำเสนอ“นิพนธิ์เดือนเมษายน” ของเลนินต้องขอบคุณต่องานของเขาเกี่ยวกับทฤษฎีจักรพรรดินิยมที่เขียนขึ้นในระหว่างการลี้ภัย จากที่ได้ศึกษาการเมืองและเศรษฐศาสตร์อย่างกว้างขวางทำให้เลนินมีทัศนะต่อการเมืองรัสเซียในมิติของความเป็นสากล
ในช่วงสงครามโลกครั้งแรกเลนินเชื่อว่า..แม้ทุนนิยมในรัสเซียจะล้าหลัง แต่การปฏิวัติสังคมนิยมในรัสเซียจะจุดประกายให้แก่การปฏิวัติในประเทศที่ก้าวหน้าในยุโรป
เอ.เจ.พี. เทเลอร์ กล่าวว่า
“เลนินทำการปฏิวัติไม่ใช่เพื่อรัสเซียหากแต่เพื่อยุโรป ท่านคาดการณ์ว่าการปฏิวัติของรัสเซียจะถูกบดบังลงเมื่อเกิดการปฏิวัติทางสากล เลนินไม่ได้สร้างม่านเหล็กขึ้นมา...ในทางตรงกันข้ามมันถูกสร้างขึ้นจากการต่อต้านตัวท่าน...และจากพลังปฏิปักษ์ปฏิวัติของยุโรปซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นขบวนแถวของการปิดล้อมการปฏิวัติรัสเซีย”
ด้วยนโยบายในนิพนธิ์เดือนตุลาคมทำให้พรรคบอลเชวิคสลัดหลุดจากภาพลวงตาของรัฐบาลเฉพาะกาลและนโยบายสงครามของมัน นิพนธ์เดือนเมษายนได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์
ปร๊าฟดา
และเลนินได้อ่านถึงสองครั้งในการประชุมตัวแทนสมัชชาโซเวียตคนงานและทหารทั่วประเทศเมื่อวันที่
17 เมษายน 1917 (ปฏิทินใหม่)ในบทนิพนธ์
เลนินได้
- ประณามรัฐบาลชั่วคราวว่าเป็นรัฐบาลของชนชั้นนายทุนและเรียกร้องไม่ให้การสนับสนุน ให้รัฐบาลออกมาชี้แจงเรื่องที่เคยสัญญาไว้ให้ชัดเจนไม่ใช่แค่การให้สัญญาแต่ปาก เขายังประณามสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าเป็นสงครามปล้นชิงของจักรพรรดินิยม และวิจารณ์”ลัทธิปกป้องการปฏิวัติ” ของบรรดาพรรคสังคม-ประชาธิปไตยต่างประเทศ และเรียกมันว่าลัทธิยอมจำนนของการปฏิวัติ
- ยืนยันว่ารัสเซียกำลังผ่านขั้นตอนแรกของการปฏิวัติ
ซึ่งเนื่องมาจากสำนึกทางชนชั้นและการจัดตั้งของชนชั้นกรรมาชีพยังมีไม่มากพอ
โดยให้อำนาจตกไปอยู่ในมือของชนชั้นนายทุน
และการจะไปสู่ขั้นตอนต่อไปจะต้องให้อำนาจอยู่ในมือของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนาจนเท่านั้น
- พิจารณาว่าชาวบอลเชวิคยังเป็นส่วนข้างน้อยในสภาโซเวียต
ท่ามกลางกลุ่มชนชั้นนายทุนน้อยนักฉวยโอกาสจากพรรค คาเด็ท
และพรรคสังคมนิยมปฏิวัติ
องค์คณะกรรมการบริหาร(ชเคอิดเซ,เซเรตเตลี
ฯลฯ ) สเต๊กลอฟ ฯลฯ ฯลฯ ที่ยอมสยบต่ออิทธิพลของชนชั้นนายทุน และขยายอิทธิพลของชนชั้นนายทุนน้อยในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพ
- ไม่เอาสาธารณรัฐแบบรัฐสภาซึ่งถือว่าเป็นการก้าวถอยหลัง ต้องเป็นสาธารณรัฐโซเวียตที่เป็นตัวแทนของ
กรรมกร คนงานภาคเกษตรกรรมและชาวนาจนทั่วทั้งประเทศจากบนสู่ล่าง เรียกร้องให้ยกเลิกกำลังตำรวจ กองทัพ
และระบบราชการ เงินเดือนของชั้นสัญบัตร เรียกร้องให้เน้นถึงความสำคัญของนโยบายด้านการเกษตรด้วยการยกระดับขึ้นเป็นสภาโซเวียตของผู้ใช้แรงงานในภาคเกษตร
ยึดคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดและทำให้เป็นของชาติ ที่ดินจะถูกจัดสรรให้แก่สภาโซเวียตของผู้ใช้แรงงานในภาคเกษตร โดยกระจายการจัดการไปสู่
สภาโซเวียตของชาวนาจน
จัดรูปแบบฟาร์มตัวอย่างขึ้นในที่ดินขนาดใหญ่แต่ละผืน (ในขนาดตั้งแต่ 100-300
เดสเซียติน โดยให้ขึ้นอยู่กับสภาพและดุลยพินิจของแต่ละท้องถิ่น)
ภายใต้การควบคุมของสภาโซเวียตเกษตรกร
-- เสนอให้มีการควบรวมธนาคารทั้งหมดในประเทศเป็นธนาคารแห่งชาติเพียงแห่งเดียวและให้อำนาจแก่สมัชชาโซเวียตเป็นผู้ควบคุม
- แถลงถึง “ภาระเร่งด่วนของเรายังไม่ใช่การเข้าสู่สังคมนิยมเพียงแต่นำผลิตผลของสังคมแบ่งสรรผลผลิตเหล่านี้กลับคืนไปสู่สังคมอีกครั้งภายใต้การควบคุมดูแลของสภาโซเวียตของคนงาน”
- เรียกประชุมพรรคในทันทีเพื่อกำหนดภาระหน้าที่
แก้ไขนโยบายพรรคที่ล้าสมัย หลักๆได้แก่
(1) ว่าด้วยปัญหาจักรพรรดินิยมและสงครามจักรพรรดินิยม
(2) ว่าด้วยทัศนะต่อรัฐและเรียกร้องรูปแบบรัฐแบบคอมมูน
(หมายถึงรัฐที่ใช้คอมมูนปารีสเป็นแม่แบบ..
ผู้แปล)
(3) แก้ไขปรับปรุงนโยบายที่ล้าหลังบางประการและการเปลี่ยนชื่อพรรค
(3) แก้ไขปรับปรุงนโยบายที่ล้าหลังบางประการและการเปลี่ยนชื่อพรรค
เลนินได้เขียนไว้ว่า ”เนื่องจากผู้นำพรรคสังคมประชาธิปไตย” ส่วนใหญ่ในโลกได้ละทิ้งและทรยศต่อหลักการสังคมนิยมไปแล้ว (ได้แก่บรรดากลุ่มนิยมเค้าทสกี้ที่โลเล) เราต้องเรียกพวกเราว่าพรรคคอมมิวนิสต์”
การเปลี่ยนชื่อจะเป็นการแยกบอลเชวิคออกจากพวกสังคมประชาธิปไตยของยุโรปที่สนับสนุนชาติของตนเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่1 เลนินได้พัฒนาจุดเด่นนี้จากจุลสารของเขาเรื่อง
“สังคมนิยมหรือสงคราม”
เมื่อแรกที่เขาเรียกพวกสังคมประชาธิปไตยผู้สนับสนุนสงครามว่า
“นักสังคมคลั่งชาติ” เสนอให้ก่อตั้ง ”
องค์กรการปฏิวัติสากล” เพื่อต่อต้านนักสังคมคลั่งชาติ
และต่อต้านศูนย์กลางของสากลที่ 2 ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็น
สากลที่ 3 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1919 (บทแปลทั้งหมดของนิพนธ์นี้อยู่ในภาคผนวก)
ภาพวาดเลนิน หน้าสถาบัน สมอนึย
โดย อิสซาค บรอดสกี
15.
การปฏิวัติเดือนตุลาคม
เดือนกรกฎาคม....คนงานและทหารได้เดินขบวนสำแดงกำลังขึ้นในเปโตรกราดด้วยความไม่พอใจที่ขึ้นถึงขีดสุดต่อระบอบการปกครองของรัฐบาลชั่วคราว
รัฐบาลได้ประณามว่าเลนินและพวกบอลเชวิคอยู่เบื้อง
หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ อเล็กซานเดอร์ เคเรนสกี กริกอรี
อเล็กซินสกี และปรปักษ์คนอื่นๆได้กล่าวหา ว่าเลนินเป็นสายลับของจักรวรรดิเยอรมันเป็นผู้ยั่วยุให้เกิดการจลาจล ลีออน
ทร๊อตสกี ได้ออกมาปก ป้อง บรรยากาศที่อึมครึมอยู่นั้นถูกทำให้เลวร้ายลงไปอีก เมื่อเลนินและซิโนเวียฟถูกขว้างปาด้วยของโสโครก
เลนินที่ได้ต่อสู้ปฏิวัติมาเป็นเวลาร่วมสามสิบปีกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าได้ต่อสู้กับการกดขี่ประชาชนมาร่วมยี่สิบปี คงไม่อาจชื่นชมต่อระบอบทหารที่น่ารังเกียจของเยอรมันได้ ข้าพเจ้าถูกศาลเยอรมันไต่สวนและตัดสินจำคุกนานแปดเดือนในกรณีต่อต้านคัดค้านระบอบทหารของเยอรมันเรื่องนี้ใครๆก็รู้ คงไม่มีใครในที่ประชุมนี้จะกล่าวหาว่าพวกเราถูกเยอรมันจ้างมา”
ภายหลังกรณีกรกฎาคม....ในหนังสือประวัติพรรคฯ ได้บรรยายไว้ดังนี้
“......สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน สภาพการณ์ที่อำนาจสองขั้วที่ดำรงอยู้ได้สิ้นสุดลง โซเวียตที่นำโดยพรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติและกลุ่มเมนเชวิคไม่ต้องการกุมอำนาจรัฐไว้ทั้งหมดทำให้โซเวียตไม่มีอำนาจอะไรอีก
อำนาจรัฐไปรวมศูนย์อยู่ในมือของรัฐบาลเฉพาะกาลของชนชั้นนายทุน...”
รัฐบาลเฉพาะกาลยังจับกุมสมาชิกพรรคบอลเชวิคและสั่งให้เป็นพรรคที่ผิดกฎหมาย ทำลายองค์กรจัดตั้งของพรรคหวังกวาดล้างให้สิ้นซาก เป็นเหตุให้เลนินต้องหนีไปลี้ภัยที่ฟินแลนด์อย่างเร่งด่วน
อีกครั้งหนึ่ง ความปรารถนาที่จะพัฒนาการปฎิวัติให้เป็นไปอย่างสันติจึงไม่มีอีกต่อไป เลนินตัดสินใจเตรียมการเพื่อเอาชนะต่อพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ
รัฐบาลเฉพาะกาลจะต้องถูกโค่นลงไปด้วยการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ ในช่วงนั้นเขาได้ตีพิมพ์บทนิพนธิ์เรื่อง
”รัฐและการปฏิวัติ” ชูประเด็นรัฐบาลที่จัดตั้งโดยโซเวียต (ซึ่งเลือกตั้งมาจากสภาของคนงาน ทหาร
ชาวนา)เป็นองค์กรหลัก คำขวัญ
“อำนาจทั้งปวงเป็นของโซเวียต” นิพนธิ์เดือนเมษายนของเลนินเริ่มได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น,มากกว่าแนวทางของรัฐบาลเฉพาะกาลที่หมดคุณค่าลงไปในสายตาของสาธารณะชน
นายพล ลาร์ฟ คอร์นิลอฟ
ปลายเดือนสิงหาคมขณะที่ลี้ภัยในฟินแลนด์ นายพล
ลาร์ฟ คอร์นิลอฟ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพรัสเซียได้เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ยกเลิกคณะกรรมการต่างๆของโซเวียตเสีย บรรดานายทุนต่างพากันเข้าพบเสนอให้เงินเพื่อการสนับสนุน
วันที่
25 สิงหาคม นายพล คอร์นิลอฟ สั่งให้กรมทหารม้าที่ 3 ภายใต้การบัญชาการของนายพล
ครีมอฟเพื่อเตรียมการ ”พิทักษ์ปิตุภูมิ”(กู้ชาติ) คณะกรรมการกลางพรรคบอลเชวิคได้ระดมทั้งกรรมกรและทหารขึ้นเป็นกองกำลังในการเผชิญหน้ากับกบฏคอร์นิลอฟและต่อต้านพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ
บรรดากรรมกรต่างติดอาวุธเตรียมต่อต้านอย่างเร่งด่วน
หน่วยพิทักษ์แดงหรือเรดการ์ดเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมากมายในระยะนั้น บรรดาสหภาพแรงงานต่างเคลื่อนไหวระดมสมาชิก กองกำลังปฏิวัติในเปโตรกราดพร้อมแล้วที่จะทำสงคราม สนามเพลาะถูกขุดขึ้นรอบๆเมือง ลวดหนามถูกขึงเพื่อสร้างแนวกีดขวาง ทางรถไฟที่จะเข้าสู่ตัวเมืองถูกรื้อทิ้ง ทหารเรือนับพันๆนายจากคอนสตรัดท์เข้ามาสมทบเพื่อช่วยป้องกันเมือง ตัวแทนโซเวียตถูกส่งไปยังกองพลทหารพรานภูเขาของฝ่ายกบฏที่เป็นหน่วยหน้าในการเข้าโจมตีเปโตรกราด เมื่อตัวแทนเหล่านั้นอธิบายจุดประสงค์ที่แท้จริงของคอร์นิลอฟให้หน่วยทหารพรานภูเขาชาวคอสแซกฟัง
ทหารเหล่านั้นก็กลับใจไม่ยอมรุกหน้าต่อไปอีก นักปลุกระดมถูกส่งไปยังกำลังหน่วยอื่นๆของคอร์นิลอฟในที่ๆเสี่ยงอันตราย คณะกรรมการปฏิวัติได้ตั้งกอง
บัญชาการขึ้นเพื่อสู้กับคอร์นิลอฟ
ในวันเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
พวกผู้นำของพรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติและเมนเชวิค ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็มี
นายกรัฐมนตรี เคเรนสกี
ร่วมอยู่ด้วยต่างหันมาขอความคุ้มครองจากบอลเชวิค เพราะพวกเขาส่วนมากเชื่อมั่นว่าในนครหลวงนี้มีแต่กำลังของบอลเชวิคเท่านั้นที่พอจะต่อต้านคอร์นิลอฟได้ ในขณะที่มวลชนเคลื่อนไหวบดขยี้กบฏคอร์นิลอฟ ชาวบอลเชวิคก็ไม่ได้หยุดการคัดค้านรัฐบาลชั่วคราวของเคเรนสกี พวกเขาเปิดโปงรัฐบาลเคเรนสกี พวกเมนเชวิค และพรรคสังคมนิยมปฏิวัติ ต่อหน้ามวลชน
ชี้ให้เห็นว่านโยบายของพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มีส่วนช่วยต่อแผนการต่อต้านการปฏิวัติของคอร์นิลอฟทั้งสิ้น
มาตรการทั้งหลายส่งผลให้กบฏคอร์นิลอฟต้องพ่ายแพ้ไป นายพลครีมอฟฆ่าตัวตาย คอร์นิลอฟและผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆเช่น
เดนิกิน และลูคอมสกี ถูกจับกุม (ภายหลังเคเรนสกี้ได้ปล่อยตัวไป) ความพ่ายแพ้ของกบฏคอร์นิลอฟแสดงออกอย่างชัดแจ้งถึงความเข้มแข็งของขบวนการปฏิวัติและปฏิปักษ์ปฏิวัติ มันแสดงให้เห็นว่าฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติทั้งมวลไม่ว่าจะเป็นบรรดานายพลทั้งหลาย พรรครัฐธรรมนูญ-ประชาธิปไตย
ตลอดจนพวกเมนเชวิคและพรรคสังคมนิยมปฏิวัติที่หลงเข้าไปติดอยู่ในร่างแหของชนชั้นนายทุนที่กำลังตกอยู่ในความมืดมน มันแสดงให้เห็นอีกว่าความนิยมเมนเชวิคและพรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติ
ในหมู่มวลชนได้หดหายไปทุกขณะ มวลชนไม่อาจอดทนกับนโยบายทำสงครามและความวุ่นวายหายนะทางเศรษฐกิจที่มีสาเหตุมาจากการทำสงครามที่ไม่รู้จักจบสิ้น
จากการพิชิตกบฎคอร์นิ
ลอฟทำให้พรรคบอลเชวิคเติบใหญ่ขึ้นจนมีลักษณะชี้ขาดในการปฏิวัติและสามารถทลายความพยายามใดๆที่พวกปฏิปักษ์ปฏิวัติจะสกัดกั้นการเติบใหญ่นี้ลงไปได้ แม้ว่าพรรคฯยังไม่มีอำนาจในการปกครองแต่ระหว่างเหตุการณ์กบฏคอร์นิลอฟ พรรคได้แสดงถึงพลังที่แท้จริงในการบริหารจัดการเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดี
บรรดากรรมกรและทหารต่างยอมรับคำชี้แนะของพรรคไปปฏิบัติการอย่างไม่ลังเล
ท้ายที่สุด....ความพ่ายแพ้ของกบฏคอร์นิลอฟยังแสดงให้เห็นว่า บรรดาโซเวียตที่ดูเหมือนว่าจะอ่อนล้าลงไปนั้นความจริงแล้วมันแฝงเร้นไว้ด้วยพลังที่ปฏิวัติอยู่อย่างมากมายมหาศาล จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าโซเวียตและคณะกรรมการโซเวียตนั้นคือพลังหลักในการต่อต้านกองทหารของคอร์นิลอฟและตีมันให้แตกพ่ายไป
การต่อสู้กับคอร์นิลอฟ ทำให้โซเวียตแห่งคนงานและทหารและได้รับการปลดปล่อยจากแนวทางการเมืองที่ประนีประนอม เปิดทางไปสู่การต่อสู้ปฏิวัติและหันกลับมาสนับสนุนพรรคบอลเชวิค
- อิทธิพลของบอลเชวิคในสภาโซเวียตเข้มแข็งขึ้นมากกว่าเดิม
- อิทธิพลของพรรคได้แผ่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในท้องถิ่นชนบท
กบฏคอร์นิลอฟ
ได้ทำให้มวลชนชาวนาอันไพศาลได้รับรู้ว่า
ถ้าเจ้าที่ดินและสมุนของมันไม่ถูกบอลเชวิคและโซเวียตโค่นล้มลงไปแล้ว,ในอนาคตพวกนั้นจะต้องโจมตีมวลชนชาวนาอีกอย่างแน่นอน มวลชนชาวนาจน ต่างเริ่มเข้ามาใกล้ชิดกับชาวบอลเชวิคมากขึ้น ชาวนากลางผู้โลเลที่เคยหน่วงรั้งพัฒนาการของการปฏิวัติในช่วงเดือนเมษายนถึงสิงหาคม
1917 แต่หลังจากที่คอร์นิลอฟพ่ายแพ้ไปแล้วพวกเขาก็เริ่มแกว่งเข้าหาพรรคบอลเชวิค,หันมาร่วมมือกับชาวนาจน ชาวนาเริ่มเกิดสำนึกว่ามีแต่พรรคบอลเชวิคเท่านั้นที่จะนำพวกเขาให้หลุดพ้นจากสงคราม มีแต่พรรคนี้เท่านั้นที่จะมอบที่ดินคืนให้แก่พวกเขาได้
จัดตั้งรัฐบาล :
เดือนกันยายน 1917 เลนินได้ลงบทความชี้แจงในหน้าหนังสือพิมพ์ต่อประเด็นที่ว่า การพัฒนาของการปฏิวัติอย่างสันตินั้นโดยทั่วไปแล้วเป็นเพียงลมปาก ไม่เคยเกิดขึ้นจริงและยากลำ
บาก....พัฒนาการของการปฏิวัติโดยสันติจะมีความเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อต้องโอนอำนาจทั้งหมดให้แก่โซเวียตเท่านั้น แต่การต่อสู้ของพรรคในโซเวียตก็ย่อมดำเนินต่อไปอย่างสันติถ้าโซเวียตนั้นๆมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เดือนตุลาคม....เลนินกลับมาจากการลี้ภัยในฟินแลนด์ได้ใช้สถาบันสมอลนึย(Смольный[2]), (สถาบันศึกษาของเยาวชนหญิงที่มาจากครอบครัวผู้ดี..ผู้แปล)เป็นกองบัญชาการปฏิวัติ เขาได้ชี้นำและโค่นรัฐบาลชั่วคราวลงในวันที่
6-8 พฤศจิกายน 1917
วันต่อมาก็เข้าจู่โจมยึดพระราชวังฤดูหนาว เคเรนสกียอมจำนน พรรคบอลเชวิคจึงได้สถาปนารัฐบาลของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นในรัสเซีย
การปฏิวัติเดือนธันวาคมนั้นค่อนข้างจะเป็นไปอย่างสันติ ไม่มีการต่อต้านจากกองกำลังป้องกันนครหลวง เมืองจึงตกอยู่ในการควบคุมของกองกำลังปฏิวัติซึ่งเป็นผู้นำที่แท้จริง มีกำลังทหารเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังทำการคุ้มครองรัฐบาลชั่วคราวอยู่ในพระราชวังฤดูหนาว ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังดำ เนินชีวิตประจำวันกันอย่างปกติในขณะที่รัฐบาลชั่วคราวกำลังจะถูกโค่น เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าอำนาจกำลังเปลี่ยนผ่านไปยังโซเวียตอย่างสันติ ในตอนเย็นมีการประชุมสมัชชาโซเวียตครั้งที่สองซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยสมาชิกบอลเชวิค และกลุ่มสังคมนิยม-ปฏิวัติปีกซ้ายขึ้นที่ “สมอลนึย”
ในเปโตรกราด เมื่อมาร์ตอฟปีกซ้ายเมนเชวิคได้เสนอว่ารัฐบาลโซเวียตควรประกอบด้วยพรรคการเมืองทุกพรรค ลูนาชาร์สกี้
ชาวบอลเชวิคได้คัดค้านไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้
ตัวแทนของบอลเชวิคลงคะแนนสนับสนุนลูนาชาร์สกี้อย่างเป็นเอกฉันท์
อย่างไรก็ตาม.... พรรคสังคมนิยมปฏิวัติรัสเซียเห็นด้วยกับการเปลี่ยนถ่ายอำนาจไปยังโซเวียต เมื่อถึงวาระเกี่ยวกับการโค่นล้มรัฐบาลชั่วคราว พวกปีกขวาของพรรคสังคมนิยมปฏิวัติและเมนเชวิคได้ประท้วง
ด้วยการเดินออกจากที่ประชุม เวลาเย็นของวันต่อมา
เลนินได้เข้าร่วมประชุมสภาโซเวียตอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกตั้งแต่เหตุการณ์เดือนกรกฎาคม(July
Days) จอห์น รีด
นักข่าวชาวอเมริกันกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า
”ชายผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อเวลา 20.40
น.ได้รับการต้อนรับด้วยเสียงโห่ร้องอย่างกึกก้อง รูปร่างกำยำสันทัด ศีรษะใหญ่ล้านโหนกตั้งตรงอยู่บนไหล่ นัยน์ตาเล็ก
จมูกใหญ่ ปากกว้าง คางที่ค่อนข้างใหญ่พึ่งจะผ่านการโกนหนวดมาหมาดๆ เคราที่สั้น – แข็ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในอดีตและปัจจุบัน สวมเสื้อผ้าปอนๆ กางเกงดูเหมือนว่าจะยาวไปหน่อยสำหรับเขา...ดูแล้วไม่น่าประ
ทับใจแต่อย่างใด....ว่าเขาจะกลายมาเป็นขวัญใจที่มวลชนทั้งรักและเคารพ ซึ่งผู้นำน้อยคนนักในประวัติศาสตร์พึงจะได้รับ เป็นผู้นำที่ไม่เหมือนใคร เฉลียวฉลาด ไม่เสแสร้ง
ไม่ค่อยมีอา รมณ์ขัน
ไม่ประนีประนอมและตรงไปตรงมา
ไม่สร้างภาพ แต่มีพลังในการอธิบายเรื่องที่ยากให้เป็นเรื่องง่าย ประกอบไปด้วยความหลักแหลมในการวิเคราะห์สถานการณ์ได้ชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม และกล้าที่จะแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ”
รีดยังกล่าวต่อไปว่า เลนินคอยจนเสียงปรบมือโห่ร้องบางเบาลงก่อนที่จะประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราจะดำเนินการสร้างระเบียบของสังคมนิยม” เลนินได้เสนอนโยบายสันติภาพต่อสมัชชา เรียกร้องประชาชนและประเทศคู่สงครามให้หันหน้ามาเจรจากันในเรื่องสันติภาพและประชาธิป
ไตย พร้อมกับเสนอนโยบายการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของบรรดาขุนนาง เจ้าที่ดิน
ที่ดินในการถือครองของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และของวัดให้แก่โซเวียตชาวนา ที่ประชุมสมัชชาได้ผ่านนโยบายสันติภาพ นโยบายโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยไม่มีเสียงคัดค้าน
หลังจากที่ได้ลงมติรับรองนโยบายหลักของบอลเชวิคแล้ว สภาโซเวียตยังได้รับเลือกชาวบอลเชวิคเข้าไปเป็นคณะกรรมการสภาประชาชนเป็นเสียงส่วนใหญ่อีกด้วย พรรคบอลเชวิคเสนอตำแหน่งคณะกรรม การให้แก่กลุ่มสังคมนิยมปฏิวัติปีกซ้ายซึ่งครั้งแรกได้ปฏิเสธ
แต่ก็มารับในภายหลังเป็นคณะกรรมการผสมกับพรรคบอลเชวิค เลนินได้เสนอให้ทรอตสกี้ดำรงตำแหน่งประธานสภาโซเวียตซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่ทรอตสกี้ปฏิเสธเนื่องจากมีเชื้อสายยิวซึ่งอาจเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ แต่ยอมรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศแทน ด้วยเหตุนี้เลนินจึงได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลรัสเซีย
ทรอตสกีได้ประกาศถึงองค์ประกอบของคณะกรรมการกลางซึ่งบอลเชวิคเป็นเสียงส่วนใหญ่
แต่ได้สำ รองตำแหน่งไว้ให้ตัวแทนจากพรรคอื่นๆด้วยซึ่งได้แก่พรรคสังคมนิยมปฏิวัติปีกซ้ายและพรรคเมนเชวิค ทรอตสกี้ได้สรุปการประชุมว่า
“เราขอต้อนรับรัฐบาลใหม่จากทุกกลุ่มทุกพรรคพรรคที่ยอมรับนโยบายของเรา”
เลนินได้ประกาศเมื่อปี 1920 ว่าจะทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่ทันสมัยภายในศตวรรษที่ยี่สิบด้วย”ระบอบ คอมมิวนิสต์คือโซเวียตบวกกับการพัฒนาพลังงานไฟฟ้า
.....เราต้องแสดงให้บรรดาชาวนาเห็นว่าการจัดการระบบอุตสาหกรรมที่ทันสมัยด้วยเทคโนโลยี่ชั้นสูงบนรากฐานของการพัฒนาพลังงานไฟฟ้า
,ตระ เตรียมการเชื่อมต่อระหว่างเมืองกับชนบท เพื่อให้ความแตกต่างระหว่างชีวิตความเป็นอยู่ของเมืองและชนบทหมดสิ้นไป จะยกระดับวัฒนธรรมในชนบทที่ถูกครอบงำมานาน
เราจะเอาชนะความล้าหลัง ความยากจน และความป่าเถื่อน เพื่อประชาชนที่ถูกละเลยทอดทิ้งไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในซอกมุมใดในแผ่นดิน
“
นอกจากนี้แล้วภาระจำเป็นอย่างแรกสุดของรัฐบาลบอลเชวิคคือการถอนตัวออกจากสงครามโลกในทันทีโดยทำความตกลงกับจักรวรรดิ์เยอรมันและกลุ่มอำนาจกลาง(
ออสเตรีย-ฮังการี) เพราะเคยได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชนรัสเซียก่อนหน้าการปฏิวัติ
ในขณะที่ศัตรูทางการเมืองของเลนินอ้างว่าการตัดสิน
ใจครั้งนี้ได้รับการอุปถัมภ์จากที่ปรึกษาการต่างประเทศของจักรพรรดิ วิลเฮล์ม
ที่สองแห่งเยอรมัน ให้เล นินดำเนินการถอนตัวออกจากสงครามเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เยอรมันเคยช่วยเหลือจัดขบวนรถไฟให้เลนินโดยสารผ่านแดนเยอรมันในคราวที่กลับมายังเปโตรกราดเพื่อนำการปฏิวัติ
แต่หลังจากความพ่ายแพ้ของกองทัพรัฐบาลชั่วคราวจากการรุกกลับของเยอรมันในฤดูร้อน(แม้บอลเซวิคจะได้จัดตั้งรัฐบาลจากการปฏิวัติ แต่กองทัพรัสเซียที่เผชิญศึกในแนวรบยังอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลที่ภักดีต่อรัฐบาลชั่วคราวอยู่...ผู้แปล) ทำให้แนวทางเจรจาสงบศึกของเลนินมีน้ำหนักมากขึ้น ขณะเผชิญหน้ากับจักพรรดินิยมเยอรมันที่กำลังได้เปรียบและรุกมาทางตะวันออก
เลนินเสนอให้รัสเซียต้องถอนตัวออกจากสงครามของพวกยุโรปตะวันตกด้วยเหตุผลที่ว่าหากทำสงครามต่อไปจะเป็นผลเสียต่อการรักษาอำนาจรัฐโซเวียตที่ยังไม่มีความมั่นคงนัก รัฐบาลโซเวียตยังไม่มีกำลังทหารอาชีพที่แท้จริงมีแต่กองกำลังอาสา
สมัครและที่สำคัญศัตรูภายในยังดำรงอยู่ หากต้องการจะให้อำนาจรัฐโซเวียตสมบูรณ์ขึ้นต้องยุติสง
ครามในทันที ทำให้ข้อเสนอของบอลเชวิคบางคนที่สนับสนุนให้ทำสงครามต่อไปเพื่อเป็นการปูทางสร้างเงื่อนไขให้แก่การปฏิวัติในเยอรมันต้องตกไป
ก่อนการประชุมสมัชชา
ได้มีการประชุมย่อยเกี่ยวกับปัญหาสัญญาสันติภาพที่เลนินเข้าร่วมด้วย หลัง จากได้ฟังรายงานสถานการณ์สงครามแล้วเขาได้ตั้งคำถามต่อที่ประชุมสามข้อ
ข้อแรก.....คือมีเหตุผลใดที่แน่ใจได้ว่าเยอรมันจะไม่โจมตีกองกำลังของรัสเซีย
สอง...... ในกรณีที่เยอรมันรุกคืบเข้ามาอีก กองทัพของรัสเซียจะสามารถถอยโดยเคลื่อนย้ายยุทธสัมภาระกลับมาป้องกันแนวหลังได้ทันหรือไม่?
สาม...... กองทัพรัสเซียสามารถต้านการรุกของกองทัพเยอรมันได้หรือไม่?
เสียงส่วนใหญ่เชื่อว่าเยอรมันต้องทำการโจมตีอย่างแน่นอน กองทัพรัสเซียคงไม่สามารถต้านทานการรุกของเยอรมันได้ เรื่องการขนทหาร
ยุทธสัมภาระต่างๆเช่นกระสุนดินดำ ปืนใหญ่ และยุทโธปกรณ์ต่างๆกลับมายังแนวหลังนั้นคงเป็นไปได้ยาก เลนินจึงสรุปว่าถ้าเช่นนั้นเราพร้อมที่จะรบหรือยัง? ถ้ายังไม่พร้อม ก็มีทางเดียวคือควรทำสัญญาสงบศึกกับเยอรมันก่อนเพื่อจะได้หยุดพักหายใจ
ไม่ควรทำสงครามต่อไปทั้งๆที่รู้ล่วงหน้าแล้วว่ารัสเซียจะถูกบดขยี้
แต่ในการประชุมสมัชชาวันที่ 30 ธันวาคมเสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรมการกลางและสมัชชาต่างก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเลนิน กลุ่มที่ต้องการทำสงครามได้เสนอคำขวัญในการโฆษณาออกมาอย่างชัด
เจนว่า
“ปล่อยให้อำนาจโซเวียตตายไปเสียดีกว่าที่จะทำสัญญาสันติภาพที่อัปยศ” โดยไม่คำนึงถึงดุลกำลัง......เลนินแพ้มติ
ในตอนแรกรัฐบาลโซเวียตได้ยื่นเจตน์จำนงถึงตัวแทนฝ่ายสัมพันธมิตรในรัสเซียอันได้แก่
อังกฤษ ฝรั่งเศส แต่ทั้งสองประเทศไม่ยอมรับข้อเสนอ ดังนั้นรัสเซียจึงเสนอแผนการเจรจาสันติภาพกับเยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการรี แทน เยอรมันยอมรับเพราะหากสงบศึกกับรัสเซียแล้วจะสามารถเผชิญ
หน้ากับอังกฤษ-ฝรั่งเศสได้อย่างไม่ต้องกังวลกับแนวหลัง เมื่อได้รับคำตอบจากกองบัญชาการเยอรมันแล้ว รัสเซียจึงแจ้งให้ทางฝ่ายพันธมิตร(อังกฤษ
ฝรั่งเศส อิตาลี สหรัฐอเมริกา) ทราบเพื่อขอความเห็นว่าพวกเขาเห็นด้วยหรือไม่? แต่ไม่มีคำตอบรับใดๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจเจรจาสงบศึกกับเยอรมันตามลำพัง การเจรจาถูกกำหนดขึ้นที่เมืองเบรส-ลิตอฟสค์ ฝ่ายเยอรมันยอมรับข้อเรียกร้องของรัฐบาลโซเวียตที่เสนอสันติภาพบนพื้นฐานของการไม่ผนวกดินแดนที่ต่างฝ่ายต่างยึดครองไว้
แต่เยอรมันมีข้อแม้ว่าประเทศคู่สงครามทั้งหมดต้องเข้าร่วมวงเจรจาด้วย การเจรจาจึงประสบความล้มเหลวเพราะสัมพันธมิตรไม่ยอมเข้าร่วม
จาก 30 พฤศจิกายน 1917 จนถึงเดือนมกราคม 1918 จอฟเฟ
ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนของโซเวียตที่ถูกส่งไปเจรจากับเยอรมันที่เมือง
เบรสท์-ลิตอฟสค์ จบลงด้วยความล้มเหลว วันที่ 22 ธันวาคม 1917
จอฟเฟ ได้เสนอเงื่อนไขของบอลเชวิคก่อนจะมีการลงนามเซ็นสัญญาสัติภาพดังนี้
- ต้องไม่มีการผนวกดินแดนที่ยึดได้ในสงคราม
- ฟื้นฟูเอกราชของบรรดาชาติต่างๆที่สูญเสียไปในระหว่างสงคราม
- จัดให้บรรดาชาติที่เป็นอิสระก่อนสงครามได้ลงประชามติในความเป็นเอกราชของตน
-
ให้อิสระในการจัดการวัฒนธรรมของตนเองในภูมิภาคที่มีหลากหลายวัฒนธรรม
- ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหาย,การสูญเสียส่วนบุคคลควรได้รับการชดเชยจากกองทุนระหว่างประเทศ
- ปัญหาอาณานิคมควรตัดสินตามข้อ 1-4
วันที่ 16 ธันวาคม 1917, ได้มีการเจรจาหยุดยิงระหว่างกลุ่มอำนาจกลาง(เยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี)
ที่เมืองเบรสต์-ลิต๊อฟสค์
การเจรจาได้เริ่มขึ้นครั้งนี้ฝ่ายรัสเซียมี ลีออน ทรอตสกี
เป็นหัวหน้าคณะ เยอรมันยื่นเงื่อนไขว่า....คู่สงครามทั้งสองมีสิทธิ์ในการผนวกดินแดนที่ยึดครองอยู่
เพราะในเวลานั้นเยอรมันได้ยึดครองพื้นที่อันกว้างใหญ่ซึ่งเคยเป็นดินแดนของจักรวรรดิรัสเซียมาแต่เดิม(ลิทัวเนีย โป แลนด์บางส่วน ไบโลรุสเซีย
ยูเครน ......ผู้แปล) และมอบคืนดินแดนภาคใต้ซึ่งเป็นชนชาติส่วนน้อย
ให้แก่อณาจักรอ๊อตโตมัน-เติร์ก แต่ลีออน
ทร๊อตสกี ผู้แทนของโซเวียตไม่ยอมรับเงื่อนไขของสันติภาพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการผนวกดินแดนและการจ่ายเงินชดเชยแก่เยอรมัน การเจรจาจึงล้มเหลวอีกครั้งหนึ่ง
อีกสองวันต่อมากองทัพเยอรมันเริ่มปฏิบัติการ
“เฟ้าสท์ชล้าก” (Operation
Faustschlag /ปฏิบัติการทุบด้วยกำปั้น) ด้านแนวรบตะวันออกเป็นเวลา 11 วันโดยมีการต่อต้านเพียงเล็กน้อย วันที่
23 กุมภาพันธ์ ปีรุ่งขึ้นเยอรมันได้ยื่นคำขาดว่าจะทำสนธิสัญญาสันติภาพหรือไม่
และต้องการคำตอบภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งในช่วงเวลานี้กองทัพเยอรมันก็รุกคืบหน้าเข้ายึดครองพื้นที่ได้อีกเป็นจำนวนมาก การเซ็นต์สัญญาสงบศึกจึงเป็นทางเลือกเดียวที่จะรักษารัฐบาลบอลเชวิคเอาไว้ได้ เพราะว่ากองทัพรัสเซียขาดกำลังสนับสนุน กองกำลังพิทักษ์แดงส่วนมากเป็นเพียงอาสาสมัครที่ขาดการฝึกฝนไม่มีศักยภาพพอในการเอาชนะข้าศึกได้
การรุกของเยอรมันครั้งนี้ได้ให้สติแก่สมาชิกพรรคบอลเชวิคพวกเขาเริ่มมีความเข้าใจดีว่าการต่อต้านการปฏิวัติกำลังคืบคลานเข้ามาและเป็นอันตรายมากยิ่งกว่าการยินยอมเซ็นต์สัญญาสงบศึก สถานการณ์เปลี่ยนไป.....คณะกรรมการกลางและสมาชิกสมัชชาโซเวียตได้เห็นถึงสภาพความจริงที่เลนินได้วิเคราะห์เอาไว้ ดังนั้นในการประชุมสมัชชาครั้งที่7 ข้อเสนอของเลนินจึงได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น ที่ประชุมอนุมัติให้ทำสนธิสัญญาสันติภาพ เบรส-ลิตอฟสค์ ด้วยคะแนนเสียง 704 เสียงต่อ
285 งดออกเสียง 115[3]
ทัศนะของเลนินต่อปัญหาลัทธิต่อต้านเชื้อชาติยิว
เลนินมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะจะพัฒนาระบบสื่อสารมวลชนเพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชนและชาวนาผู้ไม่รู้หนังสื่อที่มีอยู่มากมายตามท้องถิ่นชนบทของรัสเซีย โดยเฉพาะวิทยุกระจายเสียงและการอัดเสียง ปี1919 ได้อัดคำปราศรัยไว้ออกอากาศถึงแปดครั้ง เจ็ดชิ้นได้ถูกตีพิมพ์ในสมัยของ นิกิตา
ครุสเชฟ (ภายหลัง34 ปี) คำปราศรัยชิ้นที่แปดซึ่งเป็นการแสดงทัศนะในเรื่อง
”ลัทธิต่อต้าน เชื้อชาติยิว” (anti-Semitism) ของเลนิน ที่ไม่ได้รับการตีพิมพ์มีใจความบางตอนดังต่อไปนี้
“ตำรวจในระบอบซาร์
ซึ่งเป็นพันธมิตรกับบรรดาเจ้าที่ดินและนายทุนได้ร่วมกันก่อความรุนแรงที่ต่อต้านชาวยิว พวกเจ้าที่ดินและนายทุนพยายามเบี่ยงเบนความเกลียดชังของคนงานและชาวนาผู้ทุกข์ยากให้ต่อต้านชาวยิว ชาวยิวเหล่านั้นไม่ได้เป็นศัตรูของเราผู้ใช้แรงงานเลย... ศัตรูที่แท้จริงของชนชั้นกรรมกรในทุกประเทศทั่วโลกคือชนชั้นนายทุน ชาวยิวส่วนใหญ่ก็คือชนชั้นกรรมกรพวกเขาคือพี่น้องของเรา มีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนพวกเราและต่างก็ถูกกดขี่โดยชนชั้นนายทุนเช่นเดียวกับพวกเรา พวกเขาเป็นสหายของเราที่ต่อสู้เพื่อระบอบสังคมนิยม ชนชั้นนายทุนพยายามเหลือเกินที่จะหว่านเพาะปลุกปั่นความเกลียดชังให้แก่บรรดากรรมกรที่มีความเชื่อทางศาสนา เชื้อชาติ
หรือเผ่าพันธุ์ที่ต่างกัน......คนร่ำรวยชาวยิวก็เหมือนกับคนรวยชาวรัสเซียและคนร่ำรวยในทุกๆประเทศ ต่างก็ร่วมกันกดขี่ เหยียบย่ำ ปล้นชิง
และสร้างความแตกแยกให้แก่พวกเราที่เป็นชนชั้นผู้ใช้แรงงาน...มันช่างน่าละอายสำหรับใครก็ตามที่ยุยงปลุกปั่นให้ต่อต้านเกลียดชังชาวยิว....”
----------------------------------------------------------------------
[1] เพลงที่แต่งขึ้นเพื่อปลุกเร้ากองกำลังของชาวเมืองมาร์เซย
เพื่อเดินทางไปสู้รบปกป้องสาธารณรัฐที่หนึ่งและการปฏิวัติฝรั่งเศส (ค.ศ.
1789) ต่อมาถูกใช้เป็นเพลงปลุกใจในการลุกขึ้นสู้ของชนชั้นล่างอย่างแพร่หลายจนกระทั่งกลายเป็นบทเพลงสัญลักษณ์และได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ภายหลังได้ใช้เป็นเพลงชาติของฝรั่งเศส
[2]สมอลนึย (Смольный) Education of Noble Maidens In 1917, the
building was chosen by Vladimir Lenin as Bolshevik
headquarters during the October Revolution
[3] หนังสือระลึกถึงเลนิน – ครุฟสกายา
No comments:
Post a Comment