Saturday, January 7, 2017

พัฒนาการของทุนในยุโรป 4

ตอนที่  4 การปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษในศตวรรษที่ 17

1 สภาพทางเศรษฐกิจและการต่อสู้ทางชนชั้นในสังคมก่อนการปฏิวัติ
การพัฒนาของเศรษฐกิจทุนนิยม

ราชอาณาจักรอังกฤษในศตวรรษที่ 16-17   เป็นรัฐศักดินาที่ค่อนข้างเล็ก ดินแดนของราชอาณาจักรมีอังกฤษ  เวลส์และเกาะที่อยู่รอบๆเท่านั้น  เนื่องจากการลุกขึ้นสู้ของชาวนาและการแทรกซึมของปัจจัยทุนนิยม    ระบอบทาสกสิกรของอังกฤษในทางเป็นจริงได้สลายตัวไปตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 14 แล้ว   ถึงศตวรรษที่ 15   ชาวชนบทส่วนใหญ่ที่สุดเป็นชาวนาที่มีนาทำเอง   ต้นศตวรรษที่ 17   ในจำนวนพลเมือง 4-5 ล้านคน   มีเพียง 1 ใน 5 เท่านั้นที่อาศัยอยู่ในเมือง   แต่ว่าก่อนปฏิวัติ   ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบศักดินาในชนบทของอังกฤษได้ถูกทำลายลงบ้างแล้ว  เศรษฐกิจสินค้าของทุนนิยมได้ซึมลึกสู่ชนบท   ชนบทกำลังผ่านกระบวนการสะสมทุนปฐมกาล 

เริ่มแต่ศตวรรษที่ 16  สถานประกอบการหัตถกรรมในอังกฤษ  ได้พัฒนาขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว  อุตสาหกรรมทอขนสัตว์อันเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิมมีฐานะที่สำคัญในภาคอุตสาหกรรม   กลางศตวรรษที่ 16 ในชนบทอันกว้างใหญ่ก็เริ่มมีการสร้างสถานประกอบการหัตถกรรมทอผ้าสักหลาดและผ้ากำมะหยี่ซึ่งส่วนใหญ่กระจัดกระจาย    แต่ขณะเดียวกันก็ได้มีสถานประกอบการขนาดใหญ่และรวมศูนย์ปรากฏขึ้นแล้ว   ต้นศตวรรษที่ 17 กิจการทอผ้าสักหลาดและผ้ากำมะหยี่รุ่งเรืองเป็นพิเศษในอังกฤษ    มีปริมาณการส่งออกถึงร้อยละ 90

กลางศตวรรษที่ 16  อังกฤษได้มีแขนงงานอุตสาหกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นแล้ว  อย่างเช่นอุตสาหกรรมทำกระดาษ  ดินปืน   กระจก  น้ำตาล  อุตสาหกรรมทางทหาร    การต่อเรือและอุตสาหกรรมทอผ้าฝ้ายเป็นต้น  เนื่องจากได้ใช้เทคนิคและวิทยาการจากต่างประเทศ   อุตสาหกรรมเหมืองแร่   ถลุงโลหะก็ได้รับการพัฒนาไป  ระหว่างปี 1540-1640 ปริมาณการผลิตถ่านหินเพิ่มขึ้น 7.5 เท่า  เหล็กเพิ่มขึ้น 5 เท่า   โดยทั่วไปแล้วสถานประกอบการแต่ละแห่งจะมีคนทำงานหลายสิบคนถึงหลายร้อยคน   บางรายมีคนงานรับจ้างถึงหลายพันคน   ดูจากด้านต่างๆ เช่นขนาด อุปกรณ์ เทคนิคและรูปการจัดตั้งแรงงานของแขนงอุตสาหกรรมเหล่านี้แล้ว   เห็นได้ว่า  อุตสาหกรรมของอังกฤษได้ค่อยๆก้าวสู่วิถีทางของทุนนิยมแล้ว

การพัฒนาขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมของอังกฤษนั้น  เชื่อมโยงอยู่กับการขยายตลาด  โดยเฉพาะคือการขยายการค้ากับต่างประเทศ   ปลายศตวรรษที่ 15  หลังจากบุกเบิกเส้นทางเดินเรือใหม่ของโลกแล้ว   ศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศก็ค่อยๆย้ายจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก   ประเทศอังกฤษเป็นหน้าด่านสำคัญบนเส้นทางเดินเรือการค้าขายของโลก   ทำให้ขอบเขตการค้ากับโพ้นทะเลขยายกว้างอย่างไม่ขาดสาย  ศตวรรษที่ 16 ถึงต้นศตวรรษที่ 17  โดยการอนุญาตพิเศษ   อังกฤษได้ก่อตั้งบริษัทผูกขาดการค้าที่ใหญ่โตจำนวนมาก  เช่นบริษัทอีสต์ ประกอบกิจการค้าแถบชายฝั่งทะเลบอลติก    บริษัทอาแสะริกันประกอบกิจการค้าทาส   และที่สำคัญที่สุดคือบริษัทอีสต์อินเดียที่ก่อตั้งในปี 1600  ได้ผูกขาดการค้ากับประเทศต่างๆทางตะวันออก   การขยายตัวอย่างรวดเร็วในด้านการค้ากับต่างประเทศได้เร่งความเร็วให้กับกระบวนการสะสมทุนปฐมกาล และกระบวนการแปรเกษตรกรรมเป็นแบบทุนนิยม   ภายในประเทศ  สถานประกอบการหัตถกรรมแบบทุนนิยมได้เข้าแทนที่หัตถกรรมในครัวเรือนแบบศักดินาอย่างรวดเร็ว

ขบวนการกว้านซื้อที่ดินและการต่อสู้ของชาวนาที่คัดค้านการกว้านที่ดิน
เพื่อพัฒนาทุนนิยม   ชนชั้นนายทุนและขุนนางที่ดำเนินกิจการแบบทุนนิยม   ได้ดำเนินการกว้านที่ดินติดต่อกันเป็นเวลากว่า 300 ปี    โดยเริ่มตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 15  ขบวนการกว้านที่ดิน โดยเนื้อแท้แล้วก็คือกระบวนการสะสมทุนปฐมกาลที่ดำเนินอยู่ในชนบทนั่นเอง     มันใช้ความรุนแรงที่โหดเหี้ยมอำมหิตไปทำให้ผู้ผลิตแยกตัวออกจากปัจจัยการผลิต   ชาวนาจำนวนมากถูกขับไล่ออกจากเรือกสวนไร่นาของตนเอง  จากนี้ก็ได้สนองแรงงานทาสรับจ้างให้กับชนชั้นนายทุน   ขณะเดียวกัน  ขบวนการกว้านที่ดินยังเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินของชนบทครั้งหนึ่ง   แปรกรรมสิทธิ์ในที่ดินแบบศักดินาและที่ดินสาธารณะของนิคม  เป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินผืนใหญ่ของชนชั้นนายทุน   เพื่อให้สอด คล้องกับการพัฒนาของทุนนิยม    โดยใช้รูปแบบและวิธีการที่โหดเหี้ยมอำมหิตไปแย่งยึดที่ดินของชาวนา    ดังนั้นจึงได้รับการต่อต้านอย่างสุดฤทธิ์จากชาวนา

ในระหว่างศตวรรษที่ 15-16   เนื่องจากอุตสาหกรรมขนสัตว์ได้พัฒนาขยายตัวอย่างรวดเร็ว   ปริมาณความต้องการขนแกะเพิ่มทวีสูงขึ้นอย่างมาก   ทำให้ราคาถีบตัวสูงขึ้น   จึงเป็นแรงกระตุ้นให้ขุนนางส่วนหนึ่งโดยเฉพาะขุนนางขนาดกลางและขนาดเล็กของอังกฤษหันมาดำเนินกิจการแบบทุนนิยม   พวกเขาพากันไปกว้านที่ดินที่ภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศ   ทำการแย่งยึดที่ดินของชาวนา  ครอบครองที่ดินสาธารณะของนิคม   เชื่อมที่ดินที่กระจัดกระจายเข้าเป็นที่ดินผืนใหญ่ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อถึงกันแล้วจัดการล้อมด้วยรั้วไม่ไผ่   ขุดคูโดยรอบเพื่อปล่อยฝูงแกะ     ถึงปลายศตวรรษที่ 16  ต้นศตวรรษที่ 17  เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรภาคอุตสาหกรรม   ทำให้ความต้องการในธัญญาหารและผลิตผลทางเกษตรอื่นๆเพิ่มสูงขึ้นด้วย   เป็นการเพิ่มแรงจูงใจใหม่ให้กับขบวนการกว้านที่ดิน   พวกกว้านที่ดินไม่เพียงแต่แย่งยึดที่ดินสาธารณะของนิคมและที่ดินทำกินของชาวนาเท่านั้น   ยังดำเนินงานระบายน้ำ  ปรับปรุงเนื้อดินในพื้นที่ซึ่งเป็นที่ลุ่มภาคตะวันออก   สร้างฟาร์มเกษตรแบบทุนนิยมอีกด้วย

ขบวนการกว้านที่ดิน   ทำชนบททั้งชนบทถูกทำลายลงอย่างราบคาบ  ชาวนาบ้านแตกสาแหรกขาด  พลัดที่นาคาที่อยู่   ซัดเซพเนจร   สุดที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้    กลายเป็น “พวกจรจัด” ไปในที่สุด    เพื่อเสือกไสให้ชาวนาเหล่านี้ยอมรับการขูดรีดอย่างทารุณจากแรงงานรับจ้าง    พวกชนชั้นปกครองอังกฤษได้ตรากฏหมายที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดออกมาจำนวนมาก    ใช้วิธีการลงอาญาสถานหนักไปจัดการกับ “พวกจรจัด”   เพื่อต่อต้านขบวนการกว้านที่ดินและการข่มขี่ทางการเมืองของชนชั้นนายทุน  ชาวนา ได้ก่อการลุกขึ้นสู้ไม่ขาดสาย   การลุกขึ้นสู้ครั้งใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันออกซึ่งขบวนการกว้านที่ดินดำเนินไปอย่างดุเดือดที่สุด    ชาวนาที่ลุกขึ้นสู้มีจำนวนถึง 20,000 คน    พวกเขายึดได้เมืองนอริซและประสานตนเองเข้ากับประชาชนที่ยากจนในเมือง     ทำการโจมตีต่อผู้กว้านที่ดินอย่างหนักหน่วง

การแยกตัวทางชนชั้นและการแปรเปลี่ยนของกำลังทางชนชั้น

คู่ขนานไปกับการขยายตัวไม่ขาดสายของขบวนการกว้านที่ดิน    ปัจจัยทุนนิยมได้แทรกซึมสู่ด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง   ความสัมพันธ์ทางชนชั้นและสัดส่วนทางชนชั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป     ก่อนการ
ปฏิวัติ   ชนชั้นปกครองของสังคมศักดินาซึ่งก็คือชนชั้นขุนนางก็เริ่มมีการแยกตัว   พวกขุนนางศักดินาหรือขุนนางเก่า  ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเก็บค่าเช่าที่ดินศักดินาแต่ดั้งเดิม  ซึ่งก็คือค่าเช่าที่ดินที่กำหนดแน่นอนตามธรรมเนียมปฏิบัติศักดินา   เนื่องจากรายรับไม่พอกับรายจ่าย  หนี้สินพอกพูนขึ้นทุกวัน   ฉะนั้นจึงต้องตัดที่ดินแบ่งขายมิได้ขาด  ทำให้อาณาเขตของตนนับวันหดเล็กลง   พวกเขาควบคุมกลไลอำนาจรัฐ   เมื่อยิ่งตกต่ำการรีดนาทาเร้นต่อประชาชนก็ยิ่งโหดเหี้ยม   ยิ่งจะเสริมอำนาจเผด็จการกษัตริย์เพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของตน    เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมอย่างหนัก พวกนี้มีจำนวนคนไม่มาก   เป็นเป้าหมายของการปฏิวัติ

ชนชั้นใหม่ที่แยกตัวออกจากชนชั้นขุนนางเรียกว่า “ขุนนางใหม่”   ประกอบด้วยอัศวินและคหบดีในชน บทเป็นสำคัญ    ตามธรรมเนียมปฏิบัติของศักดินาอังกฤษ        ไม่ได้ห้ามขุนนางดำเนินอุตสากรรมและพาณิชยกรรม   ดังนั้นพวกเขาจึงดำเนินกิจการแบบทุนนิยม   ค้าขายขนแกะ  ธัญพืช และผลิตผลทางเกษตรอื่นๆ  ประกอบกิจการถลุงโลหะ   ทำเหมืองแร่และปล้นชิงอาณานิคม   ที่ดินที่ราชสำนักและขุน นางศักดินาขายออกไปด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ   ส่วนใหญ่ก็ตกไปอยู่ในมือของขุนนางใหม่   ระหว่างปี 1561-1640  ที่ดินของราชสำนักลดลงร้อยละ 75    ที่ดินที่อยู่ในความครอบครองของขุนนางศักดินาก็ลดลงร้อยละ 50   แต่ที่ดินของขุนนางใหม่กลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 20   แต่ว่าที่ดินส่วนใหญ่ของขุนนางใหม่ได้ถือครองตามระบอบถือครองที่ดินของอัศวิน    พวกเขาไม่สามารถใช้ที่ดินในครอบครองของตนอย่างอิสระเสรีได้    ทั้งยังจะต้องปฏิบัติตามพันธะศักดินาต่อกษัตริย์   เช่นเสียเงินค่าโล่ห์แทนการถูกเกณฑ์เป็นทหาร   

เวลากษัตริย์ถูกจับเป็นเชลยไถ่ตัวกลับก็ต้องเสียเงินค่าไถ่   เวลาบุตรสืบทอดมรดกก็ต้องเสียภาษีมรดกเป็นต้น    ระบอบถือครองที่ดินของอัศวินเป็นแหล่งที่มาทางภาษีอากรทางหนึ่งของกษัตริย์    ในยามที่การคลังของราชสำนักร่อยหลอ    รัฐบาลเผด็จการก็เสริมระบอบควบคุมที่ดินและดำเนินการรีดเค้นทุกชนิด    ขุนนางใหม่เรียกร้องให้ยกเลิกระบอบถือครองที่ดินของอัศวิน    ทำให้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง   พวกเขาได้สร้างพันธมิตรกับชนชั้นนายทุนไปต่อต้านอำนาจเผด็จการกษัตริย์   ในการปฏิวัติชนชั้นนายทุนได้สร้างพันธมิตรกับขุนนางใหม่เป็นเวลานาน   ใช้กำลังของชาวนาอันไพศาลและหัตถกรเป็นกำลังไปคัดค้านอิทธิพลศักดินา   นี่เป็นลักษณะพิเศษพื้นฐานประการหนึ่งของการปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษ

ชนชั้นนายทุนอังกฤษในศตวรรษที่ 17  ประกอบด้วยชั้นชนต่างๆ   พ่อค้ามหาเศรษฐีในเขตกรุงลอนดอนและแคว้นต่างๆ   เจ้าของสถานประกอบการขนาดใหญ่และนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยสูงจำนวนไม่กี่ร้อยคน   ประกอบขึ้นเป็นส่วนบนของชนชั้นนายทุน   พวกเขาเป็นนายอากรบ่อนเบี้ย  เป็นพวกได้รับสัมปทานและถือหุ้นของบริษัทการค้าอภิสิทธิ์ของราชสำนัก    ขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าหนี้ของขุนนางด้วย    พวกเขาเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม   มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับกษัตริย์และขุนนาง   เป็นกลุ่มอนุรักษ์ในชนชั้นนายทุน   ที่เป็นตัวหลักของชนชั้นนายทุน  ได้แก่ชนชั้นนายทุนอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมขนาดกลาง   พวกเขาเป็นเจ้าของวิสาหกิจที่ไม่ใช่แบบสมาคมอาชีพ   เป็นผู้จัดตั้งสถานประกอบการที่กระจัดกระจายและสถานประกอบการที่รวมศูนย์   และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งวิสาหกิจอาณานิคม   ในฐานะเจ้าของวิสาหกิจ    พวกเขาถูกระบอบสมาคมอาชีพและระบอบผูกขาดที่ดำเนินโดยกษัตริย์กีดกันในฐานะพ่อค้า  พวกเขาถูกเบียดขับจากบริษัทอภิสิทธิ์ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ  อุปสรรคขัดขวางจากศักดินาที่พวกเขาได้รับนั้นค่อนข้างมาก   ความเรียกร้องต้องการปฏิวัติก็ค่อนข้างสูง

ชาวนาเป็นกำลังหลักของการปฏิวัติชนชั้นนายทุน    ก่อนการปฏิวัติ  มวลชนพื้นฐานของชาวนาอังกฤษคือชาวนาที่มีนาทำเอง     ซึ่งก็คือชาวนาที่มีนาทำเองอย่างเสรีกับชาวนาที่มีนาทำเองในสังกัดบัญชีหลวง   โดยมีชาวนาที่มีนาทำเองในสังกัดบัญชีหลวงเป็นหลัก    พันธะศักดินาที่ชาวนาผู้มีนาทำเองอย่างเสรีจะต้องแบกรับนั้นค่อนข้างเบา   สามารถจัดการกับที่ดินซึ่งเป็นมรดกตกทอดของตนเองอย่างเสรีได้    ส่วนชาวนาผู้มีนาทำเองในสังกัดบัญชีหลวงนั้นแปรเปลี่ยนมาจากทาสกสิกร   เป็นคนส่วนใหญ่ของชาวนาในขณะนั้น   ต้นศตวรรษที่ 17  พวกเขามีจำนวนคนเป็นร้อยละ 60 ของชาวนาในภาคกลาง   อัตราส่วนเปรียบเทียบในภาคตะวันตกและภาคเหนือยิ่งมีมาก   ที่ภาคตะวันออกซึ่งทุนนิยมค่อนข้างเจริญ   ก็มีจำนวนสูงถึง 1 ใน 3  กระทั่ง 1 ใน 2  การทำกินบนที่ดินผืนเล็กและสิทธิต่างๆในการใช้สอยผืนที่ดินซึ่งสืบทอดต่อๆกันมา  จะมีบันทึกอยู่ในสมุดบัญชีซึ่งฉบับตัวจริงจะถูกเก็บรักษาไว้ในศาลแขวง   โดยพวกเขาเก็บฉบับสำเนาไว้    

พวกเขาไม่สามารถจัดการกับที่ดินของตัวเองได้    นอกจากต้องส่งค่าเช่าให้เจ้าที่ดินแล้ว   ยังถูกรีดเค้นแบบศักดินาในด้านอื่นๆอีกด้วย   แบกรับพันธะศักดินามากมาย   ที่ดินส่วนที่เป็นของตนเองขณะสืบทอดหรือโอนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าที่ดินก่อน   ทั้งต้องเสียเงินค่าอนุมัติอีกด้วย    จำนวนเงินจะเป็นเท่าไรนั้น เจ้าที่ดินจะเป็นผู้กำหนดเอง  ในชั่วระยะเวลานับจากศตวรรษที่ 16 ถึงกลางศตวรรษที่ 17  ค่าใช้จ่ายในด้านนี้เพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าในหลายท้องที่  ชาวนาผู้มีนาทำเองในสังกัดบัญชีหลวงเนื่องจาก เนื่องจากไม่สามารถเสียค่าใช้จ่ายเหล่านี้  ในที่สุดต้องสูญเสียที่ดินของตนไป   พวกเขามีความเรียกร้องต้องการอย่างเร่งด่วนที่จะให้ยกเลิกระบอบศักดินา   แปรที่ดินซึ่งเป็นมรดกตกทอดเป็นทรัพย์สินของตนเอง   ชาวนาจนในอังกฤษขณะนั้นเรียกว่า ชาวนาบ้านกระต๊อบ      ชาวนาบ้านกระต๊อบเพียงสามารถใช้ที่ดินผืนกระจิ๊ดรอบๆบ้านกระต๊อบเท่านั้น    ที่ดินสาธารณะของหมู่บ้านเคยเป็นแหล่งสำคัญในการดำรงชีพของพวกเขา    

การกว้านที่ดินทำให้ฐานะของพวกเขายิ่งแย่ลงและตกต่ำลงเป็นชาวนารับจ้างในที่สุด   กลายเป็นชนกรรมาชีพและกึ่งกรรมาชีพในชนบท    ชาวนาอันกว้างใหญ่ไพศาลล้วนคัดค้านระบอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินแบบศักดินาทั้งสิ้น    มีความขัดแย้งอย่างแหลมคมกับเจ้าศักดินาดำรงอยู่  ขณะเดียวกันชาวนาก็คัดค้านขบวนการกว้านที่ดิน    ดังนั้นจึงมีความขัดแย้งกับชนชั้นนายทุนขุนนางใหม่ดำรงอยู่อย่างรุนแรงด้วย
คนงานหัตถกรทั้งในเมืองและชนบทก็เป็นกำลังปฏิวัติที่สำคัญกำลังหนึ่ง   พวกเขาถูกกดขี่ถึงสองชั้นจากศักดินานิยมและทุนนิยมพร้อมๆกัน       ดังนั้นพวกเขาจึงคัดค้านการกดขี่จากระบบระเบียบแบบศักดินาของสมาคมอาชีพ   ขณะเดียวกันก็คัดค้านการขูดรีดของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่อีกด้วย

ขบวนการปฏิรูปศาสนาพิวริแตนส์

ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1630-1640  อังกฤษก็เริ่มมีการปฏิรูปศาสนา    โดยตัดขาดความสัมพันธ์ที่ขึ้นต่อศาสนจักรโรมันคาทอลิคในกรุงโรม   ปิดโบสถ์วิหารโรมันคาทอลิค    ริบทรัพย์สินของศาสนจักร   ตั้งคณะอังกลิกันเป็นศาสนาของทางการรวมศาสนจักรกับอาณาจักรเป็นองค์เดียวกัน     ภายใต้สภาพที่การเมืองกับศาสนารวมเป็นองค์เดียวกัน    คณะอังกลิกันกลายเป็นเครื่องมือของอำนาจกษัตริย์และเสาค้ำของระบอบเผด็จการ    เจ้าหน้าที่บริหารของคณะอังกลิกันที่แต่งตั้งโดยกษัตริย์ในทางเป็นจริงแล้วก็คือข้าราชสำนัก  พระบรมราชโองการของกษัตริย์มักจะนำไปประกาศบนแท่นแสดงธรรม   ไม่เพียงแต่สาวกต่างนิกายจะถูกปองร้ายอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนแล้ว    แม้แต่สาวกของอังกลิกันเองก็ยังถูกจับตาดูอย่างเข้มงวดกวดขัน   ศาลศาสนาจะดำเนินการปราบปรามต่อบุคคลผู้ต้องสงสัยว่าไม่ขึ้นต่อคำสอนของศาสนานิกายอังกลิกัลป์อย่างเฉียบขาด  กษัตริย์  ขุนนางและสังฆราช  เป็นอิทธิพลปฏิปักษ์ปฏิวัติสามเส้าในองค์เดียวกัน    คือเป้าหมายของการปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษ   ฉะนั้น  การต่อสู้คัดค้านศักดินาก็แสดงออกมาในรูปการคัดค้านศาสนาของทางการอีกด้วย    

ชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่เรียกร้องให้ดำเนินการปฏิรูปศาสนาอีกก้าวหนึ่ง   ขจัดพิธีกรรมจุกจิกหยุม หยิมของโรมันคาทอลิคในคณะอังกลิกัน   ยกเลิกการกราบไหว้บูชา “รูปพระเยซู”   ตัดค่าใช้จ่ายทางศาสนาให้น้อยลง  คัดค้านการรีดไถของศาสนจักร   มีความคิดเห็นทำศาสนจักรให้ “บริสุทธิ์”  จึงได้ชื่อว่าพิวริแตนส์ (puritants)   เพื่อต่อสู้กับศาสนาของทางการ   พวกเขาค้นพบอาวุธทางความคิดสำเร็จรูปจากศาสนานิกายคัลแวงนิสม์   ชนชั้นนายทุนเรียกร้องให้สร้างสถาบันศาสนาประชาธิปไตยตามรูปแบบของศาสนาคัลแวงนิสม์   พวกเขาโฆษณาเผยแพร่ว่า   การเคลื่อนไหวอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมเป็น “ภาระหน้าที่”  อันศักดิ์สิทธิ์  การรีบสร้างฐานะให้ร่ำรวยเป็นการแสดงออกซึ่งการสนองรับพระมหากรุณาธิคุณจากพระผู้เป็นเจ้า   และเป็นนิมิตหมายของ “ราษฎรที่เลือกสรร”  เป็นพิเศษของพระผู้เป็นเจ้า    การที่พวกเขาเสนอให้ปรับปรุงศาสนจักร   จริงๆแล้วก็คือต้องการสร้างระบอบสังคมทุนนิยม   ขบวนการพิวริแตนส์ใช้รูปแบบและทัศนคติในประเพณีดั้งเดิม  ชูธงศาสนา  ปลุกระดมมวลชนลุกขึ้นสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐให้กับชนชั้นนายทุน    การปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษได้ดำเนินไปภายใต้เสื้อคลุมทางศาสนา อันเป็นลักษณะพิเศษประการหนึ่งของการปฏิวัติ

ขบวนการพิวริแตนส์ได้แตกแยกเป็นกลุ่มที่สำคัญสองกลุ่ม   ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 แล้ว   กลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียน    ซึ่งเป็นกลุ่มหัวนุ่มนวลได้กุมอำนาจการนำในการเคลื่อนไหว   กลุ่มนี้เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนใหญ่และส่วนบนของขุนนางใหม่    ไม่ได้ตัดขาดความสัมพันธ์ทางจัดตั้งกับคณะ  อังกลิกัน*(*เป็นคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ที่สำคัญนิกายหนึ่ง    เกิดขึ้นในอังกฤษในยุคปฏิรูปศาสนาในศตวรรษที่ 16  กษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 แห่งอังกฤษภายใต้การสนับสนุนของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่ได้ถือเอากรณีที่องค์สันตะปาปาไม่อนุญาตให้พระองค์ปลดพระราชินี (เจ้าฟ้าหญิงแห่งสเปน) เพื่ออภิเษกสมรสใหม่เป็นเหตุ  ประกาศงดส่งเครื่องบรรณาการต่อศาสนจักรโรมันคาทอลิคแห่งกรุงโรมในปี 1532    ปี 1534 เสนอร่างกฎหมายผ่านรัฐสภา  กำหนดให้ศาสนจักรในอังกฤษไม่ต้องขึ้นต่อองค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรมอีกต่อไป  แต่ให้กษัตริย์อังกฤษทรงเป็นผู้นำสูงสุด   ศาสนจักรที่ไม่ขึ้นต่อองค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรมซึ่งก็คือคณะอังกลิกัล  จึงกลายเป็นศาสนาทางการของอังกฤษ   คณะอังกลิกัลในยุคแรกไม่ว่าจะกล่าวจากด้านคำสอน   รูปแบบการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหรือระบบการจัดตั้งส่วนใหญ่สืบทอดประเพณีของนิกายโรมันคาทอลิค)
เพียงให้ยุบตำแหน่งสังฆราชโดยให้สาวกเป็นผู้เลือก “ผู้อาวุโส” ขึ้นบริหารศาสนกิจ    ปีกซ้ายของขบวนการ พิวริแตนส์ เรียกว่ากลุ่มอิสระ   กลุ่มนี้เป็นกลุ่มสะท้อนผลประโยชน์ของขุนนางใหม่และชนชั้นนายทุนกลาง  มีความเห็นว่า  วิหารแต่ละแห่ง  นิกายแต่ละนิกายเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง  ให้บริหารร่วมกันโดยปวงสาวก  บรรดาสาวกสามารถทำพิธีสวดเอง   ตีความคัมภีร์เองโดยเสรี   สามารถไปมาหาสู่กับพระผู้เป็นเจ้าเอง  โดยไม่ถูกแทรกแซงจากพระสังฆราช   ฉะนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธอำนาจสังฆ ราช   และก็ปฏิเสธอำนาจของ “ผู้อาวุโส” ด้วย   ทว่..ก่อนได้อำนาจรัฐ   ทั้งสองกลุ่มยังคงร่วมเป็นพันธมิตรไปคัดค้านเผด็จการอำนาจกษัตริย์  ชนชั้นนายทุนน้อยในเมืองและชาวนาส่วนหนึ่งก็เข้าร่วมขบวนการพิวริแตนส์    ทำให้ภายในขบวนการพิวริแตนส์เกิดการแยกตัวเร็วขึ้น    …จบตอน 4



No comments:

Post a Comment