6.การรวมตัวและการพัฒนาที่ไม่สม่ำเสมอ
ในปลายทศวรรษที่ 1860 ทั่วทั้งประเทศมีทางรถไฟยาวแค่
1600 กิโลเมตรเท่านั้น
หลังจากนั้นอีกสองทศวรรษได้เพิ่มขึ้นถึง 15 เท่า ในระยะสิบปีระหว่าง 1892-1901
ทางรถไฟที่สร้างใหม่ไม่ต่ำกว่า 26,000 กิโลเมตร
ควบคู่กันไปกับศูนย์อุตสาหกรรมของมอสโคว์และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และแหล่งใหม่ที่เกิดขึ้นเช่นแถบบอลติค
บากู และดอนบาส ในระหว่างปี 1893 ถึง1900 ประสบการณ์ในการขุดเจาะน้ำมันทำให้เพิ่มผลผลิตขึ้นเป็นสองเท่า
เชื้อเพลิงจากถ่านหินเพิ่มขึ้น 3 เท่า,จริงอยู่..ในการพัฒนาอุตสาหกรรมของรัสเซียไม่ได้มีปัจจัยของระบอบทุนนิยมเพิ่มขึ้นเหมือนในอังกฤษอย่างที่
มาร์กซ์ได้อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง”ทุน”
พระราชกำหนดปลดปล่อยไพร่ติดที่ดินในปี 1861 ได้ประกาศใช้ ภายใต้เงื่อนทางวัตถุสำหรับการพัฒนาของระบอบทุนนิยม
แต่ชนชั้นนายทุนรัสเซียได้ก้าวขึ้นสู่เวทีประวัติศาสตร์ช้าเกินไปที่จะฉกฉวยผลประโยชน์จากโอกาสที่เปิดให้นี้ พลังที่อ่อนแอและความด้อยพัฒนาของระบอบทุนนิยมรัสเซียไม่สามารถแข่งขันกับพลังอันมหาศาลของชนชั้นนายทุนในยุโรปตะ
วันตกและอเมริกาที่พัฒนาแล้ว...เช่นเดียวกับประเทศอดีตเมืองขึ้นทั้งหลายในปัจจุบันนี้
อุตสาหกรรมของรัสเซียล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยเงินทุนจากต่างประเทศที่ครอบงำอยู่เหนือระบบเศรษฐกิจ
ส่วนใหญ่จะควบคุมผ่านธนาคารต่างๆและระบบการเงิน
ทรอตสกีได้เขียนไว้ว่า “การมาบรรจบกันของอุตสาหกรรมและทุนธนาคารประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในรัสเซียซึ่งไม่อาจพบได้ในประเทศอื่น
แต่การครอบงำทางอุตสาหกรรมของธนาคารมีความหมายสำ หรับเหตุผลเดียวกันกับการครอบงำในตลาดเงินของยุโรปตะวันตกบรรดาอุตสาหกรรมหนัก
(โลหะ ถ่านหิน น้ำมัน) อยุู่ภายใต้การควบคุมของเงินทุนต่างชาติ
ซึ่งได้สร้างระบบตัวแทนของมันเองเพื่อเชื่อมต่อกับธนาคารในรัสเซีย
อุตสาหกรรมเบาก็อยู่บนเส้นทางเดียวกันชาวต่างชาติเป็นเจ้าของหุ้นในตลาดเงินของรัสเซียถึง
40 % แต่ในสาขาอุตสาหกรรมชั้นนำเปอร์เซ็นต์การถือครองจะสูงกว่านี้” การแทรกซึมของทุนต่างชาติต่อสังคมรัสเซียเป็นแรงกระตุ้นที่รุนแรงในการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นการปลุกยักษ์ที่อยู่ในระบอบอนารยะมาถึง
2000 ปีให้ตื่นขึ้นสู่ยุคสมัย แท้จริงแล้วคือการก่อให้เกิดแรงระเบิดของสถานการณ์ทางสังคม
ชาวนาจำนวนมหาศาลถูกแยกออกจากชีวิตประจำวันในชนบทที่ไม่เคยมีการเปลี่ยน แปลงและถูกผลักให้เข้าสู่ขุมนรกของอุตสาหกรรมชนชั้นนายทุน
ทฤษฎีลัทธิมาร์กซที่ว่าด้วยองค์ประกอบของการพัฒนาที่ไม่สม่ำเสมอ ส่วนมากจะพบในสังคมที่มีลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อนเช่นในรัสเซียในรอบร้อยปีมานี้ ควบคู่ไปกับลักษณะศักดินา กึ่งศักดินา
แม้แต่รูปแบบก่อนศักดินากับการเกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดดของโรงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่
แบบล่าสุดที่สร้างขึ้นจากเงินทุนของฝรั่งเศสและอังกฤษ
เป็นปรากฏการณ์ที่ชัดเจนซึ่งเราสามารถพบเห็นได้ในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย
และที่ชัดเจนที่สุดจะเห็นได้จากหารพัฒนาของบรรดาประ เทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษที่
1990
นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดซึ่งเกิดขึ้นราวกับว่าเป็นคู่ขนานกันกับการพัฒนาของรัสเซียว่าร้อยปีก่อน และมันอาจเป็นไปได้ที่ผลทางการเมืองจะออกมาคล้ายคลึงกัน
การพัฒนาของอุตสาหกรรมในบริบทเช่นนี้คล้ายกับว่าจะเป็นสิ่งเร่งเร้าการปฏิวัติรัสเซียได้แสดงให้เห็นถึงการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกเหนือไปจากการพัฒนาอย่างเป็นพายุบุแคมของระบบทุนนิยมรัสเซียในยุค
1880 - 1890 ก็เป็นยุคที่ตื่นตัวกันอย่างรวดเร็วของชนชั้นกรรมาชีพรัสเซีย คลื่นของการนัดหยุดงานในทศวรรษที่ 1890
เป็นโรงเรียนเตรียมสำหรับการปฏิวัติในปี 1905
ในระยะเวลา 33 ปี จาก 1865-1898 จำนวนการจ้างงานกรรมกรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 706,000 ถึง1,432,000 คน ปี 1914
มากกว่าครึ่งหนึ่งของกรรมกรอุตสาหกรรมได้ถูกจ้างงานในโรงจักรและกว่า 500
คนเป็นคนชำนาญงาน
และเกือบจะหนึ่งในสี่ของโรงจักรช่างชำนาญงานมากกว่า 1,000 คนเป็นจำนวนสัดส่วนที่มากกว่าในหลายๆประเทศ เมื่อสิ้นทศวรรษที่ 1890 โรงงานขนาดใหญ่ 7
โรงในยูเครนจ้างกรรมกรงานโลหะถึงสองในสามของคนงานทั่วทั้งรัสเซีย ในขณะที่เมืองบากูเกือบทั้งหมดเป็นกรรมกรในอุตสาหกรรมน้ำมัน จริงๆแล้วก่อนถึงปี 1900
รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดของโลก
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายมากขึ้นในด้านอุตสาหกรรม
ภาพทั่วๆไปของสังคมรัสเซียก็ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ล้าหลังที่สุด จำนวนพลเมืองส่วนใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ในชนบท,ในขณะที่พัฒนาการของความแตกต่างทางชนชั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งกระตุ้นที่ทรงพลังคือปัญหาวิกฤตในภาคการเกษตรของยุโรปในยุค
1880 และต้นยุค 1890
การตกต่ำของราคาพืชผลได้ทำลายชีวิตความเป็นอยู่ชาวนาในทุกระดับชั้น
ธรรมชาติการตื่นกลัวของผู้ที่มีชีวิตอยู่ไม่ต่างไปจากการบรร ยายภาพของ
เชคอฟ ในเรื่องสั้น “หุบเขาและชาวนา”ของเขา
ชนชั้นกึ่งกรรมาชีพในชนบทที่ไม่มีสิทธิ์ในที่ดินเดินเร่ขายแรงงานไปตามหมู่บ้านต่างๆเป็นภาพปกติที่เห็นกัน
บนอีกปลายขั้วหนึ่งของสังคมชาวนาพวกคูลัก(kulak)หรือชาวนารวยได้กลายเป็นชนชั้นนายทุนใหม่ในชนบท
ผู้ซึ่งสร้างความร่ำรวยขึ้นจากชาวชนบทที่ยากจนโดยการซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิม สะท้อนให้เห็นการเข้าถึงสถานการณ์จากปัญญาและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในบทละครที่โด่งดังของ
เชคอฟ เรื่อง “สวนเชอรี่”
ทั้งๆที่มีความพยายามของระบอบซาร์ที่จะค้ำจุนคอมมูนชาวนามีร์(Mir)แบบเก่าเอาไว้
ซึ่งตรงกับที่นักทฤษฎีของนารอดนิคต้องการดำรงเอาไว้เพื่อเป็นพื้นฐานของระบอบสังคมนิยมชาวนา
ในที่สุดก็ต้องล่มสลายไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับความสัมพันธ์ทางชนชั้น
ผู้ที่ไม่สามารถหางานทำได้ในชนบทต่างทะลักเข้าเมือง
ไปสู่แหล่งรวมแรงงานราคาถูกสำหรับกิจการที่ตั้งขึ้นใหม่ๆของชนชั้นนายทุน การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมทำให้เกิดการแบ่งขั้วทางชนชั้นมากขึ้นภายในมวลหมู่ชาวนา
ซึ่งตกผลึกไปเป็นชาวนารวยหรือคูลัคและของคนจนในชนบทผู้ไร้ที่ทำกินจำนวนมหาศาล
การโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนระหว่างนักลัทธิมาร์กซและพวกนารอดนิคไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาทุนนิยมในรัสเซียโดยสรุปแล้วเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง งานนิพนธิ์ชิ้นแรกๆของเลนินเช่น “การพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ของชาวนา”
......”ว่าด้วยเรื่องที่เรียกว่าปัญหาตลาด”....”พัฒนาการของระบอบทุนนิยมในรัสเซีย”
เป็นงานที่เขียนขึ้นเพื่อการโต้แย้งกับกลุ่มนารอดนิค
ซึ่งแตกต่างจากงานนิพนธิ์เรื่องแรกๆของเพลคานอฟ
ผลงานเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานในการหักล้างทางคำพูด ข้อเท็จจริง ตัวเลขและข้อโต้แย้งต่างๆ
การพัฒนาระบอบทุนนิยมในรัสเซียนั่นหมายถึงการพัฒนาของชนชั้นกรรมาชีพด้วย ซึ่งในไม่ช้าก็จะ
แปรไปสู่ภาระหน้าที่ในการเป็นกองหน้าของการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมให้บรรลุเป้าหมาย ระ ดับการรวมศูนย์ของภาคอุตสาหกรรมรัสเซียอยู่ในระดับสูงมาก
มันได้สรรสร้างกองทัพกรรมกรขึ้นมาอย่างรวดเร็ว.. มีการจัดตั้ง..
มีระเบียบวินัย และมีการกำหนดยุทธศาสตร์ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ สถิติของการเคลื่อนไหวหยุดงานแสดงถึงการยกระดับความมั่นใจและจิตสำนึกทางชนชั้นของชนชั้นกรรมกรรัสเซียในช่วงเวลานั้นได้สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ปี1880-84
|
ปี1885-89
|
1890/94
|
|
การนัดหยุดงาน
|
101
|
221
|
181
|
จำนวนกรรมกรที่ร่วม
|
99,000
|
223,000
|
170,000
|
ต้นฤดูใบไม้ผลิปี 1880 เกิดวิกฤตทางด้านอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องกันมาหลายปี ช่วงเวลานี้เป็นช่วงของการว่างงาน,บรรดานายจ้างได้ฉวยโอกาสลดค่าแรงซึ่งไม่เพียงพอต่อการยังชีพอยู่แล้วลงอย่างไร้ความปราณี
บวกกับสารพัดปัญหาที่ประดังเข้ามาทำให้กรรมกรต้องยอมทนถูกกดขี่อย่างต่อเนื่องและเข้มงวดจากกฎระเบียบที่กำหนดขึ้นมาตามอำเภอใจ ทำให้เกิดการต่อต้านนายจ้างด้วยการแสดงออกทั้งทางเปิดเผยและลับ ความไม่พอใจของกรรมกรได้สะสมปริมาณมากขึ้น
ในที่สุดก็ระเบิดออกมาด้วยกระ แสของการปลุกระดมในด้านแรงงานในมอสโคว์เมื่อปี
1885-86 วลาดิมีร์ และยาโลสลาฟวืล,นำไปสู่การนัดหยุดงานที่โรงสี
นิโคล-สโกเย ที่ ที.เอส.โมโรซอฟเป็นเจ้าของ
ในเวลา 2 ปี กรรมกร11,000 คนในสถานประกอบการของโมโรซอฟ ถูกตัดค่าจ้างไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง
ในเวลานั้นมีการต่อต้านกฎเกณฑ์และบทลงโทษที่กำหนดไว้ด้วยการปรับเงินในกรณี ร้องเพลง
ส่งเสียงดัง
และสวมหมวกเวลาเดินผ่านห้องทำงานของผู้จัดการและอื่นๆ บ่อยครั้งที่ค่าปรับจะมีจำนวนสูงถึงหนึ่งในสี่,บางทีก็ถึงครึ่งหนึ่งของค่าแรงกรรมกรเลยทีเดียว 7 ตุลาคม 1885
ความเดือดดาลทั้งมวลที่ถูกเก็บกดอยู่ประกอบกับความผิดหวัง หงุดหงิด การปล้นชิง
และการทำตามอำเภอใจของนายจ้างได้ระเบิดออกอย่างรุนแรงและต่อเนื่องผู้นำในการหยุดงานคือ
ปยอร์ท อานิซิโมวิช มอยเซเย็นโก(1852-1923) นักปฏิวัติผู้มีประสบการณ์,อดีตสมาชิกสหบาลกรรมกรภาคเหนือของคาลทูรินที่ในอดีตเคยถูกเนรเทศไปไซบีเรีย
ชายผู้น่าสนใจผู้นี้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำโดยธรรมชาติของชนชั้นกรรมกร ภาย หลัง มอยเซเย็นโก ได้บันทึกไว้ว่า : “ผมได้เรียนรู้เป็นครั้งแรก ,ทำความเข้าใจ และปฏิบัติ”
กรรมกรที่ถูกทำให้โกรธแค้นได้ระบายความโกรธของพวกเขาด้วยการทำลายโกดังเก็บอาหารของโรง
งานและบ้านพักของโฟร์แมน โชริน ที่กรรมกรเกลียดชังอย่างย่อยยับเมื่อถูกบีบให้ซื้ออาหารในราคาแพง ความตื่นตกใจจากเหตุการณ์ไม่สงบ ผู้ว่าราชการจังหวัด วลาดิมีร์ สั่งเคลื่อนกำลังทหารและหน่วยคอสแซค
กรรมกรได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้ว่าฯแต่ก็ถูกปราบปราม 600 คนถูกจับกุม,กำลังทหารได้ปิดล้อมโรงงาน,กรรมกรถูกผลักดันให้กลับเข้าทำงานด้วยดาบปลายปืน ในอารมณ์เช่นนั้น กว่าโรงงานจะทำการผลิตต่อไปได้ก็หนึ่งเดือนล่วงไปแล้ว
การนัดหยุดงานที่โรงงานโมโรซอฟจบลงด้วยความพ่ายแพ้
แต่ได้สร้างผลสะเทือนเข้าไปในหัวใจของกรรมกรทั่วทั้งรัสเซีย
เป็นการตระเตรียมหนทางการเคลื่อนไหวไว้สำหรับสิบปีข้างหน้า การไต่สวนพิจารณาโทษเริ่มขึ้นที่วลาดิมีร์
ในเดือนพฤษภาคม 1886
มอยเซเยนโกและบรรดาจำเลยคนอื่นๆ
ได้ยืนหยัดต่อสู้ด้วยจิตใจที่กล้าหาญจนได้รับชัยชนะทำให้การฟ้องร้องของโรงงานเป็นโมฆะ ได้รับการชื่นชมจากกรรมกรอย่างท่วมท้น คำตัดสินกรณีโมโรซอฟได้สร้างกระแสของความความตระหนกขึ้นในสังคมรัสเซีย มันเป็นสัญญานบอกเหตุ ,หนังสือพิมพ์ปฏิกิริยา
มอสควา-สกีเย เวดโมสตี ได้ลงบทความประท้วง:
มันเป็นเรื่องอันตรายไม่ใช่เรื่องล้อเล่นสำหรับมวลชน
พวกกรรมกรจะต้องคิดอะไรจากการตัดสินในศาลเมืองวลาดิมีร์ว่าไม่เป็นความผิด? ข่าวของการตัดสินประดุจสายฟ้านี้ได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วไปยังแหล่งประกอบการทั้งหลาย,ตัวแทนของเราได้ออกจากวลาดิมีร์
ทันทีที่คำตัดสินได้ถูกประกาศออกมาได้ยินกันทั่วในทุกๆสถานี
การหยุดงานที่โมโซรอฟได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันมหึมาของกำลังชนชั้นกรรมาชีพ บทเรียนนี้ ระบอบปกครองของซาร์ซึ่งสนับสนุนบรรดาเจ้าของโรงงานอย่างเต็มกำลังได้ซึมซับไว้เป็นอย่างดี
และตัดสินใจว่าต้องมีการยินยอมผ่อนปรนต่อกรรมกรบ้าง โดยการผ่านกฎหมายเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม,ค่า ทดแทนเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 1886, โดยกำหนดขอบเขตและระบุจำนวนให้เหมาะสมโดยนายจ้างและ ให้นำไปเข้ากองทุนรวมเพื่อสิทธิประโยชน์ของกรรมกร
และแน่นอน.การปฏิรูปเป็นเพียงผลพลอยได้ของกรรมกรในการต่อสู้ปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเท่านั้น เช่นเดียวกันกับการออก “กฎ หมาย 10 ชั่วโมง” ในสหราชอาณาจักรเมื่อศตวรรษก่อน,
กฎหมายสินไหมทดแทนนี้เป็นความพยายามเพื่อจะให้กรรมกรอยู่ในความสงบและป้องกันมิให้เกิดการเคลื่อนไหวไปสู่ทิศทางปฏิวัติ,ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะโน้มน้าวบรรดากรรมกรให้เข้าสู่การควบคุมตามความต้องการของพวกนายทุนเสรีนิยม
การออกกฎหมายแบบมี
”เมตตาธรรม”เช่นนั้นก็ยังไม่สามารถป้องกันควบคุมการหยุดงานได้
และในส่วนทั้งหมดยังมีการจับกุมและเนรเทศผู้นำกรรมกรอยู่ในช่วงเวลาต่อมา
หรือไม่ก็ออกกฎหมายใหม่เพราะต้องการส่งผลให้การเคลื่อนไหวหยุดงานซบเซาลงเท่านั้น กรณีหยุดงาน โมโรซอฟ สร้าง แรงดลใจกรรมกรให้เกิดความกล้า ในขณะที่การยินยอมอ่อนข้อของกลไกราชการที่ทรงอำนาจทั้งหลายเป็น การแสดงให้เห็นว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรจะได้มาในการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตน ปี 1887
จำนวนครั้งของการหยุดงานเพิ่มมากขึ้นมากกว่าเมื่อสองปีที่ผ่านมารวมกัน สองปีต่อมา เพลเว หัวหน้าตำรวจถูกบังคับให้รายงานต่อ ซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่สาม ถึงสถานการของปี
1889
ถึงสภาพของบรรดาโรงงานว่ามีความยุ่งเหยิงมากกว่าในปี 1887-88
การเคลื่อนไหวหยุดงานเป็นปัจจัยพื้นฐานที่แสดงให้เห็นถึงความรับรู้ที่เพิ่มขึ้นของกรรมกรถึงฐานะทางชนชั้นและพลังทางสังคมของตนเอง ยิ่งมีฐานะทางชนชั้นที่โดดเด่นและเป็นแบบอย่างแก่ประชา
ชนอย่าง มอยเซเย็นโก ยิ่งต้องแสวงหาแนวคิดที่เป็นดวงประทีปในการส่องสว่างให้เห็นถึงสถานการณ์บนเส้นทางข้างหน้าของพวกเขา การเคลื่อนไหวเช่นนี้มีความสำคัญเป็นสองด้าน,ด้านหนึ่งการระเบิดออกอย่างเป็นไปเอง,บ่อยครั้งจะแสดงออกด้วยการร่วมกันทำลายเครื่องจักรตามแนวคิดของ ลัทธิลุดด์ (Luddism)
ซึ่งยืนยันให้เห็นถึงถึงลักษณะที่ไร้การจัดตั้งและจิตสำนึกที่เป็นไปตามธรรมชาติเป็นการบอกต่อโลกว่าชนชั้นกรรมกรรัสเซียกำลังก้าวขึ้นสู่เวทีแห่งประวัติศาสตร์... อีกด้านหนึ่ง,เป็นการพิสูจน์ถึงความถูกต้องในการโต้แย้งทางทฤษฎีของเพลคานอฟและกลุ่มปลดปล่อยแรงงาน
ในกระแสที่ร้อนแรงของการต่อสู้ทางชนชั้น
ซึ่งบัดนี้ได้วางรากฐานไว้สำหรับการรวมตัวกันของหน่วยลัทธิมาร์กซรัสเซียทั้งอ่อนแอและเข้มแข็งที่ยังไม่สามารถเกาะเกี่ยวกันได้ของชนชั้นกรรมาชีพรัสเซีย
จากจุดยืนของนักลัทธิมาร์กซ, เนื้อหาสำคัญของการเคลื่อนไหวหยุดงานนั้นได้พัฒนาไปไกลเกินกว่าที่จะต่อสู้เพื่อ การเรียกร้องค่าจ้าง สถานภาพและชั่วโมงทำงานแล้ว สิ่งสำคัญที่แท้จริงของการหยุดงานแม้จะล้มเหลวพ่ายแพ้ก็คือการได้เรียนรู้ของกรรมกร ในวิถีปฏิบัติของการนัดหยุดงาน..มวลชนกรรมกร ภรรยา ครอบครัวของพวกเขา..แน่นอนเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกพ้นจากการได้เรียนรู้ถึงบทบาทและชนชั้นที่พวกเขาสังกัดอยู่
พวกเขาจะสลัดความคิดและการปฏิบัติตนเยี่ยงทาสทิ้งไปและเริ่มยกฐานะของตนขึ้นมาให้เท่าเทียมกับมนุษย์ทั้งมวลด้วยการตัดสินใจและมีความปรารถนาด้วยตัวเองการที่พวกเขาได้ผ่านประสบการณ์จริงในการต่อสู้..
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ใหญ่ๆ..มวลชนจะเริ่มมีการเปลี่ยน แปลงตนเอง
เริ่มต้นที่การมีความรู้สึกกระตือรือร้นและจิตสำนึกระหว่างชนชั้น,กรรมกรเริ่มมีความชัดเจนและไม่เห็นด้วยกับชะตากรรมของพวกเขา และมีความรู้สึกต่อขอบเขตที่จำกัดของตัวเองอย่างรุนแรง ความพ่ายแพ้ยังคงมีมากกว่าชัยชนะ,บีบให้กรรมกรนักเคลื่อนไหวต้องทุ่มเทอย่างมากเพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนและค้นหาความลี้ลับของเศรษฐกิจและการเมืองในสังคมของคนทำงานโดยตัวมันเอง
การเติบโตของอุตสาหกรรมทุนนิยมได้สร้างกองทัพอันยิ่งใหญ่ของชนชั้นแรงงานขึ้นมา
แม้กองทัพที่ดีที่สุดจะต้องถูกพิชิตหากขาดนายทหารที่ได้รับการศึกษาบ่มเพาะมาเป็นอย่างดีในเรื่องของการทำสง คราม
ยุทธการของการนัดหยุดงานได้โหมกระหน่ำในยุค 1880 ประกาศให้โลกเห็นว่ากองทัพหลักของชนชั้นกรรมาชีพรัสเซียมีความพร้อมและปรารถนาที่จะเข้าร่วมการต่อสู้
แต่พวกเขายังเผยให้เห็นถึงความอ่อน หัดในการเคลื่อนไหวที่เป็นไปเองแบบธรรมชาติ..ไม่มีการจัดตั้งและจิตสำนึกโดยธรรมชาติอีกทั้งยังไร้ทิศทางและการชี้นำกองทัพยังดำรงอยู่...สิ่งที่จำเป็นคือการตระเตรียมองค์กรนำในอนาคต สรุปก็คือในช่วงเริ่มต้นของการต่อสู้นี้ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าความมีจิตสำนึกที่ดีของกรรมกรนักเคลื่อนไหวที่เอาการเอางานที่สุด
สิ่งที่พวกเขาจะต้องเริ่มต้นในการเรียนรู้และเอาจริงเอาจังกับมัน
ก็คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน..และคุณสมบัติที่เป็นเฉพาะของกรรมกรนักเคลื่อนไหวทั่วโลก
No comments:
Post a Comment