8.. รัฐ..ไม่เคยเป็นกลาง
ความผิดพลาดพื้นฐานของฝ่ายนำพรรคประชาชนสามัคคีที่จินตนาการว่า รัฐของชนชั้นนายทุนจะยอมรับทัศนคติที่
“เป็นกลาง” ในพัฒนาการของการต่อสู้ทางชนชั้น
และในชิลีนับเป็นกรณีพิเศษเพราะมี ”ธรรมเนียมประชาธิปไตย” ในกองทัพ ภายใต้ภาพลวงตาเหล่านี้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากบรรดานายพลจนถึงที่สุด ก่อนหน้ารัฐประหาร.. หลังจากนายพล
ลีห์ กุซมาน ได้รับการแต่ง ตั้งให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพอากาศ
ได้กล่าวปราศรัยยืนยันว่าเห็นด้วยที่กองทัพ “จะไม่แหวกประเพ ณีในการสนับสนุนรัฐบาลที่ถูกกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ” ภาพลวงตาเหล่านี้แพร่กระจายไปในหมู่ผู้
นำของพรรคประชาชนสามัคคี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ถูกเรียกว่าพรรคคอมมิวนิสต์ ในระยะแรก
หลุยส์ คอร์วาลัน ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยในการปกป้อง
“ความเป็นมืออาชีพ” และ ”ลัทธิรักชาติ” ของกองทัพชิลี บทความที่ตีพิมพ์ใน ”เวิร์ล มาร์กซิส รีวิว”
เดือนธันวาคม 1970 คอร์วาลัน
เน้นหนักเป็นพิเศษถึงลักษณะพิเศษของกองทัพอากาศชิลีที่ “ยังคงดำรงไว้ซึ่งจิตวิญญาณของความเป็นมืออาชีพ
ที่ให้ความเคารพต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย”
ตามที่พูดนั้นผิด..น่าจะกล่าวว่า “พวกเขาคือทาสรับใช้จักรวรรดิ์นิยมและชนชั้นสูงมากกว่า”
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน
1975 ในวารสารฉบับเดียวกัน
คอร์วาลันได้ยืนยันว่า “ทั้งๆที่มีความหลากหลายในหมู่พวกเขา..คนในกองทัพโดยทั่วไปยังยึดมั่นอยู่ในจรรยาบรรณ
โดยให้ความเคารพต่อ รัฐธรรมนูญและกฎหมาย และให้ความภักดีต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกกฎหมาย”
และเช่นเดียวกันเขายังเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ มอร์นิ่งสตาร์ว่า
..”มันมีความจำเป็นการจะธำรงไว้ซึ่งการเผชิญหน้ากับกำลังติดอาวุธของประชาชน
ในสถานการณ์ปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายต่อกองทัพ....ซึ่งเรื่องเช่นนี้จะต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อความก้าวหน้าของชิลีโดยจะต้องไม่มีสิ่งหรือเหตุใดๆมาเป็นอุปสรรคขัดขวาง”
จะเอาชนะทหารได้อย่างไร?
ถ้า..ฝ่ายนำของพรรคประชาชนสามัคคีจะใช้เวลาเพียง
1 ในสิบ ที่ทุ่มเทให้กับการเอาชนะความเชื่อ มั่นและความเคารพจากชนชั้นผู้นำในกองทัพ
มาทุ่มเทให้กับกำลังพลในกองทัพอย่างจริงจังในรูปแบบของการเคลื่อนไหวแบบแรงงาน การพ่ายแพ้ในวันที่ 11
กันยายนจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
ถ้าอาเยนเดใช้เกียรติภูมิที่ยิ่งใหญ่ของเขาและอำนาจตามกฎหมายในฐานะประธานาธิบดีแห่งสาธารณ
รัฐเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายพลผู้นำกองทัพ สถานการณ์ที่ออกมาคงจะผิดแผกไปจากนี้ ทหารชั้นผู้น้อยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
และต่างมีประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวของมวลชนมาแล้ว
จะเกิดความเครียดและความรู้สึกแปลกแยกในที่สุด ชนชั้นนำที่อยู่บนยอดปิรามิดในทุกๆกองทัพนั้นย่อมมีสายใยที่มองไม่เห็นเชื่อมโยงอยู่กับชนชั้นปกครอง
ส่วนระดับล่างๆมักจะมีความใกล้ชิดกับชนชั้นผู้ใช้แรงงานและชาวนา ทหารบกและทหารเรือเห็นด้วยกับมวลชนที่เคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐบาลของพรรคประชาชนสามัคคี เพื่อสร้างความเคลื่อนไหวในบรรดาทหารชั้นผู้น้อยให้
มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้บรรดาทหารชั้นล่างมีความมั่นใจในความต้องการของกรรมกรโดยผ่านการต่อสู้จนถึงขั้นสุดท้าย
หรือพูดสั้นๆก็คือ...จะต้องทำให้ทหารชั้นล่างมีมีความเชื่อมั่นในความเป็นไปได้ของชัยชนะ ถ้าปราศจากสิ่งนี้..
ความกลัวที่มีต่อนายทหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพก็จะทำให้พวกเขายังคงยึดมั่นอยู่กับระเบียบวินัย
ความเป็นจริงเมื่อวันที่
11 กันยายนนั้น..มีทหารเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการก่อรัฐประหาร ในขณะที่ทหารส่วนใหญ่ถูกกักไว้ในค่าย แสดงว่า
นายพล ปิโนเช มีความเข้าใจสถานการณ์ตึงเครียดที่เป็นอยู่ในกองทัพดีกว่า
อาเยนเด แต่ที่ไม่มีการต่อต้านอย่างหนักหน่วงรุนแรงก็เนื่องจากว่าไม่ได้เป็นการกระทบกระเทือนหรือได้ชัยชนะต่อทหารส่วนใหญ่ที่เลือกจะอยู่เฉยๆ..แม้จะมีความเห็นอกเห็นใจใจกรรมกรก็ตาม ในแง่นี้..วิธีการของนักปฏิรูป ”ผู้รักสันติ” ทั้งหลายมักจะนำไปสู่การเป็นปฏิปักษ์กับผู้ที่มีความตั้งใจจะต่อสู้
บัดนี้..บรรดาผู้ลี้ภัยโดยเฉพาะผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ พวกเขาได้พยายามที่จะ ปกป้องตนเองให้พ้นจากข้อกล่าวหา เพื่อแสดงว่าพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยการอ้างเหตุผลทุกชนิด หนึ่งในข้ออ้างที่มักจะใช้กันอยู่เสมอๆก็คือ...
ในช่วงที่คับขันนั้นชนชั้นกรรมกรพบว่าตนเองถูก ”โดดเดี่ยว” คำตอบสำหรับข้ออ้างเหล่านี้ เซปูลเวดา
กล่าวว่า “ชนชั้นกรรมกรไม่ได้ถูกโดดเดี่ยวเลย
แท้จริงแล้วพวกเขาได้แสดงออกถึงความอ่อนล้า
ทั้งชนชั้นไม่ได้มองถึงสิ่งตอบแทนใดๆในการต่อสู้เพื่อแสดงให้ฝ่ายศัตรูรู้ แต่เหนื่อยล้ากับการเดินขบวน มันต้องมีการกระทำที่เป็นจริงในการขจัดปัญหาความขัดแย้งในสังคมและพวกเขาไม่ได้มีความรับรู้ใดๆในส่วนของการเป็นผู้นำทางการเมืองของตน
แต่พวกเขาพร้อมที่จะต่อสู้ในทุกขณะเมื่อได้รับคำสั่ง ในวันที่ 11
และในกรณีเดียวกัน..แม้กระทั่งวันที่ 12 และ 13
กรรมกรยังคงรอคำสั่งอยู่”
('Socialismo Chileno, p37, our emphasis)
มวลชนถูกทอดทิ้ง
ทั้งพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ต่างก็มีอาวุธ มีทฤษฎีชี้นำ มีนโยบายทางการทหาร แต่ในช่วงเวลาที่จริงจัง อาวุธทั้งหลายแหล่กลับกลายเป็นแค่วัตถุเท่านั้น นโยบายทางการทหารนั้นไร้ผล บรรดาผู้นำส่วนใหญ่ตาลีตาเหลือกหลบหนี ทอดทิ้งมวลสมาชิกของตนให้ช่วยเหลือตนเองเท่าที่พวกเขาจะทำได้ มันจบลงอย่างไร้คุณค่าสำหรับสามปีแห่งการต่อสู้เยี่ยงวีรชนของชนชั้นกรรมกรและชาวนาชิลี มีคนกล่าวว่าการสละชีวิตของประธานาธิบดี อาเยนเด ถือได้ว่าเป็นการ
”ดำรงไว้ซึ่งเกียรติยศ” ของระบอบสังคมนิยมชิลี และมันก็เป็นได้แค่ ”เกียรติยศ” และธรรมจรรยาที่เป็น นามธรรม เท่านั้น ไม่ใช่ชัยชนะ และเป็นความพ่ายแพ้ของการปฏิวัติสังคมนิยม มันไม่ใช่เป็นเรื่องของชีวิตหรือความตายของคนๆหนึ่ง
ในวันที่ชนชั้นกรรมกรได้ถูกสังหารหมู่.. ไม่มีแม้แต่ความเป็นไปได้ในการที่จะปกป้องตนเอง
ไม่ต้องสงสัยเลยถึงความจริงที่ว่า...ประธานาธิบดี ซัลวาดอร์ อาเยนเด
ได้ยืนหยัดและสละชีวิตของตนภายใต้ซากสลักปรักพังของทำเนียบ โมเนดา จะเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของบรรดาผู้นำที่น่านับถือหลายๆคนที่ได้ละทิ้งสมาชิกของตนให้ตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเลวร้ายที่ติดตามมา พวก ผู้นำ ที่นั่งอยู่ในสถานลี้ภัยที่แสนสุขสบาย
แล้วเขียนบทความอย่างยืดยาวเกี่ยวกับ
“การต่อต้านของวีรชนในชิลี”
ซัลวาดอร์ อาเยนเด
ได้กลายเป็น“ผู้อุทิศตนเพื่ออุดมการณ์” ของการเคลื่อนไหวด้านแรงงาน แต่ความเห็นอกเห็นใจจากทั่วโลกไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ของวันที่
11 กันยายน 1973 หรือทำให้อาเยนเดพ้นจากการมีส่วนในความรับผิดชอบต่อสิ่งเกิดขึ้นได้ มีความพยายามที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของมวลชนกรรมกรจากเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นจริง และทำไมมันจึงเกิดขึ้น โดยใช้วิธีการทุกชนิด เช่นการโน้มน้าวจิตใจและสร้างตำนานความไม่น่าเชื่อถือของสังคมนิยมและการปฎิวัติ แต่เราให้ความเคารพและมีความทรงจำที่ดีต่อ อาเยนเด และผู้คนอีกนับพันนับหมื่นที่ไม่ปรากฏนามทั้งหญิงและชายผู้ซึ่งถูกฆาตรกรรมในวันต่อๆมาภายหลังเหตุการณ์ สำหรับชนชั้นกรรมกรเรา
ภาระหน้าที่แรกสุดก็คือต้องเรียนรู้จากประสบการณ์โดยจะต้องไม่ให้มันเกิดซ้ำขึ้นอีก
ระบอบปกครองอะไร?
ในประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า..สำหรับชนชั้นกรรมาชีพแล้วไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปกว่าการยอมจำนนโดยไม่มีการต่อสู้... ตราบเท่าที่องค์กรจัดตั้งของพวกเขายังอ่อนปวกเปียกในขณะที่เผชิญหน้ากับความเป็นจริง มวลชนจะตกอยู่ภายใต้ความสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นความพ่ายแพ้ของวีรชนในการต่อสู่เช่น
ปารีส คอมมูน หรือแอสตูเรียน ที่เสปนในปี 1934 (การลุกขึ้นสู้ของกรรมกรเหมืองในแคว้นแอสตูเรียภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเสปน) ได้ทิ้งไว้ให้เป็นมรดกแก่คนรุ่นหลังให้สืบสานต่อไป
ตัวอย่างที่ร้ายแรงที่สุดก็คือกระบวนการในเยอรมันเมื่อปี
1933
ซึ่งใชัวิธีที่เกือบจะเหมือนกับที่ผู้นำของพรรคประชาชนสามัคคีชิลีใช้
ผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมันยินยอมให้ ฮิตเลอร์ ก้าวขึ้นสู่อำนาจโดย
“ไม้ต้องทุบกระจกหน้าต่าง” (หมายถึงยินยอมต่อการข่มขู่โดยการใช้กำลัง)
อย่างที่ฮิตเลอร์ได้คุยโวในภายหลัง
อะไรที่ส่งผลต่อทัศนะของการประนีประนอมแบบ “สันติ อหิงสา”
ของผู้นำกรรมกรเยอรมัน
การเคลื่อนไหวต่อสู้ของกรรมกรเยอรมันซึ่งก่อนหน้านี้กล่าวได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลกได้กลายเป็นผุยผงเพียงชั่วข้ามคืน
ในทางปฏิบัติมันได้สาบสูญไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ความสิ้นหวังและการหลงทิศผิดทางของชนชั้นกรรมกรเยอรมัน. .เป็นผลมาจากความมืดบอดของบรรดาผู้นำซึ่งสามารถอธิบายได้อย่างพื้นฐานที่สุดก็คือการยอมจำนนภายใต้อำนาจของทรราชฮิตเลอร์ และในทางปฏิบัติก็คือไม่มีการจัดตั้งเพื่อต่อต้านพวกนาซีในเยอรมัน ในเชิงเปรียบเทียบนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศ
ต่างๆ
หลังรัฐประหาร
11 กันยายน
การกระทำหลายสิ่งหลายอย่างของระบอบ ปิโนเช
มีลักษณะฟาสซิสต์และในความเป็นจริงวิธีการต่างๆที่ใช้ต่อต้านชนชั้นกรรมกรของ ปิโนเช
ก็คือการเข่นฆ่า ทรมาน และค่ายกักกัน ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่เคยใช้มาแล้วในอดีตโดย
ฮิตเลอร์ มุสโสลินี และฟรังโก
ไม่เพียงเท่านั้น..กรณีเปรียบเทียบระหว่างชิลีและเยอรมันซึ่งมีความแตกต่างกันโดยพื้นฐาน ในเบื้อง แรก..สถานการณ์ในชิลีของวันก่อนรัฐประหาร ชนชั้นกรรมกรได้รับความชื่นชอบมากกว่าในเยอรมัน
ชนชั้นกรรมกรเยอรมันได้รับความบอบช้ำอย่างร้ายแรงต่อเนื่องจากความพ่ายแพ้ในระหว่างปี
1919 และ 1933
ในทางกลับกัน....ในชิลีกรรมกรได้รับชัยชนะหลายครั้งต่อความพยายามของพวกปฏิปักษ์-ปฏิวัติ
ในเดือนก่อนหน้ารัฐประหารที่ได้แสดงให้เห็นเมื่อวันที่ 4 กันยายน และความกระตือรือร้นที่จะต่อสู้
แต่พื้นฐานที่แตกต่างกันคือ
ฮิตเลอร์ทุ่มตัวเองบนพื้นฐานของการเคลื่อนไหวในกลุ่มมวลชนฟาสซิสต์
“สังคมชาตินิยม” ที่พึ่งพาการเคลื่อนไหวสนับสนุนอย่างจริงจังของมวลชนนับล้านๆคนของชนชั้นนายทุนน้อยที่โลเลสิ้นหวัง พวกกรรมกรว่างงาน และอันธพาลนับหมื่นคนที่จัดตั้งและติดอาวุธให้โดยหน่วยตำรวจลับ
เอส. เอ.
เป็นที่แน่นอนว่าฐานมวลชนนี้เป็นฟาสซิสต์รูปแบบหนึ่งที่แตกต่างไปจากรูปแบบอื่นที่ใช้ตอบโต้กลุ่มอื่นๆโดยใช้ความรุนแรงอย่างถึงเลือดเนื้อ เป้าประสงค์ของลัทธิฟาสซิสต์ คือการทำลายองค์กรจัดตั้งของกรรมกรให้สิ้นซาก รวมไปถึงการขจัดตัวอ่อนของสังคมใหม่ที่อยู่ในครรภ์ของสังคมเก่าอีกด้วย
แต่เครื่องมือของรัฐชนชั้นนายทุนไม่เพียงพอต่องานทำลายล้างนี้ พื้นฐานของรัฐนั้นแคบเกินไปในการบรรลุการจัดการให้ถึงรากแก่นของชนชั้นกรรมาชีพ จากเหตุผลที่ว่านี้..ลักษณะพิเศษของลัทธิฟาสซิสต์ในจุดหมายเบื้องต้นได้แก่การเคลื่อนไหวมวลชนชนชั้นนายทุนน้อยที่
“บ้าคลั่ง” ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤติของระบอบทุนนิยมและไม่มีความมั่นใจในความศักยภาพของชนชั้นกรรมกรในการนำเสนอทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ จึงหันไปหาทางออกจากลัทธิฟาสซิสต์ที่มีการหลอกลวงทางการเมืองสูง ประกอบกับลัทธิ
“สังคมชาตินิยม” ของมัน
นี่คือฐานมวลชนที่สนับสนุนระบอบฟาสซิสต์ให้มีความมั่นคงขึ้นและเปิดโอกาสให้มีการทำลายการเคลื่อนไหวด้านแรงงาน
(ในเยอรมันแม้แต่ชมรมหมากรุกของชนชั้นกรรมกรก็ถูกสั่งปิด)
ระบอบฟาสซิสต์ในเยอรมันใช้เวลา 12 ปี ในอิตาลี 20 ปี ในเสปน ใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 40 ปีและ ความเป็นจริงในระยะเวลาต่อมาระบอบปกครองก็ได้กลายสภาพไปเป็นรัฐเผด็จการของทหาร/ตำรวจที่ดำรงอยู่ท่ามกลางความเฉื่อยเนือยของประชาชน ระบอบปิโนเชท์ไม่เคยมีพื้นฐานมวลให้การสนับ สนุนหากจะเปรียบเทียบกับระบอบฟาสซิสต์ทั่วไปกลุ่มฟาสซิสต์เช่นกลุ่ม
“ปิตุภูมิและเสรีภาพ” ( ปาเตรีย อี ลิเบอร์ตาด/ Patria y Libertad) ที่ได้บ่มเพาะความสยดสยองและความวุ่นวายก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ
พวกเขาไม่มีบทบาทในการเป็นตัวของตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย ได้แต่แสดงออกแบบพวกปฏิกิริยา โดยทั่วไปแล้วจะเป็นไปในทิศทางที่เข้าไปแทรกแซงเสียมากกว่า
พวกเขาเป็นได้ไม่มากไปกว่ากำลังเสริมหรือกองหนุนของรัฐชนชั้นนายทุน และพวกเขายังไปไม่ถึงระดับเดียวกับกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค
ฟาลางค์ ของเสปน(พรรคฟาสซิสต์ของเสปน)ในทศวรรษที่ 1930
เป็นความจริงที่ว่า.. เมื่อเกิดรัฐประหาร...ในส่วนของชนชั้นกลางถูกกระทบโดยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นถึง 300% และความเชื่อมั่นที่ลดลงจากนโยบายด้านการเมืองของรัฐบาลพรรคประชาชนสามัคคี..เมื่อเฝ้ามองดูบรรดานายพลทั้งหลายต่างก็มีความหวังที่สอดคล้องกันที่จะหาวิธีแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ แต่ไม่มีหนทางใดๆมาหนุนช่วยได้หากจะเทียบกับลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลีหรือเยอรมันในทศวรรษที่ 1930 การทำรัฐประหารของปิโนเช เป็นการกระทำโดยทหารซึ่งมีลักษณะอย่างเดียวกันกับการทำรัฐประหารของประเทศอื่นๆในลาตินอเมริกา จะต่างกันก็ตรงที่ที่มีความสยดสยองมากกว่า ลักษณะของความโหดร้ายนองเลือดของการรัฐประหารครั้งนี้เป็นเรื่องใหม่และเป็นครั้งแรกสำหรับลาติน อเมริกา จึงสามารถอธิบายอย่างชัดเจน..ถึงความกลัวของชนชั้นปกครองที่มีประสบการณ์ภายใต้รัฐบาลของอาเยนเด ที่พวกตนต้องตกอยู่ภายใต้การกดดันของมวลชน ซึ่งเป็นการมองภาพที่เลยไปไกลเกินกว่าเหตุมาก บรรดานายทุนและเจ้าที่ดินได้ทำการแก้แค้นด้วยความรุนแรงโดยมีความมุ่งมั่นที่จะ ”สั่งสอนและให้ได้รับบทเรียน” เสียบ้าง อีกด้านหนึ่ง..การเคลื่อนไหวของกรรมกรนั้นมีความเข้มแข็งมาก นั่นหมายความว่าปฏิกิริยาในการตอบโต้จึงต้องใช้มาตรการในระดับถึงเลือดถึงเนื้อมากกว่าในประเทศอื่นๆ
ระบอบเอกบุรุษ
(A bonapartist
regime )
เผด็จการแบบ
ทหาร-ตำรวจ ที่พื้นฐานของมันมาจาก
“ปกครองด้วยดาบ” ของระบอบบูชาคนเก่ง
แต่ระบอบนี้ในชิลี...สำหรับเหตุผลที่กล่าวถึงแล้ว.จำเป็นต้องมีลักษณะของการใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะ
ได้ลอกเลียนแบบวิธีการมาจากระบอบฟาสซิสต์
แต่ปิโนเช ไม่มี..และไม่เคยมีฐานมวลชนในสังคม ในการดำเนินภารกิจใจกลางของระบอบฟาสซิสต์ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งด้วยการทำลายการเคลื่อนไหวทั้งหมดของมวลชนกรรมกรโดยพยายามแยกสลายให้ถึงที่สุด แทนที่ด้วยการกดขี่อย่างหนักหน่วงซึ่งเป็นธรรมชาติของกลุ่มทหารที่ปกครอง มันเป็นระบอบการปกครองที่ไม่มีความมั่นคงภายใน
และมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะอยู่ยงเท่ากับระบอบของฮิตเลอร์และมุสโสลินี ซึ่งค่อนข้างจะเหมือนกลุ่มเผด็จการในกรีซ ที่ทู่ซี้อยู่ถึง 7 ปี
แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆของระบอบทุนนิยมของประชาชนกรีกได้เลย
และในที่สุดก็ล่มสลายไปเปิดทางให้คลื่นลูกใหม่ของการเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วที่ทำให้สังคมต้องชะงักงัน
ในระยะสั้น ข้อผิดพลาดที่แสดงออกถึงความไม่มีเสถียรภาพและความมั่นคงอย่างยิ่งยวดก็คือไม่มีการต่อต้านกลุ่มปกครองจากมวลชนในชิลีที่มีความรู้สึกถึงการไร้พลังอำนาจ
หลังจากองค์กรจัดตั้งของกรรมกรชิลีได้ถูกทำลายลงเมื่อวันที่
11 กันยายน การสังหารหมู่นักเคลื่อนไหวด้านแรงงานเป็นไปอย่างเหี้ยมโหดทารุณ การแยกสลายสหภาพแรงงานได้สร้างบรรยากาศที่สับสนอลหม่านไปทั่ว ต่อสถานการณ์เช่นนี้.. ท่ามกลางวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจ..การไม่มีงานทำและความหิวโหย
ละทิ้งการต่อสู้........สิ่งเดียวที่อยู่ในจิตวิญญาณของกรรมกรก็คือความท้อแท้สิ้นหวังและเฉื่อยเนือย ดังนั้นจึงสามารถอธิบายได้ว่า..ทำไมระบอบเผด็จการจึงอยู่ได้อย่างยาวนานทั้งๆที่ในบ้านเมืองเต็มไปด้วยสารพันปัญหาและความขัดแย้งนานาชนิด ทั้งยังมีเรื่องตลกร้ายให้เห็นอีกคือ. หลังจากวันที่ 11 กันยายน กลุ่มผู้นำที่ปฏิเสธการติดอาวุธให้แก่กรรมกร-ชาวนาอย่างเป็นระบบซึ่งจะสามารถนำไปสู่ชัยชนะได้นั้นพวกเขาทำอย่างไรกัน ? หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาได้ปวารณาตัวเองขึ้นมาเขียนบทความมาก
มายหลายชิ้นจากสถานที่ลี้ภัยที่อยู่ไกลโพ้นและมีความปลอดภัย เรียกร้องให้ติดอาวุธเพื่อต่อต้านพวกเผด็จการ!!!!
มากกว่าหนึ่งปีหลังการรัฐประหาร โฆษกพรรคคอมมิวนิสต์ชิลีได้มีคำประกาศออกมาอย่างต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์
”ลา เสต็มปา” ของอิตาลี เห็นด้วยกับ ”องค์กรฝ่ายซ้ายทั้งหลายของชิลีจะติดอาวุธ แต่ต้องพิจารณาถึงการควบคุมจำนวนของมันด้วย” และ
“ การต่อสู้โค่นล้มระบบอบทหาร”
ช่างเป็นโลกแห่งความฝันสำหรับวีรบุรุษผู้ลี้ภัยเหล่านั้นอาศัยอยู่”
แน่นอน..สิ่งสุดท้ายที่ควรจะเสนอแนะภายใต้สถานการณ์เหล่านี้คือการต่อสู้ด้วยอาวุธ สงครามกองโจร หรือลัทธิก่อภัยร้ายต่อบุคคล ผลลัพท์ที่คนกลุ่มน้อยผู้ผลักดันความคิดเหล่านี้ในชิลีได้สะท้อนกลับที่เป็นไปในเชิงลบเสียมากกว่า
ความไร้สติและไม่มีความจำเป็นทำให้ต้องสูญเสียสหายเยาวชนผู้กล้าหาญที่มีแนวคิดที่ไม่ถูกต้องไปคนแล้วคนเล่าและทำให้เกิดปัญหาความแตกแยกขึ้นในกลุ่ม ถึงกระนั้นก็ยังมีกลุ่มแกนเล็กๆของชนชั้นกรรมกรทั้งที่เป็นสมาชิกของพรรคสังคมนิยมและพรรคอมมิวนิสต์ ได้เริ่มรวมตัวกันขึ้นอย่างช้าๆท่ามกลางความเจ็บปวดในการแบกรับภาระหน้าที่ๆยากลำบากด้วยการทำงานใต้ดิน
ไม่เหมือนกับกลุ่มผู้นำที่ลี้ภัย บรรดาสหายเหล่านี้ไม่เคยพยายามที่จะปิดบังสภาพที่เลวร้ายด้วยคำพูดที่ระรื่นหู แต่จะพูดความจริงและซื่อสัตย์ถึง
การปราบปราม การกดขี่ ความอดอยากและ การก่อภัยสยดสยองต่อประชาชน เงื่อนไขที่ดีที่สุดของชนชั้นกรรมกรก็คือ ไม่ว่าจะอยู่ในคุก ในงานใต้ดิน
ในค่ายกักกัน ต่างก็พยายามทำภาระหน้าที่พื้นฐานของตนให้บรรลุในการสรุปบทเรียนที่ถูกต้องจากประ สบการณ์อันเลวร้ายของพวกเขา แต่โชคร้าย..ดูเหมือนว่าพวกผู้นำที่อาวุโสทั้งหลายต่างไร้ความสามารถและไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น
No comments:
Post a Comment