16. การลอบสังหาร
เลนิน และสหาย ฟริทซ พลาทเทน ที่ถูกลอบยิงเมื่อปี 1919
เลนินรอดจากการลอบสังหารถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกเมื่อ 14 มกราคม 1918
ในเปโตรกราด
ผู้ลอบสังหารได้ซุ่มคอยลงมือในขณะที่เลนินนั่งอยู่ด้านหลังรถกับ ฟริทซ์ พลาทเทน (Fritz
Platten)หลังจากจบการปราศรัย
พลาทเทน กดศีรษะเลนินให้หมอบต่ำลงใช้ตัวกำบังกระสุนให้ กระสุนพลาดเป้าถากมือ พลาทเทนไป ครั้งที่สองเกิดเหตุเมื่อ30 สิงหาคม 1918 ฟานญา คาปลัน[1](Fanya Kaplan) อดีตนักนักอนาธิปไตย ภายหลังเป็นสมาชิกพรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติ บุกเข้าประชิดตัวขณะที่เลนินหยุดสนทนากับหญิงคนหนึ่งในขณะที่เดินมาขึ้นรถหลังจากจบการปราศรัย
คาปปลัน เรียกชื่อเลนินและเมื่อเขาหันไปเธอก็ลั่นกระสุนเข้าใส่ทันที นัดแรกถูกที่แขนนัดที่สองเข้าที่กรามทะลุคอ นัดที่สามพลาดเป้าไปถูกหญิง คนที่เลนินหยุดคุยด้วย อาการบาดเจ็บทำให้เขาหมดสติไป เพราะกลัวว่าเลนินจะถูกดักสังหารอีกในระหว่างทางไปโรงพยาบาลจึงถูกนำตัวไปยังที่พักในเครมลิน แพทย์ตัดสินใจไม่ผ่าเอาหัวกระสุนออกเนื่องจากเกรงว่าการผ่าตัดนั้นอันตรายเกินไปอาจทำให้เสียชีวิตได้ คอยให้เขาฟื้นฟูสุขภาพเสียก่อนจะเป็นการดีกว่า
ฟานญา คาปลาน
หนังสือพิมพ์ ปร๊าฟดา รายงานข่าวเกี่ยวกับการลอบสังหารที่ล้มเหลวครั้งนี้เพื่อให้ความมั่นใจแก่ผู้อ่านว่า
“เลนินรอดชีวิตจากการถูกลอบสังหารโดยกระสุนเจาะทะลุปอด วันรุ่งขึ้นแม้จะยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ท่านยังอ่านและฟังรายงานต่างๆ ท่านคือหัวขบวนรถจักรที่จะนำพาเราไปสู่การปฏิวัตินั้นยังคงเดินหน้าต่อไป”
แผนลอบสังหารทำให้เลนินยิ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิม มวลชนส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยจะสนใจพรรคบอลเชวิคกลับมาให้ความเห็นใจมากขึ้น พวกเขากล่าวได้ถูกต้องว่าถ้าเลนินเสียชีวิตย่อมเป็นความหายนะอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะชะงักงันโดยสิ้นเชิง ท่ามกลางความสับสน ยุ่งเหยิงนี้เลนินเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังขององคาพยพในระบอบการเมืองใหม่
17.ยุคสงครามกลางเมือง (25 October 1917 – October 1922)
สงครามกลางเมืองรัสเซียเป็นการสู้รบช่วงชิงอำนาจกันระหว่าง ”กองทัพแดง” ของพรรคบอลเชวิคกับ “กองทัพขาว”
ที่เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มต่อต้านบอลเชวิค ได้แก่พวกขุนศึกนิยมกษัตริย์ ปัญญา ชนอนุรักษ์นิยม เมนเชวิค พรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติ พรรคคาเด็ท
กลุ่มอนาธิปไตย
และกลุ่มชาตินิยมต่างๆ รวมไปถึงกองกำลังต่างชาติที่เข้าแทรกแซงและสนับสนุนกองทัพอาสาสมัครหรือกองทัพขาว(White
army) หลังจากกองทัพแดงมีชัยต่อกองทัพรัสเซียขาวฝ่ายใต้ (Armed Forces of South Russia)ในยูเครนและกองทัพปฏิปักษ์ปฏิวัติด้านไซบีเรียที่นำโดยพลเรือเอกโคลชัคแล้ว จึงหันไปสู้รบกับกองทัพขาวอาสาสมัครที่นายพล ปยอทร์
นิโคไลเยวิช แวรงเกล ควบคุมบัญชาการอยู่ในไครเมีย เมื่อพิชิตกองทัพขาวกองสุดท้ายจึงเป็นการสิ้นสุดสงครามกลางเมือง
เมื่อการปฏิวัติเดือนตุลาคมผ่านพ้นไป
ทหารของกองทัพพระเจ้าซาร์แห่งจักรวรรดิรัสเซียถูกปลดประจำการและถูกแทนที่ด้วยกำลังหลักของพรรคบอลเชวิคที่ส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัครจากกองกำลังพิทักษ์แดง(เรดการ์ด)และกำลังกึ่งทหารขององค์กรตำรวจลับหรือเชคา(Cheka)ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งชาติที่ตั้งขึ้นภายหลังที่เลนินถูกลอบสังหาร กองกำลังนี้ได้ถูกคณะกรรมการกิจการสงสงครามที่มี
ลีออน ทร๊อตสกี เป็นประธานปรับสภาพกำลังพลในกองทัพแดงของกรรมกร-ชาวนาให้มีลักษณะของทหารอาชีพมากขึ้น มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเมืองเข้าประจำอยู่ในทุกๆหน่วยเพื่อประกันถึงความภักดีต่อการปฏิวัติ
การต่อต้านหน่วยพิทักษ์แดง(เรดการ์ด)นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกๆที่พรรคบอลเชวิคลุกขึ้นสู้แล้ว เนื่องจากเงื่อนไขที่เสียเปรียบในสนธิสัญญาสงบศึก
เบรสท์-ลิตอฟสค์ ได้สร้างความไม่พอใจแก่บรรดานักลัทธิชาตินิยมและกลุ่มการเมืองฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติทั้งหลายที่ถูกรัฐบาลบอลเชวิคห้ามเคลื่อนไหว สนธิสัญ
ญานี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาผลักดันให้เกิดการคัดค้านบอลเชวิคขึ้นทั้งในและนอกรัสเซีย ผู้คัดค้านได้ประ สานงานกันอย่างหลวมๆเพื่อต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์ มีทั้งชนชั้นเจ้าที่ดิน พวกนิยมสาธารณรัฐที่ ต้องการให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ พวกที่ต้องการให้มีระบอบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ กลุ่มชนชั้นกลางอนุรักษ์นิยม พวกปฏิกิริยา พวกเสรีนิยม อดีตนายพลของระบอบซาร์ นักสังคมนิยมที่ไม่ใช่บอลเชวิค และบรรดานักปฏิรูปทั้งหลาย ต่างเข้ามาร่วมมือกันก็เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับกับระบอบการปกครองของบอลเชวิคทั้งสิ้น ส่วนกำลังทหารที่สนับสนุนพวกเขาก็ได้มาจากการเกณฑ์ด้วยวิธีโหดร้าย นำโดยนายพลยูเดนิช พลเรือเอกโคลชัค และนายพลเดนิกินเป็นรู้จักกันทั่วไปว่า
เดอะ ไวท์ มูฟเมนท์ (the White
movement) หรือขบวนการสีขาว
ซึ่งบางครั้งก็หมายถึง ”กองทัพขาว” และยังได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากต่างชาติซึ่งยึดครองพื้นที่สำคัญๆของจักรวรรดิ์รัสเซียมาก่อนจะเกิดสงคราม
นายพล
นิโคไล นิโคเลวิช ยูเดนิช
และยังมีกองกำลังของขบวนการชาตินิยมยูเครนที่รู้จักในนาม
“กองทัพเขียว”( Green Army)
ซึ่งเคลื่อน ไหวอยู่ในยูเครนในช่วงต้นสงครามอีก ที่สำคัญคือเป็นการปรากฏตัวของขบวนการทางการเมืองและการทหารของกลุ่มอนาธิปไตยที่เรียกขบวนการของตนว่า กองทัพลุกขึ้นสู้เพื่อการปฏิวัติแห่งยูเครนหรือ ”กองทัพดำของชาวอนาธิปไตย”( the
Anarchist Black Army) ที่นำโดย
เนสทอร์ มาคโน กองทัพนี้มีชาวยิวและชาวนายูเครนเข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมากและได้แสดงบทบาทสำคัญในการขัดขวางการรุกเข้าตีมอสโคว์ของนายพลเดนิกินแห่งกองทัพขาวในช่วงปี 1919 ภายหลังได้ขับไล่กองกำลังของชาวคอสแซคออกจากภูมิภาคไครเมีย
ส่วนในภูมิภาคที่ห่างไกลเช่นเขต โวลกา อูราล
ไซบีเรีย และภาคตะวันออกไกลได้กลายเป็นฐานที่มั่นอย่างดีของขบวนการสีขาวในการซ่องสุมกำลังเพื่อต่อต้านบอลเชวิค พวกขาวได้ตั้งองค์กรขึ้นบริหารควบคุมเมืองต่างๆในภูมิภาคเหล่านี้และยังใช้บางพื้นที่ๆตนมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่นเป็นที่ตั้งของกำลังทหาร
กองกำลังที่มีบทบาทต่อต้านบอลเชวิคอีกหน่วยหนึ่งได้แก่หน่วยทหารเชคโกสโลวัค ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของกองทัพรัสเซียเก่าที่มีกำลังพลประมาณ
30,000 คน พวกเขาได้ทำความตกลงกับรัฐบาลใหม่(บอลเชวิค)
ในการถอนตัวออกจากแนวรบด้านตะวันออกโดยใช้เส้นทางจากเมืองท่า วลาดิวอสสต๊อคไปยังฝรั่งเศส เพราะการขนส่งจากแนวรบด้านตะวันออกไปยังเมืองท่าวลาดิวอสสตอคนั้นล่าช้าและเต็มไปด้วยความยุ่ง
ยากสับสน ทั้งยังมีกองทหารหนีทัพที่ควบคุมไม่ได้กระจัดกระจายอยู่ตามเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย และภายใต้การกดดันจากกลุ่มอำนาจกลาง(เยอรมัน, ออสเตรีย-ฮังการี)ทำให้ให้ทร๊อตสกี ประธานกรรมการฝ่ายทหารจำต้องสั่งปลดอาวุธทหารท้องถิ่น ยิ่งทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นระหว่างทหารเหล่านั้นกับบอลเชวิค
กลุ่มพันธมิตรตะวันตก(อังกฤษ,ฝรั่งเศส)เองก็เกิดความวิตกถึงความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นในสถาน
การณ์สงครามที่กำลังดำรงอยู่ หากรัฐบาลบอลเชวิคได้นำรัสเซียออกจากสงคราม
และเป็นกังวลว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่รัสเซียกับเยอรมันจะทำสนธิสัญญาร่วมมือกัน อีกอย่างหนึ่งคือกลัวว่ารัฐบาลบอลเชวิคจะปฏิเสธความรับผิดชอบในการจ่ายคืนหนี้ซึ่งผูกพันมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน เนื่องจากหนี้เหล่า นี้ยังไม่ได้มีการตกลงกันอย่างถูกต้องตามกฏหมาย(กับรัฐบาลบอลเชวิค) พรรคบอลเชวิคยังมีความผูกพันกับนักปฏิวัติสังคมนิยมในประเทศฝ่ายอำนาจกลางและของพวกตนด้วย อีกทั้งอุดมการณ์สังคมนิยมได้แพร่กระจายไปสู่ประเทศตะวันตกอีกหลายประเทศ ดังนั้นประเทศเหล่านี้จึงมีจุดยืนร่วมกันที่จะให้ความช่วยเหลือแก่กองทัพฝ่ายขาวที่เป็นปฏิปักษ์กับบอลเชวิครวมไปถึงให้การสนับสนุนทั้งกำลังทหารและยุทธปัจจัยอีกด้วย
วินสตัน เชอร์ชิล ถึงกับประกาศว่า “ลัทธิบอลเชวิคจะต้องถูกตรึงให้หยุดอยู่กับที่” สหราชอาณาจักรลและฝรั่งเศสได้ให้ความช่วยเหลือด้านยุทธปัจจัยแก่กองทัพของจักรวรรดิ์รัสเซียเดิมเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนว่ายุทธปัจจัยส่วนมากตกจะอยู่ในมือของเยอรมันภายหลังสนธิสัญญาเบรสท์-ลิตอฟสค์
ภายใต้ข้ออ้างนี้กลุ่มพันธมิตรจึงถือโอกาสเข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองในรัสเซีย ทั้งสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสได้ส่งกำลังทหารของตนเข้าควบคุมเมืองท่าสำคัญๆของรัสเซีย โดยสหราชอาณาจักรส่งทหาร 40,000
คนร่วมกับทหารสหรัฐอเมริกา 12,000 คนเข้าควบคุมเมือง
อาร์คานเกลสต์ เมืองท่าทางตอนเหนือบนฝั่งทะเลขาว
(White sea)
และวลาดิวอสส๊ตอค เมืองท่าทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ฝรั่งเศสส่งทหารฝรั่งเศสและทหารจากอาณานิคมของตน
12,000 ไปยังเมืองท่าอาร์คานเกลสต์และ เมืองโอเดสสาเมืองท่าตอนใต้ ทหารคานาดา 4,192 คนยกเข้าวลาดิวอสส๊ตอคและอีก
1,100 คนไปสมทบกับสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาที่เมือง เมอร์มันสก์และ
อาร์คาเกลสก์ อีก 41 คนไปยังเมืองบากูชายฝั่งทะเลสาบคัสเปียน เป็นการใช้กำลังเผชิญหน้ากับกองทัพแดงของกรรมกรชาวนาที่สนับสนุนพรรคบอลเชวิค
ทางด้านเยอรมันก็ได้สถาปนาประเทศและรัฐอิสระในเขตยึดครองของตนขึ้นมาเพื่อเป็นแนวกันชน และเป็นข้อต่อรองทางการเมืองของตนภายหลังสนธิสัญญา เบรสท์-ลิตอฟสต์คือ ”สหพันธรัฐดัชชีแห่งบอลติค”[2]
ดัชชีแห่งเคอร์แลนด์และเซมิกาเลีย ราชอาณาจักรลิธัวเนีย ราชอาณาจักรโปแลนด์ สาธารณรัฐประชาชนเบลารุส รัฐอิสระยูเครน
ภายหลังที่เยอรมันแพ้สงครามประเทศเหล่านี้ก็ถูกปลดปล่อย ฟินแลนด์เป็นประเทศแรกที่ประกาศอิสรภาพจากรัสเซียเมื่อเดือนธันวาคม
ปี 1917
ท่ามกลางสงครามกลางเมืองในระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคมปี 1918 โปแลนด์ได้ประกาศเอกราชเป็นสาธารณรัฐที่สองแห่งโปแลนด์ ลิธัวเนีย
ลัทเวีย เอสโทเนีย ต่างก็ได้เร่งสร้างกองทัพแห่งชาติของตนขึ้นภายหลังสนธิสัญญาเบรสท์-ลิตอฟสท์
สงครามสามระยะ
ในช่วงแรกของสงคราม พรรคบอลเชวิคได้ช่วงชิงและควบคุมพื้นที่ในภาคเอเชียกลางไว้ทั้งหมดจากรัฐบาลชั่วคราว ได้วางรากฐานของพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นในเขตที่ราบสเตปป์และเตอรกีสถาน
ที่มีชนชาติรัสเซียเข้าไปตั้งรกรากอยู่เกือบสองล้านคน การสู้รบในระยะนี้ส่วนใหญ่จะเกิดจากผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานรวมไปถึงการปะทะกันในระหว่างการเคลื่อนย้ายกำลังทางยุทธวิธีและความเกลียดชังกันทางเชื้อชาติอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างกองทหารเชคโกสดลวัคหรือพวก
”เชคขาว” กับกองพลปืนเล็กที่ 5 ของโปแลนด์ และหน่วยพลปืนลัทเวียแดงที่สนับสนุนบอลเชวิค
ระยะที่สองของสงครามต่อเนื่องมาตั้งแต่มกราคม ถึง พฤศจิกายน 1919 ช่วงต้นกองทัพขาวเป็นฝ่ายได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นแนวรบด้านใต้ภายใต้การบัญชาการของนายพล
เดนิกิน ทางตะวันออกโดยพลเรือเอกโคลซัค
และแนวตะวันตกเฉียงเหนือโดย นายพลยูเดนิช
ต่างประสบความสำเร็จในการผลักดันกอง ทัพแดงและพันธมิตรฝ่ายซ้ายให้ถอยร่นได้ทั้งสามแนวรบ เดือนกรกฏากองทัพแดงต้องถอยร่นอีกหลังจากมวลชนเปลี่ยนไปสนับสนุน”กองทัพดำ”[3]ภายใต้การนำของ
เนสตอร์ มาคโน กองทัพแดงต้องถอนตัวเพื่อให้แก่กองทัพดำของชาวอนาธิปไตยที่แข็งแกร่งกว่าเข้าควบคุมยูเครน
นายพล
อันตอน อิวานโนวิช เดนิกิน
ลีออน ทร๊อทสกี ต้องเร่งรับปรุงกองทัพแดงโดยด่วน ตัดสินใจให้กองทัพแดงส่วนหนึ่งเข้าไปเป็นพันธมิตรกับกองกำลังอนาธิปไตย(กองทัพดำ)
หลังจากการสู้รบที่ยืดเยื้อมานานเมื่อได้รับความช่วย เหลือจากกองทัพดำที่รุกโจมตีแนวต้านของกองทัพขาวทำให้กองทัพแดงสามารถเอาชนะต่อทัพของนายพลเดนิกินและทัพของนายพลยูเดนิชได้ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนตามลำดับ
ในช่วงที่สามของสงครามคือการขยายวงล้อมกองทัพขาวที่ยังเหลืออยู่ในแถบไครเมีย นายพลแวรงเกิลได้รวบรวมไพร่พลที่กระจัดกระจายของนายพลเดนิกินโดยเข้ายึดครองไครเมียเอาไว้ พยายามรุกเข้าไปในยูเครนแต่ถูกกองทัพอนาธิปไตยของ
เนสตอร์ มาคโน ต้านทานเอาไว้และตีกลับไปยังไครเมีย
ทำให้แวรงเกลต้องเปลี่ยนแผนด้วยการตั้งรับในไครเมียแทน หลังจากการรุกขึ้นเหนือเพื่อขับไล่กอง ทัพแดงประสบความล้มเหลวและถูกกองทัพดำบีบให้ถอยกลับลงใต้ทำให้เกิดความระส่ำระสายขึ้นในกองทัพของเขา มีทหารหนีทัพมากขึ้นในที่สุดนายพล
แวรงเกิล จึงทิ้งกองทัพหนีไปยังคอนสแตนติโนเปิล(อิสตันบุล)ในเดือนพฤศจิกายน
1920
เหตุการณ์ในแนวรบต่างๆ
นายพล อเล็กไซ มักซิโมวิช คาเลดิน (Алексе́й Макси́мович Каледи́н )
ในภาคพื้นยุโรปของรัสเซียสงครามและการสู้รบเกิดขึ้นสามแนวดังได้เกริ่นมาแล้วในเบื้องต้น ที่สำคัญได้แก่แนวรบด้านตะวันออก ด้านใต้
และด้านตะวันตกเฉียงเหนือ จำแนกออกเป็นช่วงต่างๆดังต่อไปนี้ ช่วงแรกหลังจากการปฏิวัติจนถึงสัญญาหยุดยิง
เมื่อการการปฏิวัติจบสิ้นลงนายพลชาวคอสแซค อเล็กไซ
มักซิโมวิช คาเลดิน (Alexei
Maximovich Kaledin) ปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจการปกครองของคณะกรรมการโซเวียตประจำภูมิภาคลุ่มแม่น้ำดอน(Don
region) ผู้ที่คัดค้านบอลเชวิคได้อาสาสมัครเข้า ไปเป็นทหารในกองทัพของฝ่ายขาวที่หลายฝ่ายเริ่มให้การสนับสนุน สนธิสัญญาเบรสท์-ลิตอฟสท์
เองก็ส่งผลโดยตรงต่อการแทรกแซงรัสเซียจากต่างชาติด้วยการติดอาวุธให้แก่กองกำลังที่ต่อต้านบอลเชวิค หนึ่งเดือนหลังจากพรรคบอลเชวิคได้อำนาจรัฐ ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลใหม่(บอลเชวิค)ต่างเคลื่อนไหวและไปซ่องสุมกำลังในบริเวณตะเข็บรอยต่อของจักรวรรดิรัสเซียเก่าซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การยึดครองของกองทัพเยอรมัน
ที่เมืองโนโวเชอร์กาสค์(Novocherkassk)บนฝั่งขวาของแม่น้ำดอน ชาวคอสแซคได้เลือก
นายพล อเล็กไซ มักซิโมวิช คาเดลิน
ขึ้นเป็นอตามัน(Ataman)
หรือผู้นำของชาวคอสแซคทั้งหมดและยังเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพคอสแซคอีกด้วย วันที่ 20 พฤศจิกายน
ชาวคอสแซคแถบลุ่มแม่น้ำดอนหรือ ดอนคอสแซค (Don Cossacks) ก็ประกาศอิสระภาพ เมืองโนโวเชอร์กาสค์จึงเป็นที่พักพิงหลบภัยของพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติทั้งหลายและภายหลังได้กลายเป็นกองบัญชาการของกองทัพอาสาสมัคร(กองทัพขาว) ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยอดีตนายทหารของพระเจ้าซาร์ภายใต้การนำของนายพล
มิคาอิล อเล็กเซเยฟ และนายพล ลาร์ฟ คอร์นิลอฟ
ความมุ่งหมายหลักของชาวคอสแซคคือการปกป้องรัฐใหม่ของพวกเขา
แต่กองทัพขาวอาสาสมัครได้โน้มน้าวว่าหากต้องการให้ความปรารถนานี้เป็นจริงขึ้นมา ก็มีแต่เพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือต้องร่วมมือกันต่อต้านพวกบอลเชวิคซึ่งขณะนี้กำลังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นจำนวนมากยกเว้นชาวคอสแซคในภูมิภาคดอน ประกอบกับคาเลดินให้การสนับสนุนฝ่ายขาวใช้กำลังเพียง
500
คน ก็สามารถยึดเมือง รอสตอฟ(Rostov)ได้จากหน่วยพิทักษ์แดง(เรดการ์ด)ท้องถิ่นได้ในต้นเดือนธันวาคม
1917
เมื่อเริ่มขึ้นปี
1918 กองทัพแดงที่มีการจัดตั้งที่ดีเริ่มมีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบในสมรภูมิทางด้านเหนือสามารถยึดเมือง
ทากันรอก(Taganrog)ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ นายพลคอร์นิ ลอฟพร้อมกำลัง 4,000 คนที่ตั้งมั่นอยู่ที่เมืองรอสตอฟเห็นว่าการป้องกันเมืองโดยต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่านั้นไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดจึงตัดสินใจถอนทัพลงใต้ แม้ในขณะนั้นกำลังอยู่ในช่วงที่อา กาศกำลังหนาวจัด แต่เพื่อจะเข้าไปตั้งมั่นในภูมิภาคคูบานพร้อมกับความหวังว่าจะได้รับการสนับสนุน
จากชาวคอสแซคในคูบาน(Kuban Cossacks) จึงเป็นการเริ่มยุทธการของการเดินทัพฝ่าน้ำแข็ง
(Ice March) ซึ่งเป็นตำนานเล่าลือกันไปทั่วถึงการกำหนดยุทธวิธีที่ผิดพลาด
กล่าวถึงนายพล
คาเลดิน เมื่อขาดแนวร่วมต้านบอลเชวิค รัฐบาลที่พึ่งตั้งขึ้นใหม่ของเขาจึงถึงกาลอวสานลงและได้ตัดสินใจปลิดชีวิตตนเอง
วันที่ 23 กุมภาพันธ์เมื่อกองทัพแดงกรีฑาทัพเข้ายึดเมืองรอสต๊อฟ คอร์นิลอฟเริ่มเดินทัพลงใต้โดยตัดผ่านทุ่งหญ้าเสต็ปป์ที่หิมะจับตัวเป็นน้ำแข็ง ทหารแต่ละคนมีอาวุธประจำกายคนละกระบอกและยังต้องช่วยกันลากปืนใหญ่สนามอีกด้วย มีพลเรือนชนชั้นกลางชาวรอสสต๊อฟที่กลัวการแก้แค้นของบอลเชวิค(ตามคำโฆษณาชวนเชื่อ)ได้ติดตามขบวนไปด้วยเป็นจำนวนมาก นายพล อังตอน
เดนิกิน
ที่ขึ้นมาแทนตำแหน่งของคอร์ลินอฟกล่าวในภายหลังว่า “เราเดินจากคืนแห่งความมืดมนที่น่าสะพรึงกลัวของความเป็นทาส ด้นดั้นเพื่อเสาะแสวงหานกสีน้ำเงิน
“ (นกสีน้ำเงิน
เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังในเทพนิยายของรัสเซียและดินแดนใกล้เคียง) การเดินทัพเป็นไปทั้งกลางวันและกลางคืนบางครั้งต้องเดินลุยไปในดงหิมะเพื่อเลี่ยงให้ห่างจากทางรถไฟหรือชุมชนที่เป็นปฏิปักษ์
คนจำนวนมากไม่สามารถทนต่อการทดสอบที่หนักหน่วงเช่นนี้ได้ (โดยเฉพาะพลเรือน
ชนชั้นกลาง....ผู้แปล) ต่างล้มป่วยและบาดเจ็บและถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
หลายคนฆ่าตัวตายเพื่อหนีการถูกจับเป็นเชลย
หลังจากเดินทางระหกระเหินมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ หลายครั้งได้ประทะกับศัตรูที่ไล่ติดตามมา
นายพลคอร์นิลอฟจึงตัดสินใจรวมพลเข้าตีเมือง เยคัธรินโอดาร์ (Yekaterinodar) เมืองหลวงของสาธารณรัฐโซเวียตแห่งคอเคเซียเหนือที่พึงตั้งขึ้น การจู่โจมเริ่มเมื่อ
10 เมษายนและต้องพบกับการต่อต้านอย่างเหนียวแน่นจากกำลังพลของกองทัพแดงทีมากกว่าถึงสองเท่า
นายพลคอร์นิลอฟเสียชีวิตจากกระสุนปืนใหญ่ในโรงนาที่เขาใช้เป็นกองบัญชาการ นายพล เดนิกิน เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการแทนได้ตัดสิน
ใจยกเลิกการโจมตีและถอนกำลังมุ่งกลับขึ้นเหนืออีก เมื่อได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของนายพลคอร์นิลอฟ เลนินกล่าวว่า
“พอจะพูดด้วยความมั่นใจได้ว่า ด้านหลักของสงครามกลางเมืองได้จบลงแล้ว คือมันค่อนข้างดีที่จบในขณะกำลังเริ่มต้น”
เส้นทาง Ice March
1 8. การลุกขึ้นสู้ของชาวคอสแซค
หลังปฏิบัติการ ”เดินทัพฝ่าน้ำแข็ง” (Ice March) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์
การเกะกะระรานและกระทำตามอำเภอใจของทหารกองทัพแดงโซเวียตแห่งด็อน ได้สร้างความไม่พอใจและเกิดปฏิกิริยาขึ้นในหมู่ประชาชนชาวคอสแซคเป็นจำนวนมากแม้ว่าพวกเขาจะต่อต้านกองทัพขาวก็ตามที จากผู้ที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่มีไม่มากนักเริ่มขยายตัวมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณรอบๆเมืองโนโวเชอร์คาสต์ ระหว่างเดือนเมษายนมีคนจากหลายแห่งมาอาสาเป็นทหารในกองทัพต่อต้านบอลเชวิคซึ่งรวมพลอยู่ที่เมือง
ซาปลาฟสกายา ร่วมหมื่นคน
ด้วยเหตุนี้กองทัพขาวจึงสามามรถยึดเมืองหลวงของภูมิภาคดอนกลับคืนมาได้ ชาวคอสแซคได้เลือก ปยอทร์ คราสนอฟ
ขึ้นเป็นอตามาน[4] คนใหม่ จนกระทั่งเดือนมิถุนายน คราสนอฟ มีกำลังไพร่พลภายใต้การบังคับบัญชาถึง40,000
คน
ในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้นายพล เดนิกินและกองทัพอาสาสมัครของเขาสามารถฟื้นฟูกำลังขึ้นมาสู้รบได้อีกหลัง จากผ่านการทดสอบที่ยากลำบากจากการเดินทัพฝ่าน้ำแข็งในครั้งนั้นและสามารถกลับเข้าสู่ดุลกำลังใหม่อีกครั้ง ในฤดูร้อนปีนั้น
การได้กำลังเสริมจากหน่วยรบชาวคอสแซคและการสนับสนุนด้านอาวุธจากกองทัพเยอรมัน
เดนิกินก็สามารถยกระดับการรุกเข้าไปในภูมิภาคคูบานอีกเป็นครั้งที่สอง ทำให้เขาสามารถควบคุมภาคใต้ส่วนใหญ่ไว้ได้ เป็นการยกระดับการท้าทายต่อรัฐบาลบอลเชวิคในมอสโคว์อย่างมีพลัง
นายพล ปยอร์ท
นิโคลาเยวิช คราสนอฟ
บากูโซเวียตคอมมูน (เมืองบากูปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจันบนฝั่งทะเลสาบคัสเปียน)
เมื่อ 13 เมษายน เยอรมันยกพลขึ้นบกที่เมืองโปติ(ปัจจุบันอยู่ในสาธารณรัฐจอร์เจียบนฝั่งทะเลดำ)ในวันที่8 มิถุนายน
กองทัพของอาณาจักรอิสลามออตโตมัน(ตุรกีในปัจจุบัน)ที่ร่วมมือกับอาเซอร์ไบจันถอยออกจากบากูในวันที่
26 กรกฏาคม1918 หลังจากนั้นพรรค ดาชนัคส์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองปฏิวัติปีกซ้ายของอาร์เมเนีย พรรคสังคมนิยมปฏิวัติ และเมนเชวิคก็เริ่มเปิดการเจรจากับ นายพล
ดันสเตอร์วิลล์ ผู้บัญชาการทหารของสหราชอาณาจักรในเปอร์เซีย
พรรคบอลเชวิคและพันธมิตรของตนที่เป็นสมาชิกปีกซ้ายของพรรคสังคมนิยมปฏิวัติไม่เห็นด้วย วันที่ 25
กรกฏาคมสภาโซเวียตมีมติด้วยเสียงส่วนใหญ่ให้บอลเชวิคถอนออกจากบากู ทำให้โซเวียตแห่งบากูที่พึ่งจะตั้งต้องถูกยกเลิก อำนาจการปกครองโซเวียตในภูมิภาคคัสเปียนตอนกลางถูกแทนที่ด้วยเผด็จการ
เดือนมิถุนายนกองทัพอาสาสมัครนำกำลัง 9,000 นายได้เริ่มยุทธการคูบานอีกครั้งโดยเข้าล้อมเมืองเยคัธรินโอดาร์เป็นครั้งที่สามในวันที่
1 สิงหาคม ระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคมมีการรบอย่างรุนแรงที่เมืองอาร์มาวีร์และสตราโฟรโปล กองพลทหารราบของนายพล คาซาโนวิช
ก็ยึดเมืองอาร์มาวีร์ได้ วันที่ 1 พฤศจิกายน นายพล ปยอทร์ แวรงเกล
ได้เสริมความมั่นคงด้วยการพิชิตเมืองสตราโฟรโปล
ให้ปลอดจากการโจมตีของกองทัพแดงด้วยการรบที่พวกบอลเชวิคไม่อาจหนีรอดไปได้เลย ตั้งแต่ต้นปี1919 ตอนเหนือของคอเคซัสทั้งหมดก็ไม่มีพวกบอลเชวิคอีก
นายพล บารอน ปยอร์ท นิโคไลเยวิช แวรงเกิล
เดือนตุลาคม
นายพลอเล็กเซเยฟ
ผู้นำของกลุ่มทัพขาวในภาคใต้เสียชีวิตลง
จึงมีการเจรจาตกลงกันระหว่างนายพลเดนิกินผู้นำกองทัพขาวอาสาสมัครกับนายพลคราสนอฟผู้นำของชาวคอสแซคแห่งลุ่มแม่น้ำดอนและได้ผนวกกำลังเข้าด้วยกัน
โดย นายพลเดนิกินเป็นผู้นำ ตั้งเป็นกองทัพแห่งรัสเซียใต้
(The Armed Forces of South Russia หรือ AFSA ขึ้นมา
รัสเซียตะวันออกและไซบีเรีย
การก่อกบฏของหน่วยทหารเชคโกสโลวัค เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 1918
และเข้ายึดเมืองเชลียาบินสต์ ในเดือนมิถุนายนพร้อมกันนั้นนายทหารรัสเซียก็ได้โค่นพวกบอลเชวิคใน
เปโตรพาฟลอฟสต์ และออมสต์ลงไป
ภายในหนึ่งเดือนฝ่ายขาวได้เข้าควบคุมทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียจากทะเลสาบไบคาลไปจนถึงภูมิภาคอูราล
ตลอดช่วงฤดูร้อนอำนาจการปกครองของพรรคบอลเชวิคในไซบีเรียถูกขจัดไปจนหมดสิ้น รัฐบาลชั่วคราวของเขตปกครองตนเองแห่งไซบีเรียได้รับการสถาปนาขึ้นที่เมืองออมสค์ 26กรกฏาคม1918 ฝ่ายขาวยังได้ขยายชัยชนะไปอีกโดยการเข้ายึดเมือง เยคัธรินสบวร์ก (Yekaterinburg )
ก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อยครอบครัวของพระเจ้าซาร์ได้ถูกสังหารโดยโซเวียตแห่งอูราล
เพื่อป้องกันมิให้ตกไปอยู่ในมือของพวกขาวในการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลบอลเชวิค
ในช่วงสงครามกลางเมืองได้เกิดภัยแล้งขึ้นในเขตเกษตรกรรมของรัสเซีย ยูเครนซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของประเทศตกอยู่ภายใต้การยึดครองของเยอรมันจึงเป็นแหล่งสนองอาหารให้แก่กองทัพเยอรมัน ที่ราบสเตปป์และคอเคซัสถูกควบคุมโดยกองทัพฝ่ายขาว แหล่งผลิตอาหารถูกยึดครองโดยฝ่ายตรงกันข้ามส่งผลให้เกิดความขาดแคลน ความอดอยากได้แผ่ขยายกว้างออกไปอีก พวกคูลัค(kulak,ชาวนารวย)
ที่มีข้าวอยู่ในมือได้ซ้ำเติมให้เกิดวิกฤติมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการกักตุนข้าวและโก่งราคาเพื่อกำไรที่มากขึ้นของตน
พวกเมนเชวิคและพรรคสังคมนิยมปฏิวัติให้การสนับสนุนชาวนาในการต่อสู้คัดค้านโซเวียต และเข้าควบคุมการสนองอาหาร เดือนพฤษภาคม
1918 พวกเขาก็สามารถยึดเมืองซามาราและซาราต๊อฟไว้ได้ด้วยการช่วยเหลือของกองทหารเชคโกสโลวัค พวกปฏิปักษ์ปฏิวัติจึงได้ตั้งคณะกรรมการสมาชิกของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่เรียกย่อๆว่า”โคมุส”ขึ้น
เดือนถัดไปอำนาจบริหารของโคมุสได้แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในเขตยึดครองของกองทหารเชคโกสโลวัค โคมุสได้ดำเนินนโยบายทางสังคม-การเมืองที่ประชาชนไม่ค่อยจะมีความมั่นใจนัก โดยผสมผสานนโยบายสังคมนิยมและเสรีนิยมเข้าด้วยกันภายใต้แนวทาง
“ปฏิรูป”
เช่นกำหนดเวลาทำงานเป็นแปดชั่วโมง(จากข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรและสหภาพแรงงาน) นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการคืนโรงงานให้แก่นายทุนและคืนที่ดินให้แก่เจ้าที่ดิน หลังจากเสียเมืองคาซาน เลนิน ได้เรียกร้องต่อคนงานแห่งเปโตรกรารดไปสู่แนวรบที่คาซาน
ในเดือนกันยายน 1918 โคมุสและรัฐบาลชั่วคราวแห่งไซบีเรียและรัฐบาลท้องถิ่นที่คัดค้านบอลเชวิคได้พบปะกันที่เมืองยูฟาและทำความตกลงกันตั้งรัฐบาลชั่วคราวของทั่วทั้งรัสเซียขึ้นมาใหม่ที่เมืองออมสค์ โดยมีผู้นำหลัก 5 คน,
3 คนมาจากพรรคสังคมนิยมปฏิวัติ
(นิโคไล อาคเซนเตียฟ โบดีเรฟ และวลาดิมีร์ เซนซินอฟ)อีก 2คนจากพรรคคาเดท(วี เอ วิโนกราดอฟ และ พี วี โวโลโกดสกี) จากความล้มเหลวเมื่อปี 1918 ทำให้กองกำลังฝ่ายขาวที่ต่อต้านบอลเชวิคในภาคตะวันออกซึ่งรวมถึงกองทัพประชาชน
(โคมุส)
กองทัพไซบีเรีย(ของรัฐบาลเฉพาะกาลไซบีเรีย) และกองกำลังลุกขึ้นสู้ของชาวค๊อสแซคแห่ง โอเร็นบวร์ก อูราล
ไซบีเรีย เซเมียร์เรคซีเย ไบคาล อาร์มูร์และอุสซูรีคคอสแซค ภายใต้การบัญชาการของนายพล วี จี โบลดีเรฟ ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการอำนวยการแห่งยูฟาให้เป็นผู้บัญชาการสูงสุด
พันเอก คัปเปล ที่ยึดได้ โวลกา, คาซานเมื่อ 7 สิงหาคม
จำต้องถอนกำลังออกไปเนื่องจากถูกกองทัพแดงยึดคืน การรุกกลับของกองทัพแดงสามารถ ยึดเมือง ซิมสบีร์กได้ในวันที่
11 สิงหาคม
ยึดเมืองซามาราได้ในวันที่ 8 ตุลาคม กองทัพฝ่ายขาวต้องถอยร่นกลับไปยังเมืองยูฟ่าและโอเร็นบวร์ก ที่เมือง
ออมสค์
รัฐบาลชั่วคราวของฝ่ายขวาต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ พลเรือเอก โคลซัค
รัฐมนตรีสงครามคนใหม่ เพราะได้เกิดรัฐประหารเมื่อวันที่
11 พฤศจิกายนขึ้นและตั้งโคลซัดเป็นผู้เผด็จการ สมาชิกของรัฐบาลเฉพาะการถูกจับกุม พลเรือเอก โคลซัค ได้ประกาศตนเป็นผู้ปกครองสูงสุดของรัสเซีย กลางเดือนตุลาคม
1918 กองทัพขาวต้องทิ้งเมืองยูฟาแต่ชดเชยความล้มเหลวนี้โดยการเข้ายึดเมือง
เปิร์ม ได้ในวันที่ 24 ธันวาคม
พลเรือเอก
อเล็กซานเดรอะ วาสิลีเยวิช โคลชัค
--------------------------------------------------------------------------------------
[1] ฟานญา คาปลัน
ชื่อจริงคือ ไฟกา ไฮโมฟวา รอยท์บลาท (Feiga Haimovna
Roytblat ( 1890
– 1918) สมาชิกพรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติ
ในสมัยรัฐบาลซาร์ถูกเนรเทศและให้ทำงานหนักเป็นเวลา
11 ปี
เธอถูกปล่อยตัวหลังการปฏิวัติ
เธอมีความปักใจว่าเลนิน คือผู้ทรยศต่อการปฏิวัติ
[2] คือดินแดนรวมทั้งพลเมืองและไพร่ติดที่ดินที่อยู่ภายใต้อำนาจปกครองของดยุ๊ค
(เทียบเท่าพระองค์เจ้า) หรือดัชเชส
ของระบอบศักดินายุโรปในสมัยกลาง
[3] คือกองทัพของพวกอนาธิปไตยแห่งยูเครนที่มี
เนสตอร์ มาคโน เป็นผู้นำ
[4] คือตำแหน่งผู้นำสูงสุดของชาวคอสแซค
No comments:
Post a Comment