ตอนที่ 6
สงครามกลางเมืองครั้งที่
1 (1642-1646)
และนโยบายคัดค้านประชาชนของรัฐสภา
คู่ขนานไปกับสงครามกลางเมืองระเบิดขึ้น ในกลุ่มการเมืองกลุ่มต่างๆ ก็ได้แยกตัวเป็นสองค่ายที่มีเส้นแบ่งอย่างชัดเจน โดยกลุ่มที่สนับสนุนรัฐสภาเรียกว่า “พวกหัวกลม”
(Roundhead) และกลุ่มที่สนับสนับสนุนกษัตริย์เรียกว่า “พวกอัศวิน”(Cavaliers) * (สมญานามทั้งสองเกิดขึ้นในสมัยที่กลุ่มสนับสนุนกษัตริย์กับรัฐสภาช่วงยาวเป็นปฏิปักษ์และต่อสู้กัน ในปี1642 พวกสาวกนิกายพิวริแตนส์เนื่องจากตัดผมสั้นเกรียน จึงถูกเรียกว่าพรรคหัวกลม
ส่วนขุนนางที่สนับสนุนกษัตริย์มักห้อยกระบี่ ใส่วิกผมปลอมยาวปะบ่า จึงถูกเรียกว่าพรรคอัศวิน) แคว้นต่างๆทางภาคตะวันออกซึ่งเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองสนับสนุนรัฐสภาโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ลอนดอนส่วนท้องที่ซึ่งเศรษฐกิจ
ล้าหลังทาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ สนับสนุนกษัตริย์ ในด้านศาสนาผู้ ที่สนับสนุนกษัตริย์คือ
สาวกนิกายอังกลิกันกับสาวกนิกายโรมันคาทอลิค
ที่ยืนอยู่กับฝ่ายรัฐสภาคือสา วกนิกายพิวริแตนส์ ขุนนางใหญ่ศักดินา ขุนนางราชสำนัก ตลอดจนนักการธนาคาร ที่มีความสัมพันธ์กับราชสำนัก
พ่อค้าใหญ่ที่ได้รับอภิสิทธิ์สนับสนุนกษัตริย์ ชนชั้นนายทุนและชนชั้นนายทุนน้อย ขุนนางใหม่
ชาวเมืองที่ยากจนและชาวบ้านอันกว้างใหญ่ไพศาล ล้วนสนับสนุนรัฐสภา
ทั้งสองฝ่ายต่างเร่งมือรวบรวมกำลังอาวุธและเงินค่าใช้จ่ายเตรียมการสู้รบ
ที่ลอนดอนเพียงวันเดียวก็มีชาวเมืองเข้าร่วมเป็นทหารบ้านถึง 5,000 คน
สงครามพอเริ่มต้น
รัฐสภาก็มีความได้เปรียบทั้งด้านกำลังคนและกำลังวัตถุ แต่ว่ากลุ่มที่เป็นคนส่วนใหญ่ในรัฐสภาคือกลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียนซึ่งเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของส่วนบนในชนชั้นนายทุนใหญ่และขุนนางใหม่มีความหวาดกลัวต่อลักษณะปฏิวัติที่เพิ่มทวีขึ้นของมวลชน มีความคิดเห็นให้ประนีประนอมกับกษัตริย์กลับไปสู่
“วิถีทางปกติของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ”
นายทหารของกองทัพรัฐสภาส่วนใหญ่เป็นขุนนางที่มีความสัมพันธ์กับส่วนบนของคณะเพรสไบเทอร์เรียนที่กุมอำนาจ ในการรบพวกเขามิใช่พยายามหาวิธีเอาชนะ หากพยายามหาวิธีทำอย่างไรให้กษัตริย์เสียหายน้อยหน่อย สร้างเงื่อนไขที่จะเจรจากับกษัตริย์ ฉะนั้นสงครามเกิดขึ้นไม่นานกองทัพของกษัตริย์ก็สามารถตีกองทัพของรัฐสภาพ่ายแพ้ไป เดือนตุลาคม 1642 กองทัพของกษัตริย์ยึดได้เมืองออกฟอร์ดและตั้งค่ายใหญ่ที่นั่น เดือนพฤศจิกายนเข้าโจมตีลอนดอนแต่ว่าความมุ่งหวังที่จะยึดเมืองลอนดอนของฝ่ายกษัตริย์ต้องเลิกล้มไปชั่วคราวเมื่อถูกตีได้จากกองทหารบ้านในลอนดอน
ฤดูร้อน
ปี 1643
กองทัพของกษัตริย์ก็ได้รับชัยชนะติดต่อกันในภาคเหนือและภาคตะวันตก ฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน
ฝ่ายกษัตริย์เตรียมบุกโจมตีลอนดอนจากสามด้าน ฝ่ายรัฐสภามีฐานะคับขันมาก ในเวลานี้เองกองทหารบ้านที่จัดตั้งโดยชาวเมืองในนครหลวงได้ปลดปล่อยเมือง
กลอสเตอร์ อันเป็นเมืองสำคัญทางภาคตะวันตกออกจากการถูกโอบล้อมโจมตีการรุกของฝ่ายกษัตริย์ล่าถอยไป ขณะเดียวกัน
กองทหารม้าเหล็กของ “สหพันธ์ตะวันออก”*(ปลายปี 1642 เมืองต่างๆที่อยู่ทางภาคตะวันออก
เช่นเมืองนอร์โฟล์คซับโฟล์ค อัสเซ็กซ์ เคมบริดจ์
เฮอร์ตฟอร์ด เป็นต้นได้เข้าร่วมเป็นสหพันธ์) ซึ่งนำโดยโอลิเวอร์
ครอมเวลล์ ได้โจมตีการรุกของข้าศึกล่าถอยไปในการสู้รบ กวาดล้างกองทัพของฝ่ายกษัตริย์ในแคว้นลินคอร์นจนหมดสิ้น กอบกู้สถานการณ์ไว้ได้
ในการต่อสู้ประชาชนได้แสดงออกให้เห็นซึ่งกำลังอันมหาศาล
แต่ว่ารัฐสภาที่ควบคุมโดยกลุ่มเพรสไบเทอร์เรียน
ไม่ไปจัดตั้งประชาชนเข้าร่วมการต่อสู้คัดค้านกษัตริย์
หากรอคอยแต่การช่วยเหลือจากชนชั้นนายทุนและขุนนางในสก๊อตแลนด์ ปี 1643
รัฐสภาช่วงยาวได้สร้างพันธมิตรกับรัฐสภาสก๊อตแลนด์ ทางสก๊อตแลนด์รับปากจะส่งทหาร20,000 คนไปช่วยโดยรัฐสภาช่วงยาวเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทางทหารให้ เดือนกรกฎาคม 1644 ในการยุทธที่ทุ่งหญ้ามาร์สตัน
อันเป็นการยุทธที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งนับแต่เกิดสงครามกลางเมืองเป็นต้นมา กองทัพรัฐสภาได้รับชัยชนะ จากนั้นมาสิทธิเป็นฝ่ายกระทำในสงครามได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือฝ่ายรัฐสภา
ชัยชนะในการรบครั้งนี้ มิใช่เกิดจากกองทหารม้าของสก๊อตแลนด์เข้าร่วมรบหากเป็นผลจากการเคลื่อนไหวปฏิวัติในท้องที่ต่างๆที่มีกระแสสูงขึ้นตลอดจนการต่อสู้กับพวกอัศวินของชาวนาและชาวเมืองอย่างไม่ขาดสายเป็นสำคัญ
กองทหารม้าที่บัญชาโดยครอมเวลล์เกิดบทบาทที่สำคัญในการยุทธครั้งนี้
แต่กองทหารที่นำโดยนายทหารของกลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียนในสมรภูมิภาคใต้กลับถูกกองทัพฝ่ายกษัตริย์ตีแตกยับเยิน ทำให้ชัยชนะที่ได้รับทางภาคเหนือก็ถูกหักล้างไปด้วยความพ่ายแพ้ทางทหารและนโยบายที่ปราบปรามการปฏิวัติของกลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียน ก่อให้เกิดความไม่พอใจโดยทั่วไป
ในเขตควบคุมของรัฐสภา การต่อสู้ของมวลชนที่คัดค้านเผด็จการ
คัดค้านนโยบายของรัฐสภานั้น มีรูปแบบหนึ่งที่ใช้รูปแบบการต่อสู้ภายใต้เสื้อคลุมของศาสนา ปลายปี 1643
รัฐสภากำหนดให้ใช้คณะเพรสไบเทอร์เรียนแทนที่คณะอังกลิกัน
โดยกำหนดให้คณะเพรสไบเทอร์เรียนเป็นศาสนาของทางการที่ทุกคนจะต้องนับถือ ดังนั้นการต่อสู้คัดค้านการบีบบังคับให้นับถือศาสนาจึงประสานเข้ากับการต่อสู้คัด
ค้านอำนาจรัฐปัจจุบัน
ทั้งในเมืองและชนบทได้ปรากฏองค์การจัดตั้งทางศาสนาจำนวนมาก ดำเนินการปลุกระดมภายใต้เสื้อคลุมของฝ่ายค้านทางศาสนา อีกรูปแบบหนึ่งคือการเคลื่อนไหวของชาวไม้กระบอง ซึ่งเกิดขึ้นในดินแดนทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือและต่อมาได้แผ่ขยายตัวไปในดินแดนถึง
1 ใน 4 ของประเทศ
เนื่องจากชาวนาที่ลุกขึ้นสู้ใช้ไม้กระบองและเครื่องมือการผลิตติดอาวุธให้ตนเอง ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า “ชาวไม้กระบอง” ชาวไม้กระบองมีกำลังถึง 50,000 คน มวลชนพื้นฐานคือชาวนาที่ยากจน แต่ อำนาจการนำกุมอยู่ในมือของชาวนาที่ร่ำรวย ในการสู้รบกับกองทหารฝ่ายกษัตริย์ของชาวไม้กระบอง ได้เกิดบทบาทต่อการหนุนช่วยกองทัพฝ่ายรัฐสภา แต่ว่าเมื่อใดที่กองทัพฝ่ายรัฐสภาทำการปล้นชิงและย่ำยีชาวนาเช่นเดียวกับกองทัพฝ่ายกษัตริย์ชาวไม้กระบองก็จะทำการตอบโต้
การเคลื่อนไหวของชาวไม้กระบองเนื่องจากขาดการนำที่ถูกต้อง ทั้งไม่มีการจัดตั้งที่แน่นอนและเป้าหมายที่แจ่มชัด
ต่อมาจึงสลายตัวไปจากการปราบปรามของกองทัพรัฐสภา
กระแสสูงการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของมวลชน ความไม่พอใจต่อรัฐสภาของกลุ่มศาสนาต่างๆได้บั่นทอนฐานะในรัฐสภาของกลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียนให้อ่อนแอลงชั่วคราว ทั้งทำให้กลุ่มเสียงส่วนน้อยในรัฐสภาซึ่งก็คือกลุ่มอิสระซึ่งเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนกลางและขุนนางชั้นกลางและชั้นผู้น้อยมีกำลังเข้มแข็งขึ้น โอลิเวอร์ ครอมเวลล์(Oliver
Cromwell 1599-1658)ผู้นำกลุ่มอิสระก็คือนักปฏิวัติชนชั้นนายทุนที่เกิดขึ้นตามความเรียกร้องต้องการในขณะนั้น เขาถือกำเนิดในครอบครัวเจ้าที่ดินขนาดกลางใน ฮันติงดัน
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเคมบริดจ์
เขาเป็นขุนนางใหม่ที่เป็นแบบฉบับคนหนึ่ง
เป็นสาวกผู้เคร่งในศาสนานิกายพิวริแตนส์
ตระกูลของเขาได้ดิบได้ดีจากการแย่งชิงศาสนสมบัติของโรมันคาทอลิค
เขามีความเคียดแค้นชิงชังศาสนจักรโรมันคาทอลิคมาก
เดือนพฤศจิกายน ครอมเวลล์เข้าร่วมประชุมรัฐสภา ได้เสนอให้ยกเลิกระบบสังฆราช ปีถัดมา
เขาร่วมร่าง “หนังสือประท้วงใหญ่”
พอสงครามกลางเมืองปะทุขึ้น เขาได้รวบรวมชาวนาผู้มีนาทำเองในสังกัดบัญชีหลวงในเคมบริดจ์ ระดมสาวกในนิกายเดียวกัน จัดตั้งเป็น “กองทหารม้าเหล็ก”
โดยอาศัยความเชื่อมั่นศรัทธาในศาสนาไปปลุกเร้าจิตใจสู้รบและควบคุมพวกเขา ครอมเวลล์ ซื่อสัตย์ต่อผลประ โยชน์ของชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่
สันทัดในการใช้พลังปฏิวัติของมวลชนไปแสวงผลประโยชน์ให้กับชนชั้นตน เขาอาศัยผลการรบของกองทหารม้าเหล็กในการบดขยี้กองทหารของฝ่ายกษัตริย์ กลายเป็นผู้นำที่ชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่ต้องการ
เดือนมกราคม
1645 รัฐสภามอบอำนาจให้ครอมเวลล์จัดตั้งกองทัพใหม่ “กองทัพใหม่” กองนี้มีกำลังพล 22,000 คน
ในจำนวนนี้เป็นกำลังพลทหารม้า 6,000 คน กองทัพใหม่ประกอบขึ้นจากชาวนาผู้มีนาทำเองและหัตถกร
เปี่ยมด้วยจิตใจปฏิวัติและความศรัทธาของสาวกนิกายพิวริแตนส์ ผู้บังคับบัญชาชั้นล่างของกองทัพใหม่มีไม่น้อยมาจากชาวบ้านธรรมดา แต่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงยังคงเป็นพวกขุนนาง อำนาจการบังคับบัญชากุมอยู่ในมือของกลุ่มอิสระ กองทัพใหม่จัดตั้งขึ้นไม่นานก็ได้บดขยี้กองกำลังหลัก
ของกษัตริย์ในการยุทธที่ นาสบี ในเดือนมิถุนายน1646
ได้รับชัยชนะลักษณะชี้ขาดและยุติสงครามกลางเมืองครั้งที่ 1
กษัตริย์หลังจากหลบหนีออกไปอยู่สก๊อตแลนด์แล้ว ถูกควบ คุมตัวโดยชาวสก๊อต ต่อมาไม่นาน
รัฐสภาได้ใช้เงิน 400,000
ปอนด์ไถ่ตัวกลับมาคุมขังไว้ในป้อมโบราณแห่งหนึ่งใกล้ๆเมืองนาสบี
ในขณะที่มวลชนกำลังทำการสู้รบอาบเลือดอยู่ในแนวหน้านั้น
พวกชนชั้นนายทุนและขุนนางกลับใช้อำนาจที่กุมอยู่ในมือของพวกเขา
ดำเนินมาตรการในการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของตนเป็นอันมาก เช่น
(1) รัฐสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการคณะต่างๆหลายคณะ เสริมเผด็จการที่มีชนชั้นนายทุนกับขุนนางเป็นพันธมิตรกัน
(2)
เพื่อเป็นการผลักภาระค่าใช้จ่ายทางทหารไปให้ประชาชน รัฐสภามีมติจัดเก็บภาษีทางอ้อม
(3)
เพื่อเปิดโอกาสให้พ่อค้าดำเนินการฉวยโอกาสเก็งกำไรจากผืนที่ดิน รัฐสภาจัดการขายทอดตลาดที่ดินที่ริบจากพวกกษัตริย์ในราคาสูง
(4)
เพื่อเปิดโอกาสให้นักการธนาคารได้ร่ำรวยจากการค้าสงคราม
รัฐสภาได้เปลี่ยนพันธบัตรเงินกู้เป็นขุมทรัพย์ของพวกเขา
(5)
ปี1642
รัฐสภายังยกเลิกระบอบกรรมสิทธิ์ที่ดินของอัศวิน
ที่ดินกลายเป็นกรรมสิทธิ์เอกชนของขุนนางใหม่ ยกเลิกการเสียเงินรัชชูปการ*(ตามระบอบศักดินาสมัยกลางของอังกฤษกำหนดว่า พวกอัศวินถือครองที่ดินจะ ต้องเข้าเกณฑ์ให้กษัตริย์ ศตวรรษที่17 พันธะชนิดนี้ได้เปลี่ยนเป็นเสียเงินแทนการเกณฑ์แรง
เรียกว่าเงินรัชชูปการอัศวินและได้ยกเลิกพันธะส่งส่วยศักดินาแก่เจ้าที่ดินใหม่ของชาวนาที่มีนาทำเองในสังกัดบัญชีหลวง) และพันธะศักดินาอื่นๆ
จากนี้ก็ได้สร้างระบอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินของชนชั้นนายทุนขึ้น แต่ว่ารัฐสภาไม่ได้ยกเลิกพันธะส่งส่วยศักดินาแก่เจ้าที่ดินใหม่ของชาวนาที่มีนาทำเองในสังกัดบัญชีหลวง กระทั่งภาษี 10 ชัก1*(เป็นภาษีชนิดหนึ่งที่คริสตจักรในยุโรปเรียกเก็บชาวบ้าน ศตวรรษที่ 6 ศาสนจักรอาศัยบทบัญญัติในคัมภีร์ที่ว่า ผลิตผล1 ใน 10 ของชาวนาและชาวเลี้ยงสัตว์เป็นของพระผู้เป็นเจ้า เริ่มจัดเก็บภาษี ปี คศ.779 กษัตริย์ ชาร์ลส์ เลอมังก์ แห่งฝรั่งเศส
กำหนดว่า
การเสียภาษี 10 ชัก 1
เป็นพันธะอันพึงปฏิบัติของชาวราชอาณาจักรฟรังค์ทุกคน) ของศาสน จักรก็จะต้องส่งให้แก่เจ้าที่ดินใหม่ มาตรการของรัฐสภาในสมัยสงครามกลางเมืองนี้ได้รับการต่อต้านจากประชาชนทั้งในเมืองและชนบทอย่างหนัก ประชาชนได้เดินขบวนสำแดงกำลังหลายต่อหลายครั้ง ในชนบทได้ปรากฏการต่อสู้อันแหลมคมระหว่างชาวนากับเจ้าที่ดิน หลังสงครามกลางเมืองครั้งที่ 1 ยุติลง
การต่อสู้ทางชนชั้นได้ปรากฏสถานการณ์ใหม่
เปิดฉากการต่อสู้ภายในรัฐสภาเองและระหว่างรัฐสภากับกองทัพ
การแตกแยกและการต่อสู้ภายในค่ายที่คัดค้านศักดินา
หลังชัยชนะของสงครามกลางเมืองครั้งที่
1 แล้ว
ต่อการปฏิรูปในด้านต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อปัญ หาสำคัญที่ว่าจะปฏิวัติในอังกฤษต่อไปหรือไม่
ได้เกิดความเห็นแตกแยกและต่อสู้กันระหว่างชนชั้นและกลุ่มต่างๆ เริ่มต้นจากผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนใหญ่และของขุนนางใหม่ระดับบน
กลุ่มเสียงข้างมากในรัฐสภาช่วงยาวซึ่งก็คือกลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียน อันเป็นกลุ่มที่กุมอำนาจ
เห็นว่าเมื่อสงครามกลางเมืองยุติลงแล้วการปฏิวัติก็ควรจะยุติลงด้วย
พวกเขาลอบติดต่อและสมคบกับกษัตริย์ชาร์ลส์ซึ่งถูกคุมขังอยู่อย่างลับๆ มุ่งหวังจะตั้งรัฐบาลระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่สามารถปกป้องคุ้มครองผล
ประโยชน์ที่ได้มาแล้วของพวกเขา
พยายามขัดขวางการปฏิวัติไม่ให้พัฒนาไปอีกก้าวหนึ่ง
กลุ่มเสียงข้างน้อยในรัฐสภาซึ่งก็คือกลุ่มอิสระเห็นว่า การปฏิวัติยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ยังมีบริษัทและองค์
การผูกขาดมากมายที่เกิดขึ้นจากการขายสัมปทานอย่างไม่บันยะบันยังของกษัตริย์ การแข่งขันอย่างเสรียังไม่ปรากฏเป็นจริง เศษเดนศักดินาที่ขัดขวางการดำเนินกิจการด้วยวิธีแบบใหม่ เพื่อได้มาซึ่งผลกำไรของคหบดีชั้นกลางนั้นยังคงดำรงอยู่ ชนชั้นนายทุนกลางและขุนนางใหม่เห็นว่าผลประ โยชน์ที่พวกเขาได้รับจากการปฏิวัตินั้นยังไม่มากพอยังต้องดำเนินการต่อสู้กับกษัตริย์ต่อไป และสิ่งที่พวกเขาทนไม่ได้ก็คือการนำเอาคณะเพรสไบเทอร์เรียนมาเป็นศาสนาของทางการและครอบครองผลประโยชน์ของ
ศาสนจักรแต่เพียงผู้เดียว กลุ่มนี้กุมอำนาจการบัญชากองทัพอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงก่อรูปเป็นสถานการณ์ที่กองทัพเป็นปฏิปักษ์กับรัฐสภา
แต่ทว่าภายในกองทัพเองก็เกิดการแตกแยก ที่สำคัญคือความขัดแย้งระหว่างมวลชนพลทหาร
ซึ่งประ กอบขึ้นจากชาวนาที่มีนาทำเองกับนายทหารชั้นสูงแหลมคมขึ้น เหล่าพลทหารนับวันแต่จะยืนเคียงข้างอยู่กับกลุ่มเสมอภาคไม่ยอมรับการนำของนายทหารกลุ่มอิสระ
กลุ่มเสมอภาคเป็นกลุ่มที่สะท้อนผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนน้อยพวกเขาหลั่งเลือดเสียสละในสงคราม แต่การปฏิวัติไม่ได้นำผลประโยชน์อะไรมาสู่พวกเขาหากกลับนำความทุกข์ยากและ
“ทรราชย์ใหม่” มาสู่พวกเขา พวกเขาเรียกร้องให้ปฏิวัติต่อไปดำเนินการปฏิวัติประชาธิปไตยให้ซึมลึกยิ่งขึ้น ทางการเมืองพวกเขาเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งทั่วไป
ทางเศรษฐกิจเรียกร้องให้เลิกระบอบผูกขาดทุกชนิด ปฏิรูประบบจัดเก็บภาษีอากร ยกเลิกการกว้านที่ดิน พวกเขามีความเรียกร้องให้สถาปนาสาธารณรัฐแต่ไม่สู้เด่นชัดนัก
ผู้นำสำคัญของกลุ่มเสมอภาคคือนักลัทธิประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน ชื่อ จอห์น ลิลเบอร์น (John
Lilburne ประมาณ 1614-1657) ลิลเบอร์นเคยถูกจับขังคุกในสมัยการปกครองของกษัตริย์ชาร์ลส์เนื่องจากเขาคัดค้านคณะอังกลิกัน หลังออกจากคุกในปี 1641
แล้วก็เข้าเป็นทหารร่วมรบอยู่ในกอง ทัพรัฐสภา
ต่อมาเนื่องจากไม่พอใจต่อนโยบายคัดค้านประชาชนของรัฐสภาจึงลาออกจากกองทัพ ปี 1646
เขาถูกกลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียนจับใส่คุกอีกเนื่องจากเผยแพร่คำพูดและข้อคิดเห็นให้ล้มราชบัลลังก์ เลิกสภาสูงและเลิกภาษี 10 ชัก 1เป็นต้น
ระหว่างอยู่ในคุกเขาก็ยังคงเคลื่อนไหวต่อไปโดยการออกจุลสาร
ที่โฆษณาเผยแพร่หลักนโยบายทางการเมืองของกลุ่มเสมอภาค
เขาเริ่มต้นจากทฤษฎีว่าด้วยสิทธิมนุษย์เป็นสิทธิฟ้าประทานของชนชั้นนายทุน เห็นว่าคนเราเกิดมาล้วนแล้วแต่เสมอภาค ล้วนมีสิทธิเท่าเทียมกันในด้านเสรีภาพและความปลอดภัยส่วนบุคคล
มีแต่กติกาที่ประชาชนเห็นชอบด้วยจึงเป็นแหล่งที่มาของอำนาจทางกฎหมาย เขาประณามรัฐสภาว่าเป็นทรราชย์ดุจเดียวกับกษัตริย์
ข้อคิดเห็นของลิลเบอร์นไม่ได้ล้ำออกนอกเส้นของชนชั้นนายทุน แต่ว่าความคิดประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนของเขากลับมีผลสะเทือนในหมู่พลทหารและมวลประชาชนอย่างใหญ่หลวง ปี 1647 พวกพลทหารเรียกร้องให้ปล่อยตัวลิลเบอร์น
สานุศิษย์ของเขาก็ดำเนินการจัดตั้งมวลชนพลทหารในกองทัพ ขยายการต่อสู้
กลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียนเห็นว่า
กองทัพที่คุมอยู่ในมือของกลุ่มอิสระเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุแผนการของพวกเขา ดังนั้นรัฐสภาจึงมีมติสลายกองทัพ ส่วนใหญ่ปลดประจำการกลับบ้าน ส่วนหนึ่งส่งไปปราบปรามการต่อสู้กู้ชาติของชาวไอร์แลนด์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี
1641 มตินี้ได้ก่อให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงภายในกองทัพ เดือนเมษายน1647
เหล่าพลทหารในกรมกองต่างๆได้เลือกผู้แทนของตน จัดตั้งเป็น “สภานักปลุกระดมพลทหาร” ดำเนินการต่อสู้ทวงเบี้ยเลี้ยงที่ตกเบิก คัดค้านการสลายกองทัพ ช่วงชิงสิทธิและผลประโยชน์ด้านต่างๆ ครอมเวลล์ ในฐานะตัวแทนพันธมิตรชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่ชั้นกลางได้เผชิญกับสถานการณ์ใหม่ของการต่อสู้ทางชนชั้นหลังสงคราม
ในชั้นแรกเขามุ่งหวังจะสร้างพันธมิตรกับชนชั้นนายทุนใหญ่และขุนนางใหม่ระดับบน
ร่วมเสพดอกผลของการปฏิวัติ ไม่มีความเห็นแย้งต่อมติสลายกองทัพของรัฐสภา กระทั่งขอร้อง “นักปลุกระดม”
ยอมรับมติของรัฐสภา
แต่ถูกคัดค้านอย่างหนักจากพลทหาร
มาถึงตอนนี้ ครอมเวลล์ เล็งเห็นถึงอันตรายที่เขาอาจต้องสูญเสียการสนับสนุนจากพลทหารชั้นล่าง จึงเปลี่ยนความคิดตัดสินใจปฏิเสธคำสั่งสลายกองทัพของรัฐสภา
ประกาศว่าจะแตกหักกับกลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียน วันที่ 2 มิถุนายน เขาคุมตัวชาร์ลส์ไปเก็บไว้ในค่ายทหารนิวมาร์เก็ต
เพื่อหยุดยั้งการสมคบคิดกับกษัตริย์ของกลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียน
ขณะเดียวกันครอมเวลล์ยังวางแผนจัดตั้ง
“สภากองทัพ”
ซึ่งประกอบขึ้นจากผู้แทนของนายทหารชั้นสูงและพลทหารชั้นล่าง เพื่อเป็นหลักประกันในการควบคุมกองทัพของเขา
เดือนกรกฎาคม พวกพลทหารเรียกร้องให้เคลื่อนทัพเข้าสู่กรุงลอนดอนทำการบดขยี้แผนการของพวกปฏิกิริยา ครอมเวลล์ได้ขอร้องและขัดขวางอย่างสุดความสามารถ ทั้งเสนอให้ “สภากองทัพ” ร่าง “หลักนโยบายการเจรจา” ขึ้นฉบับหนึ่งเพื่อดำเนินการเจรจากับกษัตริย์แต่ถูกกษัตริย์ชาร์ลสส์ปฏิเสธ ภายใต้แรงกดดันของมวลชนพลทหาร
ครอมเวลล์จึงจำต้องเคลื่อนทัพเข้าสู่กรุงลอนดอนในเดือนสิงหาคม กวาดล้างพวกวางแผนการ ของกลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียน สมาชิกรัฐสภากลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียนจำนวนมากพากันหลบหนีหัวซุกหัวซุน กลุ่มอิสระจึงได้กุมอำนาจรัฐสภามาไว้ในมือตนเอง
หลังจากกลุ่มคณะเพรสไบเทอร์เรียนถูกขับออกจากรัฐสภาแล้ว
การต่อสู้ระหว่างนายทหารชั้นบนที่เป็นกลุ่มอิสระกับพลทหารชั้นล่างที่เป็นกลุ่มเสมอภาคก็ระเบิดขึ้น
ปัญหาที่เป็นใจกลางของการต่อสู้คือปัญหา เกี่ยวกับรูปแบบอำนาจรัฐและปัญหาการเลือกตั้งทั่วไป นายทหารกลุ่มอิสระมีข้อคิดเห็นให้ธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบกษัตริย์และสภาสูงเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาใหม่โดยยึดถือคุณสมบัติทางทรัพย์สินเป็นหลัก ข้อ คิดเห็นเหล่านี้ของพวกเขาได้เขียนไว้ใน
“หลักนโยบายการเจรจา” อย่างแจ่มชัด ส่วนกลุ่มเสมอภาคนั้นเสนอ
“กติกาประชาชน” ขึ้นต่อต้าน
เสนอข้อคิดเห็นให้ดำเนิน “สิทธิเลือกตั้งทั่วไป” และสร้างรัฐสภาที่มีสภาเดียวบนพื้นฐานของการเลือกตั้งทั่วไปเป็นสถาบันอำนาจสูงสุดของประเทศ
โดยทางเป็นจริงแล้ว นี่เท่ากับเลิกสภาสูงและกษัตริย์สถาปนาสาธารณรัฐ เพียงแต่ไม่ได้เสนอออกมาอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้น
แต่ว่าหลักนโยบายของกลุ่มเสมอภาคไม่ได้แตะต้องปัญหามูลฐานของการปฏิวัติปัญหาหนึ่งก็คือปัญหาการเรียกร้องที่ดินของชาวนาในสังกัดบัญชีหลวง ละเลยต่อผลประโยชน์ของชาวนาผู้มีนาทำเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสมอภาคอ่อนแอไร้พลัง อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ว่าหลักนโยบายของกลุ่มเสมอภาคมีลักษณะจำกัด
แต่ก็เคยเกิดบทบาทสำคัญในการผลักดันให้การปฏิวัติพัฒนาซึมลึกยิ่งขึ้น
ปลายเดือนตุลาคม
1647 “กติกาประชาชน” ถูกนำเข้าอภิปรายในสภากองทัพซึ่งเปิดขึ้นในที่แห่งหนึ่งใกล้ๆกรุงลอนดอน
ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการโต้อภิปรายกันอย่างเผ็ดร้อน ครอมเวลล์เห็นว่า ระบอบกษัตริย์ไม่ควรไปโยกคลอน เขากล่าวว่า สิทธิเลือกตั้งทั่วไปจะนำไปสู่ภาวะ
“อนาธิปไตย” วันที่ 15 พฤศจิกายน
กลุ่มเสมอภาคถือโอกาสในพิธีสวนสนามของกองทัพดำเนินการสำแดงกำลัง เขียนคำขวัญ “กติกาประชาชน” “คืนเสรีภาพแก่ประชาชน ให้สิทธิผลประโยชน์แก่พลทหาร” ติดไว้ที่หน้าหมวกทหาร
แต่การสำแดงกำลังครั้งนี้ถูกครอมเวลล์ปราบลงอย่างรวดเร็ว ผู้นำการเคลื่อนไหวถูกจับใส่คุกและประหารชีวิต กลุ่มเสมอภาคพ่ายแพ้แล้วสภากองทัพถูกยุบและถูกแทนที่ด้วยสภานายทหาร
จบตอนที่ 6
No comments:
Post a Comment