4.แนวร่วมแตกสลาย
แม้ว่าข้อตกลงทั้งหมดจะทำโดยพรรค, ผู้นำที่อยู่ในรัฐบาลผสมได้ส่งมอบอำนาจให้แก่นักการเมืองชนชั้นนายทุนของพรรคราดิคัลภายใต้แรงกดดันของมวลชนรัฐบาลแนวร่วมจึงได้ดำเนินการปฏิรูป
แต่ภายหลังเลือกทำแต่โครงการที่ต่อต้านการปฏิรูปทั้ง
หมดทำให้เกิดการเผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวของกรรมกร เอกสารอย่างเป็นทางการของพรรคสังคมนิยมชิลี ที่พิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในวาระครบรอบ 45
ปีของการก่อตั้งพรรคเพื่อเตือนความทรงจำของกรรมกร ถูกขานรับด้วยมาตรการต่อต้านชนชั้นกรรมกรจากรัฐบาล
:
“ชนชั้นกรรมกรในซานดิอาโกตอบโต้ด้วยการเดิน
ขบวนครั้งใหญ่, แต่จบลงด้วยการถูกปราบปราม สิ่งที่ตามมาภายหลังคือการสังหารหมู่, คณะรัฐมนตรีต้องลาออกและนั่นเป็นปฐมบทของการสุ่มเสี่ยงที่ไร้สติของพวกผู้นำในพรรคสังคมนิยมและหน่วยที่ติดอาวุธบางส่วน การร่วมมือ(
ร่วมรัฐบาล)ได้นำมาซึ่งความสูญเสียในด้านหลักการ.. นโยบายและความนิยมจากมวลชน..
การประชุมสภาสมัยสามัญที่มีขึ้นในเดือนตุลาคม
1946 บรรดาผู้นำของพรรคสัง คมนิยมได้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง”
(.....จากหนังสือที่ระลึกครบรอย 45 ปี ของพรรคสังคมนิยมชิลี หน้า 4-5)
จาก
บันทึกดังกล่าว,
การที่บรรดาผู้นำพรรคสังคมนิยมเข้าร่วมรัฐบาลผสมของชนชั้นนายทุนอย่างสุ่มเสี่ยงและไร้หลักการ
ใด้นำมาซึ่งหายนะของพรรคในภายหลัง นั่นทำให้เกิดวิกฤตภายในพรรคอย่างต่อเนื่องไปถึงการแยกตัว แต่ก็ยังสามารถประ คับประคองตัวต่อไปได้
ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณต่อบรรดาสมาชิกรุ่นหนุ่มสาวและนักลัทธิมาร์กซทั้งมวลที่ต่อสู้คัดค้านนโยบายเข้าร่วมรัฐบาลของฝ่ายนำที่เป็นนักประนีประ
นอมด้วยนโยบายปฏิวัติที่เป็นอิสระทางชนชั้น
การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1946
ผู้นิยมลัทธิสตาลินชาวชิลีได้ให้การสนับสนุนผู้สมัครของชนชั้นนายทุนและได้เข้าร่วมรัฐบาลของ
วิเดลา กอนซาเลซ พร้อม กับพรรคการเมืองฝ่าย ราดิคัลและ เสรีนิยม สองปีหลังจากนั้นพวกเขา(ผู้นิยมลัทธิสตาลิน)ก็ได้รับรางวัลตอบแทนด้วยการถูกขับออกจากรัฐบาลและเป็นพรรคที่ผิดกฎหมายไปจนถึงปี
1958 อีกครั้งหนึ่งที่รัฐ บาล วิเดลา
ได้แสดงให้โลกได้เห็นถึงลักษณะ”ปฏิกิริยา” ที่สุดขั้วของความเป็น “เสรีนิยม”
ของชนชั้นนายทุนชิลี กล่าวคือรัฐบาล
“ราดิคัล” “ปีกซ้าย” ได้กลายเป็นเครื่องมือที่หันมารับใช้จักรพรรดิ์นิยมอเมริกาและกลุ่มคณาธิปไตยชิลี
ในที่สุดพรรคสังคมนิยมชิลีก็ได้แตกออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายนำที่มีนโยบายปฏิรูปได้เข้าร่วมกับนักปฏิรูปในพรรค” สังคมนิยมชิลี”
ส่วนอีกพวกหนึ่งที่เป็นพวกปีกซ้ายได้รวมกันเป็นพรรค”สังคมนิยมป๊อปปูลิสต์” ในการประชุมเพื่อกำหนดนโยบายในปี1947
พวกเขาเน้นถึง
“ความไม่เป็นอิสระที่แสดงออกโดยเปิดเผยโดยชนชั้นนายทุนที่จะรื้อฟื้นการร่วมมือกับจักรพรรดินิยมและพวกคณาธิปไตยที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าอาณานิคม
และยืนยันอย่างหนักแน่นในโยบายการเป็นกองหน้าของกรรมกร,คัดค้านการร่วมมือกับพวกนายทุนเสรีนิยม
นโยบายเพียงไม่กี่บรรทัดนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจเนื่องจากเป็นการ
รวบรวมบทเรียนประสบ การณ์ในการเคลื่อนไหวของชนชั้นกรรมกรชิลีที่ผ่านมาในทศวรรษก่อนหน้านี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบทสรุปที่สำคัญยิ่ง
การปฏิวัติสังคมนิยม “ในปัจจุบันนี้มันเป็นภาระหน้าที่ของสังคมนิยม และผู้ที่มีจิตใจอย่างเดียวกัน ในลาติน-อเมริกา
ที่จะดำเนินการในประเทศกึ่งเมือง
ขึ้นของเราไปสู่ความสำเร็จในทางเศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยนทางการค้าที่ถูกกฎหมายเหมือนในส่วนอื่นๆของโลกที่ได้รับการขับเคลื่อนและกำกับโดยชนชั้นนายทุน
สถานการณ์ที่ไม่ปกติและความขัดแย้งทั้งหลายที่เราประสบด้วยตัวเองอยู่นั้น เมื่อมาพิจารณาถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจในสังคมของเราที่เป็นไปอย่างล่าช้าครึ่งๆกลางอย่างที่ปรากฏอยู่นั้นเกิดจากวิกฤติของระบอบทุนนิยม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะยกระดับให้เร็วขึ้นด้วยชีวิตการผลิตที่รวมศูนย์ เราต้องร่นระยะเวลาให้สั้นลงด้วยพลังวิริยภาพ
ของประชาชนในชาติและความเป็นหนึ่งเดียว กัน
เพื่อจะนำไปสู่การวางแผนในด้านแรงงาน...เทคนิค และทุน
ที่เรามีและอยู่ภายใต้การควบคุมของเราเอง”......”เรียกร้องกระบวนการใช้ชีวิตรวมหมู่ให้เร็วขึ้น เพราะจะมีผลไปสู่การเคลื่อนไหวที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เพื่อจะได้เป็นบรรทัดฐานอย่างเดียวกันตลอดทั้งสังคม ต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วสถานการณ์ภายในของเราไม่อนุญาตให้รอคอยได้อีกต่อไป เราไม่อาจหลีกพ้นจากสถาน การณ์ทางประวัติศาสตร์ได้
การเปลี่ยนผ่านที่ยิ่งใหญ่ในทางเศรษฐกิจโดยการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน...การปฏิรูปเกษตรกรรม..การพัฒนาอุตสาหกรรม..การปลดปล่อยประชาชาติ
จะเกิดขึ้นในประ เทศลาตินอเมริกาได้โดยผ่านการปฏิวัติสังคมนิยม
ความเป็นอิสระทางชนชั้น ประสบการณ์ที่ผ่านมาของรัฐบาลชนชั้นนายทุนแสดงให้เห็นถึงบทสัง
เคราะห์ที่ถูกต้อง หลังจากผ่านปีแห่งความรุ่งโรจน์หลังสงครามโลกครั้งที่สองมาชั่วขณะหนึ่งแล้ว ราคาทองแดงได้ลดลงอีกครั้ง
อันเป็นผลให้เกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจของชาติระดับการจ้างงานในด้านอุตสาหกรรมของชิลีเมื่อปี
1949 ตกต่ำลงมากกว่าของปี 1947
ภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นเรื่อยๆมชนชั้นนายทุนชิลีสร้างความร่ำรวยจากการเก็งกำไรค่าของเงิน ที่ดิน 75%
ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกอยู่ในมือของคนเพียง 5%ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ทุนของอเมริกายึดกุมภาคอุตสาหกรรมของชาติไว้อย่างแนบแน่น
ในขณะเดียวกัน สหภาพแรงงานก็ประสบผลสำเร็จในการเคลื่อนไหวรวมตัวกันขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ชะงักงันไปเมื่อปี 1946 สหภาพแรงงานแห่งชิลี(CUT) เป็นองค์กรที่เน้นย้ำให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ของกรรมกรทั่วทั้งในเขตเมืองและชนบท “ที่จะต่อสู้คัดค้านการกดขี่เอารัดเอาเปรียบที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันจนกว่าจะบรรลุระบอบสังคมนิยมที่สมบูรณ์ในที่สุด”
สถานการณ์เช่นนี้ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้หรือว่าไม่
การไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลที่มิได้เป็นตัวแทนของชนชั้นกรรมกรเป็นขั้นตอนสำคัญของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของสังคมนิยม,จนถึงการตัดสินใจด้วยการถกเถียงโต้แย้งกันถึงความเป็นไปได้ทางอุดมการณ์
,มันจะถูกชี้ขาดและตามมาด้วยการทบทวนนโยบายพื้นฐานอีกครั้งหนึ่งก่อนที่มันจะเป็นทัศนะทางอุดมการณ์ นั่นคือความเป็นอิสระทางชนชั้นซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชนชั้นกรรมกร ด้วยเหตุผลเช่นนี้องค์กรที่ชื่อว่า
”แนวร่วมกรรมกร” จึงเกิดขึ้นในเดือน สิงหาคม 1956 , บทเสนอได้รับความกระจ่างแล้ว, บทเรียนพื้นฐานบทแรกคือชนชั้นนายทุนในประเทศเราไม่ใช่ชนชั้นที่ปฏิวัติ ด้านหนึ่งกรรมกรอุตสาหกรรมและกรรมกรเหมือง,ชาวนา และชนชั้นปัญญาชนนายทุนน้อย,ช่างฝีมือ และผู้ประกอบการอิสระรายย่อย
และในทุกส่วนของประชาชนที่ผลประโยชน์ถูกทำลาย(โดยนายทุน)ล้วนแล้วเป็นพลังของการปฏิวัติ
ทั้งหมดนี้ชนชั้นกรรมกรถือว่าเป็นชนชั้นที่มีบทบาทชี้ขาด โดยมีองค์กรจัดตั้ง สหภาพแรงงาน
ประสบการณ์ทางการเมือง และสำนึกทางชนชั้น
ถือว่าเป็นใจกลางที่ยืนหยัดที่สุดในการเคลื่อนไหวต่อสู้." (45th Anniversary of the CSP, page 9, )
ในเอกสารเดียวกันนี้ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนเมษายน
1978 ยืนยันว่า “ รายละเอียดในวัตถุประสงค์ต่างๆยังจะต้องไปให้ถึง
และดังนั้นต้องถือว่าเป็นเป้าหมายที่สำคัญของชิลี
เราปฏิเสธการเริ่มต้นกับชนชั้นนายทุนที่อ่อนปวกเปียก เป็นอิสระ และไม่ขึ้นต่อพวกเขา เนื่องจากพวกเขาคือแขนงหนึ่งของจักรวรรดินิยม
และมีความสนิทแน่นแฟ้นกับบรรดาเจ้าที่ดินใหญ่ ละเมิดกฎหมายโดยใช้อภิสิทธิ์ทางเศรษฐกิจของตนโดยปราศจากความยุติธรรม
เราได้ข้อสรุปว่าพวกเขาคือชนชั้นผู้กดขี่ต่อทั้งกรรมกรธรรมดาและผู้ที่ใช้แรงงานสมอง แต่ยินดีที่จะยอมรับพวกเขาในฐานะของสมาชิกในการสร้างสังคมใหม่
ที่ผดุงไว้ด้วยโครงสร้างที่ก้าวหน้าและทันสมัย”
เอกสารยังบรรยายต่อไปว่า
“ภาระหน้าที่ของคนรุ่นเราไม่ใช่รักษาไว้ซึ่งขั้นตอนการปฏิวัติประชาธิป ไตยชนชั้นนายทุนเท่านั้น
หากแต่ต้องเป็นก้าวแรกของการปฏิวัติสังคมนิยม
ในความเป็นจริง,ภาระ หน้าที่พื้นฐานของการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนในชิลี
คือการเข้าสู่อำนาจโดยอาศัยชนชั้นกรรมกรที่เป็นหัวหอกของมวลชนผู้ยากจน
ชาวนา และบรรดาผู้ที่ถูกกดขี่ในส่วนอื่นๆของสังคม แต่รัฐบาลของชนชั้นกรรมกรชิลีไม่สามารถจำกัด
“ประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน” ได้แต่ปล่อยให้สถาน การณ์พาไป
โดยไม่ได้โจมตีระบอบทุนนิยมอย่างต่อเนื่องและดำเนิการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมนิยม
การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1958 ซัลวาดอร์ อาเยนเด ผู้สมัครธรรมดาคนหนึ่งของพรรค พันธมิตรสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ภายใต้ร่มธงของ FRAP (แนวร่วมประชาชน) ได้ 356,000 คะแนน แพ้ อเลสซานดรี คู่แข่งจากพรรคฝ่ายขวาเพียง 30,000 คะแนนเท่านั้น รัฐบาลพรรคฝ่ายขวาได้ดำ เนินมาตรการ “ประหยัด” (หมายถึงการตัดลดค่าจ้าง เงินบำนาญ การเลิกจ้าง ฯลฯ) ที่ชนชั้นกรรมกรเป็นผู้ที่ต้องแบกภาระที่หนักอึ้งนี้ไว้บนบ่า คำตอบก็คือกระแสคลื่นของการหยุดงาน, แต่ก็ต้องเผชิญกับการกดขี่ปราบปรามอย่างนองเลือดโดยรัฐบาล ที่เราเห็นว่าในส่วนของผู้นำฝ่ายพรรคสังคมนิยมมีแนวโน้มที่ยอมอ่อนข้อภายใต้การกดดันของพรรคคอมมิวนิสต์ ในนโยบายทั่วไปจะสังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานสำคัญของพรรคสังคมนิยม ดังที่เอกสารครบรอย 45 ปีของพรรคที่ได้ระบุไว้ว่า
“เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ยากลำบากในการจำแนกหลักการพื้นฐานของสังคมนิยมตามวิธีการของ
FRAP
ที่รวมไปถึงความคลุมเครือไม่ชัดเจนจำนวนมากของหลักการ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกแยะว่านโยบายของพรรคในระดับชาติ ระดับสากล
และเอกลักษณ์ทางสังคมว่าจะถูกต้องและเหมาะสมเพียงพอ หรือ ไม่ก็ในอีก 20 ปีต่อมา
แนวร่วมกรรมกรซึ่งยึดมั่นต่อหลักการพื้นฐานทั้งหมดของเรา แต่กลายเป็นว่าเราได้นำมาซึ่งความสิ้นหวังในการเข้าร่วมขบวนซึ่งเราต้องรับผิดชอบ ในแทบทุกกลุ่มพันธมิตรมักจะเดินไปสู่ความอ่อนล้าและทำให้เรามีหนทาง และเป็นครั้งที่สามที่เราตัดสินใจผิดพลาดในการยอมรับปฏิญญาซึ่งละเลยชนชั้นกรรมกร
,การต่อสู้ทางชนชั้น, ลืมกระทั่งว่า...ชั้นนายทุนไม่ใช่นักปฏิวัติ....ที่เราได้เขียนไว้ในหลักการ,ในรายงานการประชุมสภา,
ในการอภิปรายถกเถียงกันกับพรรคอื่นๆเมื่อครั้งที่เราได้ร่วมก่อตั้งพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์กับแนวร่วมกรรมกรที่มีความขัดแย้งในหลักการพื้นฐานกับพรรคเรา "
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้นำของฝ่ายที่เรียกว่าพรรค
“คอมมิวนิสต์”
ได้ยืนยันบทสรุปของพวกเขาถึงลักษณะการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนชิลี และเรียกร้องถึงความจำเป็นในการแสวงหาข้อตกลงและร่วมมือกับพรรคการเมืองที่เรียกว่า
“ก้าวหน้า” ของชนชั้นนายทุน
และอีก
เรื่องหนึ่ง..ที่ฝ่ายนำของพรรคสังคมนิยมได้แสดงให้เห็นถึงความไม่ความสามารถต่อต้านแรงกดดัน
อย่างไรก็ตามความตั้งใจที่ชัดเจนของพวกเขาเป็นเรื่องดีที่จะรักษาพลังสามัคคีพื้นฐานของชนชั้นกรรมกรชิลีเอาไว้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายนำของพรรคสังคมนิยมต้องจ่ายไปในราคาที่แพงลิบลิ่ว.. ผลพวงที่ตามมากลับกลายไปเป็นการก่อรัฐประหารเมื่อวันที่
11 สิงหาคม 1973
อะไรคือความชัดเจน ในการนำชนชั้นกรรมกรไปสู่การเผด็จอำนาจ
มันยังไม่เพียงพอต่อการมีอุดมการณ์พื้นฐานที่ถูกต้องที่มากหรือน้อย แน่นอนหากปราศจากความคิดที่ชัดเจน
ปราศจากนโยบายที่ปฏิวัติ ปราศจากหลักการพื้นฐานและมุมมองของลัทธิมาร์กซที่ถูกต้อง
จะไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะสร้างพรรคที่ปฏิวัติหรือเกิดการปฏิวัติสังคมนิยมขึ้นมาได้ และมีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำการปฏิวัติด้วย, ผู้นำแบบบอลเชวิค
ที่ไม่ผิดทิศหลงทางต่อเป้าหมายของการปฏิวัติโดยละเลยต่อปัญหาพื้นฐานภายใต้หน้ากากของ
“กลยุทธิยอมจำนน” หรือเพื่อ “ความสามัคคี”
ด้วยความเคารพ, เลนินไม่เคยโอนอ่อนต่อการประนีประนอมโดยสิ้นเชิง หลายครั้งที่ท่านถูกกล่าวหาว่าเป็น
“นักลัทธิพรรคพวก”และ “นักลัทธิคัมภีร์”
ที่ปฏิเสธการประนีประนอมในด้านหลักการพื้นฐาน
ไม่เพียงแต่กับชนชั้นนายทุนเท่านั้น(ซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว)
แต่กับพรรคของชนชั้นกรรมกรอื่นๆอีกด้วย
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดที่ท่านไม่ยอมประนีประนอมกับกลุ่มเมนเชวิค
ในปี 1917
ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าท่านเป็นนักลัทธิพรรคพวกและสร้างความแตกแยกให้แก่ค่ายนักปฏิวัติ การกล่าวประณามเช่นนั้นไม่ได้สร้างความสะดุ้งสะเทือนต่อการนำพาการปฏิวัติเลย
เลนินมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อความจำเป็นในข้อสัญญาชั่วคราวและ
เห็นด้วยกับพรรคของชนชั้นกรรมกรอื่นๆ
แต่คำขวัญที่ท่านระลึกอยู่เสมอคือการ “แยกกันเดินและร่วมกันตี” แต่ไม่เคยสับสนต่อนโยบายที่แตกต่างกัน
และความแตกต่างของขบวนการกรรมกรเหล่านี้ในการบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรม
ภัยพิบัติของระบอบสังคมนิยมชิลีตลอดไปถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของมันที่
หลังจากได้ถอดบทเรียนข้อสรุปที่ถูกต้องจากประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวต่อสู้แล้ว
แต่บรรดาผู้นำมักจะถูกนำไปสู่ปัญหาเฉพาะหน้าพื้นฐานตามข้อเสนอของกลุ่มนิยมสตาลินที่บริหารและครอบงำแนวร่วมซึ่งเกิดจากการร่วมมือของทั้งสองพรรค ความเห็นของพวกเขาที่สิ่งกำหนด แนวคิด..นโยบาย..และมุมมองต่างๆ ด้วยวิธีการเช่นนี้จึงได้นำไปสู่ความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ของชนชั้นกรรมกร
นโยบายปฏิกิริยาของช่วงปี
1958 – 64
รัฐบาลอเล็กซานดรีได้สร้างกระแสของ ความรุนแรงขึ้นในประเทศ,ที่สะท้อนออกด้วย การเคลื่อนไหวหยุดงาน
การเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปีแกว่งไปมาที่ 4.5%.ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อัตราค่าจ้างที่แท้จริงของกรรมกรยังคงอยู่ในระดับเดียวกันกับปี
1945 ประชาชนจำนวน 60%ได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ของชาติเพียง
20%
สภาพของชนบทย่ำแย่มากไม่เว้นแม้แต่จังหวัดที่มีการเกษตรกรรมที่ดีมากเช่น
อคอนคากัว และซานติอาโก ตัวอย่างเช่น.....ที่ดินถึง
90%เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าที่ดินที่มีจำนวนเพียง แค่7% โดยทั่วไปแล้วที่ดินที่สามารถทำการเกษตรได้จริงนั้นมีเพียง
10 % ของที่ดินทั้งหมดในประเทศ
แม้รัฐบาลจะให้สัญญาว่าจะปฏิรูปเกษตรกรรม
แต่สถานะที่แท้จริงของชาวนาจนเป็นเพียงแค่
”ผู้เช่า” และ ”แรงงานรับจ้าง” เหมือนเช่นที่เคยเป็นมาแต่อดีต ยังคง ยากจน หิวโหย ไร้การศึกษา
โรคติดต่อ และติดสุราเรื้อรัง
No comments:
Post a Comment