Thursday, July 30, 2015

บทเรียนจากชิลี 7

 7..การโต้กลับของชนชั้นนายทุน

“พรรคประชาชนสามัคคีได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียง 36% ในการเลือกตั้งวันที่ 4 กันยายน  ภายหลัง  การลอบสังหารนายพล  เรเน ชไนเดอร์ ผู้บัญชาการกองทัพ ในวันที่ 5 เดือนเดียวกัน   ประธานาธิบดี อาเยนเด    สันนิษฐานว่าการดำรงตำแหน่งของตนกำลังเผชิญกับความยุ่งยากและการถอนตัวของชนชั้นนายทุน     กองทัพเองก็พยายามอย่างเต็มที่ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับการลอบสังหารครั้งนี้  ไม่มีทหารแม้แต่คนเดียวที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง     และเริ่มใช้นโยบายทั่วๆไป 40 เรื่อง     เมื่อรัฐบาลบริหารงานมาได้ 5 เดือนก็มีการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นซึ่งพรรคประชาชนสามัคคีชนะได้รับการเลือก ตั้งมากกว่า 50 %

เมื่อเป็นเช่นนี้   ผู้นำของพรรคประชาชนสามัคคีจึงต้องสูญเสียโอกาสที่ดีเลิศในการเปลี่ยนแปลงสังคมชิลีโดยสันติ     การเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่      ชัยชนะที่ได้ครองเสียงข้างมากอย่างเป็นกอบเป็นกำนั้นเท่ากับว่าเป็นการปล้นโอกาสของพรรคการเมืองชนชั้นนายทุนที่จะใช้วิธีการตามกฏหมายเพื่อออกกฏหมาย สกัดกั้นพรรคการเมืองแนวทางสังคมนิยมและข้อเรียกร้องของชนชั้นกรรมกรชาวนาต่อรัฐบาลที่ให้ดำเนินการขจัดอำนาจของเจ้าที่ดินและชนชั้นนายทุนชิลี......ติดอาวุธให้แก่กรรมกรและชาวนาในการปกป้องประชาธิปไตยของพวกเขา รวมไปถึงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจด้วย...  จัดตั้งสภาประชาชนของกรรมกร- ชาว นา – ทหาร – แม่บ้าน – และเจ้าของกิจการรายย่อย    เพื่อบริหารจัดการผลิตผล      ตรวจสอบและดำรงไว้ซึ่งผลพวงของการปฏิวัติ   กระจายการจัดตั้งสภาเช่นนี้ไปทั่วทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศให้ทุกๆระดับจะมีธรรมนูญเป็นของตนเอง        เพื่อเป็นองค์กรอำนาจอย่างแท้จริงของชนชั้นกรรมกรและชาวนาแห่งชิลีด้วยการใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตยตลอดไป        เมื่อเผชิญกับการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะปฏิวัติเช่นนี้    ชนชั้นปกครอง  ทหารระดับสูง  และบรรดาข้ารัฐการ   จะต้องถูกแขวนอยู่กลางอากาศโดยไม่มีพื้นฐานทางสังคมมาสนับสนุน   ทำให้ต้องเสียโอกาสที่ดีไปและเป็นการผ่องถ่ายอำนาจไปสู่มือของพวกปฏิกิริยา
อภิสิทธิ์ชนชิลีใช้สิ่งพิมพ์ในการควบคุมของตน   ..จากการสนับสนุนของ CIA  เริ่มทำการตอบโต้ในหน้าหนังสือพิมพ์ เอล เมอร์คูริโอ     พรรค คริสเตียน เดโมแครท ได้รณณรงค์ต่อต้านรัฐบาลหนักขึ้น  โดยเป็นพันธมิตรกับพรรค ชาตินิยม (Nationalist Party)    “เรียกร้องให้ปลดอาวุธกลุ่มติดอาวุธทุกๆกลุ่ม”   โดยตรรกะของพวกเขาแล้วพวกที่ว่านี้..ย่อมหมายถึงกลุ่มปีกซ้าย  ส่วนกลุ่มแก๊งฟาสซิสต์ขวาจัดที่ขนอาวุธออกมาอาละวาดก่อภัยร้ายตามท้องถนนกลับได้รับการอภัยโทษทั้งหมด      ด้วยวิธีเช่นนี้พรรค คริสเตียน เดโมแครท จึงได้ตั้งกลุ่มที่คล้ายๆกับกรรมกรขึ้นมาต่อต้าน    ซึ่งเป็นรูปแบบการขัด ขวางที่ถูกกฎหมายอย่างเป็นระบบและติดอาวุธให้แก่กลุ่มอันธพาลทางการเมือง “ปิตุภูมิและเสรีภาพ” เพื่อทำการก่อกวนบนท้องถนน
พวกนายทุนและเจ้าที่ดินได้บ่อนเซาะทำลายเศรษฐกิจของชาติ       จักรวรรดินิยมอเมริกาตัดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัฐบาลอาเยนเด     และพยายามดำเนินการไปทั่วโลกให้คว่ำบาตรสินแร่ทองแดงของชิลี    การสร้างชาติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทีละอย่างโดยไม่มีแผนเศรษฐกิจนั้น    ทำให้เกิดการชะงักงัน      สิ่งนี้ได้กระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นอย่างรุนแรง ส่งผลต่อการเพิ่มค่าจ้างโดยทันทีและมีผลกระทบค่อนข้างร้ายแรงต่อชนชั้นกลาง      คะแนนนิยมของชนชั้นกลางที่มีต่อรัฐบาลใหม่จึงลดลงอย่างรวดเร็วจนกลายไปเป็นการต่อต้านแทน  การรุกของฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติเริ่มจากการนัดหยุดงานของบรรดาเจ้าของกิจการรถบรรทุกเมื่อเดือน ตุลาคม 1972      มวลชนกรรมกรเข้าใจดีถึงอันตรายจึงตอบ โต้ด้วยการเคลื่อนไหวใหญ่        และประสบผลสำเร็จในการทำลายความพยายามของการต่อต้านการปฏิวัติไม่ให้ประสบผล    แต่กลุ่มผู้นำรัฐบาลมีปฏิกิริยาอย่างไร?    รัฐบาลได้สับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีโดยมีตัวแทนของทหารเข้าร่วมด้วย      เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชัยชนะซึ่งได้มาจากการเคลื่อนไหวของชนชั้นกรรมกรต้องพ่ายแพ้ลงอันเนื่องมาจากความล้มเหลวและการมีสายตาที่ไม่ยาวไกลของกลุ่มผู้นำนักปฏิรูป
“กองทัพจึงถูกขนานนามว่าเป็นอนุญาโตตุลาการในการต่อสู้ซึ่งถือเสมือนว่าได้รับรางวัลไปเรียบร้อยแล้ว”    เซปูลเวดา  ให้ข้อคิดเห็นด้วยความขมขื่น    คณะกรรมการกลางของพรรคสังคมนิยมชิลี   ได้กล่าวถึงความเดือดดาลของชนชั้นกรรมกรในการยอมจำนนของรัฐบาล    และประท้วงต่อต้านผลที่ออกมาซึ่งเป็นการหักหลังต่อชัยชนะของเราในการชี้ขาดของกระบวนการ”  (Socialismo Chileno p. 40)

การวางแผนรัฐประหาร 

ระหว่างการหยุดงานเมื่อเดือนตุลาคมและ 4 มีนาคม  ซึ่งเป็นระยะ 4 เดือนของการตระเตรียมการต่อ ต้านการปฏิวัติ    การโฆษณาชวนเชื่อให้ต่อต้าน  “การขาดแคลนอาหาร”  และเรื่อง “ตลาดมืด”  เป็นการสร้างสถานการณ์จอมปลอมโดยกลุ่มนายทุน    ในเวลาเดียวกัน พวกปฏิกิริยาก็ได้สมคบคิดกันวาง แผนยกระดับสถานการณ์ขึ้นในค่ายทหาร        ในภาวะเช่นนี้กลุ่มผู้นำของพรรคประชาชนสามัคคีก็ยังยืนยันหัวชนฝาที่จะดำเนินโครงการปฏิรูปของตนอย่างไร้เหตุผล   ด้วยความเชื่อมั่นใน ”ความภักดี”  และ “ความรักชาติ” ของบรรดานายพลทั้งหลาย      แสดงให้เห็นถึงการไร้ความสามารถในการสกัดกั้นการรุกของพวกฝ่ายขวา        แม้จะมีทุกสิ่งทุกอย่างในการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 1973  พรรคประชาชนสามัคคีได้รับคะแนนเสียง 44%    “เป็นครั้งแรกที่ประชาชนมองว่าเป็นชัยชนะที่สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ศัตรู   นี่เป็นช่วงเวลาที่จะก้าวไปสู่การรุกซึ่งถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะหน้าของพรรคสังคมนิยม  แต่ก็ไม่มีการรุกแต่อย่างใด” (Socialismo Chileno p. 40/41)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บรรดากรรมกรที่เป็นสมาชิกของทั้งพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิว นิสต์มีความปรารถนาที่จะรุก   มวลชนกรรมกรคอยคำสั่งจากบรรดาผู้นำของตนและพร้อมที่จะเดินสู่ถนนและทำ ลายพวกปฏิกิริยาให้สิ้นซาก    พวกเขาร้องขออาวุธ แต่สิ่งที่ได้รับก็คือคำกล่าวที่รื่นหู  คำมั่นสัญญา   เรียกร้องให้อยู่ในวินัย  ใ ห้มีความรับผิดชอบ   และให้ใจเย็นๆ   อย่างที่เซปูลเวดาได้กล่าวเอาไว้เมื่อเดือนมีนาคม 1973 ว่า       ชนชั้นกรรมาชีพ  “ไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการได้มาซึ่งอำนาจ” (Socialismo Chileno p. 41)    ถ้อยคำในเอกสารของพรรคสังคมนิยมกล่าวอ้างแต่แรกว่า “ รัฐบาลพรรคประชาชนสามัคคี  ไม่สามารถเผชิญกับการลุกขึ้นสู้ของชนชั้นนายทุนได้     เพราะความเป็นนักปฏิรูป    เพราะการแก้ไขสถานการณ์ปฏิวัติของชิลีด้วยการจัดการกับการแสดงออกของมวลชนที่ต้องการให้การรุกครั้งนี้ให้จบลง และพยายามประนีประนอมเพื่อยืดเวลาออกไปในสถานการณ์ที่กำลังจะรับมือไม่ไหวแล้ว”
ชนชั้นกรรมกรที่เป็นฐานของพรรคสังคมนิยม    มีจิตสำนึกทางชนชั้นโดยพื้นฐาน   ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่มีคนในกองทัพเข้าร่วมในคณะรัฐบาล     ในด้านนี้..กรรมกรสังคมนิยมได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเข้าใจเป็นอย่างดีมากกว่าบรรดาผู้นำ...ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในบ้านเมือง     การยอมจำนนของกลุ่มผู้นำพรรคประชาชนสามัคคีในเดือนพฤศจิกายนเป็นเพียงสิ่งกระตุ้นความอยากของพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติเท่านั้น     การเลือกตั้งเดือนมีนาคมดูเหมือนว่าจะมีผลเพียงยืดความตายออกไป          ถ้ามันขึ้นอยู่กับการนำโดยเฉพาะแล้ว       การต่อต้านการปฏิวัติในชิลีได้รับชัยชนะไปแล้วเมื่อเกือบปีที่ผ่านมา     เป็นความโชคดีที่ยังมีพลังขนาดมหึมาของมวลชนกรรมกรที่เคลื่อนไหวต่อสู้อยู่    เป็นเหตุให้พลังของพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติเกิดความลังเลใจ    ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษ    ลอว์เรนซ์  ไวท์เฮด  ได้เขียนบทความลงใน หนังสือพิมพ์ เดอะ อีโคโนมิสต์ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1973 ว่า “ถ้ากองทัพชิลียังรีรออยู่จนถึงบัดนี้      คำอธิบายคงไม่ใช่การค้นคว้าหาลักษณะพิเศษของชาติที่เป็นจารีต     แต่ที่น่ากลัวก็คือพลังสะสมที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของมวลชนกรรมกรในปัจจุบัน

ข้อพิสูจน์ของพลังอันมหาศาลนี้คือความล้มเหลวของ “ความเติบใหญ่ของรถถัง”  ในวันที่ 29 มิถุนา ยน ในเวลานั้นกรรมกรนับหมื่นประกาศหยุดงาน   ยึดโรงงานและตั้งรั้วเพื่อรักษาพื้นที่ยึดครอง  เดินขบวนไปยังจัตุรัส เดอ ลา โมเดนา ซึ่งเป็นที่ทำการของรัฐบาล  “นี่เป็นโอกาสพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่มีเปรียบในการนัดหยุดงาน”  เซปูลเวดา กล่าวว่า  “ชาวนาเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง   สมาชิกรัฐสภาปีกขวายืนตัวสั่นอยู่บนระเบียงรัฐสภา”

และผู้นำมีปฏิกิริยาอย่างไร?  อาเยนเด ได้ขอร้องให้กรรมกรกลับเข้าทำงาน     ตำรวจถูกส่งมาให้ทำการสลายมวลชนที่เตร็ดเตร่ไปมาอย่างไร้จุดหมายไปตามท้องถนนของเมืองหลวงโดยไม่มีทิศทางหรือการนำ    พฤติกรรมเช่นนี้ของรัฐบาลได้สร้างความกระชุ่มกระชวยให้แก่ฝ่ายปฏิกิริยาที่เริ่มทำการ หยุดงานรอบใหม่โดยเจ้าของรถบรรทุก        กรรมกรตอบโต้ด้วยการหยุดงาน 24 ชั่วโมงในวันที่ 9 สิงหาคม     บทความของ หนังสือ “มิลลิแตนท์”  วันที่ 17สิงหาคม ได้แสดงความเห็นว่า  “ขาดความกล้าหรือความมุ่งมั่นในการต่อสู้”   สิ่งที่ขาดหายไปก็คือการนำ   เกือบจะ 3 ปีให้หลัง อโดนิส เซปูล เวดา ผู้นำพรรคสังคมนิยมได้มองย้อนกลับไปและก็ได้บทสรุปอย่างเดิมที่ว่า    “ฝ่ายนำการเคลื่อนไหวไม่ได้ให้แนวทางใดๆนอกจากมาตรการ ”ตัดลด”

การขาดการนำ

นี่คือโศกนาฏกรรมของชนชั้นกรรมกรชิลี  ทั้งๆที่มีพลังมหาศาลอยู่ในมือ  ทั้งๆที่มีจิตใจสู้รบและความกล้าหาญของประชาชนผู้ใช้แรงงาน   แต่ผู้นำของพวกเขาได้ทอดทิ้งไปในเวลาที่จะต้องมีการตัดสินชี้ขาด     ในด้านตรงกันข้าม..ตัวแทนของชนชั้นนายทุนได้ทำงานกันอย่างจริงจัง พวกเขาไม่สนใจ “กฏกติกา” แม้แต่น้อย     พวกเขาสนใจแต่ผลประโยชน์ทางชนชั้นซึ่งเป็นเดิมพันที่พวกเขาจะต้องปกป้องอย่างถึงที่สุด

“ฝ่ายศัตรูรู้อยู่เสมอว่าจะต้องทำอะไร“  เซปูลเวดา กล่าวเสริม “เขาได้ถอนตัวเพื่อที่จะบรรลุวัตถุประ ประสงค์ของตนตามสภาพและเงื่อนไขในขณะนั้น    ในกรณีที่ขัดแย้งกับพรรคประชาชนสามัคคีไม่ได้ทำให้ต้องสูญเสียโอกาสใดๆโดยพื้นฐาน     พวกเขาได้เตรียมก่อรัฐประหารอย่างจริงจังและด้วยความมุ่งมั่นและได้สร้างสถานการณ์ให้เอื้ออำนวยต่อตนเองอย่างที่สุด..     โดยทำให้เกิดความสับสนและความขัดแย้งในการบริหารงานของรัฐบาลเพื่อให้การนำเกิดความชะงักงัน

เป็นไปได้ที่..เซปูลเวดา อาจจะกล่าวเกินจริงไปบ้างเกี่ยวกับความเฉลียวฉลาดและการมีสายตาที่ยาวไกลของชนชั้นปกครองชิลี   แต่สิ่งที่จริงแท้แน่นอนก็คือ...ถ้าผู้นำของชนชั้นกรรมกรชิลีได้เคลื่อนไหว แสดงบทบาทออกมาเพียงแค่เศษเสี้ยวด้วยการเอาจริงเอาจังในการปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นผู้ ใช้แรงงาน...เหมือนเช่นที่นักการเมืองชนชั้นนายทุนได้กระทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาแล้วละก้อ    ชนชั้นกรรมาชีพชิลีคงจะสวามารถก้าวขึ้นสู่อำนาจได้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว    แต่อาจจะเป็นสามหรือสี่ครั้งในขณะที่พรรคประชาชนสามัคคีครองอำนาจอยู่   เงื่อนไขอยู่ที่ว่า..ความต้องการที่จะต่อสู้นั้นมีอยู่  ..เพียงแต่ขาดการนำโดยนักปฏิวัติที่ยึดมั่นในแนวทางของลัทธิมาร์กซ–เลนิน ที่มีความมุ่งมั่นและมีความสามารถที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่แท้จริง

ความพยายามของ อาเยนเด และผู้นำคนอื่นๆของพรรคประชาชนสามัคคี   เพื่อให้บรรลุข้อตกลงกับกลุ่มปฏิกิริยาโดยได้ข้อสรุปในข้อตกลงกับพรรค คริสเตียน เดโมแครทและเปิดทางให้กองทัพได้เข้ามามีส่วนร่วมในรัฐบาล      เท่านี้ก็สร้างความสับสนให้แก่ชนชั้นกรรมกรและเป็นการสนับสนุนพวกปฏิ ปักษ์ปฏิวัติ       ผู้มีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบในนโยบายนี้คือ คอร์วาลัน และฝ่ายนำของพรรคคอม มิวนิสต์     กล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่กดดัน อาเยนเด และฝ่ายนำสังคมนิยมให้เดินไปสู่เส้นทางหายนะเส้นนี้หลังจากล้มเหลวในการพัฒนารถถังในเดือนมิถุนายน     

ที่น่าขันก็คือ คอร์วาลัน  ได้แสดงสุนทรพจน์ในวารสาร “ลัทธิมาร์กซวันนี้” ของพรรคคอมมิวนิสต์อังกฤษในเดือน กันยายน 1973 ที่กล่าวยกย่องผู้บัญชาการกองทัพที่ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วเด็ดขาด(การก่อรัฐประหาร และฆาตกรรมประธานาธิบดี อาเยนเด โดยนายพล ปิโนเช่)   และความภักดีของบรรดาเหล่าทัพและตำรวจ”

คอร์วาลัน ตอบคำถามในหนังสือพิมพ์ มิลลิเทีย ของกรรมกรด้วยความเดือดดาล..ที่แนวคิดของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ถูกปฏิเสธ   “ไม่เป็นไรหรอกท่านสุภาพบุรุษ..เราจะยังคงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อทหารอาชีพและสถาบันทหาร   ศัตรูของพวกเขาไม่ใช่ประชาชนแต่เป็นกลุ่มปฏิกิริยา”  “อาเยนเด เองและผู้นำพรรคสังคมนิยมก็ต้องรับผิดชอบอย่างมากในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย..  ที่ยอมรับนโยบายเช่นนั้น   ตัวอย่างเช่น  วันที่ 24 มิถุนายน เขาได้เรียกร้องผู้สนับสนุนให้รับรองการเจรจากับกลุ่มการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ซึ่งก็มีความต้องการให้ประเทศมีการเปลี่ยนแปลง” (เรื่องนี้ได้พาดพิงถึงพรรค คริสเตียน เดโมแครท  ในขณะนั้นคือผู้สนับสนุนกลุ่มฟาสซิสต์ที่แท้จริง)  และ  “เตือนเรื่องการคัดค้านกองทัพว่าเป็นพวกปฏิกิริยาอย่างมีจำแนก     เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียง5วันก่อนที่ทหารจะลากรถถังออกมาทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน

เป็นที่เชื่อได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความตั้งใจของ ซัลวาตอร์ อาเยนเด และผู้นำคนอื่นๆในพรรคประชาชนสามัคคีนั้นเป็นไปด้วยความสัตย์ซื่อ        พวกเขามีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะ”เปลี่ยนผ่านโดยปราศจากความสูญเสียและบอบช้ำ” ของสังคม      แต่โชคร้ายสำหรับการปฏิวัติสังคมนิยม  ความตั้งใจดีอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ   เหมือนอย่างคำกล่าวที่ดีเลิศของผู้นำ( ภายใน) ของพรรคสังสังคมนิยมชิลี  ที่ได้ตีพิมพ์บทความในวารสาร “นูโว คลาริดาด” ของชาวลัทธิมาร์กซ เสปน ฉบับที่ 24 เมษายน 1978 ว่า     “ถ้ากระบวนการถูกวัดโดยความตั้งใจ     เราจะขอกล่าวว่าความตั้งใจของพรรคประชาชนสามัคคีนั้นคือปราการลัทธิสังคมนิยมของชิลี    ถึงแม้ว่าเรามีแต่ลัทธิฟาสซิสต์และระบอบเผด็จการก็ตาม”

ทุกวันนี้   ผู้นำของพรรคประชาชนสามัคคีบางคมที่ลี้ภัยพยายามจะพิสูจน์ว่าตัวเองตามเส้นทางนี้โดย ประมาณว่า  “ถ้าเราสู้ย่อมจะเกิดสงครามกลางเมืองและนองเลือด  ผู้คนจะล้มตายนับหมื่น “  ช่างเป็นถ้อยคำที่น่าสมเพชเสียนี่กระไรสำหรับปัจจุบันนี้    กรรมกรและชาวนานับหมื่นๆ..ชนชั้นกรรมกรชั้นเลิศ  ได้ถูกทำลายอย่างขุดรากถอนโคน ถูกทรมาน ถูกคุมขังอย่างเข้มงวดในค่ายกักกันหรือไม่ก็ “สาบสูญ” ไปอย่างไร้ร่องรอย   แต่ก็ยังคงมีประชาชนผู้ดื้อรั้นอีกมากที่ต้องจ่ายให้กับการ   “หลีกเลี่ยงความรุน แรง”   แน่นอน....ไม่มีชาวสังคมนิยมคนใดต้องการความรุนแรง     เราต้องการเปลี่ยนผ่านแบบสันติ โดยปราศจากความบอบช้ำ    แต่ในขณะเดียวกันเราก็ได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากประวัติศาสตร์ว่า   ไม่มีชนชั้นปกครองคนใดในประวัติศาสตร์ที่จะยอมสูญเสียอำนาจ และอภิสิทธิ์ของตน   โดยไม่มีการต่อสู้  และเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีกติกาอีกด้วย!!!!

กรรมกรชาวสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ต้องการต่อสู้กับพวกปฏิกิริยา   เป็นความจริงที่แจ่มชัดคือการประท้วงเมื่อวันที่ 4 กันยายน   เมื่อกรรมกร 800,000 คน  พวกเขาหลายๆคนติดอาวุธเดินขบวนไปตามถนนในเมืองซานติอาโก(เดอ ชิลี)  เซปูลเวดา  บรรยายสถานการณ์ดังต่อไปนี้ : “คนจนแถบชานเมือง  ชาวนา  แม่บ้าน   และผู้ที่ยากจนค่นแค้นจำนวนมากที่ไม่ใช่สมาชิก(ของสหภาพแรงงาน)    แต่พวกเขาล้วนเป็นพลังทางสังคมของพรรคประชาชนสามัคคี     

วันที่ 29 มิถุนายน  พวกเขาได้ตอบโต้ความพยายามที่จะรัฐประหารโดยการประท้วงอย่างเข้มแข็ง    ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐต้องใช้เวลามากกว่า5 นาทียืนอยู่บนหน้ามุขพระราชวังโมเนดา  ก่อนที่จะกล่าวปราศรัยท่ามกลางเสียงเสียงกระหึ่มของมวลชนที่เรียกร้องให้ยุบสภา   วันที่ 4 กันยายน  7 วันก่อนรัฐประหารในทุกๆเมืองและหมู่บ้านของชิลี  มวลชนได้ออกมาสนับสนุนรัฐบาลอย่างหนาแน่น    ในกรุงซานติอาโก มีจำนวนถึง 800,000คน  ที่กระสับกระส่ายและมีความกระตือรือร้น ประท้วง และเรียกร้องตระโกน ตีให้หนัก! ตีให้หนัก !เราต้อง การมาตรการที่เข้มข้น!   สร้างกำลังประชาชนขึ้นมา!!!  อาเยนเด! อาเยนเด+ ประชาชนจะปกป้องท่าน!!!('Socialism Chileno', pp36-37).

กรรมกรชิลีมีความมั่นใจต่อผู้นำของพวกเขา   ได้เรียกร้องขออาวุธและแผนการต่อสู้ แทนที่จะเป็นแค้ท่อนไม้..หากมวลชนกรรมกรเหล่านี้ได้รับการติดอาวุธ      แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากนักและไม่ค่อยมีคุณภาพสักเท่าใด....วันนี้ประวัติศาสตร์ของชิลีในอาจเปลี่ยนแปลงไปโดยรากฐาน        การประท้วงขนาดมหึมาเมื่อวันที่ 4 กันยายนแสดงให้เห็นว่า..ชนชั้นกรรมกรไม่เคยเลิกล้มความตั้งใจที่จะต่อสู้ และเรียกร้องในการติดอาวุธ     แต่บรรดาผู้นำของพวกเขา....แทนที่จะให้อาวุธ   กลับหยิบยื่นคำพูดที่ไพเราะและขอร้องพวกเขาให้ใจเย็นและอยู่ในความสงบแทน   ให้กลับบ้าน    นั่นย่อมหมายถึงการปลดอาวุธของมวลชนกรรมกรในวันสุกดิบของการรัฐประหาร    

ในจุดนี้กองทัพย่อมมีปัญหาขึ้นแล้วโดยธรรมชาติ    บางกระแสกล่าวว่า อาเยนเดถาม อัลตามิราโน ว่า “มีมวลชนเทาใดที่ต้องการหยุดรถถัง”   อย่างไรก็ตาม...นี่เป็นข้อผิดพลาดอย่างยิ่งในการตั้งคำถาม     ถ้าคำถามของกองทัพจะลดลงไปถึงระดับที่ว่า “ มีนายพลกี่มากน้อยที่กำลังควบคุมดาบปลายปืนอยู่”   ก็คงไม่มีการตัดสินใจอะไรที่เป็นไปได้ในภาพรวมของประวัติศาสตร์     กษัตริย์ เฟรดเดอริค  แห่งปรัสเซียเคยให้ข้อสังเกตไว้ครั้งหนึ่งว่า  “เมื่อดาบปลายปืนเริ่มคิด  เราแพ้แล้ว”

ในกองทัพชิลีมีทหารมากมายที่เป็นสมาชิกของพรรคชาตินิยม   แม้แต่บรรดานายทหารก็ให้ความเห็นอกเห็นใจพรรคประชาชนสามัคคี   หลายๆคนเล่นไพ่พรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์อยู่  การพยายามลุกขึ้นสู้ของทหารเรือปีกซ้ายในวันที่ 7 สิงหาคมเป็นการบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ถ้าได้รับการร้องขออย่างจริงจังจาก อาเยนเด ให้ติดอาวุธให้แก่กองกำลังของมวลชนกรรมกร


เป็นที่น่าเสียดาย  จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย    อาเยนเด มีความมั่นใจมากเกินไปว่า บรรดานายพลจะไม่แตกแถว  กระทั้งเชื่อว่าพวกเขาจะปกป้องรัฐบาลของตน    เรื่องหนึ่งที่น่าขยะแขยงและน่าสมเพชทางประวัติศาสตร์คือ ก่อนที่จะเกิดรัฐประหาร  อาเยนเด ได้แต่งตั้งนายพล กุซมาน และปิโนเช  เป็นผู้บัญชาการกองทัพอากาศและกองทัพบกตามลำดับ     จนกระทั่งวาระสุดท้าย...เมื่อรถถังวิ่งออกสู่ถนนแล้ว    อาเยนเดยังบอกให้มวลชนกรรมกร อยู่อย่างสงบ และใจเย็นในขณะที่พยายามติดต่อกับปิโนเชทางโทรศัพท์  แต่....ไร้คำตอบ

No comments:

Post a Comment