10. วันอาทิตย์นองเลือด
การถวายฎีการ้องทุกข์ได้ปลุกเร้าความกระตือรือร้นของมวลชนได้อย่างมหาศาล เมื่อมันถูกอ่านต่อหน้ามวลชนคนงาน
ทุกหนทุกแห่งมีเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี
ด้วยความปลื้มปิติและไร้เดียงสา...กาปอนได้เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีมหาดไทยก่อนหน้าวันอาทิตย์นองเลือดเพียงสองวัน เรียกร้องให้มีการอนุญาตอย่างถูกกฎหมายให้มีการเดินขบวนอย่างสันติไปยังพระราชวังฤดูหนาวเขาเขียนว่า
“พระเจ้าซาร์ พระองค์ไม่มีอะไรที่จะต้องทรงวิตกกังวล
ข้าพเจ้าในฐานะตัวแทนของมวลชนกรรมกรรัสเซียรวมถึงบรร
ดาเพื่อนมิตรของข้าพเจ้าและเหล่าสหายกรรมกร
และแม้กลุ่มที่เรียกตนเองว่านักปฏิวัติที่ต่างความคิด...ต่างรับประกันว่าจะไม่เกิดความรุนแรงขึ้น
ขอกราบบังคมทูลพระเจ้าซาร์ให้ทรงออกมาพบปะประชาชนของพระองค์เพื่อรับฎีการ้องทุกข์ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์” ลงนาม
บาทหลวงกาปอนและคณะตัวแทนคนงาน 11 คน, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก , 8 มกราคม
ด้วยเจตนาที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวให้เป็นแบบ”สันติวิธี”
ผู้ดำเนินงานได้ห้ามใช้ธงแดงในขบวนแถว
พรรคสังคมประชาธิปไตยได้ตัดสินใจเข้าร่วมเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้คนในชนชั้นของตนโดยไม่คำนึง
ถึงความแตกต่างในทิศทางการต่อสู้
แต่ผู้ดำเนินการเคลื่อนไหวมีข้อแม้ว่าให้ขบวนแถวของพรรคสังคมประชาธิปไตยไปอยู่ท้ายขบวน
นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่พวกเขาส่วนใหญ่สามารถรอดพ้นจากความตายมาได้
ในขณะที่บรรดาผู้นำของสหภาพฯพยายามควบคุมขบวนแถว แสดงให้เห็นถึงภาพการเดินขบวน
โดยสันติเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของรัฐบาล, แต่ในท้ายที่สุดรัฐบาลและชนชั้นปกครองต่างตกอยู่ในอาการที่ตื่นตระหนกและเตรียมพร้อมที่จะให้บทเรียนเลือดแก่มวลชน เวลาบ่ายสองโมงของวันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม
มวลชนกรรมกรต่างมารวมตัวกันที่หน้าพระราชวังฤดูหนาว
จตุรัสที่กว้างใหญ่หน้าพระราชวังดูเล็กแคบลงไปถนัดตาและแออัดไปด้วยฝูงชน
ไม่เพียงแต่กรรมกรเท่านั้นยังมีนักศึกษา
นักสังคมนิยมกลุ่มต่างๆ สตรี เด็ก
และผู้สูงอายุอีกเป็นจำนวนมาก
รวมแล้วประมาณ 140,000 คนพร้อมใจกันเดินไปยังประตูพระราชวังอย่างสงบ,สันติ
และเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีการร้องรำทำเพลง
ไม่มีธงทิว ไม่มีการปราศรัย
ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนสวมเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดของตนที่ใช้ใส่ไปโบสถ์
ในบางเขตของเมือง...ขบวนคนงานถือธงสัญลักษณ์ทางศาสนา ร้องเพลงสวดมนต์อวยพรแก่พระเจ้าซาร์
ทุกหนทุกแห่งประชาชนต่างมารวมตัวกันเป็นขบวน พวกเขาร้องขอให้เจ้าหน้าที่เปิดทางให้,โบกธง และพยายามเดินอ้อมเครื่องกีดขวางไป
หรือไม่ก็พยายามรื้อถอนสิ่งกีดขวางเพื่อจะเดินต่อไปข้างหน้า ทหารได้ใช้อาวุธยิงสกัดตลอดเวลา, มีผู้เสียชีวิตนับร้อย,บาดเจ็บนับพันคน
แต่ไม่สามารถบอกจำนวนที่แท้จริงได้เนื่องจากซากศพถูกขนใส่เกวียนและถูกนำไปฝังอย่างลับๆในเวลากลางคืน อย่างน้อยมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายประมาณ 4,600 คน
การสังหารหมู่ในวันที่ 9 มกราคม ได้เผยให้เห็นโฉมหน้าของกษัตริย์
“นิโคลัส ผู้กระหายเลือด” ให้เป็นที่รับรู้กันอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแต่มีความเหี้ยมโหดและน่ารังเกียจเท่านั้น แต่ยังเป็นกษัตริย์ที่แสนจะโง่บัดซบอีกด้วย ในวันที่ 22 มกราคม 1905
หลังการยิงใส่ประชาชนไม่กี่วัน อีวา โบรอิโด
ได้กล่าวระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
“รัสเซียถูกปลุกให้ตื่นแล้ว
ทุกหนทุกแห่งประชาชนต่างออกมาแสดงความพึงพอใจ (ในกรณีตาสว่าง..ผู้แปล)
ความเชื่อเก่าๆถึงราชธรรมและความมีเมตตาของพระเจ้าซาร์ผู้ที่มีฉายานามว่าเป็น
”พ่อของชาติ” นั้นได้จบสิ้นลง
แม้กระทั่งกรรมกรที่มีความคิดล้าหลังที่สุดก็สามารถเข้าใจได้ถึงการหลอกลวงของพระองค์เป็นอย่างดี”
หลังการสังหารหมู่ทำให้บาทหลวงกาปอนได้รับรู้ถึงความสยดสยอง เขาได้กล่าวประณามพระเจ้าซาร์และเรียกร้องให้ลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ
บรรยากาศการประชุมในคืนของวันนองเลือดเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เดือดพล่าน กาปอนประกาศต่อหน้ากรรมกรที่มารวมตัวกันว่า
“เราไม่ต้องการกษัตริย์อีกต่อไป”
ฝูงชนที่ปราศจากการนำได้ทะลักออกสู่ท้องถนนด้วยความโกรธแค้น
และในที่สุดบรรดานักปฏิวัติที่เคยถูกปฏิเสธ ถูกขับไล่
กระทั่งถูกทุบตีทำร้าย
กลับกลายมาเป็นบุคคลที่ได้รับการสนใจกันอีก การประชุมสมัชชาครั้งที่ 3
ตัวแทนของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้รายงานถึงเหตุการณ์ในตอนเย็นของวันที่ 9 ว่า
นักปลุกระดมของบอลเชวิคออกตระเวนไปตามท้องถนน
มองหากลุ่มกรรมกรเพื่อทำการปราศรัยชี้แจง
แต่พบว่ามันได้ก้าวล้ำขั้นตอนนั้นไปไกลโขแล้ว
มวลชนกรรมกรได้เรียนรู้สัจธรรมอย่างมากมายในเพียงไม่กี่ชั่วโมง
มากกว่าที่ได้จากการปลุกระดมและโฆษณาที่เคยรับฟังกันมากันมานับเป็นสิบๆปี “เราได้เห็นเกวียนขนศพผู้ตายผ่านหน้าเราไป ประชาชนที่วิ่งติดตามมาต่างตระโกน
“โค่นซาร์ลงไป! โค่นซาร์ลงไป!” ฝูงชนพากันพังประตูร้านค้าเศษเหล็กในเขตวาซิลลี
เพื่อค้นหาอาวุธเท่าที่จะหาได้และติดอาวุธตนเองด้วยดาบโบราณ นั่นเป็นเรื่องที่น่าเวทนา แต่ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ทุกแหล่งแห่งหนจะได้ยินแต่เสียงเรียกร้อง
“อาวุธ อาวุธ”
ตกเวลาเย็นการจัดตั้งมีแนวโน้มที่จะก้าวไปสู่ความรุนแรง
นักปลุกระดมของเราต่างเฝ้าจับตาอย่างตั้งอกตั้งใจในขณะที่นักจัดตั้งทั้งหลายต่างตระเวนไปในที่ต่างๆตามต้องการ
ในแต่ละวันอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ควรได้รับการพิจารณาเฝ้าสังเกตุ”
ครั้งหนึ่งมาร์กซได้เขียนไว้ว่า
ในช่วงเวลาของการปฏิวัติความเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติก็มีความจำเป็นคล้ายดั่งแส้ที่กระหน่ำตีลงมาและสามารถผลักดันให้การปฏิวัติเดินหน้าต่อไป
คำอุปมานี้คือผลพวงที่กรรมกรได้รับบทเรียนจากกาปอนในขณะนั้น, กาปอนเป็นเพียงปัจจัยของความบังเอิญที่เกิดขึ้นจากแรงเหวี่ยงของการเคลื่อนไหวต่อสู้ของมวลชน ซึ่งเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ลอยตัวอยู่บนยอดคลื่นอันทรงพลัง,ซึ่งปรากฏขึ้นเพียงชั่ววูบเท่านั้นก่อนที่จะแตกดับสูญสลายไปตลอดกาล สิ่งที่ทำให้กาปอนประ
สบความสำเร็จได้อย่างยิ่งยวดนั้น
ที่จริงแล้ว..มันเริ่มต้นจากบุคลิกภาพที่เรียบง่ายและเป็นกันเองของเขา เขาเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยสัญชาติญาณของชนชั้นกรรมกร,
แรกสุดคือการปลุกจิตสำนึกของมวลชน
แน่นอน.การเคลื่อนไหวของเขามีแนวโน้มที่แสวงหาวิธีการที่ถูกต่อต้านน้อยที่สุด
วิธีเก่าที่ยังใช้ได้ดีคือปราศรัยด้วยถ้อยคำที่ผู้คนคุ้นเคยและการใช้ผู้นำที่มีชื่อเสียง
การเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ของวันอาทิตย์นองเลือดได้ทำให้มวลชนก้าวพ้นออกมาจากการหลอกลวงที่พระเจ้าซาร์กระทำมานานนับศตวรรษ ในสถานการณ์ปฏิวัติ,จิตสำนึกของกรรมกรได้เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดและไร้ข้อจำกัด
จริงๆแล้วอารมณ์ความรู้สึกของมวลชนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันนั้นประกอบด้วยปัจจัยพื้นฐานทั้งในช่วงของการปฏิวัติและก่อนหน้าการปฏิวัติ คือในช่วงระยะเวลาปลายปีที่ผ่านมา
นักปฏิวัติของพรรคสังคมประชาธิปไตยได้พัฒนาตนเองให้กลายมาเป็นพลังที่ทรงอิทธิพลต่อชนชั้นกรรมาชีพแล้ว
และมีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอตัวเองในฐานะของผู้นำการปฏิวัติของชาติ
เมื่อกลับมาจากการลี้ภัยในสวิตเซอร์แลนด์
เลนินได้เรียกร้องให้เหตุการณ์นองเลือดเดือนมกราคมเป็นการเริ่มต้นของการปฏิวัติในรัสเซีย เขาเขียนว่า
“ชนชั้นกรรมาชีพได้รับบทเรียนที่สำคัญมากในสงครามกลางเมืองครั้งนี้ การปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพได้ให้การศีกษาแก่เรา
ทำให้เราก้าวหน้าได้ภายในหนึ่งวันมากกว่าที่เราได้เคยศึกษามาเป็นเวลาแรมเดือนหรือแรมปีซึ่งเป็นการศึกษาที่ค่อนข้างจะไร้สีสัน
จืดชืด น่าเบื่อ และยากลำบาก
คำขวัญของวีรชนชนชั้นกรรมาชีพของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กที่ว่า
“ความตายหรืออิสรภาพ” นั้นได้ส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วรัสเซียแล้เว”
เหตุการณ์นองเลือดในเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก
สร้างความไม่พอใจแก่สาธารณชนเป็นอย่างยิ่ง
การประท้วงด้วยการหยุดงานเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระจายไปอย่างรวดเร็วตามเมืองต่างๆที่เป็นศูนย์อุตสาหกรรมทั่วทั้งจักรวรรดิ์ ทั้งพรรคสังคมนิยมโปแลนด์และพรรคสังคมประชาธิปไตยแห่งราชอาณาจักรโปแลนด์และลิธัวเนียเรียกร้องให้มีการนัดหยุดงานทั่วไป ปลายเดือนมกราคม 1905 คนงานรัส
เซียและโปแลนด์กว่า 400,000 เข้าร่วมการหยุดงาน
กรรมกรในโรงงานอุตสาหกรรมของนักลงทุนชาวยุโรปในรัสเซียเข้าร่วมหยุดงาน
ในโปแลนด์มีกรรมกรรวมทั้งในฟินด์แลนด์และแถบชายฝั่งทะเลบอลติคเข้าร่วมถึง 93% วันที่ 26มกราคมผู้ประท้วงในเมืองริกา(เมืองหลวงของลิธัวเนีย)ถูกฆ่าถึง
80 คน
และเพียงไม่กี่วันผู้นัดหยุดงานในกรุงวอร์ซอของโปแลนด์ถูกยิงตายกลางถนนกว่า 100 คน
การนัดหยุดงานลุกลามไปทั่ว
เดือนกุมภาพันธ์ในคอเคซัส
เมษายนในอูราลและแถบใกล้เคียง
สถาบันศึกษาระดับสูงจำต้องทยอยปิดการเรียนการสอน
นักศึกษาเสรีนิยมเข้าร่วมการนัดหยุดงานของกรรมกรตามมาด้วยการประท้วงของกรรมกรรถไฟในเดือนตุลาคม เหตุการณ์ลุกลามไปทั่วทั้งเซนต์
ปีเตอร์สเบิร์กและมอสโคว์
มีการตั้งสภาโซเวียตคนงานขึ้นในเซนต์
ปีเตอร์สเบิร์กโดยกลุ่มเมนเชวิคที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของทร๊อตสกีได้ตั้งคณะตัวแทนขึ้นเพื่อนำการนัดหยุดงานของกรรมกรกว่า200 โรงงาน
กรรมกรกว่าสองล้านคนได้เข้าร่วมโดยเฉพาะกรรมกรรถไฟทั่วประเทศ มีการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆทั่วทั้งเขตคอเคซัสยังผลให้เกิดการฆ่าหมู่ชาวตาร์ตาในอาร์เมเนีย บ้านเมืองเสียหายอย่างหนักจากการต่อสู้ รวมไปถึงเมืองบากู(เมืองหลวงของอาเซอร์ไบจันในปัจจุบัน)แหล่งผลิตน้ำมันใหญ่ด้วย
ประกอบกับการเพลี่ยงพล้ำในสงครามตะวันออกไกลต่อญี่ปุ่น(1904–1905) ทำให้เกิดการแข็งขืนขึ้นในกองทหาร วันที่ 2 มกราคม 1905
กองทัพญี่ปุ่นพิชิตเมืองมุกเด็น
รัสเซียต้องสูญเสียกำลังพลไปเกือบ 80,000 นาย กองเรือบอลติคพ่ายแพ้ในยุทธนาวีที่ช่องแคบ
ซัทชึมะ เคาท์ วิทเท
ยื่นข้อเสนอต่อญี่ปุ่นขอเจรจาสงบศึกและต่อมาได้ร่วมเซ็นต์สัญญาสงบศึกที่เมืองปอร์ทสมัธในวันที่ 5 กันยายน 1905
การเจรจาสงบศึกสร้างความไม่พอใจรัฐบาลเป็นอย่างมาก มีการลุกฮือขึ้นตามฐานทัพเรือในเซวาส โตโปล
วลาดิวอสสต๊อค และคอนสตรัดท์ และขึ้นสู่จุดวิกฤตในเดือนมิถุนายนเมื่อเกิดการกบฎขึ้นบนเรือรบ
โปเต็มกิน
แต่เนื่องจากเป็นการลุกขึ้นสู้แบบเป็นไปเองโดยไม่มีการวางแผนและการจัดตั้ง จึงต้องประสบความพ่ายแพ้ไปในที่สุด
แม้จะเกิดความไม่สงบขึ้นในหน่วยทหารเรือ
แต่บรรดาทหารที่ไม่สนใจการต่อสู้ทางการเมืองส่วนใหญ่ยังมีความภักดีต่อรัฐบาลอยู่ จึงยังคงเป็นเครื่องมือของรัฐบาล
พระเจ้าซาร์ในการใช้ปราบปรามควบคุมความไม่สงบในปี 1905
11. การปฏิวัติขึ้นสู่กระแสสูงและการลุกขึ้นสู้
ชนชั้นนายทุนเสรีนิยมเรียกร้องให้พระเจ้าซาร์ยอมรับสภาท้องถิ่นของพวกเขา(Zemstvo
Congress ) อนุญาตให้ตั้งพรรคการเมืองได้และให้สิทธิ์ในการเลือกตั้งทั่วไป
ให้สภาดูมาเป็นองค์กรกลางในการออกกฎหมาย
พระเจ้าซาร์พิจารณาใคร่ครวญอยู่สามวัน
เนื่องจากต้องการให้เกิดความสงบเรียบร้อยและตระหนักถึงความจริงที่ว่า
กำลังทหารไม่สามารถจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดได้อีกแล้วจึงยอมลงนามใน ”บทบัญญัติเดือนตุลาคม” ที่ร่างเสนอโดย เคาท์ เซอร์ไก วิทเท และอเล๊กซิส โอโบเลนสกี ยินยอมให้มีรัฐสภา(Duma)แห่งจักรวรรดิรัสเซียได้
แต่ให้มีฐานะเป็นแค่สภาที่ปรึกษาของพระองค์เท่านั้น
พระองค์ปรารภว่าทรงท้อแท้และเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้กระทำการทรยศต่อพระราชวงศ์ด้วยการจำยอมให้มีการเลือกตั้ง
แต่ให้สิทธิ์เฉพาะบางฐานันดรเท่านั้นที่สามารถลงคะแนนเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้งได้ไม่ใช่ให้สิทธิ์แก่ประชาชนทั่วไป ชนชั้นกรรมาชีพที่ก้าวหน้าได้เรียกร้องพระองค์ให้มอบอำนาจแก่สภาอย่างสมบูรณ์ ประชาชนทุกคนมีต้องสิทธิ์ในการเลือกตั้งและสิทธิในการตั้งพรรคการเมือง
เคาท์ เซอร์ไก วิทเท
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะรัฐมนตรีซึ่งเทียบเท่านายกรัฐมนตรี
เขาพยายามผลักดันให้มีการปฏิรูปการปกครองโดยให้กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งและเสนอร่างบทบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพของพลเมือง
ความไม่สงบทำท่าจะรุนแรงขึ้นเมื่อสภาโซเวียตคนงานแห่งเซนต์
ปีเตอร์สเบิร์กเรียกร้องให้มีการหยุดงานทั่วไปอีก มีการรณณรงค์ให้งดจ่ายภาษีและถอนเงินฝากจากธนาคาร เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ชาวนาในหลายท้องที่ได้ก่อการจราจลเข้ายึดที่ดินและเครื่องมือจากเจ้าที่ดิน
เมื่อบทบัญญัติเดือนตุลาคมถูกประกาศออกไป ประชาชนตามเมืองใหญ่ๆต่างให้การสนับสนุน การหยุดงานประท้วงใน เซนต์
ปีเตอร์สเบิร์กและที่อื่นๆจึงได้เพลาลงอย่างรวดเร็ว มีการยื่นเสนอให้มีการนิรโทษกรรมทางการเมือง
กลุ่มอนุรักษ์นิยมทำข้อตกลงกันใหม่ในการต่อต้านการก่อความไม่สงบ ฝ่ายขวาเริ่มโจมตีพวกฝ่ายซ้ายและชาวยิว ในขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมรัสเซียต่างพึงพอใจกับ”ประกาศเดือนตุลาคม”
เตรียมแต่งตัวเข้าสู่สภาดูมาจากการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้ พวกซ้ายจัดและฝ่ายนักปฏิวัติสังคมนิยมประณามและเรียกร้องให้เลิกล้มการเลือกตั้งที่รัฐบาลพระเจ้าซาร์อุปโลกน์ขึ้นด้วยการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ
เหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนคือการลุกขึ้นสู้ที่ฐานทัพเรือ
เซวาสโตโปลโดยการนำของอดีตนายทหารเรือ ปยอร์ท ชมิดท์
เป็นการต่อต้านรัฐบาลโดยตรง
แต่บางเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจากความโกรธแค้นของฝูงชนซึ่งรวมไปถึงการก่อภัยอย่างอื่นด้วย ภายหลังสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น การประท้วงของคนงาน
การก่อความวุ่นวายของชาวนาและการก่อกบฏในหน่วยทหารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จากสภาพที่ประชาชนชาวรัสเซียถูกบีบคั้นกดดันจากความโหดร้ายของสงคราม
กรรมกรอู่รถไฟได้เข้ายึดอำนาจในสาธารณรัฐชิต้าหรือทรานส์ ไบคาล
โดยได้รับความช่วยเหลือจากทหารที่พึ่งกลับจากสมรภูมิ แมนจูเรีย
ดังนั้นรัฐบาลพระเจ้าซาร์จึงต้องส่งหน่วยทหารที่ยังจงรักภักดีไปคุ้มครองทางรถไฟสาย
ทรานส์ไซบีเรีย
เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างเดียวกันอีก(การยึดทางรถไฟ)เพราะเป็นเส้นทางที่ใช้บรรทุกทหารปลดประจำการออกจากแมนจูเรียหลังสงคราม
รัสเซีย-ญี่ปุ่น
กรรมกรรถไฟที่เมืองทิฟลิส(เมืองหลวงของจอร์เจียในปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น
ทบีลิซี-ผู้แปล)ซึ่งเป็นชุมทางสำคัญ
กรรมกรประท้วงด้วยการดันขบวนรถให้ตกราง
ในมอสโคว์ระหว่างวันที่5 และ 7 ธันวาคม 1905
รัฐบาลส่งกำลังเข้าปราบปรามผู้ประท้วงจนเกิดการต่อสู้ประทะกันตามถนนสายต่างๆ
สัปดาห์ต่อมากองทหารเดินหน้าเข้ากวาดล้างแต่มวลชนคนงานปักหลักสู้อย่างกล้าหาญ
ทหารใช้ปืนใหญ่ยิงทำลายแนวป้องกันของคนงาน มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับจำนวนพันๆคน
บ้านเรือนเสียหายเป็นจำนวนมากในที่สุดคนงานมอสโคว์ต้องยอมจำนน
เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่การลุกขึ้นสู้จะสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของคนงานในปี
1905 โปรเฟสเซอร์ มักซิม โควาเลฟสกี รายงานต่อสภาดูมาเมื่อวันที่ 6 เมษายน 1906 ว่า มีคนมากกว่า 14,000
คนถูกประหารชีวิต และ 75,000 ถูกจำคุก
ภายหลังนักทฤษฎีของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตรัสเซียได้สรุปวิเคราะห์บทเรียนจากการปฏิวัติปี
1905 ไว้ในหนังสือ”ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตฉบับแก้ไขปรับปรุง
" ( History of the communist party of the soviet union,Bolsheviks,
Short Course) หน้า 94
-95 ไว้ดังนี้
“ภายในระยะอันสั้นเพียงสามปีของการปฏิวัติ(1905-07)ชนชั้นกรรมกรและชาวนาต่างก็ได้รับบทเรียนทางการเมืองที่ล้ำค่าชนิดที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อนตลอดระยะเวลาสามสิบปีที่ได้พัฒนามาในยามสันติ สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนก็มีความแจ่มชัดยิ่งขึ้น
การปฏิวัติได้เปิดโปงระบอบซาร์ว่า....เป็นศัตรูของประชาชนอย่างแท้จริง(ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น-..ผู้แปล)
ดังสุภาษิตที่ว่า “หลุมศพเท่านั้นที่จะรักษาหลังของคนค่อมเหยียดตรงได้”
การปฏิวัติแสดงให้เห็นว่า....บรรดานายทุนเสรีนิยมนั้นเป็นพันธมิตรกับพระเจ้าซาร์ ไม่ใช่กับประชาชน มันเป็นพลังต่อต้านการปฏิวัติ การยินยอมประนีประนอมกับมันก็เท่ากับว่าทรยศต่อประชาชน
การปฏิวัติแสดงให้เห็นว่า ....มีแต่ชนชั้นกรรมกรเท่านั้นที่จะนำพาการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนได้
มีแต่พลังของชนชั้นกรรมกรเท่านั้นที่จะโค่นทำลายพวกชนชั้นนายทุนเสรีแห่งพรรครัฐธรรมนูญ-ประชาธิปไตยลงไปได้ ขจัดอิทธิพลของมันที่ครอบงำชาวนา โค่นเจ้าที่ดิน
นำการปฏิวัติไปจนถึงที่สุดและบุกเบิกแผ้วถางหนทางไปสู่สังคมนิยม
สุดท้าย..การปฏิวัติแสดงให้เห็นว่าชาวนาผู้ที่รับภาระอันหนักอึ้ง
ที่แม้จะยังมีความโลเลอยู่แต่ก็เป็นพลังสำคัญที่จะผนึกเข้าเป็นพันธมิตรกับชนชั้นกรรมกร
แนวทางสองแนวที่เกิดขึ้นในพรรคแรงงานสังคม-ประชาธิปไตยในช่วงการปฏิวัติคือแนวทางของบอลเชวิคและเมนเชวิค
ชาวบอลเชวิคมีความมุ่งมั่นที่จะขยายขอบเขตของการปฏิวัติโค่นระบอบซาร์ด้วยกำลังอาวุธเพื่อให้อำนาจการนำเป็นของชนชั้นกรรมกร โดดเดี่ยวพรรครัฐธรรมนูญ-ประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน
ผนึกกำลังกับชาวนาสถาปนารัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาลที่ประกอบด้วยตัวแทนของกรรมกรและชาวนาให้ลุล่วงไปด้วยชัยชนะของการปฏิวัติ ในทางตรงกันข้าม,พวกเมนเชวิคกลับคัดค้านการปฏิวัติที่โค่นล้มระบอบซาร์ด้วยกำลังอาวุธ พวกเขาต้องการเพียงการปฏิรูปและให้
”ปรับปรุง”(ระบอบซาร์-ผู้แปล) เปลี่ยนการเป็นผู้นำของชนชั้นกรรมมาชีพ
โดยเสนอให้พวกนายทุนเสรีนิยมเป็นฝ่ายนำแทนที่พันธมิตรของกรรมกร-ชาวนา เสนอให้สร้างพันธมิตรกับพรรครัฐธรรมนูญ-ประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน ตั้งรัฐบาลแทนรัฐบาลเฉพาะกาลของพันธมิตรกรรมกร/ชาวนา
พวกเขายังเสนอให้สภาดูมาเป็นศูนย์กลางของพลังปฏิวัติทั่วประเทศอีกด้วย
พวกเมนเชวิคได้จ่อมจมอยู่ในหล่มปลักของการประนีประนอมเสียแล้ว และกลายไปเป็นเครื่อง
มือให้แก่ชนชั้นนายทุนในการขยายอิทธิพลครอบงำชนชั้นกรรมกร เป็นนายหน้าที่แท้จริงของชนชั้นนายทุนนั่นเอง”
สำหรับเลนินได้ลอบกลับรัสเซียในเดือนพฤศจิกายน 1905
เพื่อร่วมการปฏิวัติ
แต่ต้องหลบๆซ่อนๆอยู่ตลอดเวลาเพราะการติดตามของตำรวจที่ได้ข่าวจากสายลับซ้อน
ได้แต่เดินทางไป-มาระหว่างรัสเซียและฟินแลนด์
หลังการปฏิวัติพ่ายแพ้จึงต้องลี้ภัยไปต่างประเทศอีกครั้งหนึ่งกว่าจะได้กลับมาก็ตกปี
1917
ชีวิตของเลนินช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากลำบากมากไม่ว่าความเป็นอยู่ที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ
ไหนจะต้องต่อสู้ทางความคิดกับปรปักษ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นปรปักษ์ทางชนชั้นและบรรดานักปฏิวัติด้วยกัน
เอง ไม่เพียงแต่กับพวกเมนเชวิคเท่านั้นยังต้องต่อสู้กับแนวคิดเอียงซ้าย-เอียงขวาของสหายบางส่วนที่มีรากฐานทางชนชั้นมาจากปัญญาชนนายทุนน้อยในกลุ่มบอลเชวิคอีกด้วย
แม้จะลำบากเพียงใดเลนินก็มีความปักใจศึกษาและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาลัทธิมาร์กซเพื่อปรับให้เข้ากับสภาพสังคมรัสเซีย ครุฟสกายาผู้เป็นทั้งภรรยาละมิตรร่วมรบได้เล่าถึงวิธีศึกษาของเลนินว่า
“หลังจากการย้ายที่พำนัก
จึงมีความเป็นไปได้สำหรับเลนินที่เริ่มศึกษาและคุ้นเคยกับงานนิ พนธ์ต่างๆของมาร์กซและเองเกลส์ ประวัติของมาร์กซที่เลนินเขียนให้หนังสือพิมพ์
“กรานาท เอนไซโคลพีเดีย” บ่งแสดงความถึงความรับรู้ที่น่าทึ่งของเลนินที่มีต่องานมาร์กซดีกว่าสิ่งอื่นใด
มันแสดงว่าเลนินมีความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะตักตวงเอาความรู้ขณะที่อ่านงานของมาร์กซ ที่สถาบันเลนินมีสมุดบันทึกของท่านมากมายโดยเฉพาะจากงานของมาร์กซ”
........”เลนินได้ใช้ความรู้จากบันทึกเหล่านี้ อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าจดและหมายเหตุเอาไว้ ท่าน
ไม่เพียงแต่ศึกษามาร์กซเท่านั้นแต่ยังใคร่ครวญต่อคำสอนของมาร์กซอย่างลึกซึ้งอีกด้วย.....เลนินไม่เพียงจะศึกษางานของมาร์กซเท่านั้น
แต่ยังศึกษาว่าบรรดานายทุนและนายทุนน้อยที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับมาร์กซอีกด้วย....ทำการสรุปข้อวิจารณ์อย่างระมัดระวัง เลือก
และทำสำเนาไว้อย่างชัดเจนสำหรับประโยคหรือถ้อยคำที่คัดค้านคำสอนของมาร์กซและลงมือวิเคราะห์อย่างระมัดระวังในข้อความที่วิจารณ์
เพื่อสามารถนำไปโต้แย้งอธิบายสิ่งที่ลัทธิมาร์กซได้นำเสนออย่างไรอีกด้วย”
“....... สุภาษิตฝรั่งเศสบทหนึ่งกล่าวว่า
“สัจธรรมเริ่มจากการไม่ลงรอยกันทางความคิด” (De choc des opinions jaillit
la verite) ซึ่งเลนินชอบที่จะนำมาใช้อยู่เสมอ
ท่านได้ให้ความกระจ่างในเรื่องความแตกต่างทางชนชั้นจากมุมมองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคลื่อน
ไหวของชนชั้นกรรมกรมาตลอด
มันเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่ว่าทำไมเลนินจึงได้กำหนดมุมมองในด้านที่แตกต่างกันไว้เคียงข้างกันอยู่เสมอ
ที่เป็นเช่นนี้ท่านจึงสามารถทำให้เรื่องต่างๆง่ายลง วิธีการที่หลากหลายเหล่านี้จะพบเห็นใน (Volume
XIX )หรืองานซึ่งได้กลั่นกรอง ตรวจสอบ วางแผน
แล้วจึงลงมือเขียน
เช่นปัญหาชาวนาที่ได้รวบรวมไว้ตั้งแต่ก่อน ปี 1917....” (จาก “เลนินศึกษามาร์กซอย่างไร?/How Lenin
studied Marx?..ครุฟสกายา)
เพราะการไม่ยอมก้มหัวและประนีประนอมกับหลักการที่ขัดต่อคำสอนของมาร์กซทำให้ถูกมองว่าเป็นเผด็จการ ยิ่งแนวทางปฏิวัติที่ต่อสู้ด้วยอาวุธทำให้เขาถูกประณามจากเหล่าชาวเมนเชวิคว่าแนวทางของเขา
”ทำให้ชนชั้นนายทุนหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าร่วมการปฏิวัติ เป็นการทำลายการปฏิวัติ”
ซึ่งเป็นการมองข้ามลักษณะชนชั้นของนายทุนที่เป็นประเด็นหลักไปอย่างมืดบอด
ในด้านทฤษฎีเลนินไม่เพียงแต่จะศึกษางานของมาร์กซ-เองเกลส์
เท่านั้น ยังศึกษางานของ เฮเกล(Hegel)
, ฟอยเออร์บัค(Feuerbach
) และนักปรัชญาท่านอื่นๆอย่างจริงจังอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรัชญาจิตนิยม(idealism)ที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ(Dialectic
Materialism)ของมาร์กซอย่าง
อิมมานูเอล ค้านท์ (Imanuel
Kant) นักปรัชญาชาวเยอรมันและนักปรัชญาจิตนิยมคนอื่นๆอีกด้วย
เนื่องจากมีความรอบรู้อย่างกว้างขวางทำให้เลนินสร้างงานด้านทฤษฎีปฏิวัติที่มีลักษณะพิเศษขึ้นมาจากลัทธิมาร์กซ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างพรรคการเมืองที่เป็นกองหน้าปฏิวัติ
นำคำสอนและความจัดเจนของมาร์กซไปกำหนดยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีในการเคลื่อนไหวปฏิวัติ
ฯลฯ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า
“ลัทธิเลนิน”
No comments:
Post a Comment