Monday, July 20, 2015

บทเรียนจากชิลี 3

3.การก่อตั้งพรรคสังคมนิยม  
ดังนั้นจึงต้องสูญเสียโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย    รัฐบาลสังคมนิยมอายุสั้นของ คาร์ลอส ดาวิลยา  ถูกโค่นล้มลงด้วยการทำรัฐประหารของ  อาร์ตูโร อเลสซานดรี      ความจริงที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ  พรรคเสรีนิยม และ กลุ่มก้าวหน้าของชนชั้นนาย ทุนชิลีกลับให้การสนับสนุนอเลสซานดรี     แท้จริงแล้วระหว่างปีทศวรรษ 1930 กลุ่มเจ้าที่ดินและนายทุนใหญ่เป็นผู้ควบคุมพรรคก้าวหน้าอยู่
 ความหายนะที่สำคัญในปี 1932 มีสาเหตุมาจากการขาดมวลชนของพรรคปฏิวัติ    รัฐบาลของ ดาวิลยา ได้ประกาศให้ชิลีเป็นสาธารณรัฐ”สังคมนิยม” แต่ไม่ไว้วางใจต่อมวลชนที่เคลื่อนไหวที่ยังคงดำรงอยู่      ประกาศบางเรื่องก็ไม่สามารถยกเลิกเปลี่ยน แปลงกฎเกณฑ์ของชนชั้นนายทุนอย่างถึงราก     แต่การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมนิยมนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของชนชั้นกรรมกร   ในบริบทนี้ อดอนิส เซปูลเวดา ได้ให้ข้อ สังเกตไว้ในบทความที่ว่าด้วยประวัติของพรรคสังคมนิยมชิลี(PSCh)ว่า
“การเคลื่อนไหวไม่ได้ยึดโยงอยู่กับการสนับสนุนของมวลชน    ไม่ได้ติดอาวุธมวลชนเพื่อเป็นเกราะป้องกันรัฐบาล,ไม่ใช่พรรคชนิดที่นำมวลชนเข้าต่อสู้”....(หนังสือพิมพ์ เอล โซเซียลิสโม ชิลีโน ฉบับที่ 1 พฤษภาคม 1976)

จากประสบการณ์ที่ชัดเจนนี้    นักสู้ชั้นเลิศของชนชั้นกรรมกรชิลีจำเป็นต้องมีพรรคใหม่อย่างเร่งด่วน, พรรคที่รักษาผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมกรอย่างแท้จริง, ต้องไม่ใช่พรรคพรรคที่มีพื้นฐานของลัทธิสังคมนิยม-ปฏิรูป ที่สังกัดสากลที่สองหรือองค์กรคอม มิวนิสต์สากลที่เต็มไปด้วยความวิปริตของพวกนิยมสตาลิน,หากแต่ต้องหันกลับมาสู่ความคิดของลัทธิมาร์กซ์-เลนินที่แท้จริง,ตามอุดมการณ์ของของพรรคบอลเชวิคและการปฏิวัติเดือนตุลาคม    ผู้ปฏิบัติงานชาวสังคมนิยมจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับดำเนินแนวทางแนวทางในพรรคคอมมิวนิสต์ของพวกนิยมสตาลิน      ได้เข้ามาร่วมมือก่อตั้งพรรคสังคมนิยมตั้งแต่เริ่มแรกในเดือนเมษายน 1933   นี่เป็นโอกาสเหมาะที่จะสรุปข้อดีของ ”คำปรารภหลักการเบื้องต้น” ของพรรคสังคมนิยม(เก่า)   
คำปรารภ :  
พรรคยอมรับในลัทธิมาร์กซ, ที่เปี่ยมไปด้วยคุณูปการ   สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและพัฒนาการที่เป็นวิทยาศาสตร์ของมันอย่างต่อเนื่อง  ด้วยการพิจารณาจากสภาพพื้นฐานของความเป็นจริง
การต่อสู้ทางชนชั้น   การจัดการของระบอบทุนนิยมในยุคปัจจุบันนั้นได้แบ่งสังคมมนุษย์ออกเป็นสองชนชั้นดังที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้   ชนชั้นหนึ่งถือครองปัจจัยการผลิตซึ่งใช้กดขี่ขูดรีดเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง     และอีกชนชั้นหนึ่งใช้แรงงานในการผลิตโดยไร้สิ่งตอบแทนใดๆนอกเหนือไปจากค่าจ้าง  ความปรารถนาของชนชั้นกรรมกรในชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  และความหิวกระหายของชนชั้นนายทุนที่จะครอบครองผลประโยชน์และความมีอภิสิทธิ์ของมันเป็นตัวกำหนดการต่อสู้ทางชนชั้น
รัฐ:  รัฐของชนชั้นนายทุนเป็นตัวแทนของรัฐที่ดำรงอยู่  เป็นเครื่องมือของระบบกดขี่ของชนชั้นหนึ่งต่อชนชั้นอื่นๆ   ตราบจนเมื่อรัฐถูกทำลายไปแล้ว   ลักษณาการกดขี่โดยรัฐก็จะสิ้นสุดลงไป มันจะถูกจำกัดให้เป็นเพียงแนวทางการประสานและป้องกันให้สังคมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
การเปลี่ยนผ่าน:  ระบบการผลิตของทุนนิยมนั้นอยู่บนพื้นฐานของระบอบกรรมสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน ปัจจัยการผลิต  การแลกเปลี่ยนสินค้า สินเชื่อ และการคมนาคม  ฯลฯ  มีความจำเป็นที่จะต้องถูกแทนที่โดยระบอบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมโดยทรัพย์สินส่วนบุคคลจะถูกแปรให้เป็นของส่วนรวม
เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ:    ในระหว่างขั้นตอนของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของระบอบ   เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพเป็นสิ่งจำเป็น    การที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นประชาธิปไตยแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้    เพราะชนชั้นปกครองจะยังคงรักษาอำนาจเผด็จการของตนไว้ด้วยกองกำลังติดอาวุธ    เพื่อให้กรรมกรตกอยู่ในความยากไร้และถูกทอดทิ้งทั้งยังขัดขวางการปลดปล่อยของกรรมกรอีกด้วย 
ลัทธิสากลนิยมและ เศรษฐกิจที่ต่อต้านจักรพรรดิ์นิยม:   ทฤษฎีสังคมนิยมนั้นมีลักษณะสากลนิยมและเรียกร้องให้ชนชั้นกรรมกรทั่วโลกสามัคคีและร่วมมือกัน    เพื่อให้ความมุ่งหมายนี้เป็นจริงพรรคสังคมนิยมขอเสนอนโยบายความเป็นหนึ่งเดียวของเศรษฐกิจและการเมืองของประชาชนในลาติน-อเมริกา  เพื่อนำไปสู่ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งทวีป  แลเพื่อสร้างสรรนโยบายต่อต้านจักรพรรดิ์นิยม(ibid, pages 15-16)  หลักการเบื้องต้นเหล่านี้ได้เขียนไว้ในแบบฟอร์มประวัติสมาชิกทุกคนของพรรคสังคมนิยมชิลีมาตั้งแต่ 25 ปีแรกของพรรคที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้
หลังจากที่ฮิตเลอร์ได้ครองอำนาจในเยอรมัน    นโยบายต่างประเทศของกลุ่มขุนนางรัสเซียก็เปลี่ยนแปลงไป    แรกสุดสตาลิน ได้พยายามทำสัญญากับเบอร์ลิน     เมื่อประสบความล้มเหลวมอสโคว์ก็เริ่มเปลี่ยนนโยบายใหม่บนพื้นฐานความคิดของการเป็นพันธมิตรกับ “ประเทศประชาธิปไตย” หลักๆได้แก่ จักรพรรดินิยมฝรั่งเศสและอังกฤษเพื่อต่อต้านเยอรมัน    วันแล้ววันเล่า(จากวันแรกและวันถัดๆไป)“พรรคคอมมิวนิสต์”  ได้รับคำสั่งใหม่ให้ยุตินโยบาย ”ขั้นตอนที่สาม”(การสร้างสังคมนิยม) ที่ประกาศใช้ก่อนหน้านั้น      และให้เข้าร่วมในสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรไม่เพียงแต่กับพรรคสังคม-ประชาธิปไตยซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขายังประณามว่าเป็นพรรค ”สังคม-ฟาสซิสต์       ทั้งยังร่วมกับพรรค ”ก้าวหน้า”ของชนชั้นนายทุน  โดยอ้างว่าเพื่อหยุดยั้งอันตรายจาก ”ลัทธิฟาสซิสต์
ด้วยวิธีนี้บรรดาผู้นำพรรค “คอมมิวนิสต์” จึงมีความกระตือรือร้นมากในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับบรรดานายทุนเสรีนิยม  เลนินได้ใช้เวลาตลอดชีวิตของท่านต่อต้านนโยบายร่วมมือกับสิ่งที่เรียกว่า  “ก้าวหน้า” ของพวกนายทุน   ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมรัฐบาลผสมชั่วคราวของบรรดานักเสรีนิยมชนชั้นนายทุนภายหลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ในรัสเซีย     ในขณะที่พรรคเมนเชวิคและพรรคสังคมนิยมปฏิวัติ คิดว่าเป็นการถูกต้องแล้วที่พวกเขาเข้าร่วมรัฐบาลชั่วคราว  หนังสือ “แนวร่วมประชาชาติ  ในประวัติศาสตร์” ฉบับตี พิมพ์ครั้งแรกได้ยืนยันว่า...ในประเทศรัสเซียที่ล้าหลัง  ชนชั้นกรรมกรยังมีจำนวนเพียงเล็กน้อยของพลเมืองทั้งประเทศ  ภาระหน้าที่เร่งด่วนของการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนและชาวสังคมนิยมควรจะร่วมมือกับพรรคการเมืองที่ ”ก้าวหน้า” ของชนชั้นนายทุน   ในการต่อสู้กับเศษเดนของระบอบศักดินาและพวกฟาสซิสต์ที่เป็นพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ      
เลนินได้ให้คำตอบยืนยันโดยไม่ลังเลเลยว่า   ไม่มีความมั่นใจในชนชั้นนายทุน   ไม่สนับสนุนรัฐบาลชั่วคราว  ไม่เคยเชื่อนักเสรีนิยมชนชั้นนายทุนอย่างเคเรนสกี     ไม่สร้างความสัมพันธ์กับพรรคอื่นๆ(โดยเฉพาะกับเมนเชวิค)     ในด้านตรงกันข้าม...เชื่อมั่นเพียงประการเดียวต่อพลังขององค์กรจัดตั้งโซเวียต  หรือสภากรรมกรซึ่งเป็นพลังๆเดียวที่สามารถโค่นล้มพวกปฏิกิริยา  สืบทอดภารหน้าที่ในการแบกรับการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนโดยร่วมกับพันธมิตรชาวนาจนในการเผด็จอำนาจในที่สุด  ต่อเนื่องไปจนถึงการยึดทรัพย์สิน(ที่ใช้ขูดรีดผู้อื่น)ของนายทุนและก้าวไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยม
เลนินและชาวบอลเชวิคเข้าใจดีถึงการสร้างระบอบสังคมนิยมว่าไม่อาจสร้างขึ้นได้ในประเทศเดียว   แม้ว่าอย่างน้อยที่สุดในประเทศที่ล้าหลังอย่างรัสเซียในเวลานั้น    พวกเขาต้องเร่งในการขยายการปฏิวัติไปยังประเทศอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ทุนนิยมได้พัฒนาไปแล้วในยุโรป    พวกเขาจำต้องสถาปนาองค์กรคอมมิวนิสต์สากลขึ้นเพื่อประกาศเจตนารมณ์ในการการปฏิวัติโลก     ผนึกกำลังประเทศสังคมนิยมในยุโรปและในที่สุดไปสู่สมาพันธ์สังคมนิยมโลก
แนวร่วมทั่วไปองค์กรแรกของชิลี:  ภายใต้การนำของเลนินและทร้อตสกี   องค์กรคอมมิวนิสต์สากลได้รวมบรรดาชนชั้นกรรมกรที่มีจิตสำนึกปฏิวัติที่สุดในขอบเขตทั่วโลกผนึกเข้าไว้ด้วยกัน     บทเรียนที่ขมขื่นจากบรรดาพรรคสังคม-ประชาธิปไตยสากล(ที่เลนินได้เปรียบเทียบว่าไม่ใช่องค์กรระดับสากลแต่มีลักษณะค่อนไปทาง ”สำนักงานไปรษณีย์” ที่เน้นหนักการติดต่อระหว่างพรรคนานาชาติเท่านั้น)    ชาวบอลเชวิคได้นำเอาทัศนะทางสากลที่แท้จริงของมาร์กซและเองเกลในช่วงที่พวกท่านได้ดำเนินการในสันนิบาติกรรมกรสากลกลับคืนมาคือพรรคการเมืองของนักปฏิวัติสังคมนิยม ด้วย นโยบาย ยุทธศาสตร์  และการชี้นำ ชนิดเดียวกัน    แนวคิดนี้ไม่ได้ต่อต้านวิถีทางของประชาธิปไตยแม้แต่น้อย   ไม่ได้หมายถึงการที่พรรคหนึ่งจะไปครอบงำพรรคอื่นๆ   แต่กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงจากสภาพที่แท้จริงในการประชุมสี่ครั้งแรกขององค์กรคอมมิวนิสต์สากล     ได้ทำการอภิปรายกันในขอบเขตที่กว้างขวางเกี่ยวกับประชาธิป ไตยภายในองค์กรและเสรีภาพในการถกเถียงโต้แย้ง  ซึ่งพรรคเล็กที่สุดสามารถแสดงความแตกต่างทางนโยบายกับพรรคที่ใหญ่ที่สุดได้     มีความอิสระเป็นตัวของตัวเองอย่างกว้างขวางสำหรับทุกชาติภายใต้นโยบายเดียวกันที่ตราโดยที่ประชุมสากล   โดยมีการจัดขึ้นทุกปีท่ามกลางความยากลำบากจวบจนถึงวันมรณภาพของเลนิน
สภาวะเสื่อมถอยของการปฏิวัติรัสเซียเนื่องมาจากระบอบขุนนาง       เป็นผลให้รัฐกรรมกรในประเทศที่ล้าหลังถูกโดดเดี่ยวสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง     กระบวนการทำพรรคคอมมิวนิสต์ให้กลายเป็นระบอบสตาลิน สามารถสะท้อนให้เห็นได้จากขบวนการในองค์กรคอมมิวนิสต์สากลที่คู่ขนานกันไป    องค์ประกอบที่สำคัญทั้งมวลล้วนถูกกำจัดและแทนที่ด้วยระบอบขุนนาง    ซึ่งบางอย่างไม่เคยเกิดขึ้นเลยในยุคของเลนิน     ฝ่ายนำของสากลฯล้วนแล้วแต่เป็นผู้ปฏิบัติงานที่นิยมสตาลิน    มุ่งมั่นที่จะดำเนินงานตามคำสั่งของมอสโคว์     จาก 1928 หน่วยงานต่างๆเหล่านี้ได้ดำเนินการตามแนวทางนโยบายซ้ายตกขอบของ “ยุคที่สาม”   ในที่สุดในปี 1935โดยไม่มีสาเหตุใดๆพวกเขาได้หันกลับไปใช้นโยบาย ”แนวร่วมทั่วไป” อีก  ซึ่งทรอตสกีได้ระบุไว้อย่างถูกต้องถึงลักษณะ “หน้าไหว้หลังหลอก” แบบลัทธิเมนเชวิค และ “การสมคบกันเพื่อยับยั้ง”

 แต่บรรดาผู้ที่นิยมสตาลินไม่สามารถนำนโยบายความร่วมมือระหว่างชนชั้นต่างๆของพวกเขาให้ลุล่วงไปได้โดยปราศจากการมีส่วนร่วมของชาวสังคมนิยม    กรรมกรชิลีได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งแล้วถึงการตระบัดสัตย์ของพวกนักการเมือง ”เสรีนิยม” ชนชั้นนายทุน   การก่อตั้งพรรคสังคมนิยมเป็นความปรารถนาที่เร่ง ด่วนโดยสัญชาติญานของชนชั้นกรรมกรที่มีความจำเป็นต่อนโยบายที่เป็นอิสระทางการเมืองของชนชั้น    การประกาศนโยบายสังคมนิยมของ “แนวร่วมสามัคคีกรรมกร” ที่ได้ใช้ในการรณณรงค์แข่งขันการเลือกตั้งประธานาธิบดีของ มาร์มาดุค  โกรฟ * (Marmaduke Grove  นายทหารอากาศ, นักการเมืองและเป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำสูงสุดของรัฐบาลแห่ง”สาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งชิลี” ในปี  1932) ผู้นำการเคลื่อนไหวด้านแรงงานที่โดดเด่น,ที่ถูกจำคุกโดยรัฐบาล,ผู้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากซานติอาโกด้วยคำขวัญ ”จากคุกสู่สภา”

วิญญาณของการเคลื่อนไหวปฏิวัติในเวลานั้นได้แสดงออกโดย วาทะที่โด่งดังของโกรฟ  “ เมื่อเราได้อำนาจ.. นั่นหมายถึงว่าจะไม่มีเสาไฟฟ้าว่างที่ใช้แขวนพวกคณาธิปไตยอีกต่อไป ”   คำพูดเหล่า นี้ได้สะท้อนอารมณ์ของมวลชนกรรมกรและส่วนอื่นๆที่ถูกกดขี่ในสังคมชิลี  ที่แสวงหาหนทางของการ ปฏิวัติสังคมนิยม... ที่ไม่ใช่การร่วมมือกับชนชั้นนายทุน
ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงของมวลชนและวิกฤตของทุนนิยมบีบบังคับให้กลุ่มคณาธิปไตยค้นหา”บท  สรุปสุดท้าย” ที่คล้ายคลึงกับในเยอรมันและอิตาลี,โดยการก่อตั้งกองกำลังติดอาวุธ      ภายใต้รัฐบาลแบบลัทธิโบนาปาร์ท*ไม่สามารถแก้ปัญหาสังคมในชิลีได้เลย   แต่การเคลื่อนไหวของพวกฟาสซิสต์นั้นชนชั้นกรรมกรได้ทำการต่อต้านอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ    กองกำลัง ”เสื้อเหล็ก” โดยกรรมกรของพรรคสังคมนิยมและเยาวชนสังคมนิยมได้ต่อสู้กับกับพวกฟาสซิสต์ไปทั่วทั้งประเทศ     ด้วยความหวาด กลัวต่อเรื่องนี้..ส่งผลให้รัฐบาลของ อเล็กซานดรี   ถูกบีบให้แสดงการต่อต้านพวกฟาสซิสต์เมื่อพวกนี่มีความพยายามที่จะทำรัฐประหาร
 ความพยายามของพวกฟาสซิสต์ประสบกับความล้มเหลว      เกิดวิกฤตขึ้นกับรัฐบาลของอเล็กซานดรี   ในหมู่มวลชนเกิดกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มมากขึ้น  ทำให้เกิดสถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อการรุกของชนชั้นกรรมกร แต่การแสดงบทบาทของพวกซ้ายชิลีที่นิยมสตาลินเป็นเรื่องที่น่าอัปยศ     เสียดาย...ที่ฝ่ายนำของพรรคสังคมนิยมไม่สามารถนำเสนอทางเลือกที่ถูกต้องได้     พวกนิยมสตาลินฉวยโอกาสริเริ่มการกดดันอย่างหนักหน่วงต่อฝ่ายนำพรรคสังคมนิยมให้ยอมรับแนวคิดเกี่ยวกับการทำแนวร่วมชั่ว คราวกับพรรคราดิคัล(พรรคฝ่ายซ้าย)   ซึ่งมีแนวคิดขัดกับหลักการพื้นฐานส่วนใหญ่ของพรรค    และไม่สอดคล้องในเชิงอุดมการณ์กับชนชั้นกรรมกรที่เข้าใจถึงความทรยศปลิ้นป้อนของพวกเสรีนิยมชนชั้นนาย ทุนและต้องการรัฐบาลของชนชั้นตนเอง   ดั่งที่ อดอนิส เซปูลเวดา ได้กล่าวไว้ว่า

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงยุทธวิธีการเคลื่อนไหวด้านแรงงานได้ถูกกางลงบนโต๊ะ...เพื่อการถกเถียงอภิปรายถึงการสร้างแนวร่วม  พรรคสังคมนิยมได้คัดค้านการเป็นพันธมิตรนี้   ถือว่าเป็นการพ่ายแพ้..ที่จะต้องสูญ เสียบทบาทนำในด้านการเคลื่อนไหวแรงงานไปให้แก่พวกนายทุน   มันจะมีผลอย่างลึกซึ้งต่อสถานการณ์ ในขณะนั้นที่ต้องการผู้นำที่มีบารมีในการดึงดูดผู้คน   เพราะจะทำให้มีกองกำลังเพิ่มขึ้น    ไม่มีนักสังคมนิยมคนใดยอมรับและยอมจำนนต่อการบีบบังคับเช่นนี้(Socialismo Chileno, page 20)

เป็นที่น่าเสียดาย...การขาดประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานรุ่นหนุ่มสาวและความรวนเรของบรรดาผู้นำพรรค   ซึ่งไม่รู้ว่าจะยืนหยัดต้านทานแรงกดดันของกลุ่มผู้นิยมสตาลินได้อย่างไร      ทำให้นำไปสู่ความผิดพลาดที่ร้ายแรงต่อการเข้าร่วมในแนวร่วมโดยไม่คำนึงถึงความเป็นปฏิปักษ์ของสมาชิกในส่วนที่ไม่ใช่ผู้นำ  และความขัดแย้งพื้นฐานทั้งหลายรวมไปถึงนโยบายของพรรคเองด้วย ในการประชุมสมัชชาวิสามัญของพรรคในปี 1938  ออสการ์  ชนาคเค (Oscar Schnake) เลขาธิการพรรค ใช้เวลา 5 ชั่วโมงเพื่อจูงใจตัวแทนสมาชิกให้ยอมรับการถอนตัวออกจากการแข่งขันของ  มาร์มาดุ๊ค  โกรฟ  ซึ่งมีการปลุกระดมมาตั้งแต่ปี 1936   การตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างน่าเศร้านี้ได้สร้างหายนะให้แก่ระบอบสังคมนิยมและชนชั้นกรรมกรชิลีทั้งชนชั้นในเวลาต่อมา   จาก การเข้าเป็นแนวร่วมกับรัฐบาลของพรรคสังคมนิยมที่ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งในปี 19387  เซปูลเวดา ได้สรุปบทเรียนไว้ดังต่อไปนี้

พรรคที่อ่อนเยาว์ไม่ได้คัดค้านการร่วมรัฐบาลผสม   กับความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อย และความอิ่มอาบปลาบปลื้มกับองค์กรรัฐของนักฉวยโอกาสเป็นแรงจูงใจในการเข้าไปมีส่วนร่วมจนลืมเลือนเป้าประสงค์     นี่คือดอกผลของความอ่อนแอ(ทางทฤษฎี)และแนวคิดลัทธิปฏิรูปของเหล่าผู้นำที่ยังซ่อนเร้นแฝงฝังอยู่อย่างเหนียวแน่นในการต่อสู้ของปีที่ผ่านมา    บรรดานักลัทธิมาร์กซผู้ที่มีความเข้าใจและมีจิตสำนึกทางชนชั้นอย่างแน่วแน่มั่นคงได้ทำการต่อสู้คัดค้านกระแสคลื่นปฏิรูปที่กำลังแผ่ซ่านอยู่ในพรรค  นัก ปฏิวัติรุ่นใหม่พร้อมที่จะเป็นกองหน้าในการสู้รบเพื่อกอบกู้ฟื้นคืนอุดมการณ์    “สมาชิกระดับล่างมีปฏิกิริยาอย่างแรงกล้าในการคัดค้านการคอร์รัปชั่นและการรวบอำนาจที่เริ่มจะสำแดงออกขององค์กรนำสูงสุด    ความไม่เห็นด้วยนั้น..ไม่เพียงแต่จะมาจากกลุ่มหัวรุนแรงเท่านั้นแต่ยังมาจากบรรดากรรมกรผู้มีประสบการณ์อย่างไม่คาดคิดมาก่อนอรกด้วย    การขับคณะกรรมการกลางพรรคของคนรุ่นใหม่คือฟางเส้นสุดท้าย   เป็นการแตกแยกที่เกิดขึ้นครั้งหนักหน่วงที่สุดในรอบ 43 ปีของพรรคสังคมนิยม


No comments:

Post a Comment