5. รัฐบาล ฟราย (เอ็ดดูอาโด ฟราย มอนทาลวา 1911 – 1982 นักการเมืองระดับนำของชิลี หัวหน้าพรรค คริสเตียน เดโมแครท ละเป็นประธาณาธิบดี คนที่ 28 ของชิลี ระหว่างปี 1964 ถึง1970.)
นอกเหนือจากนี้,
ภาคเกษตรกรรมทั้งหมดก็อยู่ในกำมือของบรรดาเจ้าที่ดินใหญ่ ทำให้ชิลีต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านเกษตร กรรมเพื่อเลี้ยงดูพลเมืองของตน,แม้ว่าจะมีอัตราส่วนของที่ดินสำหรับเพาะปลูกต่อหัวมากกว่าหลายประเทศในยุโรป
สาเหตุของมันไม่ยากในการค้นหากล่าวคือเจ้าที่ดินใหญ่ได้จ้างแรงงานราคาถูกแทนการใช้เครื่องจักรกล
และให้ความสนใจน้อยมากต่อวิธีทำการเกษตรกรรมแบบสมัยใหม่ ด้วยวิธีการผลิตด้วยแรงงานของชาวนาชิลีที่อดอยากจึงเป็นสาเหตุของการผลิตในภาคเกษตรของชิลีอยู่ในระดับต่ำ ความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปการเกษตรอย่างจริงจังในชิลีเป็นเรื่องที่ประจักษ์กันมาหลายทศวรรษแต่ไม่เคยมีรัฐบาลนายทุนที่
”ก้าวหน้า” ใดๆสามารถขับเคลื่อนปัญหานี้อย่างจริงจัง,เนื่องมาจากเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น
ก่อนหน้าวันเลือกตั้งประธานาธิบดีของปี
1964 ประชากรที่เป็นชาวนามีจำนวน 30% แต่เมื่อทศวรรษก่อนกระบวนการได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง
จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี
1940 ประชาชนร้อยละ 52
อาศัยอยู่ในเมืองและได้เพิ่มขึ้นเป็น 66 % ในปี 1960 คลื่นของการหยุดงานและระดับจิตสำนึกที่สูงขึ้นของชนชั้นกรรมกรชิลีได้เตือนให้บรรดานายทุนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งปี
1964 ทำให้รัฐบาลของ อเล็กซานดรีต้องอับอายอย่างมาก กลุ่มคณาธิปไตยจำเป็นต้องหาทางเลือกทางทางการเมืองที่จะหยุดยั้งความได้เปรียบของพรรคการเมืองของกรรมกร ทางเลือกนั้นก็คือพรรค คริสเตียน เดโมแครต ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1957
ประชาธิปไตยแบบคริสเตียน เครื่องชี้แสดงที่ชัดเจนที่สุดของความอ่อนแอของชนชั้นนายทุนชิลีและการเติบใหญ่ของการแนวทางเปลี่ยนแปลงสังคมทั้งในเมืองและชนบท การเลือกตั้งปี1964ได้ลดการต่อสู้ระหว่าง
คริสเตียน เดโมแครต ที่มี ฟราย เป็นตัวแทน และพรรคFRAP(พรรคแนวร่วมประชาชน )
ที่มีอาลเยนเอเป็นตัวแทนลงไป
ทั้งสองพรรคต่อสู้กันภายใต้คำขวัญการปฏิรูปสังคมชิลีอย่างถึงราก ฐาน
พรรคคริสเตียน
เดโมแครต ที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่มคณาธิปไตยมีจัดเจนช่ำชอง ได้ฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากนโยบายแบบ ”เอียงซ้าย”
ที่ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกลวงทางการเมืองในการเรียกคะแนนเสียงจากมวลชนนายทุนน้อยทั้งในเมืองชนบท โดยทั่วไปแล้วชาวนาและชนชั้นกลางไม่ใช่ชนชั้นที่มีความเข้มแข็งเหมือนชนชั้นกรรมกรและชนชั้นนายทุน เพราะมีทั้งชาวนารวยและชาวนาจน และทั้งหมดนั้นอยู่คั่นกลางระหว่างชนชั้นกรรมกรละชนชั้นนายทุน ชั้นบนของพวกเขาโดยเฉพาะชาวนารวยมักจะใกล้ชิดกับชนชั้นนายทุน
ในขณะที่ชาวน่าจน ผู้เช่านา
และชาวนารับจ้างนั้นเป็นพันธมิตรโดยธรรมชาติของชนชั้นกรรมาชีพ พรรคการเมือง ”เสรีนิยม”อย่างพรรค คริสเตียน
เดโมแครต ของชนชั้นนายทุน จะมีอิทธิพลในชั้นชน นักกฎหมาย ครู
ปัญญาชน แพทย์ และแน่ นอนรวมไปถึงพระและนักบวชด้วย , รวมทั้งบรรดาผู้คนจากชนบทที่มีความคุ้นชินกับการถอดหมวกแสดงความนอบน้อมจากชาวนามานาน ท่านสุภาพบุรุษเหล่านี้รู้ดีว่าควรพูดอย่างไร
ปัจจัยต่างๆเหล่านี้สบโอกาสเหมาะในการแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสำนวนโวหารที่ “ปฏิวัติ”
เพื่อให้ยังคงมีอิทธิพลในหมู่มวลชน พวกเขาแสดงตนต่อชาวนาและเจ้าของร้านเล็กๆเยี่ยง
“มิตรของประชาชน” ประกาศตนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่ เป็นผู้ ปกป้องประชาชนที่ยากจนและต่ำต้อย
แต่หลังการเลือกตั้ง...ปัจจัยที่เคยทำนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง หากแต่นำไปใช้บริการกับทุน
ส่วนมากแล้วเป็นไปในทิศทางที่รับใช้และสอพลอ...นี่คือบทบาทที่แท้จริงของพวกเขา ชนชั้นกลางได้เดินอยู่บนสายพานที่เชื่อมต่อกันระหว่างนายธนาคารและนักผูกขาดใหญ่รายอื่นๆ
ผลประโยชน์ของนักกดขี่ทางการเมืองชนชั้นกลางเหล่านี้คือการไปไปสู่ทุน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำให้เกิดความไม่รู้และสร้างความงุนงงสับสนให้ชาวนานับล้าน,เจ้าของกิจการขนาดเล็ก และเป็นไปได้ต่อมวล ชนกรรมกรและสตรีที่ล้าหลัง
ฯลฯ การปฏิวัติสังคมนิยมจะมีความเป็นไปได้อีกครั้งหนึ่งก็ต่อเมื่อการ ควบคุมของฝ่ายเสรีนิยมและคริสเตียน
เดโมแครต ที่อยู่เหนือชนชั้นกลางและชาวนาได้ขาดสะบั้นลง
นโยบายต่อต้านนักลัทธิเลนินของพรรคคอมมิวนิสต์ชิลีที่มีรากฐานมาอย่างยาวนาน
จึงมีความจำเป็นด้วยการเป็นพันธมิตรกับศัตรูที่เข้มแข็งของสังคมนิยม
เป็นที่ชัดเจนว่าสังคมได้บ่มเพาะความไม่พอใจของมวลชนให้สุกงอมขึ้น ซึ่งเพียงพอกับการย้อนไปคิดถึงความจริงในคำขวัญ
ของพรรคคริสเตียน เดโมแครต เมื่อปี 1964 ซึ่งไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่า “การปฏิวัติเสรีภาพ”
และในความเป็นจริงประชาชนมีความมั่นใจและฝากความหวังของตนไว้ที่รัฐบาล ฟราย ที่ได้รับเสียงข้างมากถึง 56% จาก 2.5 ล้านเสียงจากคูหาเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งสภาล่างในปีถัดมาได้ยืนยันชัยชนะของพรรค
คริสเตียน เดโมแครต ที่ได้ที่นั่งในสภาเพิ่มขึ้นจาก
23 ที่นั่ง เป็น 82 ที่นั่ง
อีกด้านหนึ่งก็คือบรรดาพรรคฝ่ายขวาถูกพิชิตลงอย่างเจ็บปวด
ประชาชนส่วนใหญ่มีความ หวังต่อ ”
การปฏิวัติเสรีภาพ”, การปฏิรูปเกษตรกรรม, และการทำให้เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเป็นของชาวชิลี
ประสบการณ์ของรัฐบาลฟราย ได้แสดงออกอีกครั้งหนึ่งถึงการไร้ความสามารถของพวกเสรีนิยมชนชั้นนายทุนในการสานต่อภาระกิจที่เร่งด่วนที่สุดของการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน ภายใต้การนำของฟราย,รัฐได้เข้าถือหุ้นจำนวน 51% ของบริษัททองแดงขนาดใหญ่ของสหรัฐ..แต่นั่นก็ไม่สามารถขจัดการผูกขาดควบคุมของจักรพรรดิ์นิยมอเมริกาที่มีเหนือเศรษฐกิจของชิลีได้แม้แต่น้อย
การปฏิรูปเกษตรกรรมเดินหน้าไปอย่างล่าช้าเหมือนหอยทาก ผลของมันสรุปได้จากถ้อยคำต่อไปนี้
หากวัดด้วยมุมมองทางคุณภาพ, การทำงานของรัฐบาลพรรคคริสเตียน เดแครต สัมพันธ์กับการแบ่งสรรที่ดิน,ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างยิ่งจากชาวนา 28,000 ครอบครัว
ซึ่งถูกจัดให้ลงหลักปักฐานในการปฏิรูปเกษตรกรรมหรือเข้าเป็นสมาชิกฟาร์มสหกรณ์
1,300 แห่ง
ซึ่งไม่ว่าจะได้มาจากความตั้งใจหรือถูกเวนคืนในโครงการปฏิรูปทั้งหมดประมาณ 3 ล้านสี่แสนเฮกตาร์ นั้นหมายถึง 13% ของที่ดินที่สามารถเพาะปลูกได้
และครอบครัวชาวนาที่ไม่มีที่ดินหรือมีที่ดินไม่พอเพียงจำนวน 5% และ 10% จะได้รับเงินช่วยเหลือ รัฐบาลพรรค คริสเตียน
เดโมแครตเองได้วางเป้าหมายไว้ว่าจะสามารถทำให้ชาวนา 100,000 ครอบครัวเข้าถึงที่ดินภายในระยะเวลา 6
ปี นั่นหมายถึงการบรรลุนโยบายไปแล้วถึงหนึ่งในสาม
แผนนโยบายของฟราย
เช่นการเข้าแทรกแซงกิจการธนาคารยังคงอยู่ในกระดาษ
มวลชนทั้งชาวนาและกรรมกรได้ผ่านโรงเรียนของพรรคคริสเตียน เดโมแครต
และได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามันคือ ...การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างถึงราก
แต่สิ่งที่ได้รับคือภาวะการถูกครอบงำอย่างต่อเนื่องของพวกคณาธิปไตยและจักรพรรดิ์นิยมที่อยู่เบื้องหลังของการมี
“ ประชาธิปไตยมากขึ้น” ที่ฉาบหน้าอยู่
บทบาทที่แท้จริงของพรรค คริสเตียน เดโมแครต คือ ผู้ปกป้องที่ซื่อสัตย์ของของกลุ่มคณาธิปไตย...ที่ได้แสดงออกอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนในการกดขี่ชาวนาและกรรมกร บรรดาเหยื่อ ในกรณีเหมือง
ความล้มเหลวของรัฐบาลพรรค
คริสเตียน เดโมแครต
หลังจาก
ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี 1964 บรรดาผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์
มีความเป็นไปได้ในการยกระดับความร่วมมือกับรัฐบาล
สิ่งที่จะเกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1964 ของพรรค
น่าจะบรรลุข้อตกลงที่มุ่งเน้นการจัดการกับพรรครัฐบาลได้หรือยัง?
หรือเพียงแต่ให้ชนชั้นกรรมกรยอมจำนนต่ออำนาจที่เหนือกว่าของชนชั้นนายทุนมาอย่างยาวนาน.......”
ถ้าเช่นนี้(การ นำพรรคสังคมนิยมไปขึ้นต่อพรรคคริสเตียน เดโมแครต). คือการร่วมมือกัน
,ด้วยการหนุนช่วยกันในยามคับขัน หรือเป็นพรรคฝ่ายค้านตามกฎหมาย
เราจะไม่ถูกทำให้อ่อนแอลงจากฐานสนับสนุนของเราในสังคม และหนทางไปสู่ความนิยมของเราจะไม่ถูกปิดลง”
มวลชนที่สนับสนุนพรรค
คริสเตียน เดโมแครต ได้หดหายไปอย่างรวดเร็ว
ความไม่พอใจต่อปัญหาที่หมักหมมอยู่ของชนชั้นนายทุนน้อยได้ก่อหวอดขึ้นในเรื่องการจัดตำแหน่งในพรรคของฟรายเอง สะท้อนออกโดยการแยกตัวในปี 1969
ของกลุ่มปีกซ้ายที่ก่อตั้งพรรค MAPU ขึ้นและพัฒนาไปสู่ความเป็นปฏิปักษ์ที่รุนแรง
ในสภาพเช่นนี้ มีความพยายามจัดตั้งแนวร่วมกันขึ้นมาใหม่ในการเลือกตั้งระหว่างพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ ในคราวประชุมโต๊ะกลม, เมื่อแนวคิดเกี่ยวกับแนวร่วมทั่วไปเป็นที่ถกเถียงกัน
ทำให้เกิดความบาดหมางขึ้นระหว่างตัวแทนของพรรคทั้งสอง
และต่อมาเป็นที่ประจักษ์กันดีถึงปัญหาของสังคมนิยมในชิลีว่า “เป็นทัศนะที่ยืดเยื้ออย่างไม่มีวันจบสิ้น” ('Socialismo
Chileno,' p 31)
ขณะที่ อาเยนเด
มีความจริงใจและเชื่อมั่นอย่างไม่ต้องสงสัยในความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนผ่านสังคมไปสู่สังคมนิยมโดยแนว
ทางรัฐสภา, แต่สำหรับผู้นำฝ่ายนิยมสตาลินยังวนเวียนอยู่กับปัญหาที่ว่ายังไม่ใช่เวลาของสังคมนิยม ผลก็คือเอกสารชี้นำเต็มไปด้วยความกำกวม
ไม่ปะติดปะต่อ อย่างที่ได้ยืนยันไว้ใน
“เอกสารฉลองวันครบรอบ 45 ปีของพรรคสังคมนิยมชิลี”
“
การปรึกษาหารือกันในการประชุมโต๊ะกลมจบลงด้วยการเรียกตัวเองว่า
“แนวร่วมสามัคคี” การประชุมรอบนี้มีผลต่อแนวทางนโยบายของรัฐบาล
”แนวร่วมสามัคคี” ,
ซึ่งเป็นที่รวมของความแตกต่างกันในโครงร่างนโยบายทางการเมืองอันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ทั้งสองพรรคให้ตกอยู่ในสภาพที่ขัดแย้ง
เป็นลักษาการของสังคมนิยมและประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนในการปฏิวัติชิลี, ซึ่งต่อมาได้ถูกปกป้องโดยพรรคคอมมิวนิสต์ชิลีและพรรคสังคมนิยมในยุคก่อนหน้านี้
ความขัดแย้งนี้ดำรงอยู่ในรัฐบาลแนวร่วมสามัคคีมาตั้งแต่ต้นจนจบ”
แนวร่วมสามัคคี (United Front)
“ชัยชนะในวันที่ 4
กันยายบน
และผลที่เกิดจากการขยายนโยบายทำให้กระบวนการปฏิวัติอ่อนแอลงโดยทันที เป็นช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่เกิดสภาวะตึงเครียดทางชนชั้น: ปฏิวัติหรือปฏิปักษ์ปฎิวัติ
มันไม่ใช่นโยบายที่ถูกกำหนดขึ้นหรือทำให้ลุล่วงไปโดยรัฐบาลเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนชั้นปกครองหวาดกลัว,แต่พลวัตรการปฏิวัติของมวลชนย่อมเป็นอันตรายที่แท้จริงต่อระบอบทุนนิยม นอกเหนือสิ่งอื่นใด...พวกเขาหวาดกลัวต่อการนำขบวนการโดยชนชั้นกรรมกร ได้แสดงออกเบื้องแรกถึงการ
ครอบงำรัฐบาลของนักสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ในองค์กรแนวร่วมสามัคคีในการเคลื่อนไหวมวลชน” แต่ทว่า...เงื่อนไขทางอัตตวิสัยภายหลังจากนี้ เกี่ยวกับการนำ ไม่รู้ว่าจะสนองตอบอย่างไรสำหรับความเป็นจริงที่จะนำไปสู่ขบวนแถวของการปฏิวัติ
ความเป็นจริงที่ก้าวล้ำหน้าขอบเขตทางภววิสัยโดยขบวนการแนวร่วมในปี 1969” ('Chilean
Socialism', page 85)
องค์กรแนวร่วมสามัคคีไม่ได้มีแต่เพียงการรวมตัวของพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น ยังมีขบวนแถวของบรรดาพรรคการเมืองชนชั้นนายทุนน้อยและกลุ่มการเมืองต่างๆ (MAPU, API, PSD
และกลุ่มราดิคาล) ที่มีฐานมวลชนเพียงเล็กน้อย
พรรคราดิคาลที่เข้าร่วมในขณะนั้นเป็นตัวแทนของชนชั้นนายทุนอย่างไม่ต้องสงสัย,ที่ได้แยกตัวออกมาเนื่องจากแรงกดดันของมวลชน ในฐานะที่เคยเป็นปฏิปักษ์กับองค์กรแนวร่วมมาก่อนเมื่อทศวรรษที่
1930 ในครั้งที่พรรคราดิคัลเก่าได้ครองเสียงข้างมาก ซึ่งกลุ่มราดิคาลของ อัลแบร์โต บาลตรา
ได้แยกตัวออกมาร่วมกับพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นพรรคของมวลชนกรรมกรในขณะที่เป็นพลังที่มีบทบาทสำคัญ
แม้ว่ากลุ่มผู้นำที่นิยมสตาลินยังยึดติดแน่นอยู่ในผลประโยชน์กับรัฐบาลราดิคัลในปัจจุบัน,ไม่ ใช่เพราะให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง หากแต่เพราะไม่สามารถบรรลุนโยบายด้านสังคมนิยมอย่างที่ไม่อาจอภัยให้ได้ “ เราไม่อาจเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วได้ เพราะนั่นจะทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในหมู่พันธมิตร
” ยุทธวิธีแบบเดียวกันนี้ฝ่ายนำของพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศสได้เคยใช้มาก่อนแล้ว เช่นเดียวกับพรรคราดิคัล
ฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับ
”แนวร่วม” คือพรรคของชนชั้นนายทุนสองพรรคได้แก่พรรคแห่งชาติของ อเลสซานดรี ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มคณาธิปไตยชนชั้นนายทุนอย่างเปิดเผย และพรรคคริสเตียน เดโมแครต
ที่มีโทมิคเป็นตัวแทน ซึ่งเป็นคนที่อันตรายอย่างยิ่งที่จะฟื้นภาพลักษณ์ของพรรค
“ปีกซ้าย” ที่สนับสนุนการยึดกิจการเหมืองทองแดง ธนาคารต่างชาติ เข้าเป็นของ
รัฐ และเร่งปฏิรูปเกษตรกรรม
แต่ครั้งนี้มวลชนไม่ยอมถูกหลอกลวงจากสัญญาจอมปลอมของพรรค คริสเตียน
เดโมแครต อีก ต่อไป
ผลการเลือกตั้งจึงออกมาดังนี้
อาเยนเด 1,075, 616 เสียง
(36.3%) อเลสซานดรี 1,036,278
เสียง (34.9%) โทมิค 824,849 เสียง (27.8%)
ผลการลงคะแนนที่ออกมาแสดงให้เห็นถึงความตกต่ำอย่างเห็นได้ชัดของพรรค
คริสเตียน เดโมแครต
แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนขั้วในสังคมชิลี
ความจริง พรรคคริสเตียน
เดโมแครตได้สูญเสียฐานะการครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนไปเรียบร้อยแล้วในเดือนมีนาคม
1969 คือได้ที่นั่งในสภาผู้แทนเพียง 50 ที่นั่งใน 150 ที่นั่ง
ผลของการเลือกตั้งในปี
1970 แนวร่วมสามัคคี เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ใช่เสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด
จึงเป็นเงื่อนไขที่พวกฝ่ายขวาจะใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างสถานการณ์ก่อนที่อาเยนเดจะจัดตั้งรัฐบาล ฝ่ายนำขององค์กรแนวร่วมมีทางเลือกอยู่สองทางคือไม่ยอมรับการขู่กรรโชก
ของชนชั้นนายทุนและเพรียกร้องขอความเห็นใจจากมวลชน,
หรือประณามแผนอุบายสกปรกของชนชั้นนายทุนที่คัดค้านความต้องการของมวลชน,ที่จัดตั้งองค์กรมวลชนขนาดใหญ่ทำการเคลื่อนไหวทั่วประเทศ
หรือกดดันให้ยอมรับสถานการณ์ที่ตนกำหนดขึ้น
ชาวสังคมนิยมที่มีลักษณะสู้รบต่างมีความเดือดดาลต่อเล่ห์เพทุบายของชนชั้นนายทุน,และไม่ต้องสงสัยเลยว่าความไม่พอใจของมวลชนได้เพิ่มสูงขึ้น,
ต้องการให้ฝ่ายนำขององค์กรแนวร่วมจัดการรณณรงค์และให้คำชี้แจง ในเดือนมิถุนายน 1970
องค์กรแรงงานชิลีได้คุกคามด้วยการจัดให้มีการนัดหยุดงานไปเรียบร้อยแล้ว
ในสถานการณ์ครั้งนั้นชนชั้นกรรมกรได้กลายเป็นพลังชี้ขาดของสังคม เพราะ 75%
ของประชาชนล้วนแล้วแต่ยังชีพด้วยเงินเดือนค่าจ้าง,โดยเฉพาะที่เป็นพื้นฐานอยู่ในเมือง
(อยู่ในภาคอุตสาหกรรมและบริการ)
พลเมืองที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียวนั้นมีอยู่ไม่ถึง 25%
พลังการเคลื่อนไหวของกรรมกรชิลีนั้น
ได้แสดงออกด้วยการนัดหยุดงานในสมัยของรัฐบาล
อิบาเนซ และ อเลสซานครี บรรดากรรมกรต่างรู้ดีถึงการรณณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนั้นเต็มไปด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายสกปรกเพื่อต่อต้านองค์กรแนวร่วมสามัคคีที่กำกับโดยจักรวรรดิ์นิยมและกลุ่มอนาธิปไตย เป็นความพยายามในการเคลื่อนไหวสกัดกั้นการเข้ามาเป็นรัฐบาลของ อาเยนเด
อย่างไม่เคยมีมาก่อนซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและในทุกๆเมืองและหมู่บ้านทั่วทั้งประเทศ
มากไปกว่านั้น, สำหรับนักลัทธิมาร์กซแล้วแม้ว่าผลของเลือกตั้งจะเป็นเสมือนมาตรสำคัญในการวัดระดับจิตสำนึกของมวลชน
นั่น มิใช่เป็นเพียงปัจจัยเดียวในการพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีของเรา เรา...ที่เป็นชาวลัทธิมาร์กซไม่ใช่ชาวอนาธิปไตย, ด้วยเหตุผลนี้....เราจึงเข้าร่วมในการเลือกตั้งและต้องการที่จะใช้ทุกๆกลไกของประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนให้ประโยชน์
รวมไปถึงความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสันติ โดยผ่านวิถีทางรัฐสภาที่ถูกกฎหมาย, ถ้าหากจะได้รับโอกาสที่จะกระทำเช่น นั้นได้
แม้ว่าตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของชิลีได้แสดงให้เห็นว่า..
ชนชั้นปกครองจะมีความอดกลั้นต่อการดำรงอยู่ของระบอบประชาธิปไตยในขอบเขตจำกัดเท่านั้น ยามใดเมื่อพวกเขาเห็นว่าอำนาจและอภิสิทธิ์ของพวกเขาถูกคุกคาม,พวกเขาจะไม่ลังเลเลยที่จะเป็นฝ่ายล้มกระดานก่อนแต่เพียงฝ่ายเดียวเพื่อ
“พิทักษ์กฎเกณฑ์” ซึ่งเป็นกฎที่พวกเขาตั้งขึ้นเองเพื่อและปกป้องอำนาจและความมีอภิสิทธิ์และปราบปรามทำลายประชาธิปไตยของชนชั้นกรรมกร ไม่!...เราคือนักลัทธิมาร์กซไม่ใช่นักอนาธิปไตย.....เราเป็นผู้อยู่ข้างสัจธรรมและได้เรียนรู้บทเรียนบางเรื่องจากประวัติศาสตร์ ด้วยความเคารพ...สหาย เซปูลเวดาได้กล่าวไว้อย่างถูก
ต้องที่สุดว่า
“ว่าด้วยเรื่องของอำนาจ,มันไม่ใช่ปัญหาที่มีความสัมพันธ์กันเหมือนในวิชาคณิตศาสตร์ว่ามีกำลังมากหรือน้อย ตัวอย่างเช่นในเดือนมีนาคม 1973 เรามีเสียงอยู่ 50 หรืออาจมากถึง 55 % แต่ก็มิได้มีความหมายต่อจักรวรรดินิยมและชนชั้นนายทุนใหญ่เลยที่จะหยุดการตระ
เตรียมการรัฐประหารหรือหยุดความต้องการในการล้มล้างเรา ประสบการณ์ทางประวัติ
ศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าแม้พวกเขาจะเป็นเสียงส่วนน้อย
แต่ก็มีความพยายามที่จะปกป้องการครอบงำทางชนชั้นด้วยความรุนแรง” (Socialismo Chileno, P
36)
สหายชาวสังคมนิยมส่วนใหญ่ละบางทีก็ชาวคอมมิวนิสต์ด้วย
ต่างได้คาดคะเนไว้ล่วงหน้าแล้วถึงกับดักอันต่ำช้าของชนชั้นนายทุนที่ได้ตระเตรียมไว้ ผู้สนับสนุนตัวสำคัญในเล่ห์อุบายนี้คือพรรค
คริสเตียน เดโมแครต
ซึ่งครั้งหนึ่งได้เผยให้เห็นถึงธาตุแท้ของนักปกป้องเจ้าเล่ห์,ที่ปกป้องผลประโยชน์ของนายทุนใหญ่และจักรพรรดิ์นิยมอเมริกาที่เป็นเจ้านายของมัน
ภายใต้การกดดันอย่างหนักหน่วงของ
โควาลันและพวกพ้องทำให้ อาเยนเด จำต้องทำความตกลงกับพรรค คริสเตียน เดโมแครต
และยอมรับสิ่งที่เรียกว่า “ข้อตกลงว่าด้วยหลักประกันของรัฐธรรมนูญ” ในการก่อตั้ง ”กองกำลังเอกเทศ” หรือการแต่งตั้งนายทหารในกองทัพซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ผ่านวิทยาลัยทางการทหาร
อีกด้านหนึ่งต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในกองทัพบก เรือ อากาศ หรือ ตำรวจนอกจาก
จะได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาซึ่งพรรคการเมืองชนชั้นนายทุนยังครองเสียงข้างมากอยู่
ด้วยวิถี ทางเช่นนี้อาเยนเดและบรรดาผู้นำองค์กรแนวร่วมได้พลัดหลงเข้าสู่กับดักตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว, โดยลืมพื้นฐานด้านหลักของลัทธิมาร์กซ และลืมคำอารัมภบทของนโยบายเมื่อครั้งการก่อตั้งพรรคสังคมนิยมชิลีไปเสียสิ้นที่กล่าวว่า “ การเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบระบอบประประชาธิปไตยแบบวิวัฒนาการนั้นไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะชนชั้นปกครองได้จัดตั้งองค์กรพลเรือนติดอาวุธของตนเองและได้สร้างระบอบเผด็จการขึ้นเพื่อคงไว้ซึ่งความยากไร้ของชนชั้นกรรมกรให้ดำรงอยู่ต่อไปและไม่สนใจที่จะทำการปลด
ปล่อยแต่อย่างใด”
No comments:
Post a Comment