ภาคผนวก
1. นิพนธ์เดือนเมษายน (April theses)
บทนำ
“กว่าข้าพเจ้าจะมาถึงเปรโตกราดก็เป็นเวลาค่ำของวันที่ 3 เมษายน
และเพราะว่าต้องเข้าประชุมในเช้าวันที่ 4 น่านอน..ข้าพเจ้าได้เสนอแผนงานเกี่ยวกับภาระหน้าที่ในการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพในนามของตัวเอง
และขอสงวนไว้หากเกิดกรณีที่ยังมีการตระเตรียมที่ยังไม่พอเพียง
สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าสามารถทำให้ทุกสิ่งง่ายขึ้นสำหรับตัวเองและเพื่อจะได้รับความเชื่อถือจากฝ่ายตรงกันข้ามก็คือการเตรียมด้วยการเขียน ข้าพเจ้าได้อ่านและให้ตัวบทแก่สหาย เซเรเทริ
ข้าพเจ้าอ่านอย่างช้าๆสองครั้ง ครั้งแรกในที่ประชุมของพรรคบอลเชวิค
และอีกครั้งหนึ่งในการประชุมร่วมระหว่างบอลเชวิคและเมนเชวิค
ข้าพเจ้าได้พิมพ์บทความส่วนตัวของข้าพเจ้าบทนี้โดยอธิบายความอย่างรวบรัด
ซึ่งก็ได้แก้ไขปรับปรุงในรายละเอียดต่างๆให้สมบูรณ์ขึ้นแล้วในรายงาน
บทนิพนธ์
1. ทัศนะของเราต่อสงครามภายใต้รัฐบาลใหม่(ชั่วคราว)ของ
ลว๊อฟและพรรคพวก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารัสเซียยังคงเป็นส่วนหนึ่งในสงครามปล้นสดมภ์ของจักรพรรดิ์นิยม เนื่องมาจากธรรมชาติของรัฐบาลชนชั้นนายทุนจะไม่ยอมรับแม้แต่น้อยที่จะให้เกิดลัทธิ
”ปกป้องการปฏิวัติ” โดยจิตสำนึกของชนชั้นกรรมาชีพจะยอมรับก็เฉพาะสงครามปฏิวัติเท่านั้น
สงครามปกป้องการปฏิวัติต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า
(a)
อำนาจจะต้องเป็นของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนาจนที่ร่วมมือกับชนชั้นกรรมาชีพ
(b) คำประกาศสัญญาต่างๆจะต้องได้รับการตอบสนองอย่างชัดเจนไม่ใช่เพียงแค่ลมปาก
(c) ทำลายผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนลงโดยสิ้นเชิง
ในทัศนะที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในส่วนของมวลชนในระดับกว้างที่ศรัทธาในลัทธิปกป้องการปฏิวัติ, ผู้ซึ่งยอมรับว่าสงครามเป็นเรื่องที่จำเป็นและไม่ได้หมายถึงแค่การเอาชนะ ในแง่ของความเป็นจริงพวกเขากำลังถูกหลอกลวงโดยชนชั้นนายทุน มีความจำเป็นต้องใช้ความอดทนไปอธิบายอย่างละเอียดถึงความผิดพลาดของพวกเขา
ยืนหยัดอธิบายถึงสิ่งที่ดำรงอยู่ของสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ระหว่าง”ทุน”และสงครามจักรพรรดิ์นิยม และพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าหากไม่โค่นล้มทุน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยุติสงครามลงไปได้อย่างแท้จริงโดยวิธีสันติและประชาธิปไตย
สันติภาพไม่อาจกำหนดขึ้นได้จากความรุนแรง ทัศนะเช่นนี้ต้องมีการรณณรงค์อย่างกว้างขวางที่สุดด้วยการจัดตั้งในกองทัพที่อยู่ในแนวรบ
ภราดรภาพ
2. คุณลักษณะเฉพาะของสถานการณ์ปัจจุบันในประเทศรัสเซียที่พึ่งจะผ่านขั้นตอนแรกของการปฏิวัติ เนื่องจากเรายังขาดจิตสำนึกทางชนชั้นและองค์กรจัดตั้งของชนชั้นกรรมาชีพ จึงปล่อยให้อำนาจตกไปอยู่ในกำมือของชนชั้นนายทุนการไปสู่(การปฏิวัติ)ระยะที่สองนั้น อำนาจต้องอยู่ในกำมือของชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นชาวนาส่วนที่ยากจนที่สุดเท่านั้นลักษณะของการเปลี่ยนผ่านนี้ด้านหนึ่งโดยการยอมรับว่ากฎหมายเป็นสิ่งสูงสุด (รัสเซียขณะนี้มีเสรีมากกว่าทุกประเทศที่ทำสงครามในโลก);อีกด้านหนึ่งต้องไม่ใช้ความรุนแรงต่อมวลชนและสุดท้ายไม่ควรให้ความเชื่อถือรัฐบาลของชนชั้นนายทุนที่ไร้เหตุผล ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของสันติภาพและสังคมนิยมต่อสถานการณ์พิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้เรียกร้องให้เราต้องปรับปรุงตนเองเป็นกรณีพิเศษ ทุ่มเทความสามารถของเราเข้าแบกรับภารกิจของพรรคไปเคลื่อนไหวท่ามกลางมวลชนกรรมาชีพอันไพศาลที่พึ่งจะมีความตื่นตัวในชีวิตทางการเมือง
3.
ต้องไม่สนับสนุนรัฐบาลชั่วคราว
กล่าวคือพวกเขาต้องให้ความกระจ่างในสนธิสัญาที่เสียเปรียบทุกฉบับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่ยอมรับเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการสละสิทธิ์ในการผนวกดินแดน
เปิดโปงและไม่ยอมรับข้อเรียกร้องที่เป็นเพียงมายาภาพทั้งมวลของรัฐบาลนี้ หยุดรัฐบาลของชนชั้นนายทุน ไว้ ก่อนที่มันจะก้าวไปสู่จักรพรรดิ์นิยม
4.ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าในสภาโซเวียตคนงานส่วนข้างมาก พรรคเราเป็นเสียงส่วนน้อยและจะน้อยลงไปอีกเมื่อเทียบกับกลุ่มนายทุนน้อยที่มีธาตุแท้ของนักฉวยโอกาสทั้งมวลจากพรรคสังคมนิยมป๊อปปูลิสต์
และพรรคสังคมนิยมปฏิวัติ ที่อยู่ในองค์คณะกรรมการบริหาร(ชเคอิดเซ,เซเรตเตลี,
สเต๊กลอฟ ฯลฯ ฯลฯ )
ซึ่งเป็นผู้ยอมสยบต่อผลประโยชน์เพื่อขยายอิทธิพลของชนชั้นนายทุนน้อยในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพ จะต้องแสดงให้มวลชนเห็นว่ามีความเป็นไปได้เพียงประการเดียวคือผุ้แทนของโซเวียต
คนงานจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลปฏิวัติและนี่คือภาระหน้าที่ของเรา ตราบเท่าที่รัฐบาลนี้ยอมสยบต่ออิทธิพลของชนชั้นนายทุน เราจะต้องยืนหยัดและอดทนที่จะอธิบายความผิดพลาดทางยุทธวิธีของพวกเขาอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องปรับคำอธิบายให้เหมาะสมเพื่อเข้ากับความเรียกร้องต้องการของมวลชนตราบเท่าที่เรายังคงเป็นเสียงส่วนน้อยอยู่ ภารระที่ต้องทำต่อเนื่องคือทำการวิจารณ์และเปิดโปงความผิดพลาดทั้งมวล ในขณะเดียวกันเราต้องแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนผ่านการเข้าสู่อำนาจของสภาโซเวียตคนงานประชาชนส่วนใหญ่จึงจะสามารถเอาชนะความผิดพลาดได้ด้วยประสบการณ์ของพวกเขาเอง
5
ต้องนำเอาสภาโซเวียตคนงานกลับคืนมา
ไม่ยอมรับระบอบรัฐสภาแบบสาธารณรัฐเพราะมันเป็นการก้าวถอยหลัง ควรจะเป็นสาธารณรัฐโซเวียตของคนงาน ,ผู้ใช้แรงงานทางเกษตรกรรม และชาวนา จากบนสู่ล่างทั่วทั้งประเทศ ล้มเลิกกองกำลังตำรวจและกองทัพของพวกขุนนาง เงินเดือนค่าจ้าง พนักงานของรัฐระดับสัญญาบัตรที่ได้รับเลือกเลื่อนเข้ามาแทน(คนเก่า) จะต้องไม่สูงเกินกว่าค่าจ้างโดยเฉลี่ยของคนชำนาญงาน
6. ให้น้ำหนักโดยเน้นความสำคัญด้านนโยบายในการยกระดับสภาโซเวียตแห่งคนงานด้านเกษตรกรรมและสภาโซเวียตชาวนาในท้องถิ่น
ยึดที่ดินรายใหญ่ทั้งหมด
ที่ดินทั้งหมดในประเทศต้องตกเป็นของรัฐ ที่ดินจะถูกบริหารจัดการโดยผู้แทนสภาโซเวียตของเกษตรกรและชาวนาในท้องถิ่นโดยแยกองค์กรออกจากโซเวียตของชาวนาจน
การจัดรูปแบบฟาร์มตัวอย่างโดยจัดตามขนาดของที่ดิน(ขนาด
100-300 เดสเซียติน[1] ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพและการตัดสินใจของแต่ละท้องถิ่น) ภายใต้การควบคุมของคณะตัวแทนโซเวียตของผู้ใช้แรงงานด้านเกษตรกรรมและกองทุนสาธารณะ
7. ควบรวมธนาคารในประเทศให้เป็นธนาคารแห่งชาติเพียงหนึ่งเดียวโดยทันที ควบคุมโดยผู้แทนสมัชชาโซเวียตคนงาน
8. ภาระแรกสุดของเรายังไม่ใช่การเสนอสังคมนิยม
หากเป็นเพียงการนำผลผลิตของสังคมทั้งมวลออกแจกจ่ายกลับคืนสู่สังคมอีกครั้งภายใต้การควบคุมของคณะตัวแทนโซเวียตแห่งผู้ใช้แรงงาน
9) ภาระหน้าที่ของพรรค
a) เรียกประชุมสมัชชาพรรคอย่างเร่งด่วน
b) แก้ไขระเบียบการหลักๆของพรรค
1 ว่าด้วยปัญหาจักรพรรดินิยมและสงครามจักรพรรดินิยม
2 ว่าด้วยท่าทีของเราต่อรัฐและข้อเรียกร้องรัฐแบบคอมมูน
(หมายถึงรัฐที่ใช้คอมมูนปารีสเป็น แม่แบบ..ผู้แปล)
3 แก้ไขปรับปรุงนโยบายที่ล้าหลังบางประการ(c) เปลี่ยนชื่อพรรคเราจากพรรคสังคมประชาธิปไตย ที่ผู้นำพรรคส่วนใหญ่ในโลกได้ละทิ้งและทรยศต่อหลักการสังคมนิยมไปแล้ว(ได้แก่บรรดากลุ่มนิยมเค้าทสกี้ที่โลเลและคัดค้าน) เราต้องเรียกพวกเราว่า พรรคคอมมิวนิสต์
สถาปนาสากลนิยมขึ้นใหม่
10. เราต้องริเริ่มสร้างสรรค์ขบวนการปฏิวัติสากลขึ้นมา
เพื่อต่อต้านบรรดากลุ่มสังคม-ชาตินิยมคลั่งชาติทั้งมวลและคัดค้านศูนย์กลางการเคลื่อนไหวลัทธิสังคม-ประชาธิปไตยที่มีแนวโน้มโลเลระหว่างนักลัทธิคลั่งชาติและนักสากลนิยมจอมปลอมทั้งหลาย
เช่น เค้าทสกี้และสาวกในเยอรมันนี
ลองเกท์และพวกในฝรั่งเศส
ชไคดิเซและพวกในรัสเซีย
ตูราตีและพวกในอิตาลี แมคโดแนลและพวกในสหราชอาณา
จักร และคนอื่นๆ
เพื่อผู้อ่านจะเข้าใจได้ว่า.. ทำไมข้าพเจ้าจึงได้เน้นย้ำเป็นพิเศษในกรณีที่มีผู้คัดค้านโดยสุจริตใจ ข้าพเจ้า
ขอเชิญท่านทั้งหลายลองเปรียบเทียบข้อเขียนนี้กับคำคัดค้านของคุณ
โกลเดนแบร์ก ที่กล่าวว่า
“เลนินได้ตั้งธงของสงครามกลางเมืองไว้แล้วท่ามกลางการปฏิวัติประชาธิปไตย”
(คัดมาจาก No. 5 of Mr.
Plekhanov's Yedinstro/หนังสือพิมพ์ของพรรค เยดินสโตร)
มีคุณค่าหรือไม่?
ข้าพเจ้าเขียนและแถลงอย่างละเอียดชัดเจนว่า
“ในทัศนะของมวลชนส่วนที่เชื่อว่าพวกเขาคือผู้ปกป้องการปฏิวัติ
ในความเป็นจริงนั้นพวกเขากำลังถูกหลอกลวงโดยชนชั้นนายทุน
จึงมีความจำเป็นโดยเฉพาะในการอธิบายถึงความผิดพลาดของพวกเขาด้วยความอดทนและอย่างต่อเนื่อง สุภาพบุรุษชนชั้นนายทุนที่เรียกตนเองว่า
“นักสังคมประชาธิปไตย”
ผู้ซึ่งยังไม่สังกัดข้างใดไม่ว่าจะเป็นข้างมวลชนอันไพศาลหรือ ผู้ที่เชื่อในลัทธิปกป้องชาติได้วิพากษ์ทัศนะของข้าพเจ้าว่า
“ธงแห่งครามกลางเมืองได้ถูกปักลงแล้วบนใจกลางของการปฏิวัติประชาธิปไตย” (ซึ่งไม่เคยปรากฏแม้แต่คำเดียวในข้อเขียนและในคำปราศรัยของข้าพเจ้า)
มันหมายความว่าอะไร?
และมันแตกต่างอย่างไรกับการปลุกระดมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจลาจลของหนังสือพิมพ์ รุสกายา โวลย่า? [2]
ข้าพเจ้าเขียน และแถลงอย่างละเอียดชัดเจนว่า “มีแต่สภาโซเวียตของคนงานเท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการสถาปนารัฐบาลปฏิวัติและนี่คือภาระของเราที่จะนำเสนออย่างอดทน เป็นระบบ
ยืนหยัดในการชี้แจงถึงความผิดพลาดทางยุทธวิธีของพวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับตัวไปสู่การปฏิบัติตามความต้องการของมวลชน”
ขณะนี้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกลับโจมตีแนวทางทัศนะของข้าพเจ้าว่าเป็น
“สงครามกลางเมืองท่ามกลางการปฏิวัติประชาธิปไตย”!
ข้าพเจ้าโจมตีรัฐบาลชั่วคราวที่ไม่ได้มาจากการแต่งตั้ง ไม่ว่าทั้งก่อนหน้านี้และทุกๆเมื่อที่มีการเรียกประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ,สภาที่มีบทบาทที่จำกัดยิ่ง ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยต่อการเรียกประชุมโดยไม่มีตัวแทนของโซเวียตแห่งคนงานและทหารซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะประกันถึงความสำเร็จ
ในทัศนะของข้าพเจ้าไม่มีเหตุผลใดๆที่ว่า...เพราะข้อคัดค้านของข้าพเจ้าเป็นสาเหตุให้ต้องมีการเรียกประชุมสภาอย่างเร่งด่วน
ข้าพเจ้าคงเพ้อเจ้อแน่ หากไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าได้ผ่านการต่อสู้ทางการเมืองมานานนับสิบๆปี สิ่งเหล่านี้ได้สอนข้าพเจ้าว่า ความซื่อตรงของฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ในเอกสารของ คุณเพลคานอฟ เรียกปฐกถาของข้าพเจ้าว่า
“เพ้อเจ้อ” การโต้แย้งของคุณช่างไร้มารยาทและรับรู้ช้าเสียจริงๆ ถ้าข้าพเจ้าพูดเรื่อง ”เพ้อเจ้อ”
ทำไมคนนับร้อยจึงยังทนนั่งฟังเรื่อง”เพ้อเจ้อ”เช่นนี้อยู่ได้ตลอดสองชั่วโมง ทำไมหนังสือพิมพ์ของคุณจึงต้องอุทิศเนื้อที่ทั้งคอลัมน์ให้กับเรื่องเพ้อเจ้อเช่นนี้เล่า?
มันช่างขัดกันเหลือเกิน
แน่นอนมันเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะตระโกน ประณาม
และโห่ฮา มากกว่าการอธิบาย หากหวลระลึกถึงคำกล่าวของมาร์กซและเองเกลส์ในปี
1871, 1872 และ 1875 เกี่ยวกับประสบการณ์ของปารีสคอมมูนและรูปแบบของรัฐที่ชนชั้นกรรมาชีพปรารถนา
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า คุณเพลคานอฟ
อดีตนักลัทธิมาร์กซ ไม่สนใจที่จะหวนกลับมาระลึกถึงลัทธิมาร์กซอีก
ข้าพเจ้าขอยกคำพูดของ โรซา ลุกเซ็มบวร์ก ที่เรียกนักสังคม-ประชาธิปไตยเยอรมันเมื่อวันที่
4 สิงหาคม 1914 ว่าเป็น “ซากศพที่เน่าเหม็น” เพลคานอฟ ,โกลเดนเบิร์กส์และพรรคพวกรู้สึกไม่พอใจ ในนามของใครหรือ? ในนามของนักลัทธิคลั่งชาติเยอรมันนะสิ พวกเขารู้สึกสับสนเพราะถูกเรียกว่านักลัทธิคลั่งชาติ
นักสังคม-คลั่งชาติชาวรัสเซียผู้น่าสงสารเหล่านี้
.......นักสังคมนิยมในคราบของนักลัทธิคลั่งชาติ
-------------------------------------------------------------------------------------
ประวัติบุคคลโดยสังเขป
(29พฤศจิกายน 1856 – 30 พฤษภาคม 1918)
กอร์กี้ วาเลนติโนวิช เพลคานอฟ
เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน1856 (ปฏิทินเก่า)
ที่หมู่บ้าน กูลานอฟกาจังหวัด ทามบอฟ ประเทศรัสเซีย หนึ่งในบรรดาพี่น้อง 12
คน วาเลนติน เพลคานอฟ
บิดาของเขาเป็นทายาทของตระกูลผู้ดีชนชาติส่วนน้อยตาร์ตา
นับเป็นผู้ดีระดับล่างของสังคมรัสเซียถือครองที่ดินประมาณ 270 เอเคอร์และไพร่ติดที่ดินราว 50 คน มาเรีย
ฟีโอโดรอฟนา มารดาของกอร์กี้ เป็นเครือญาติห่างๆกับ วิซาลิออน เบ-ลินสกี นักวิจารณ์วรรณคดีชื่อดัง แต่งงานกับวาเลนตินเมื่อปี
1855 หลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิต กอร์กี้เป็นบุตรคนแรกในจำนวน 5 คนของทั้งคู่
เมื่ออายุได้ 10 ขวบกอร์กี้ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนายทหารคอนสแตนตินอฟในโวโรเนซเมื่อปี 1866
จนถึงปี 1873 มารดาของเขาให้เหตุผลในภายหลังว่า สาเหตุที่บุตรของเธอใช้ชีวิตเยี่ยงนักปฏิวัติกระทั่งมีแนว
คิดเสรีนิยมก็เพราะหลักสูตรการสอนในโรงเรียน ปี 1871
วาเลนติน เพลคานอฟ ไม่อยากให้ครอบครัว
ที่มีฐานะเป็นเจ้าที่ดินน้อยจึงรับงานเป็นผู้บริหารสภาเมือง(zemstvo /
เซมสตโว )ที่พึ่งจะตั้งขึ้นใหม่และเสียชีวิตในอีกสองปีต่อมา
หลังการเสียชีวิตของบิดา...เพลคานอฟได้ลาออกจากโรงเรียนทหารและลงทะเบียนเรียบในสถาบันโลหะวิทยาในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่นี่เขาได้รู้จักกับปัญญาชนชื่อว่านักปฏิวัติหนุ่ม
ปาเวล เอ๊กเซลรอด ซึ่งภายหลังเพลคานอฟได้กล่าวถึงเขาด้วยความประทับใจว่า
“เขาชอบพูดถึงการทำงานด้านธุรกิจพอๆกับ วรรณคดี เป็นคนหนึ่งที่รักการเรียนรู้
ชอบอ่าน คิด และทำ มีความไฝ่ฝันอยู่ตลอดเวลาที่จะไปศึกษาและฝึกงานในด้านเคมีในต่างประเทศซึ่งผมไม่ค่อยชอบนัก..ผมพูดกับเขาว่ามันฟุ่มเฟือยเกินไป ถ้าคุณใช้เวลานานจนกว่าจะจบการศึกษาแล้วเมื่อไหร่คุณถึงจะได้เริ่มต้นปฏิวัติล่ะ
ภายใต้อิทธิพลของแอ๊กเซลรอด
เพลคานอฟจึงถูกชักจูงเข้าสู่กลุ่มป๊อปปูลิสต์[3]ในฐานะนักเคลื่อนไหวกิจกรรม
ในองค์กร เซมลียา อี โวลียา (แผ่นดินและเสรีภาพ ).ซึ่งเป็นองค์กรปฏิวัติกลุ่มแรกๆในสมัยนั้นเพลคานอฟเป็นหนึ่งในผู้จัดการประท้วงทางการเมืองในรัสเซีย
1 ตุลาคม
1876
ในระหว่างการประท้วงที่คาซานเพลคานอฟได้กล่าวโจมตีระบอบอัตาธิปไตยของพระเจ้าซาร์อย่างเผ็ดร้อนและสนับสนุนปกป้องความคิดของเชอร์นีเวฟสกี หลังจากนั้น...เพราะเกรงว่าจะถูกตอบโต้จึงนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างระมัด
ระวัง เขาถูกจับสองครั้งจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองถูกขังอยู่ไม่นานก็ถูกปล่อยตัวออกมา
แม้ว่าจะเป็นพวกป๊อปปูลิสต์มาแต่เดิม แต่เมื่อย้ายไปยังยุโรปตะวันตกเขาได้มีความสัมพันธ์และเคลื่อนไหวร่วมกับกับนักสังคมประชาธิปไตยยุโรปตะวันตกและเริ่มศึกษางานของมาร์กซและฟรีดริค เองเกลส์
เมื่อปัญหาการก่อภัยร้ายได้กลายมาเป็นการอภิปรายถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนในขบวนการเคลื่อนไหวในหมู่พวกป๊อปปูลิสต์ในปี
1879 เพลคานอฟได้ตัดสินใจตัดอย่างเด็ดขาดที่จะต่อต้านการเมืองที่ใช้การลอบสังหาร
นักประวัติศาสตร์ ลีโอโพล แฮมสัน
ยกคำพูดของเพลคานอฟ ที่ว่า “ประณามการเคลื่อนไหวที่ก่อภัยร้ายอย่างไม่มีการยั้งคิด จะเป็นการลดทอนพลังปฏิวัติและกระตุ้นให้รัฐบาลทำการปราบปรามอย่างรุนแรง การปลุกระดมมวลชนจะเป็นไปอย่างยากลำบาก” เพลคานอฟได้ คัดค้านทัศนะคติที่ผิดอย่างสม่ำเสมอ ยินยอมละทิ้งการเคลื่อนไหวทั้งหมดมากกว่าที่จะประนีประนอม
เขาตั้งกลุ่มการเมืองชื่อ เชรินยี เพเรเดล ด้วยการรวบรวมเอาพวกป๊อปปูลิสต์ที่กระจัดกระจาย เพื่อต่อสู้คัดค้านการเคลื่อนไหวก่อภัยร้ายของพวก
นารอดยา โวลยา(ความต้องการของประชาชน)
แต่เป็นที่ประจักษ์ว่าความพยายามของเขาไม่ประสบความสำเร็จปี 1880
ได้ลี้ภัยไปยังสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งตั้งใจว่าจะพำนักเพียงชั่วคราว แต่กว่าจะได้กลับบ้านเกิดก็ล่วงเข้าไปถึง 37
ปี สามปีต่อมา..เพลคานอฟ
ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมืองอย่างกว้างขวาง
และค่อยเข้ามาสู่ปัญหาความเชื่อของเขาต่อความเป็นไปได้ของรูปแบบการปฏิวัติบนพื้นฐานของคอมมูน[4]แบบดั้งเดิม.
ในช่วงเวลานี้เพลคานอฟได้ทุ่มเทให้กับกลุ่มสายกลาง (centralist) เชื่อมั่นในศักยภาพของการเคลื่อน ไหวต่อสู้ทางการเมืองเขาตัดสินใจที่จะต่อสู้ในฐานะนักสังคมนิยม
ในอนาคตระบอบทุนนิยมจะต้องพัฒนาขึ้นในสังคมแบบเกษตรกรรมของรัสเซียอย่างแน่นอน
เดือนกันยายน 1883
เพลคานอฟได้ร่วมกับเพื่อนเก่าเช่น
เอ๊กเซลรอด เลฟ
ด๊อยช์ วาซิลี อิกนาต๊อฟและ เวรา ซาซูลิค
ตั้งองค์กรการเมืองลัทธิมาร์กซขึ้นชื่อว่า “กลุ่มปลดปล่อยแรงงาน” (Освобождение труда / อ๊อสโวบอซเดนิเย ทรูดา) และได้เสนอนโยบายทางสังคมขององค์กร ฐานขององค์กรที่อยู่ในเจนีวา ได้พยายามขยายแนวคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจ-สังคมของมาร์กซ
แต่ก็ประสบความ สำเร็จเพียงเล็กน้อยโดยได้รับความสนใจจากปัญญาชนชั้นสูงเช่น เพร์ท(ปีเตอร์) สตรู๊ฟ วลาดิมีร์ อูลิยานอฟ(เลนิน) จูเลียส
มาร์ตอฟ และอเล็กซานเดอร์ โปเตรซอฟ
เข้ามาร่วมในองค์กร
กิจกรรมด้านหนังสือ....ในช่วงนี้เองที่เพลคานอฟเริ่มเขียนและตีพิมพ์งานหนังสือเกี่ยวกับการเมืองเล่มสำคัญของเขา
รวมไปถึงจุลสารที่เกี่ยวกับสังคมนิยมและการต่อสู้ทางการเมือง เช่นหนังสือขนาดยาวเรือง ”ความแตกต่างของเรา”
(1885) งานนี้ได้แสดงความชัดเจนเป็นครั้งแรกในฐานะนักลัทธิมาร์ก
รัสเซีย และอธิบายถึงเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงจากนักเคลื่อนไหวป๊อปปูลิสต์ไปสู่นักลัทธิมาร์กซหนังสือเล่มต่อมาเขาได้เน้นย้ำว่า
ระบอบทุนนิยมได้เกิดขึ้นแล้วด้วยตัวมันเองในรัสเซียแม้จะยังเป็นประเทศเกษตรกรรม แรกสุดได้แก่โรงงานสิ่งทอ
ชนชั้นผู้ใช้แรงงานเริ่มปรากฏขึ้นในหมู่ชาวนารัสเซียและการขยายตัวของชนชั้นนี้จะเป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
และจะเป็นการนำความเปลี่ยนแปลงรัสเซียไปสู่สังคมนิยม
มกราคม 1895 เพลคานอฟได้ออกหนังสือเล่มที่สร้างชื่อเสียงให้เขามากที่สุดเรื่อง
”พัฒนาการของนัก เอกนิยมในมุมมองทางประวัติศาสตร์”
หนังสือเล่มนี้ผ่านการเซ็นเซอร์จากรัฐบาลและตีพิมพ์อย่างถูกกฎ
หมายของรัสเซียภายใต้นามปากกา เบลตอฟ
และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในการปกป้องแนวคิดวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ และแน่นอนเลนินได้ให้ความเห็นว่าเป็นหนังสือที่ได้ช่วยให้การศึกษาแก่นักลัทธิมาร์กซรัสเซียอย่างมาก
ฟรีดริค
เองเกลส์ได้ให้ความเห็นในจดหมายถึง เวรา ซาซูลิค เกี่ยวกับหนังสือนี้ว่าพิมพ์ออกมาถูกเวลา
ที่สุด เพราะซาร์ นิโคลัส ที่ 2 พึ่งจะออกคำแถลงถึงความไร้ประโยชน์ของเซมสตโว รัฐบาลท้องถิ่น ที่ต้องการยับยั้งการปลุกระดมเพื่อให้มีการปฏิรูปประชาธิปไตยในรัสเซียเท่านั้น นิโคลัสที่ 2 ได้ตัดสินใจ นำรัสเซียกลับไปสู่การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชเช่นเดิมเหมือนสมัยของซาร์อเล๊กซานเดอร์ที่
3 พระราชบิดาอีกครั้ง
การตั้ง เซมสตโว หรือ สภาบริหารท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งในจักรวรรดิ์รัสเซียภาคพื้นยุโรปนั้น เป็นการริเริ่มของซาร์อเล๊กซานเดอร์ที่
2 ปู่ของพระองค์ในปี 1864 แต่ภายใต้
นิโคลัสที่2 กลับเป็นการฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชขึ้นมาอีก ดังนั้นเซมสตโวทั้งหลายเป็นสิ่งที่เกินความต้องการจะต้องถูกล้มเลิกไป เองเกลส์ได้คาดหมายไว้คำประกาศนี้จะเป็นสาเหตุให้การประท้วงจะลุก
ลามไปทั่วรัสเซีย และเห็นว่าการตีพิมพ์หนังสือของเพลคานอฟเล่มนี้เป็นปัจจัยในการประท้วงขยายตัวเพิ่มมากขึ้น หลังเดือนกุมภาพันธ์ปี1895 เองเกลส์ได้เขียนจดหมายถึงเพลคานอฟแสดงความยินดีในความสำเร็จอย่างสูงที่สามารถพิมพ์หนังสือเล่มนี้ได้ภายในประเทศ ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน
เมื่อ 1896 ที่เมืองชตุร์ทการ์ต
ตลอดทั้งปี 1890
เพลคานอฟหมกมุ่นอยู่กับงานค้นคว้าหนังสือเกี่ยวกับการปฏิวัติ เบื้องแรกได้ พยายามค้นคว้าและเผยให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีวัตถุนิยมของฝรั่งเศสก่อนหน้ามาร์กซ์และวัตถุนิยมของมาร์กซ “ความเรียงที่ว่าด้วยวัตถุนิยมประวัติศาสตร์”(1892
- 1893) ของเขาเห็นพ้องด้วยแนวคิดวัตถุนิยมฝรั่งเศส เช่น เปาล์ โฮลบัค โค๊ลด อาดริแอง เฮลเวทิอุส เพลคานอฟแก้ต่างให้ทั้ง
เฮลเวทิอุสและโฮลบัค จากการโจมตีของ ฟรีดริค อัลแบร์ท ลางเง , จูลส์ เอากุสเต ซูรี
และนักปรัชญาจิตนิยมคนอื่นๆที่เป็นสานุศิษย์ของคานท์ ในข้อเขียนเหล่านี้เพลคานอฟระมัดระวังเป็นพิเศษในการเน้นถึงแนวทางการปฏิวัติของปรัชญาลัทธิมาร์กซ เขาไม่เพียงแต่จะค้นพบว่าปรัชญาวัตถุนิยมนั้นเป็นพลังขับดันทางประวัติศาสตร์เท่านั้น
แต่มันยังเป็นแบบฉบับที่ใช้พิจารณาเศรษฐกิจแบบวัตถุนิยมอันเป็นปัจจัยเฉพาะของการเคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์อีกด้วย
ประการต่อมา....เขาได้สรุปส่วนสำคัญของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์และบทบาทของมันในการต่อสู้กับอุดมการณ์ของชนชั้นนายทุน “ทฤษฎีผู้ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์” ของนักปรัชญาชนชั้นนายทุนถูกเพลคานอฟ
โจมตีด้วยมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ในหนังสือของเขาเรื่อง ”บทบาทของปัจเจกชนในประ วัติศาสตร์” ประการที่สามเขาได้ปกป้องทฤษฎีปฏิวัติของลัทธิมาร์กซที่ถูกวิจารณ์โดยนักลัทธิแก้ เอดูอาร์ด
แบร์นชไตน์ (Eduard Bernstein) และ ปยอทร์ สตรูฟ (Pyotr
Struve) ปี 1900
เพลคานอฟ ,ซาซูลิค, เลนิน
, โปเตรซอฟ , มาร์ตอฟ ได้ร่วมกันออกหนังสืออิสครา(ประกายไฟ)แนวทางลัทธิมาร์กซ ด้วยเจตนาที่จะนำไปสู่การรวมนักลัทธิมาร์กซอิสระทั้งหลายให้เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในองค์กร จากความพยายามนี้ทำให้พรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย(RSDLP)ก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาภายใต้กลุ่มบอลเชิคและเมนเชวิค หลังปี1903 ในการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่2
เพลคานอฟเข้าข้างเลนิน ภายหลังในทางการเมืองเขากลับเสียดสีเลนิน
เพลคานอฟรู้สึกผิดหวังและให้ข้อสังเกตว่า บอลเชวิคให้ความสำคัญเรื่องประชาธิปไตยน้อยกว่าเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ เขากล่าวว่า “ความสำเร็จของการปฏิวัตินั้นเป็นหลักการอันสูงสุด
และถ้าความสำเร็จของการปฏิวัติเรียกร้องแค่การจำกัดประชาธิปไตยนั่นถือว่ามันเป็นอาชญากรรม
นักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพไม่ควรจำกัดสิทธิทางการเมืองของชนชั้นที่สูงกว่า ถ้าจะให้การปฏิวัติมีความมั่นคงประ ชาชนควรเลือกตัวแทนรัฐสภาโดยทันที.....”
เพลคานอฟเชื่อว่านักลัทธิมาร์กซควรจะเริ่มต้นด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมกับการต่อสู้ทุกชนิดที่คัดค้านเป้าหมายใหญ่ของการปฏิวัติ
เพื่อบรรลุถึงเรื่องนี้...พรรคสังคมประชาธิปไตยรัสเซียจะต้องมีโครงสร้างที่เป็นประชาธิปไตย
ระหว่างการปฏิวัติปี 1905
เพลคานอฟได้วิพากษ์วิจารณ์เลนินและบอลเชวิคอย่างต่อเนื่องถึงความผิดพลาดที่มีความเข้าใจอย่างจำกัดในบทบาททางประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติและการกำหนดยุทธวิธีที่ไม่เป็นไปตามสภาพความเป็นจริง "เขาเชื่อว่าการกระทำของบอลเชวิคนั้นขัดกับสภาพภววิสัยและกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์ คือข้ามขั้นตอนของการพัฒนาทุนนิยมของรัสเซียที่ยังมีความล้าหลังอยู่ก่อนที่จะก้าวไปสู่สังคมนิยม
ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่เพลคานอฟได้รับการจดจำในฐานะทีเป็นผู้ที่ขยายแนวคิดของปรัชญาลัทธิมาร์กซ เลนินได้เขียนถึงเพลคานอฟว่า “คุณูปการที่เขาได้กระทำไว้ในอดีตเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก” ตลอดระยะยี่สิบปีตั้งแต่ 1888
– 1903 เพลคานอฟได้ผลิตบทความที่ทรงคุณค่าออกมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานที่คัดค้าน
นักฉวยโอกาส นักปฏิบัตินิยม และ แนวคิดนารอดนิค หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม
เลนิน เรียกร้องให้มีการรวบรวมพิมพ์ผลงานด้านปรัชญาเหล่านี้เพื่อเป็นตำราศึกษาภาคบังคับสำหรับชาวคอมมูนิสต์ในอนาคต เมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่1 เพลคานอฟกลายเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร(Entente)[5]อย่างเปิดเผย เหยียดหยามกลุ่มที่เรียกว่า ”ชาวสังคมนิยมผู้รักชาติ[6]”
(ที่ต่อต้านสงครามจักรพรรดินิยม
และแปรสงครามนี้ให้เป็นสงครามปฏิวัติ) ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยเลนินและมิตรสหาย
เขามั่นใจว่าจักรวรรดิ์นิยมเยอรมันเป็นฝ่ายผิดที่ก่อสงครามและเชื่อว่าหากเยอรมันชนะจะทำให้ชนชั้นกรรมกรยุโรปจะตกอยู่ภายใต้หายนะอันใหญ่หลวง เพลคานอฟยังคงต่อต้านพรรคบอลเชวิคที่นำโดยเลนินอย่างแข็งกร้าว และเขาเองก็เป็นผู้นำกลุ่มเยดินสตโว กลุ่มการเมืองเล็กๆกลุ่มหนึ่งและออกหนังสือพิมพ์ในชื่อเดียวกัน เขาได้วิจารณ์บทนิพนธ์เดือนเมษายนของเลนินว่าเป็นเรื่อง”เพ้อฝัน”ต่อเจตนารมณ์ที่จะก้าวข้ามขั้นตอนการพัฒนาทุนนิยมในสังคมเกษตรกรรมของรัสเซียไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยม และให้ฉายาเลนินว่า “นักปฏิวัติจอมปลอม” เพลคา นอฟ
มีความเอนเอียงและสนับสนุนข้อที่เลนินถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับของเยอรมัน เรียกร้องให้รัฐบาลชั่วคราวของ
อเล็กซานเดอร์ เคเรนสกี ใช้มาตรการกดดันพรรคบอลเชวิคอย่างเข้มงวดเพื่อหยุดยั้งแนวทางการเมืองที่เป็นอันตราย
หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม
เพลคานอฟ ได้ออกจากรัสเซียเนื่องจากเป็นปฏิปักษ์กับบอลเชวิค และเสียชีวิตด้วยวรรณโรคที่ เทริโจกิ
ประเทศฟินแลนด์(ปัจจุบันคือเขตชานเมืองของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก)ในวัย 61 ปี ศพของเขาถูกฝังที่สุสานโวลโคโว
ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ใกล้ๆกับ
วิซซาริอน เบลินสกี และนิโคไล โดโบรลิยูบอฟ แม้ว่าเพลคานอฟและเลนินจะไม่ลงรอยกันในเรื่องปฏิบัติการทางการเมือง โดยเฉพาะในเรื่องการชี้นำชนชั้นกรรมาชีพ
แต่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตได้ใช้ชื่อเพลคานอฟเป็นชื่อของสถาบันเศรษฐกิจโซเวียต
และสถาบันเหมืองแร่แห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงคุณูปการเขา เพลคานอฟถูกจดจำในฐานะของนักคิด
นักบุกเบิกและเผยแพร่ลัทธิมาร์กซคนสำคัญของรัสเซียหรือ ”บิดาแห่งลัทธิมาร์กซรัสเซีย”
2. ปาเวล
บอริสโซวิช อัคเซลรอด (Па́вел Бори́сович Аксельро́д)
ซื่อเดิม ปินเชส บอรุกซ์ (Пи́нхус Бо́рух)
(25 สิงหาคม 1850 – 16 เมษายน 1928)
นักปฏิวัติกลุ่มเมนเชวิค เกิดที่เมือง ปอตเชฟ อยู่ระหว่างเมืองเชอร์นิคอฟ จังหวัด ชคอฟ
เมืองชนบทเล็กๆและเมืองโมกิเลฟที่เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของจักรวรรดิ์รัสเซีย
ปัจจุบันอยู่ในเบลารุสเป็นบุตรของเจ้าของโรงแรมชาวยิวเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1850 ปี1875 แต่งงานกันนาเดซดา อิวานโนวา คามินา
ที่เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
ช่วงแรกของการแต่งงานค่อนข้างจะมีความยุ่งยากเดือดร้อนเรื่องการเงินอยู่บ้างแต่ชีวิตครอบครัวก็ดำเนินไปด้วยดี กลางปี 1880 ได้ตั้งบริษัทเล็กๆทำธุรกิจด้านผลิตเครื่องดื่มนมเปรี้ยวขึ้น และขยายสาขาไปยัง ซูริค และบาเซิล
ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นพอที่จะเกื้อหนุนนักปฏิวัติได้ ปี 1908 ได้ขายกิจการไปทั้งหมด ตั้งแต่วัยเด็กเขาได้รับอิทธิพลจากมิคาอิล
บาคูนิน(นักอนาธิปไตยรัสเซีย)
และยังคงยึดมั่นอยู่กับแนวคิดเดิมจนกระทั่งได้รับการศึกษาปรัชญาวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของลัทธิมาร์กซ อัคเซลรอดเป็นหนึ่งในผู้
ก่อตั้งกลุ่มปลดปล่อยแรงงานขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นกลุ่มนักลัทธิมาร์กซกลุ่มแรกๆของรัสเซียร่วม
กับสหายที่คบกันมาตลอดชีวิตคือ กอร์กี เพลคานอฟ
และ เวรา ซาซูลิค ในปี 1883
และในปี 1900 อัคเซลรอด
เพลคานอฟ และซาซูลิค
ได้ร่วมผนึกกำลังกับบรรดานักปฏิวัติลัทธิมาร์กซรุ่นหลัง คือจูเลียส มาร์ตอฟ วลาดิมีร์ เลนิน และอเล็กซานเดอร์ โปเตรซอฟ
ทำหนังสือพิมพ์ ”อิสครา”แนวลัทธิมาร์กซตั่งแต่ 1900 ถึง1903 เมื่อกองบรรณาธิการของ อิสครา แตกออกเป็นสองขั้วในการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่สอง
อัคเซลรอด
เลือกอยู่ข้างกลุ่มเมนเชวิคคัดค้าน เลนินและกลุ่มบอลเชวิค
หลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ 1917
ได้กลับรัสเซีย
ในขณะนั้นกลุ่มเมนเชวิคได้เข้าร่วมกับรัฐบาลชั่วคราวของเคเรนสกีแล้ว พร้อมทั้งสนับสนุนนโยบายทำสงครามของรัฐบาล
เขาต้องประสบกับความล้มเหลวในความพยายามที่จะเจรจาสันติภาพกับกลุ่มอำนาจกลาง(เยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี)
แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเมนเชวิค
หลังจากชัยชนะของบอลเชวิคที่อัคเซลรอดเรียกว่า
“อาชญากรรมทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีเส้นขนานไปกับประวัติศาสตร์ปัจจุบัน”
เขาได้เดินทางไปทั่วโลกเยี่ยงนักสังคมนิยมที่คัดค้านบอลเชวิค อัคเซลรอดเสียชีวิตที่เบอร์ลินเมื่อปี 1928
ในฐานะผู้ลี้ภัย
3. เวรา
อิวานอฟนา ซาซูลิค (Ве́ра Ива́новна Засу́лич)
นักเขียน นักลัทธิมาร์กซ นักปฏิวัติ
เกิดเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1849 ที่มิคายลอฟกา รัสเซีย
เป็นบุตรสาวหนึ่งในสี่คนของชนชั้นผู้ดีระดับล่างที่ฐานะไม่สู้ดีนัก บิดาเสียชีวิตตั้งแต่เธออายุได้เพียง 3 ขวบ
มารดาจึงส่งเธอไปอยู่กับครอบครัว มิคูลิค เครือญาติที่ฐานะดีกว่าในบียาโคโลโว หลังจากจบชั้นมัธยมปลายเธอจึงย้ายไปยังเซนต์ปีเตอิร์สเบิร์กและได้งานเสมียนที่นั่น ไม่นานนักเธอได้เข้าไปมีความสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายโดยเข้าไปช่วยสอนหนังสือให้แก่กรรมกรในโรงงาน และได้พบกับ เซอร์ไก เนเชียฟ
นักปฏิวัติระดับนำชาวรัสเซียนำไปสู่การถูกจับและจำคุกในปี 1869
เมื่อถูกปล่อยตัวเมื่อปี 1873 เธอได้ย้ายไปอยู่ที่เคียฟ
และได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวลุกขึ้นสู้ร่วมกับกลุ่มนักปฏิวัติที่สนับสนุน
มิคาอิล บาคูนิน นักอนาธิปไตย
และได้ส่งผลให้เธอกลายเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวที่น่ายกย่องคนหนึ่งของขบวนการ เลฟ ไดค์ นักปฏิวัติผู้เป็นทั้งผู้ติดตามและสหายร่วมรบที่ยาวนานได้
กล่าวถึงเธอว่า “เพราะการพัฒนาความรับรู้ของเธอและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเธออ่านหนังสือได้เร็วมาก เวรา ซาซูลิคจึงเด่นกว่าคนอื่นๆในแวดวงสมาชิกของเรา ใครๆก็เห็นว่าเธอเป็นหญิงสาวที่น่าทึ่งมาก คุณจะต้องประทับใจในท่วงทำนองของเธอโดยเฉพาะจิตใจที่เอื้ออาทรและความจริงใจของเธอที่มีต่อผู้อื่น”
ในเดือนกรกฎา 1877 อเล็กไซ
โบโกลียูบอฟ นักโทษการเมืองปฏิเสธที่จะถอดหมวกเพื่อเป็นการให้ความเคารพแก่ พันเอก
ธีโอดอร์ เทรปอฟ ข้าหลวงแห่งเซนต์ปีเตอร์เบิร์กผู้มีชื่อเสียงจากการปราบจราจล ของชาวโปลเมื่อปี 1830 และ
1836 เพื่อเป็นการตอบโต้ เทรปอฟสั่งให้เฆี่ยนโบโกลียูบอฟ ซึ่งเป็นการกระทำที่รุนแรง
ไม่เพียงแต่นักปฏิวัติเท่านั้นที่เกิดความเห็นอกเห็นใจแม้แต่กลุ่มปัญญาชนก็ยังรับไม่ได้
กลุ่มนักปฏิวัติหกคนได้วางแผนสังหารเทรปอฟ
แต่ซาซูลิคต้องลงมือเป็นคนแรก
เธอและเพื่อนนักปฏิวัติ มาเรีย(มาชา)โคเลนคินา
ได้วางแผนสังหารคนของรัฐบาลสองคน หนึ่งในนั้นคือผู้พิพากษา
วลาดิสลาฟเซเลคอฟสกี
ที่จะตัดสินคดีหมายเลข 193
และศัตรูอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเป้าของกลุ่มนักเคลื่อนไหวควรจะเป็นเทรปอฟ พวกเขาคอยจนกระทั่งวันตัดสินคดีหมายเลข 193
ในวันที่ 24 มกราคม 1878 โคเลนคินา สังหาร เซเลคอฟสกี
ไม่สำเร็จแต่เวราที่ใช้ปืนลูกโม่บูลด๊อกของอังกฤษยิงเทรปอฟได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังจากการไต่สวนได้แพร่สะพัดไป
การแก้ต่างของทนายสามารถโน้มน้าวให้ศาลเชื่อถือได้ เธอได้รับความเห็นอกเห็นใจจากมวลชนและถูกพิพากษาว่าไม่มีความผิด ผลการตัดสินที่ออกมาเช่นนี้มีผลให้ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สามต้องทำการปฏิรูประบบศาลยุติธรรมเสียใหม่
เวราจึงหลบหนีก่อนที่เธอจะถูกจับกุมอีกเธอได้กลายเป็นวีรสตรีของบรรดานักคิดสายกลางในสังคม
หลังจากพ้นข้อกล่าวหาเธอได้หลบไปยังสวิตเซอร์แลนด์และที่นั่นทำให้เธอเปลี่ยนไปเป็นนักลัทธิมาร์กซและร่วมก่อตั้ง
”กลุ่มปลดปล่อยแรงงาน” กับกอร์กี เพลคานอฟ และปาเวล อัคเซลรอด ปี1880เธอได้ รับมอบหมายให้แปลบทนิพนธิ์ของมาร์กซเป็นภาษารัสเซีย ซึ่งได้เผยแพร่ไปสู่นักลัทธิมาร์กซอย่างกว้างขวางและมีอิทธิพลต่อปัญญาชนรัสเซียในระหว่างปี
1880 -1890 อันเป็นเงื่อนไขในการก่อตั้งพรรค สังคมประชาธิปไตยรัสเซียขึ้นในปี
1898 กลางปี 1900 ผู้นำกลุ่มฝ่ายซ้ายรุ่นใหม่ของรัสเซียได้แก่
จูเลียส มาร์ตอฟ วลาดิมีร์ เลนิน และอเล็กซานเดอร์ โปเตรซอฟ เข้ามาสมทบกับ ซาซูลิค เพลคานอฟ
และอัคเซลรอดในสวิตเซอร์แลนด์ แม้ทั้งสองกลุ่มจะไม่ค่อยลงรอยกันนักแต่ทั้งหกคนก็ได้ร่วมกันออกหนังสือพิมพ์”อิสครา”(Искра /ประกายไฟ)ซึ่งเป็นหนังสือแนวปฏิวัติลัทธิมาร์กซ
ถือว่าเป็นหน่วยจัดตั้งของคณะบรรณาธิการด้วย พวกเขาคัดค้านนักลัทธิมาร์กซในรัสเซียที่รู้จักกันในนาม
”นักลัทธิเศรษฐกิจ ”[7] เช่น ปีเตอร์
สตรูฟอดีตนักลัทธิมาร์กซและ เซอร์ไก บุลกาคอฟ
ด้วยการถกเถียงโต้แย้งผ่านหนังสือ พิมพ์อิสครา
คณะบรรณาธิการของอิสคราประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการประชุมสมัชชาครั้งที่สองที่กรุงบรัสเซลและลอนดอนเมื่อปี
1903 แต่ก็ทำให้ผู้สนับสนุนแตกออกเป็นสองกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการระหว่างการประชุมครั้งนี้
ได้แก่กลุ่มบอลเชวิคที่นำโดยเลนินและเมนเชวิคที่นำโดยมาร์ตอฟ ซาซูลิคสนับสนุนกลุ่มเมนเชวิค หลังการปฏิวัติปี 1905 เธอเดินทางกลับรัสเซียแต่ให้ความสนใจแนวทางปฏิวัติน้อยลง
เธอสนับสนุนการทำสงครามของรัสเซียและคัดค้านการปฏิวัติเดือนตุลาคม 1917 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 8
พฤษภาคม 1919 ที่เปโตรกราด
ทร้อตสกีเขียนถึงเธอในหนังสือของเขาเรื่อง”เลนิน” ว่า
”ซาซูลิค เป็นบุคคลที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างมากทีเดียว เธอเขียนหนังสือช้ามาก
แต่มีความอดทนที่จะสร้างสรร.... เลนินเคยกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เวราไม่ได้เขียนอย่างเดียวแต่เธอประ ดิษฐประดอยร้อยเรียงไปด้วย” วิธีเขียนของเธอคือจะวางแต่ละประโยคแยกกันไว้ก่อน แล้วเดินลากรองเท้าแตะไปมารอบๆห้อง
สูบบุหรี่มวนเองอยู่ตลอดเวลาทิ้งก้นบุหรี่หรือบุหรี่ที่สูบได้เพียงครึ่งมวนไปทุกทิศทุกทางไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง ที่นั่ง
บนโต๊ะ
เถ้าบุหรี่ติดอยู่ตามเสื้อนอก
มือ ต้นฉบับ ในถ้วยน้ำชา
และแขกที่มาเยือน
เธอยังยึดติดอยู่กับแนวคิดของปัญญาชนแบบเก่าที่พึ่งจะได้รับรู้หลักการของลัทธิมาร์กซ
ข้อเขียนของเธอแสดงออกถึงการยอมรับปัจจัยทางด้านทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ แต่เธอยังไม่อาจสลัดจิตสำนึกพื้นฐานด้านจริยธรรมทางการเมืองแบบฝ่ายซ้ายเก่าของรัสเซียเมื่อทศวรรษที่
70 ออกไปได้ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต”
[1] คือมาตราวัดที่ดินซึ่งใช้ในสมัยซาร์ 1 เดสเซียติน เทียบเท่า 2.702 เอเคอร์
หรือ 10,900 ตารางเมตร หรือ 6.813 ไร่
[2] Russkaya Volya (ความปรารถนาของประชาชนรัสเซีย)
คือหนังสือพิมพ์ของกลุ่มการเมืองชนชั้นปัญญาชนนายทุนน้อยนักชาตินิยมรัสเซีย ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิวัติแบบบอลเชวิค
[3]
คือแนวคิดทางการเมืองแขนงหนึ่งที่เรียกร้องให้ระบบสังคม-การเมือง
ยกย่องประชาชนมากกว่าปัญญาชน หรือยกย่องสามัญชนมากกว่าคนร่ำรวยหรือนายทุน
[4] ในยุคสังคมศักดินารัสเซีย
ได้มีการจัดตั้งชุมชนชาวนา(คอมมูน)ขึ้นทั่วประเทศ เพื่อสะดวกในการควบคุมบังคับเพราะชาวนาส่วนมากมีฐานะทางสังคมเป็นแค่ไพร่ติดที่ดินเท่านั้น
[5] ได้แก่ฝ่ายพันธมิตรที่ประกอบด้วย
จักรวรรดิอังกฤษ สาธารณรัฐฝรั่งเศส จักรวรรดิรัสเซีย อิตาลี
กลุ่มสนับสนุนมี ญี่ปุ่น
เบลเยียม เซอร์เบีย มอนเตนีโกร
กรีซ โรมาเนีย เชคโกสโลวัค
[6] กลุ่มนักสังคมประชาธิปไตยที่เข้าร่วมประชุมที่เมือง
ซิมเมอร์วาลด์(Zimmerwald) ในสวิตเซอร์แลนด์ ในเดือนกันยายน 1915 เป็นการประชุมครั้งแรกของกลุ่มสังคมนิยมสากล ประกอบด้วยนักสังคมนิยมแนวทางปฏิวัติที่รู้จักกันในนาม
กลุ่มซ้ายซิมเมอร์วาล(เลนิน) และกลุ่มสังคมนิยมปฏิรูปที่อยู่ในสากลที่สอง
[7] คือกลุ่มนักปฏิวัติที่มีแนวคิดว่าชนชั้นกรรมกรควรต่อสู้กับนายทุนหรือเจ้าของโรงงานเรื่องรายได้
และการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่มากกว่าที่จะต่อสู้ทางการเมือง
ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชนชั้นนายทุนและปัญญาชนมากกว่า
No comments:
Post a Comment