6.
ทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐ
เลนินได้ให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับรัฐไว้หลายครั้งว่าโดยพื้นฐานแล้ว
“ มันคือกลุ่มคนที่ติดอาวุธในการป้องกันความร่ำรวย” การยอมรับ “
ข้อตกลงว่าด้วยหลักประกันของรัฐธรรมนูญ”
ของฝ่ายนำในองค์กรแนวร่วมนั้น หมายถึงการประนีประนอม,แต่ในส่วนของพวกเขาเองนั้น,ไม่ได้ทำการติดอาวุธให้แก่ชนชั้นกรรมกรเลย และยังไม่แตะต้ององค์กรที่เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับปราบปรามเพื่อดำรงไว้ซึ่งความยากจนของชนชั้นกรรมกรและไม่สนใจที่จะปลดปล่อยมันอีกด้วย
และแล้วพวกเขาจะดำเนินการดิ้นรนต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจังกับกลุ่มคณาธิปไตยและลัทธิจักรพรรดินิยมต่อไปได้อย่างไร?
ตลอดชีวิตและเวลาของรัฐบาลองค์กรแนวร่วม,ผู้นำของพรรคสังคมนิยมและ
โดยเฉพาะของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้หลอกลวงตัวเองยังไม่พอ
ยังหลอกลวงบรรดามวลชนกรรมกรและชาวนาเมื่อพวกเขาออกมาเรียกร้องถึงคุณลักษณะที่
“ รักชาติ” และรัก ”ความเป็นธรรม”
ของเหล่าทหารในกองทัพ
แต่แน่นอน...พวกเขา( ฝ่ายผู้นำ) ล้วนแล้วแต่มีลักษณาการที่ตกอยู่ในห้วงของความเพ้อฝันอย่างสิ้นเชิง พวกเขาพยายามทำให้พวกเหล่านายพลทั้งหลาย
“เป็นกลาง” ปลอบขวัญด้วย เหรียญตราและเพิ่มเงินเดือนให้
กลไกรัฐ..
โดยเฉพาะบรรดาทหารในกองทัพส่วนใหญ่ไม่ใช่อะไรที่อยู่เหนือชนชั้นและสังคม หากแต่มันเป็นองค์กรของการกดขี่ที่อยู่ในมือของชนชั้นปกครอง
ชั้นบนสุดของกองทัพชิลีก็เหมือนเช่นประเทศอื่น มีการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์ กันอย่างลึกซึ้ง( เช่น พื้นฐานทางชนชั้น ครอบครัว
เครือญาติ
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจฯลฯ) กับชนชั้นนายทุนใหญ่ นายธนาคาร
และเจ้าที่ดิน
สิ่งเหล่านี้ได้มีคำอธิบายอยู่ในลัทธิมาร์กซเบื้องต้นอยู่แล้ว อีกด้านหนึ่ง,ชนชั้นนายทุนและพรรคการเมืองตัวแทนของพวกเขาคือพรรค คริสเตียน
เดโมแครต
ได้ตระหนักในเรื่องนี้อย่างชัดแจ้งว่า “ข้อตกลง” นี้ไม่ใช่ปัญหารองที่มีแต่เพียงข้อปลีกย่อยหรือเป็นเรื่องเพ้อฝัน...หากแต่มันคือเนื้อแท้เลยทีเดียว
ซึ่งมีความชัดเจนขึ้นในอีกสามปีต่อมาสิ่งที่เกิดขึ้นคือหายนะของชนชั้นกรรมกรและประชาชนชาวชิลีทั้งมวล
กระนั้นก็ตาม, การตั้งรับบาลแนวร่วมได้เปิดทางไปสู่ขั้นตอนใหม่ในกระบวนการปฏิวัติชิลี เหมือนในเสปนปี 1936
นโยบายเบื้องต้นของรัฐบาลนั้นล้าหลังการเคลื่อนไหวของมวลชนมาก ดังที่ได้อธิบายไว้ในเอกสาร “วาระครบรอบ
45 ปีของพรรคสังคมนิยมชิลี”
ในช่วง18 เดือนแรกของรัฐบาล
การดำเนินมาตรการอย่างเร่งด่วนของประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนทำให้แบบแผนการปฏิรูปขององค์กรแนวร่วมสิ้นสุดลง
และมวลชนได้เรียกร้องให้ดำเนินการต่อไปอีกในภาค เศรษฐกิจ สุขอนามัย การศึกษา และที่อยู่อาศัย ด้วยวิธีเดียวกันนี้มวลชนได้เคลื่อนไหวผลักดันความปรารถนาของตนเพื่อให้มีการถ่ายโอนกิจการผูกขาดระดับใหญ่เช่นสิ่งทอและอุตสาห
กรรมป่าไม้ไปอยู่ในการจัดการของกรรมกร ฯลฯ
ความต้องการเหล่านี้รัฐบาลสามารถตอบสนองได้เป็นบางเรื่องเท่านั้น
ทำให้บรรยากาศของการประนีประนอมกับฝ่ายตรงกันข้ามนั้นมีอุปสรรค ซึ่งตัวแทนของผู้ที่นิยมลัทธิปฏิรูปซึ่งมีตำแหน่งอยู่ในองค์กรแนวร่วมต่างพากันโวยวายขึ้นด้วยความไม่พอใจ
และได้เข้ามาดำเนินงานแทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
จุดนี้เอง.....ที่กลุ่มนักปฏิรูปแต่ละรายเริ่มแสดงความง่อยเปลี้ยออกมาให้เห็นในบางเรื่องและทุกๆเรื่องที่มีการริเริ่มใหม่ๆซึ่งอาจจะต้องมีการระดมมวลชนมาสนับสนุน การปฏิวัติที่มีแนวโน้มสังคมนิยม หรือกำหนดตัวแทนของพวกเขาขึ้นมาเป็นเครื่องมือในชี้นำทางด้านเศรษฐกิจอย่างไร้ยางอายทำให้บทบาทขององค์กรสหภาพแรงงานแห่งชิลีสิ้นสุดลง ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความแตก
ต่างกันระหว่างเป้าประสงค์ของมวลชนและของรัฐบาล
การกดดันของมวลชน
ภายใต้การกดดันของมวลชน
รัฐบาลแนวร่วมประชาชนได้ก้าวไปไกลกว่าผู้นำหลายๆเท่าที่เคยเห็นมา
โครงการที่มีลักษณะกลไกและจอมปลอมของลัทธิสตาลิน, ความแตกต่างระหว่างภาระหน้าทีของประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนและภาระหน้าที่ของการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพได้ถูกทำลายลงโดยการเคลื่อนไหวของมวลชน รัฐบาลอาเยนเดได้ดำเนินมาตรการสำคัญคือการทำให้เป็นของรัฐซึ่งเป็นการกระหน่ำตีผลประโยชน์ของกลุ่มคณาธิปไตยอย่างหนักหน่วง
การทำให้เป็นของชิลีในรัฐบาลฟรายนั้นยังคงให้อุตสาหกรรมเหมืองทองแดงอยู่ในมือของบริษัทผูกขาดของสหรัฐอยู่ถึง
49 %
เช่นบริษัท อนาคอนดา
บ.เคนเนคอทท์ ทองแดง ฯลฯ
ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลฟรายยังจ่ายค่าชดเชยให้อีกเป็นจำนวนมหาศาล (ปี 1967
จ่ายให้บริษัท เคนเนคอทท์ ทองแดง และปี
1969 ให้แก่บ. เอล เทเนียนเต 80 ล้านดอลลาร์)
ประชาชนผู้ใช้แรงงานของชิลีต้องแบกรับภาระที่หนักหน่วงนี้ เดือน กรกฎาคมปี 1971 อาเยนเดได้อธิบายถึงทุนผูกขาดของ สหรัฐอเมริกาได้ลงทุน50 ถึง 80
ล้านดอลลาร์ในชิลีสามารถกอบโกยกำไรไปเป็นจำนวน 1,566
ล้านดอลลาร์
นั่นหมายถึงว่าบริษัทเหล่านั้นเป็นหนี้ชิลีประมาณ 642 ล้านดอลลาร์
การแปรรูปอุตสาหกรรมทองแดงให้เป็นของรัฐในเดือนกรกฎาคม
1971 นั้นเป็นการก้าวไปข้างหน้าที่มีความสำคัญ เหมืองถ่านหิน เหมืองแร่เหล็ก และไนเตรท อุตสาหกรรมสิ่งทอ บริษัท ITT, INASA
และอุตสาหกรรมอื่นๆได้ถูกแปรเปลี่ยนไปโดยให้เป็นสมบัติของสาธารณะ
การปฏิรูปสังคมอย่างต่อเนื่องเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนผู้ใช้แรงงานได้รับการสนับสนุนรัฐบาลจากประชาชนเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าทึ่ง เช่นการแจกนมฟรีแก่เด็กนักเรียน การคงค่าเช่าและราคาสินค้า,การเพิ่มค่าจ้างและสวัสดิการฯลฯ
ลำดับต่อมา
มาตรการเหล่านี้ได้ให้แรงกระตุ้นอย่างใหญ่หลวงต่อการเคลื่อนไหวของมวลชน ในระยะยาวความไม่รู้เรื่องการเมืองและ
ปัจจัยของความเฉยเมยในสังคม,สามารถเห็นได้จากการดำเนิน
งานของตัวแทนของรัฐบาล ผลก็คือการเติบใหญ่ของกระบวนการเปลี่ยนแปลงขึ้นทั้งในเมืองและชนบท
ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลฟรายที่จะทำให้การปฏิรูปเกษตรกรรม
บรรลุผลเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งของชัยชนะในการเลือกตั้งของ อาเยนเด ก่อนวันลงคะแนนสถานการณ์ในชนบทได้เปลี่ยน แปลงไปเนื่องมาจากคำกล่าวของ
จ๊าค ชองโชล อดีตรัฐมนตรีเกษตรของรัฐบาลอาเยนเดที่ว่า. “ ความไม่พอใจกำลังสูงขึ้น”. .
ผู้เขียนคนเดียวนี้กันยังอธิบายว่า
การเริ่มต้นปฏิรูปเกษตรกรรมที่วางไว้นั้นอยู่ภายใต้กระแสกดดันที่หนักหน่วงในชนบท
ทิศทางแรกที่รัฐบาลแนวร่วมควรรีบจัดการได้แก่นโยบายด้านเกษตรกรรม
ด้วยการเร่งรัดกระบวนการเวนคืนที่ดินก่อนที่จะพบกับการกดดันจากชาวนา หลังจากนั้น,คิดไปในด้านที่เป็นประโยชน์คือ รัฐบาลใหม่คือรัฐบาลของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน,
ที่ความต้องการของพวกเขาคือการเข้าถึงที่ดินทำกินให้เร็วที่สุด('Chile America,' No 25/26/27, p
27-28)
อีกด้านหนึ่ง
บรรดาเจ้าที่ดินใหญ่
ได้เริ่มรณณรงค์อย่างเป็นระบบด้วยการก่อกวนในท้องถิ่นชนบท
ทิ้งที่ดินให้รกร้างว่างเปล่าและรื้อทิ้งอุปกรณ์ เครื่องมือ ในฟาร์ม
หลายคนพร้อมที่จะให้เงินทองเพื่อติดอาวุธให้แก่กลุ่มปีกขวาจัดที่มีทัศนะต่อต้านการปฏิรูปเกษตรกรรม พาโบล เกิบเบิล เจ้าที่ดินใหญ่ในจังหวัด คาอูติน
ได้แถลงต่อสาธารณะถึงผลจากการที่รัฐบาลได้กระทำการใดๆที่พยายามเวนคืนที่ดินของเขาจะได้รับการตอบโต้ด้วยปืนกล
จากรายงานอย่างเป็นทางการของตำรวจว่า “ มีชายฉกรรจ์มากกว่า 2000
คนได้รับการฝึกอาวุธเพื่อเป็นหน่วยจู่โจมระบบคมนาคม
เพื่อขัดขวางการขนส่งแก๊สที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า และ ตัดน้ำประปา
การทำเช่นนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่คนเป็นจำนวนมาก”
('Militant' 1/10/71)
ตั้งแต่แรกแล้วที่ชนชั้นปกครองชิลีได้เตรียมการทำรัฐประหาร ในหัวข้อเดียวกัน หนังสือ
มิลิแท้นท์ได้รายงานว่า “ในระหว่างที่ อาเยนเด
ได้จบปฐกถาของเขาถึงความรับผิดชอบ และ
ความมีระเบียบวินัยของมวลชน
ชัยชนะของอัลเลนทำให้เกิดอาการขวัญเสียและกลัวการเคลื่อนไหวของมวลชนมากยิ่งขึ้น
บรรดาเจ้าที่ดินและนายทุนมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่า
ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะโค่นล้มอาเยนเดลงไปในทันทีทันใด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรอคอยต่อไปแต่ทว่าเป็นการตระเตรียมการอย่างระมัด ระวัง ค่อยๆสะสมอาวุธ,
สมคบกันวางแผนอย่างลับๆในบรรดากลุ่มนายทหารระดับสูง มันคืออันตรายที่แท้จริง('Militant'
1/10/71)
การขัดขวางของพวกอำมาตย์
มีเพียงหนทางเดียวที่จะขจัดความเป็นปฏิปักษ์ให้จบลงไปได้
ด้วยตอบโต้และทำการแยกสลายการต่อต้านของเจ้าที่ดินใหญ่คือการติดอาวุธให้แก่ชาวนา โดยจัดตั้งคณะกรรมการที่มีบทบาทในการถือครองที่ดินขึ้นจากการสนับสนุนของรัฐบาล เมื่อ(นายทุนและเจ้าที่ดิน)
ต้องเผชิญหน้ากับการพลังการเคลื่อนไหวของมวลชนที่ติดอาวุธ เจ้าที่ดินและสมุนอันธพาลที่ติดอาวุธของมันจึงถูกพิชิตลงอย่างง่ายดายโดยมีการสูญเสียน้อยที่สุด
ในความเป็นจริง..เรื่องนี้เป็นเพียงการปกป้องชัยชนะของมวลชนภายใต้การนำอย่างถูกต้องขององค์กรแนวร่วม
แต่ฝ่ายนำในองค์กรได้ขาดความมั่นใจต่อการริเริ่มที่ปฏิวัติของมวลชนและหวาดกลัวไปว่าจะกระตุ้นแนวคิดที่ปฏิกิริยาให้คุขึ้นมาอีก
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงคัดค้านอย่างหนักต่อความพยายามใดๆของชาวนาจนในการเข้ายึดครองที่ดิน
”อย่างผิดกฎหมาย”
กระทั่งส่งหน่วยกำลังอาสาสาธารณะเข้าขับไล่ชาวนาผู้กระทำสิ่งเหล่านั้น
ทุกวันนี้..ผู้นำองค์กรแนวร่วมบางคนยังคงคิดว่าการกระทำของพวกเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และยังยืนยันอย่างหนักแน่นว่ากลุ่มซ้ายจัดเป็นผู้จัดการการเคลื่อนไหวในครั้งนั้น ทำให้ชาวนา
“ ก้าวไกลเกินไปแล้ว ”
ที่ไม่เพียงแต่ยึดครองที่ดินของเจ้าที่ดินใหญ่เท่านั้น หากแต่ยังยึดที่ดินของ “ชาวนากลาง” อีก ด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในการเคลื่อนไหวปฏิวัติทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผู้ที่ถูกกดขี่และชั้นชนที่ล้าหลังในสังคมเข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก...มักจะมีแนวโน้มของการ
“ก้าวล้ำหน้า”
ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้จำกัดให้อยู่แต่เพียงในขอบเขต และเป็นความจริงที่ว่าจะมีพวกซ้ายจัดกลุ่มเล็กๆ
อาจฉวยโอกาสเคลื่อนไหวแบบเป็นไปเองของชาวนาเพื่อเพิ่มอิทธิพลให้แก่พวกเขา
แต่ความรับผิดชอบทั้งหมดในกรณีเช่นนี้ย่อมเป็นของฝ่ายนำในองค์กรแนวร่วม แรกสุดก็คือพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคสังคมนิยม
หนทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงความผิดพลาดและ
”สิ่งที่ล้นเกิน” เพื่อลดระดับความรุนแรงและการนองเลือดให้เกิดน้อยที่สุด
และเพื่อเป็นหลักประกันความสงบต่อการเปลี่ยนผ่านในเรื่องการถือครองที่ดินของบรรดาเจ้าที่ดินใหญ่ไปสู่แก่ชาวนาจนเท่าที่จะเป็นไปได้ ภายใต้การจัดการของชนชั้นกรรมกร แทนที่จะใช้การปรักปรำกล่าวโทษต่อการกระทำที่
“ผิดกฎหมาย” เหล่านี้ ด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไป
ควรจะให้ผู้นำในมวลชนในหมู่บ้านนั้นๆเป็นผู้จัดการแทน อย่างที่ จ๊าค ชองโชลได้กล่าวไว้
ว่า.......พยายามลดบทบารทและความสำคัญของคณะกรรมการชาวนา ไม่เพียงเท่านั้น
ตัวเขาเองยังได้อธิบายถึงเหตุผลซึ่งขัดขวางพัฒนาการขององค์กรเหล่านี้....ซึ่งเป็นพลังที่ยอมรับกันทั่วไปในเขตชนบท
เป็นที่ประจักษ์ว่า
การขยายตัวขององค์กรคณะกรรมการชาวนาเหล่านี้
มีความเป็นกลุ่มก้อนและเป็นการริเริ่ม
ยิ่งไปกว่านั้นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างพรรคแนวร่วมสามัคคีและพรรคคริสเตียน
เดโมแครตและระหว่างพรรคที่เป็นแนวร่วมด้วยกันเองต่างก็พยายามช่วงชิงคณะกรรมการเหล่านี้ สถาน
การณ์ภายหลังจากนั้น
ทำให้บางพรรคของกลุ่มแนวร่วมไม่ให้การสนับสนุนแก่คณะกรรมการชาวนา(Chile-America, p.32)
ที่เหลือเชื่อก็คือ ความคิดเห็นของกลุ่มผู้นำแนวร่วมสามัคคีบางส่วน
ที่คัดค้านการยกระดับองค์กรจัดตั้งของคณะกรรมการชาวนา
อันเนื่องมาจากความพยายามของพรรคต่างๆที่ยังทำการต่อสู้ช่วงชิงกันยังดำเนินต่อไปเพื่อเข้าควบคุมองค์กรเหล่านี้ แต่การต่อสู้เช่นนี้กลับไม่ได้เกิดขึ้นในบรรดาโรงงานต่างๆที่อยู่ในแถบที่มวลชนกรรมกรอาศัยอยู่เลย, ไม่ว่าในการเลือกตั้งทุกๆระดับทั่วประเทศ
,และในบรรดาสหภาพแรงงานทั้งหลาย
บรรดาผู้นำแนวร่วมสามัคคีเหล่านี้ไม่ได้ให้การสนับสนุน
สหภาพแรงงานและรัฐสภาทั้งยังไม่ได้ให้ความสนใจอีกด้วย เหตุผลที่แท้จริงของ”กลุ่มผู้นำ” เหล่านี้ขององค์กรแนวร่วมฯ คือไม่มีความเชื่อมั่นต่อการเคลื่อนไหวของมวลชนชาวนาและเกรงว่าพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมได้
เบื้องแรกสุด..หน้าที่ของผู้นำแรงงานก็คือให้การสนับสนุนต่อการริเริ่มปฏิวัติในบางเรื่องและทุกๆเรื่องของมวลชนชาวนาจน
กระตือรือร้นที่จะผลักดันการก่อตั้งสภาชาวนาแม้ ว่าจะมีอุปสรรคที่ยากลำบาก, และให้ความสำคัญในการเคลื่อนไหวต่อสู้ของสภาชาวนาเพื่อนำไปสู่นโยบายการปฏิวัติสังคมนิยม,คัดค้านอิทธิพลที่เป็นพิษภัยของพรรคคริสเตียน เดโมแครต
ตั้งแต่แรก ที่บรรดาผู้นำแนวร่วมให้ความเชื่อมั่นในเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายของชนชั้นนายทุนว่ามีความเป็นไปได้ที่จะดำ
เนินการเปลี่ยนแปลงสังคม โดยไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเครื่องมือแบบเดิมๆทั้งหมดของรัฐ ความจริงเช่นนี้ทำให้เกิดหายนะภัยติดตามมาในด้านการปฏิรูปเกษตรกรรม ดังที่ จ๊าคส์ โชนชอล ได้ยอมรับด้วยตนเองว่า “นอกเหนือไปจากนี้ อำนาจของรัฐบาลในการควบ คุม มีขอบเขตจำกัด ในการจัดตั้งคณะกรรมการชาวนาให้มีสถานะที่ถูกกฎหมายของกลุ่มผู้นำและให้การเงินสนับสนุนในการ
ดำเนินการของพวกเขา เว้นแต่จะเป็นการออกกฎหมาย ...ซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่จะผ่านไปได้สำหรับ
ความคิดที่มีลักษณะเพ้อฝันในการใช้เครื่องมือเก่าของระบอบขุนนางของชนชั้นนายทุนสำหรับการปฏิรูปเกษตรกรรมนั้นแสดงนัย
บางอย่าง...ในการยอมรับ”คณะกรรมการชาวนา” แม้ว่าจะไม่สู้จะเต็มใจนัก
บ่อยครั้งที่มีการประทะกันในการต่อต้านเครื่องมือของระบอบระบบการบริหารงานแบบเก่า
“ในทำนองเดียวกัน ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นรัฐบาลแนวร่วมพิสูจน์ได้ว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้แม้ว่าจะมีความพยายามกระทำ ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาศัยเครื่องมือแบบเก่าของระบบราชการ“สำหรับการเปลี่ยนกระ บวนการทั้งหมดในด้านเกษตรกรรม ซึ่งรวมไปถึงปัญหาที่หลากหลายเช่นการเวนคืนที่ดิน การช่วยเหลือทางด้านเทคนิค การให้สินเชื่อแก่เกษตรกร
การปฏิรูประบบเศรษฐกิจระหว่าการเกษตรกรรมและส่วนที่เหลือในสังคม ฯลฯ เราต้องการที่จะให้อุปกรณ์ของระบบราชการเดิม ซึ่งรับผิดชอบกระบวนการต่างๆในการเปลี่ยนแปลง ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีพลัง
มีความคล่องตัวและเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพกับพฤติกรรมและความเคยชินแบบเก่า
ได้มีความพยายามหลายชนิดในระหว่างที่
รัฐบาลแนวร่วม เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมาย
แต่ในที่สุดก็ติดขัดที่กฎหมาย
...การต่อต้านของพวกข้ารัฐการในการดัดแปลงนิสัยการทำงาน...ความแตกต่างทางชนชั้นระหว่าข้ารัฐการและชาวนา สถานการณ์ในเมืองเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ การเปลี่ยน แปลงองค์ประกอบของระบบงานแบบเก่าที่พรรคจะต้องตระเตรียมต่อสู้
ให้มีลักษณะก้าวหน้าเพื่อรับใช้การเปลี่ยนแปลงทางด้านเกษตรกรรม
ข้อสรุปทั้งหมดของ
จ๊าคส์ โชนชอล นั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมในชนบทของชิลี นอกเสียจากว่าจะลงเอยด้วยการปฏิวัติของชาวนาโดยการติดอาวุธต่อต้านพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ
โดยการจัด ตั้งคณะกรรมการชาวนาขึ้น และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสหภาพของ
เกษตรกรและองค์กรจัดตั้งของชนชั้นกรรมกรในเมือง
แต่ทั้งๆที่ทุกอย่างเป็นผลมาจากแรงกดดันจากมวลชน
(ซึ่งก่อน 1 มกราคม 1971 มีการเข้ายึดครองที่ดินอย่างผิดกฎหมายประมาณ 250 – 300
คน)
รัฐบาลแนวร่วมสามัคคีได้ดำเนินงานโดยผ่านการปฏิรูปมากที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชิลี จากคำพูดของ
จาคส์ โชนชอล ที่กล่าวว่า : ภายใต้สภาพ แวดล้อมเช่นนี้ รัฐบาลแนวร่วมสามัคคีได้กำหนดเป้าหมายไว้สำหรับปี
1971 ว่าจะเวนคืนฟาร์มเป็นจำนวนพันขึ้นไป
ซึ่งเป็นจำนวนเกือบจะเท่าๆกับที่รัฐบาลพรรคคริสเตียน
เดโมแครท ได้ทำมาตลอดระยะเวลา 6 ปี
ที่ครองอำนาจ ( จำนวน 1139 ฟาร์ม ) และเกือบจะสี่เท่าที่ได้เวนคืนในปี 1970 (รัฐบาลประธานาธิบดี
ฟราย ได้ทำการเวนคืนที่ดินในปี 1970 จำนวน 273 แห่ง เป็นเนื้อที่ 6,340,000 เฮกตาร์)
"เรื่องนี้ส่อให้เห็นถึงความพยายามอย่างมากของระบบของรัฐการ
ในการสร้างความยุ่งเหยิงซับซ้อนรับและข้อจำกัดของกระบวนการเวนคืนในการตีความกฎหมายข้อที่
16.640 ทั้งๆที่ถูกกดดันจากชาวนาให้เร่งรัดกระบวนการให้เร็วขึ้น
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าจำต้องหยุดชงักลงในปลายปี1971 ฟาร์ม 1378 แห่งถูกเวนคืนรวมพื้นที่ 2,600,000 เฮกตาร์ รวมไปถึงคฤหาสน์ขนาดมหึมาในชิลีก็ได้สิ้นสุดลงในทางปฏิบัติ ในปี 1973 จนถึงการรัฐประหาร มากกว่า 1,050 ถูกเวนคืน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟาร์มขนาดกลางที่ผลผลิตต่ำ
แต่ยังคงมีคฤหาสน์หลงเหลืออยู่ที่ถือครองที่ดินไว้ถึง 200,000 เฮกตาร์”
มาตรการที่รัฐบาล
อาเยนเด ยึดถือ ก็คือการให้ความใส่ใจต่อมวลชนกรรมกรและชาวนาเป็นพิเศษ ทำให้เกิดกระแสความพึงพอใจขึ้นทั่วไปเป็นกระแสที่ใหญ่โตมาก
ผลพวงที่ชัดเจนได้สะท้อนออกในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ของวันที่ 4 เมษายน
1971
ผลการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น
เดือนเมษายน 1971
พรรค คะแนน
% 1971 % 1967
สังคมนิยม 631,939 22.4 13.9
คอมมิวนิสต์ 479,206 17.0 14.8
ราดิคัล 225,851 8.0 16.1
PSD 38.067 - 1.4
USOPO 29,132 - 1.0 -
คริสเตียน เดโมแครท 723,623 25.6 35.6
ชาตินิยม 511,669 18.2 14.3
ราดิคัล-ประชาธิปไตย . 108,192 - 3.8
ชาติ-ประชาธิปไตย 13,435
0.4 2.4
อิสระ 23,907 0.8 0.7
บัตรเสีย 38,772
1.4 2.2
รวม 2,823,784 100% 100%
ในขณะเลือกตั้งประธานาธิบดี อาเยนเด
ได้รับคะแนนเพียง 36.3% แต่พรรค ประชาสามัคคี ได้คะแนนเสียง 49.7%..เมื่อเทียบกับคะแนนรวมของฝ่ายค้านทั้งหมดที่ได้ 48.05% เมื่อรวมกับคะแนนของ ราอูล
อัมเปอร์โร แห่งพรรค ป๊อปปูลาร์
โซเวียลิสต์ ยูเนียน
ฝ่ายซ้ายก็จะครองเสียงข้างมาก
กระแสการเปลี่ยนแปลงในประเทศได้แสดงออกโดยการถือกำเนิดขึ้นของพลังกรรมกรในโรงงานอุตสาหกรรมและในถิ่นที่อาศัยของกรรมกร ในชนบทบรรดาชาวนาจนพยายามเข้ายึดที่ดิน ปัญ หาของมวลชนที่หมักหมมนี้ใด้สั่นสะเทือนพรรคจารีตนิยมของชนชั้นกลาง
กระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างแรงและก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นในกระบวนแถว สมาชิรัฐสภา 7 คน
ได้แยกออกมาจากพรรคคริสเตียน เดโมแครท
และตั้งพรรคใหม่ ได้แก่พรรค MIC หรือขบวนการคริสเตียนฝ่ายซ้าย(Movement
of the Christian Left)
โดยมีปีกของเยาวชนของพรรคเดิมเข้าร่วมด้วยถึง 20% และได้ประกาศตนในนาม ”กลุ่มสร้างสรรค์ลัทธิสัง
คมนิยมและได้เข้าร่วมกับพรรครัฐบาลพรรค UP”
พรรคราดิคาลได้ประสบกับความเจ็บปวดในการที่กลุ่มปีกขวาได้แยกตัวออกไปหลังหารประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่
25 เนื่องจากพรรคได้ประกาศนโยบายสนับสนุน
“การต่อสู้ทางชนชั้น และมีความจำเป็นที่จะต้องขจัดการกดขี่ที่มนุษย์พึงกระทำต่อมนุษย์
”
อัลแบร์โต บัลทรา
ผู้นำในการตั้งพรรคเป็นโดยให้ชื่อที่ผิดเพี้ยนไปจากแนวทาง(ขวา)ของตนว่า
พรรคราดิคัลซ้าย(PIR)
“เพื่อเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชนชั้นกลาง
.ในแนวทางที่.ไม่บังอาจแม้แต่จะต่อต้านพรรครัฐบาลอย่างนอกหน้า
กระแสหลักในการสนับสนุนรัฐบาลจะอยู่ในหมู่ชนชั้นกลางนายทุนน้อย
ในความเป็นจริงแล้ว..ความสัมพันธ์พื้นฐานของแนวทางรัฐสภานั้น
ไม่ได้ดีไปกว่าเงาที่ซีดสลัว
การสะท้อนออกถึงความใหญ่โตเข้มแข็งก็คือการเคลื่อนไหวของกรรกรและชาวนาในเวลานั้น
เงื่อนไขทางภววิสัยหลายอย่างได้ส่งผลให้การเปลี่ยนผ่านทางสังคมของชิลีเป็นไปอย่างสันติ
ชนชั้นปกครองตกอยู่ในความปั่น
ป่วนและแกว่งไปมา
การเคลื่อนไหวของมวลชนขึ้นสู่กระแสสูง
และในสภาพเป็นจริงได้ก้าวล้ำหน้าพวกผู้นำแรงงานหัวปฏิรูปไปไกลโขแล้ว ชนชั้นกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาชาวนาต่างมองรัฐบาลด้วยสายตาแห่งความหวัง ฝ่ายนำของชาวสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ได้ตำแหน่งสำคัญๆในรัฐบาลและการบริหารรัฐกิจ ในสายตาของมวลชนที่ล้าหลังและชนชั้นกลาง การเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศทำให้พวกเขามีเปรียบและเป็นการเอื้ออำนวยต่อภา-
ระหน้าที่ของการปฏิวัติสังคมนิยม แม้กระทั่งในกองกำลังแห่งชาติ ซึ่งพรรคประชาชนสามัคคีได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่ทหารบกและทหารเรือเท่านั้นยังรวมไปถึงบรรดานายทหาร
ชั้นประทวนและนายทหารสัญญาบัตรระดับล่าง ที่สนับสนุนพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วย ประธานาธิบดีแห่งสาธารณ รัฐมีสิทธิ์ที่ระงับการทำประชามติ เป็นไปไม่ได้ที่จะจินตนาการสภาพภววิสัยเกินเลยไปกว่านี้ กระนั้นการนำของพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ต้องประสบกับความล้มเหลวในการใช้ประโยชน์ในช่วงที่มีการนัดหยุดงานเป็นตัวตัดสินขี้ขาดในการขจัดอำนาจของบรรดาอภิสิทธิ์ชนลงไป
ในสถานการณ์เช่นนี้เงื่อนไขของอำนาจคู่ขนานได้ปรากฏให้เห็นในสังคมของชิลี ในหนังสือครบรอบ 45
ปีของพรรคสังคมนิยมชิลีหน้า 17 ได้เขียนไว้ว่า
“ บนจุดนี้มีความสำคัญมากที่เน้นให้เห็นถึงความขัดแย้งพื้นฐานที่เกิดจากแรงบันดาลใจของมวลชนที่มีต่ออำนาจนิยม
ที่ได้แสดงออกถึงสิ่งที่เรียกว่าหน่วยคอมมานโดของประชาชน
ที่เกิดขึ้นทั่วไปในรูปแบบของการควบคุมด้านอาหาร คณะกรรม การบริหารงาน ฯลฯ”
แม้ว่าบรรดาผู้นำการเคลื่อนไหวในด้านแรงงานได้
ปล่อยให้อำนาจในการคัดค้านตกอยู่ในมือของชนชั้นปกครอง
พวกเขาไม่บังอาจที่จะแตะต้องกองทัพและตำรวจ เซพูลเวดากล่าวว่า “พรรคประชาชนสามัคคีมีอำนาจบริหาร แต่ศัตรูกลับควบคุมสถาบันต่างๆของชนชั้นนายทุนไว้ทั้งหมด
และปกป้องตนเองอยู่เบื้องหลังสถาบันดังกล่าว เพื่อเตรียมการต่อต้านการปฏิวัติ” รัฐบาลมีอำนาจตามกฎหมายที่ประกาศให้ประชาชนลงประชามติเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ ซึ่งแทบจะไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าชัยชนะจะต้องตกเป็นของพรรคกรรมกรทั้งมวล แต่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันนี้บรรดาผู้นำของพรรคประชาชนสามัคคีได้สูญเสียโอกาสที่ดีนี้ไป
เนื่องเพราะไว้วางใจใน”ความปรารถนาดี” ของศัตรูทางชนชั้นด้วยความมืดบอด
No comments:
Post a Comment