Monday, March 23, 2015

เลนิน บนเส้นทางปฏิวัติ (6)

ชนวนของการปฏิวัติ
วันที่ 9 มกราคม 1905
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท   

“เนื่องจากข้าพระพุทธเจ้าเหล่ากรรมกรทั้งหลายพร้อมด้วยภรรยาและลูกหลาน,พ่อแม่ที่แก่เฒ่าไร้ที่พึ่ง    ต้องมาขอเข้าเฝ้าพระองค์...เพื่อแสวงหาความยุติธรรมและความคุ้มครองจากพระองค์ พวกข้าพระ พุทธเจ้าทั้งหลายล้วนแต่เป็นคนยากไร้  ถูกกดขี่บังคับให้ใช้แรงงานจนเกินกว่าที่จะทนต่อไปได้แล้ว     ถูกหยามเหยียดประหนึ่งมิใช่มนุษย์ถูกกระทำย่ำยีและปฏิบัติต่อราวกับทาสที่ไม่สามารถมีปากเสียงใดๆ   พวกข้าพระพุทธเจ้าได้รับทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่งมีสภาพไม่ต่างจากขอทานไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกฎหมายและไม่ได้รับการเหลียวแล ถูกบีบคั้นด้วยกฎเกณฑ์เผด็จการที่ตั้งขึ้นตามอำเภอใจ ความอดทนของพวกข้าพระพุทธเจ้าจวนเจียนจะถึงที่สุดแล้วในเวลาเช่นนี้ย่อมเป็นการดีที่จะตายเสียดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความปวดร้าวทรมาน”

ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ชนชั้นกรรมกรรัสเซียได้ก้าวเข้าสู่เวทีประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรกด้วยการยื่นเรื่องถวายฎีการ้องทุกข์ต่อพระเจ้าซาร์ผู้เป็นประหนึ่ง ”พระบิดาน้อย”(Little father)[1]ของชาติด้วยมือของตนเอง  หลังจากนั้นอีก11เดือนภายใต้การนำของพรรคการเมืองลัทธิมาร์กซ  ชนชั้นกรรมกรรัสเซียก็ได้จับอาวุธลุกขึ้นสู้กับชนชั้นปกครอง ในช่วงหลายเดือนที่การปฏิวัติครั้งแรกในรัสเซียได้ถูกเล่าขานแพร่ กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในหมู่ชนชั้นผู้ใช้แรงงานรวมไปถึงบรรดาชนชั้นผู้ถูกกดขี่ทั้งหลายในสังคม  และยังผ่านไปสู่แนวทางการต่อสู้ที่เป็นมีลักษณะอุดมคติที่หลากหลายและวิธีการต่อสู้อื่นๆ  เช่นการหยุดงานทางเศรษฐกิจ การร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ ตลอดไปถึงการนัดหยุดงานทั่วไปและการเดินขบวนประท้วง...กระทั่งการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ 
    
ปี 1905 การปฏิวัติได้ปรากฏขึ้นอย่างเปิดเผย แม้ว่าจะเป็นเพียงหน่ออ่อนและเป็นการซ้อมใหญ่ก็ตาม   กระบวนการพื้นฐานนี้ได้เกิดซ้ำขึ้นอีกและยกระดับสูงขึ้นในอีกใน 12 ปีให้หลัง เพื่อให้ชัยชนะขั้นสุด ท้ายของชนชั้นกรรมาชีพเป็นความจริงขึ้นมาในเดือนตุลาคม 1917  แนวทางของปี 1905 ความคิดทั้งหลาย   นโยบายต่างๆ  พรรค  และบรรดาผู้นำต่างได้รับการตรวจสอบมาตลอด   ประสบการณ์ของการปฏิวัติครั้งแรกเป็นเครื่องตัดสินการพัฒนาและแนวโน้มในอนาคตของสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย

ก่อนที่การปฏิวัติปี 1905 จะเกิดขึ้นในขณะนั้นพรรคสังคมประชาธิปไตยกำลังตกต่ำสุดขีดจากการแตกแยกและการถูกไล่ล่าจับกุมการต่อสู้กันของกลุ่มที่แตกแยกเป็นฝักฝ่ายภายในพรรคทำให้การเคลื่อนไหวต่อสู้กับศัตรูต้องหยุดชะงักไปหลายเดือนการเคลื่อนไหวภายในรัสเซียเองไม่ได้รับการยอมรับและเกิดการหลงทิศผิดทางขึ้น เนื่องจากขาดการชี้นำจากศูนย์กลางพรรคที่อยู่ภายนอกประเทศ  ตัวแทนกลุ่มบอลเชวิคถูกถอดถอนออกจากองค์กรต่างๆ  จนกระทั่งเดือนธันวาคม 1904  หนังสือพิมพ์ วีเปอร์ยอด(Vperyod) ฉบับแรกจึงสามารถออกมาได้  การขาดแคลนเงินทุนคงทำให้ฐานะของ วีเปอร์ยอดไม่ค่อยจะมั่นคงนักกลุ่มเมนเชวิคซึ่งมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนมากกว่าแต่การเคลื่อนไหวใต้ดินภายในประเทศกลับมีน้อยกว่า ยกเว้นบางพื้นที่เช่นแถบคอเคซัสใต้แต่ที่นั่นผู้ปฏิบัติงานค่อนข้างจะอ่อนแอ

ในเวลานั้นแม้จะมีการเคลื่อนไหวงานใต้ดิน ก็ยากที่จะประเมินความเข้มแข็งที่แท้จริงของบอลเชวิคได้   ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กยังมีการบริหารองค์กรพรรคร่วมกันอย่างปกติ   จนกระทั่งถึงเดือนธันวาคม 1904 เมนเชวิคจึงได้แยกตัวออกไป เมื่อถึงเวลานั้นผู้สนับสนุนเลนินต่างได้กลับเข้ามาบริหารพรรคอีก  แต่การต่อสู้ภายในที่ผ่านมาทำให้งานของพรรคเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก จะเห็นได้จากภาพสะท้อนของจำนวนใบปลิวที่สมาชิกบอลเชวิคเคลื่อนไหวแจกจ่ายในปีเตอร์สเบิร์กเมื่อปี 1904 มีแค่ 11 ครั้งเท่านั้นเมื่อเทียบกับปี 1903 ที่มี 55 ครั้ง และ 117 ครั้งในปี 1905โดยทั่วไปแล้ว  องค์กรจัดตั้งของบอลเชวิคในรัสเซียในครึ่งหลังของปี 1904 นั้นถือว่ามีความตกต่ำมาก ผู้ปฏิบัติงานเต็มเวลา(นักปฏิวัติอาชีพ) ต่างไม่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของการแตกแยก และได้รับผลสะเทือนด้านลบจากการแยกตัวออกไปของนักประนีประนอมในคณะกรรมการกลางของพรรค แม้จะได้รับคำอธิบายและให้กำลังใจจากเลนินก็ตาม แต่พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะไปเข้าร่วมกับกลุ่มเมนเชวิค ซึ่งกำลังอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ  โดยการส่งทั้งตัวแทนและเงินจำนวนมากเข้าไปในรัสเซีย ในไม่ช้าก็สามารถเข้าไปครองเสียงส่วนใหญ่ในคณะกรรมการบริหารองค์กรพรรคแทนกลุ่มบอลเชวิค

ความผิดพลาดและความเฉื่อยชาของคณะกรรมการฯ เป็นสาเหตุให้กรรมกรแห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เกิดความรู้สึกไม่พอใจเพิ่มมากขึ้นและมีแนวโน้นที่จะเอียงไปทางเมนเชวิค คณะกรรมการแห่งเมืองนาร์วา(Narva ปัจจุบันอยู่ในประเทศเอสโทเนีย)ได้ออกมติชี้ชัดถึง ” ความเบื่อหน่ายที่จะทำงานต่อไปภายใต้การนำของคณะกรรมการ ” คณะกรรมการแห่งวาซีเลียฟ (Vasiliev) ออสตร๊อฟ (Ostrov) ได้ผ่านมติ“ไม่ไว้วางใจในการนำของคณะกรรมการบอลเชวิค” ในส่วนของ นาร์วา เนวา วาซิเลียฟ  ออสตร๊อฟ  และ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก  กรรมกรได้แยกตัวออกไปเป็นจำนวนมากและประกาศเข้าร่วมกับเมนเชวิค และในเดือนธันวาคมต่างก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นเอง  คณะกรรมการทั้งสองส่วนนี้ก็ดำรงอยู่ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก กว่าจะได้รับการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาก็เมื่อครั้งการประชุมสมัชชาพรรคที่ที่สต๊อคโฮม(สวีเดน) เมื่อปี 1906

การสูญเสียทั้งพื้นที่และผู้ปฏิบัติงานในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กทำให้เลนินต้องรับภาระที่หนักอึ้ง มันเป็นการสูญเสียอิทธิพลและการชี้นำของบอลเชวิคให้แก่เมนเชวิคอย่างต่อเนื่องในเดือนต่อๆมา ทำใหัทุกสิ่งทุกอย่างเลวลง, และเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเป็นการสูญเสียที่ส่งผลให้บอลเชวิคต้องขาดผู้นำในระดับท้องถิ่น เลนินต้องกุมศีรษะเมื่ออ่านคำอธิบายจากจดหมายของ โรสซาเรีย เซ็มลียาชกา ตัวแทนบอลเชวิคในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เธอรายงานว่า“พวกเมนเชวิค ยกโขยงกันเข้ามาในรัสเซียอย่างไม่รู้จักหมดสิ้น...คณะกรรมการกลาง(ฝ่ายเมนเชวิค...ผู้แปล)ได้จัดการเปลี่ยนให้ผู้คนมาคัดค้านเรา เราเองก็ไม่มีกำลังพอที่ต่อสู้และรักษางานเอาไว้ได้  ข้อเรียกร้องต้องการของผู้คนมาจากทั่วทุกสารทิศ มันจึงมีความจำเป็นที่คณะกรรมการกลาง(ฝ่ายบอลเชวืค...ผู้แปล) ควรจะเดินทางกลับไปอย่างเร่งด่วน  ไม่มีใครสักคนที่จะสามารถเดินทางออกไปได้  ฉันจำต้องทิ้งสำนักงานและแฝงตัวเข้าไปทำงานในท้องถิ่น  ทุกอย่างดูจะเลวร้ายไปหมด....เราต้องการกำลังคน  ทุกคนต่างก็เรียกร้อง  ไม่มีใครที่เราพอจะทำงานด้วยได้...”  และในบันทึกยังกล่าวต่อไปอีกว่า

“เรากำลังก้าวสู่จุดเสี่ยงที่จะสูญเสียเมืองแล้วเมืองเล่าจากการขาดแคลนกำลังคน    ทุกๆวันฉันได้รับจดหมายกองพะเนินจากหลายๆที่...เรียกร้องให้ส่งคนไปช่วย...นี่ก็พึ่งจะตอบจดหมายจากเยคัธรินโนสลาฟ   พวกเขาขอให้ส่งคนและเงินไปช่วยไม่เช่นนั้นคงรักษาเยคัธรินโนสลาฟไว้ไม่ได้...แต่เราไม่มีคนเลยจริงๆ    คนแล้วคนเล่าต่างก็เลิกราไปโดยไม่มีผู้ปฏิบัติงานใหม่ๆเข้ามาเสริมเลยแม้แต่คนเดียว   ในขณะเดียวกันทุกหนทุกแห่งมีแต่คนของเมนเชวิคอยู่ในตำแหน่งเต็มไปหมด....มันน่าจะง่ายขึ้นที่จะขับ เคลื่อนงานต่อไปขอเพียงแต่เรามีกำลังคนเท่านั้น     ส่วนสำนักงานก็คงเป็นแค่เทพนิยายตั้งแต่พวกเราทั้งหมดไปเคลื่อนไหวงานในท้องถิ่น”

จดหมายพวกนี้เขียนเมื่อวันที่ 7 มกราคม 1905 สองวันก่อนถึงวันอาทิตย์นองเลือด   ความไม่พอใจจากการขาดแคลนผู้ปฏิบัติงาน    แสดงให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นในคณะกรรมการทั้งหญิงและชายในหมู่มวลชนกรรมกร   แทนที่จะเสริมเลือดใหม่ๆเข้าไปในคณะกรรมการ,เปิดเงื่อนไขสำหรับกรรมกรและคนหนุ่มสาวให้มากขึ้น,หาทางแก้ปัญหา, เรียกร้องนักปฏิวัติอาชีพกลับจากต่างประเทศ      ทุกๆบรรทัดของจดหมายแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนคือ     ไม่สามารถเข้าไปเชื่อมงานกับฝ่ายนำของหน่วยเคลื่อนไหวที่กุมบทบาทที่เป็นจริงของขบวนการชนชั้นกรรมกรได้   ในสถานการณ์เช่นนี้  ลิทวินอฟ  ได้เขียนจดหมายเสนอข้อคิดเห็นต่อเลนินว่า 

“ความยุ่งยากที่เธอ (เซ็มลียาชกา) ไม่ได้ตระหนักเลยแม้แต่น้อยว่าอะไรคือวิกฤติและอะไรคือภาวะที่น่าสมเพชของชาติเรา ?  ในแวดวงทั้งหมด,ถ้าหากทุกหนทุกแห่งต่างก็ต่อต้านเรา  เราคงต้องประสบกับความยากลำบากมิใช่น้อย   การเติบใหญ่ของพรรคชนชั้นกรรมาชีพยังพอจะทำให้เราคิดได้ว่า  เรายังดำรงไว้ซึ่งความเป็นกลุ่มก้อนของมวลชนกรรมกรที่ไร้การจัดตั้ง  ที่ไม่มีการสนับสนุนใดๆมาตั้งแต่มีการปรองดองกัน(ของคณะกรรมการกลางและเมนเชวิค) ทัศนคติของคณะกรรมการกลางเปลี่ยนแปลงไป   ความพยายามทั้งหมดของพวกเรากลายเป็นการดิ้นรนไปสู่ความตายของบอลเชวิค ไม่เคยมีการประชุม(อย่างน้อยแม้แต่การประชุมลับ),ไม่มีการปลุกระดมเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติในระดับกว้าง    ผมขอย้ำว่า...สถานภาพของเราขณะนี้สั่นคลอนและอันตรายอย่างที่สุด   เราสามารถหาทางออกได้เพียงสองทางเท่านั้นคือ   
1. เรียกประชุมสภาโดยทันที(ไม่ควรเกินเดือนกุมภาพันธ์) และ 
2.เริ่มออกหนังสือพิมพ์ให้เร็วที่สุด   

หากไม่สามารถบรรลุทั้งสองข้อนี้ให้เร็วแล้ว เราจะต้องก้าวไปสู่ความหายนะอย่างแน่นอนและเป็นก้าวที่จะชี้ชะตากรรมของพรรคด้วย   บางทีเราจำเป็นต้องยอมสูญเสียปีเตอร์สเบิร์ก  เมนเชวิคกลุ่มใหญ่จะยึดกุมที่นั่น....เราควรสำแดงพลังของเราที่นั่น..แต่ใครละจะเป็นคนทำ?” บอลเชวิคกำลังตกอยู่ในความยุ่งยากแต่เมนเชวิคเองก็ไม่ได้ดีไปกว่านั้น  ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากมวลชนกรรมกร     องค์กรสังคมประชาธิปไตยในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเริ่มแต่ มกราคม 1905 เป็นต้นมาไม่ว่าจะใช้มาตรการใดๆก็ยังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ  โซโลมอน ชวาร์ซ (Solomon Schwarz)บันทึกไว้ว่า  

“เดือนธันวาคม 1903 มีเพียง 18 กลุ่มโรงงานที่เข้าร่วมในองค์กรสังคมประชาธิปไตยและสมาชิกของแต่ละกลุ่มมีเพียง 7 ถึง 10 คน ซึ่งเท่ากับมีสมาชิกที่เป็นกรรมกรทั้งหมดเพียงไม่เกิน 180 คน  ถ้าสมาชิกที่เป็นนักศึกษาและปัญญาชนมีจำนวนพอๆกันนี้    สมาชิกทั้งหมดก็น่าจะมีประมาณ 360 คน    ในช่วงหน้าหนาวปี 1904 สมาชิกคณะกรรมการและนักเคลื่อนไหวกิจกรรมมีจำนวนลดลงและการติดต่อสัมพันธ์กับฝ่ายซ้ายในต่างประเทศก็น้อยลงมากหรือเกือบจะไม่มีเลย ในทำนองเดียวกันสามารถกล่าวได้ว่ากลุ่มเมนเชวิคก็ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนมากไปกว่าเรา   ในเขตหนึ่งๆมีหน่วยย่อยเพียง 15 ถึง 20  หน่วย    และในเดือนธันวาคมปี 1904 เหลือเพียง 4 ถึง 5 หน่วยเท่านั้น”

พี เอ การ์วี  สมาชิกระดับนำคนหนึ่งของเมนเชวิคได้อธิบายสภาพในกรุงเคียฟก่อนปี 1905 ว่า
”การขาดแคลนผู้ปฏิบัติงานเป็นเรื่องที่น่าประหลาด,  การห่างเหินจากมวลชนกรรมกรและผลประโยชน์รายวันของพวกเขา,  การไม่มีชีวิตทางการจัดตั้งหากเทียบกับเวลาที่ผ่านมา  มีผลกระทบต่อผมในเคียฟ  มันเป็นสภาวะการที่ห่อเหี่ยวมากหากเทียบกับชีวิตการจัดตั้งเมื่อก่อนที่โอเดสสาในช่วงปี 190-1902 ที่มีแต่ความกระตือรือล้น , มีการจัดประชุมที่เคียฟ, มีการประชุมในส่วนของผู้ทำหน้าที่โฆษณาเพื่อชี้นำหน่วยงานโฆษณา ซึ่งส่วนมากจะเป็นการทำใบปลิวแจกจ่ายไปตามหน่วยต่างๆนั่นเป็นที่ทำทั้งหมด”

“ผมก็ยังเดินหน้าต่อไป   กล่าวได้ว่าตลอดปี 1905 ทั้งในเคียฟ รอสตอฟ และมอสโคว์  แต่ละวันต้อง ต่อสู้ดัดแปลงผู้ปฏิบัติงานของเราในองค์กรจัดตั้งของพรรค ซึ่งเป็นแหล่งรวมของผู้ปฏิบัติงานหนุ่มสาวที่ขาดประสบการณ์  ขี้โมโห ใจร้อน เด็ดเดี่ยว แต่กลับอ่อนด้อยในเรื่องความสัมพันธ์กับมวลชนกรรมกรและไม่มีบารมีในโรงงาน  นักสังคมประชาธิปไตยรุ่นเก่าซึ่งเป็นกองหน้าที่แท้จริงของมวลชนกรรมกร ซึ่งก่อตั้งขึ้นในช่วงที่มีการโฆษณารณณรงค์ในเรื่อง ”ลัทธิเศรษฐกิจ[2]” คนงานรุ่นเก่าเหล่านี้ต่างไม่เข้าร่วมในการนัดหยุดงานเมื่อเดือนตุลาคม  ไม่ว่าจะในเคียฟ รอสตอฟ และมอสโคว์   ผม..ไม่เพียงแต่ผมเท่านั้นที่ต้องหันไปใช้วิธีการที่แยบยลเพื่อดึงเอาคนเก่าแก่เหล่านั้นให้หันกลับมาทำงานให้พรรคอีก  แต่ดูเหมือน ว่าพวกเขากลับมาอย่างไม่สู้จะเต็มใจนัก  พวกเขาไม่เชื่อถือในองค์กรจัดตั้งและวิธีทำงานของเรา”

-----------------------------------------------------------------------------------------
[1] พระบิดาน้อย (Little  father)  เป็นสมัญญานามของพระเจ้าซาร์ในฐานะที่ถูกยกย่องให้เป็นเสมือน “พ่อ” ของประชาชนรัสเซีย   รองลงมาจากพระบิดาใหญ่ (Great father) ซึ่งหมายถึงพระเยซูคริสต์

1 comment:

  1. Many thanks for your kind invitation. I’ll join you.
    Would you like to play cards?
    Come to the party with me, please.
    See you soon...

    เล่นบาคาร่า

    คาสิโนออนไลน์

    คาสิโน

    คาสิโนออนไลน์

    ReplyDelete