Saturday, December 24, 2016

บอลเชวิค เส้นทางสู่การปฏิวัติตอนที่ 4.

ตอนที่ 4  กำเนิดลัทธิมาร์กซรัสเซีย

ความคาดหวังของเพลคานอฟต่อแนวโน้มในอนาคตเป็นเรื่องที่มืดมน   ยุทธวิธี “ลงสู่มวลชน” แบบเก่าล้าสมัยไปแล้ว   ชาวนาปฏิเสธคำโอ้โลมปฏิโลมของชาวนารอดนิคมากยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ       ในที่สุดอดีตชาวนารอดนิคส่วนใหญ่ก็ได้ละทิ้งความหวังอย่างไม่แยแส  กลับไปใช้ชีวิตในเมืองดื่มกินสนุกสนานหนักยิ่งกว่าเดิม     มีความเป็นไปได้ที่ความจัดเจนในระยะที่ผ่านมาของเขาในฐานะที่เป็นหัวหน้า ”ส่วนงานกรรมกร” ได้ผลักดันให้ เพลคานอฟ เสนอความเห็นต่อบรรดาสมาชิกของ เชอร์นี  พาราเดล   ว่าพวกเขาควรจะเข้าไปปลุกระดมมวลชนกรรมกรในโรงงาน     ดังนั้นเพลคานอฟจึงเริ่มเข้าไปเสาะหาและสร้างความสัมพันธ์กับกรรมกรที่เขาเคยมีความสัมพันธ์อยู่แต่เดิม     ในบรรดากรรมกรเหล่านี้ หนึ่งในนั้น ได้แก่คาลทูลินแห่งสหบาลกรรมกรรัสเซียภาคเหนือ      แต่กระแสของลัทธิก่อภัยร้ายยังเป็นที่ชื่นชอบของบรรดากรรมกรที่ก้าวหน้าซึ่งคาลทูลินก็มีส่วนร่วมอยู่ด้วย    

เดือนกุมภาพันธ์ 1880 มีความพยายามที่จะลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์     ผู้สนับสนุนแนวทางของ เชอร์นี  พาราเดล จึงถูกโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด     ลมหายใจเฮือกสุดท้ายได้มาถึงในเดือนมกราคม 1880   ตำรวจได้เข้าทะลายโรงพิมพ์ใต้ดินและทำการกวาดล้างจับกุมองค์กรก้าวหน้าต่างๆทั่วรัสเซีย  อนาคตของชาวนารอดนิคที่ไม่สนับสนุนการก่อภัยร้ายซึ่งภายหลังทรอตสกีได้ให้ข้อสังเกตว่า     ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดๆแต่เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น     แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ลัทธิมาร์กซ

อีกด้านหนึ่งซึ่งแตกออกไป   คือผู้ที่สนับสนุนกลุ่ม นารอดนายา โวลยา  ได้สร้างผลงานที่น่าประทับใจขึ้น   กล่าวคือ.....องค์กรเล็กๆที่ประกอบไปด้วยชายหญิงแค่สองสามร้อยคน  สามารถทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ทำให้พระเจ้าซาร์ต้องกลายเป็นเสมือนนักโทษที่ถูกคุมขังไว้ในพระราชวังของพระองค์เอง      ในเวลานั้นทิศทางของกระแสมวลชนได้หลั่งไหลไปสู่ นารอดนายา โวลยา  ที่ดำเนินการโดยตัวแทนซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงนักปฏิวัติรุ่นหนุ่มสาวทั้งสิ้น    องค์กรใหม่นี้มีการรวมศูนย์และดำเนินงานลับกันอย่างเข้มข้น นำโดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วย เอ.ไอ.เซลียาปอฟ  , เอ. ดี. มิคไคลอฟ  , เอ็ม.เอฟ. โฟรเลนโก, เอ็น .เอ. โมโซรอฟ,   เวรา  ฟิคเนอร์,  โซเฟีย  เปอร์รอฟสกายา  และคนอื่นๆ        เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวของชาวนารอดนิครุ่นเก่า   นโยบายของ นารอดนา โวลยา    แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้ากว่า  และมีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนกว่าในการต่อสู้คัดค้านระบอบเอกาธิปไตย     เลนินมักจะกล่าวคำสรรเสริญถึงความไม่เห็นแก่ตนเองของวีรบุรุษและวีรสตรี ชาวนารอดนิคผุู้กล้าหาญเหล่านี้อยู่  เสมอๆในขณะที่มีวิจารณ์ยุทธวิธีการก่อภัยร้ายเพียงด้านเดียว    ภายหลังท่านเขียนว่า “สมาชิกของ นารอดนายา  โวลยา ได้ก้าวล้ำไปหนึ่งก้าวแล้วในการต่อสู้ทางการเมือง  เพียงแต่ไม่อาจเชื่อมเข้ากับลัทธิสังคม นิยมเท่านั้น”

นโยบายของ นารอดนายา โวลยา ที่คาดหวังไว้ในอนาคตถึงการมี ”ตัวแทน”ถาวรที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นประชาธิปไตยและมีเสรีภาพอย่างเป็นทางการ ,   การโอนที่ดินให้แก่ประชาชน,   และมาตรการ  ให้โรงงานอยู่ในการจัดการของกรรมกร     การเคลื่อนไหวนี้มีพลังจูงใจต่อมวลชนที่กล้าหาญและเสีย  สละตัวเอง  รวมถึงคาลทูรินแห่งสหบาลกรรมกรภาคเหนือด้วย    เขาได้แสดงความอาจหาญอย่างมากด้วยการเริ่มต้นจากงานช่างไม้ในหน่วยเรือสำราญของพระจักรพรรดิ์    เป็นแบบอย่างของคนงานที่ได้รับความไว้วางใจ, และในเดือนกุมภาพันธ์ 1880 เขาได้ประกอบระเบิดที่มีอานุภาพร้ายแรงภาย ในโรงช่างของพระราชวังฤดูหนาว            เตรียมที่จะระเบิดพระราชวังของพระเจ้าซาร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางนครหลวงของพระองค์เอง     ผลก็คือ..รัฐเผด็จการได้เพิ่มมาตรการปราบปราบที่เข้มข้นขึ้นภายใต้ความรับผิดชอบของนายพล เมลิคอฟ       

กรณีของคาลทูรินเป็นเรื่องที่น่าสลดใจ..ในช่วงแรกๆเขามีความความรู้สึกที่ขัดแย้งอยู่ในใจระหว่างความจำเป็นในการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวด้านแรงงานและลัทธิก่อภัยร้าย  เหมือนที่ เวนทูรี ได้อธิบาย ..”คาลทูรินมีเส้นแบ่งระหว่างเป้าหมายของการขู่เข็ญคุกคาม(ศัตรู)และภาระหน้าที่ในการเป็นผู้นำองค์กรกรรมกรอย่างความชัดเจน      และในบางครั้งยังเปิดเผยความรู้สึกของตนออกมาว่า    ปัญญาชนได้บีบคั้นเขาโดยเริ่มจากการสะกิดบาดแผลของความล้มเหลวทุกๆครั้งในการก่อภัยร้าย     ถ้า..เพียงแต่พวกเขาจะให้เวลาและเปิดโอกาสแก่เราสักนิดเพื่อการสร้างความเข้มแข็งขึ้นมา "      แต่แล้วเขาก็ถูกความกระหายที่จะปฏิบัติการในทันทีซึ่งเป็นการนำเขาไปสู่หลักประหาร

ความสำเร็จทุกๆครั้งในการก่อภัยร้าย     ก็คือการเพาะเมล็ดพันธ์ของความเสื่อมถอย   การลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ในปี 1881  ไม่ได้ทำให้การปกครองที่กดขี่บรรเทาเบาบางลง       ยิ่งการก่อภัยร้ายต่อตัวบุคคลไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี  หัวหน้าตำรวจ  ยิ่งเป็นการเปิดทางให้กลไกรัฐที่กดขี่ทั้งปวงทำการต่อต้านการเคลื่อนไหวปฏิวัติรุนแรงยิ่งขึ้น      รัสเซียแบ่งการปกครองออกเป็นหลายมณฑล  โครพอทกิ้นกล่าวระลึกว่า แต่ละแห่งขึ้นอยู่กับข้าหลวงใหญ่  ส่วนมากได้รับคำสั่งให้แขวนคอผู้ที่ต่อต้านรัฐอย่างไร้ความปราณี    เช่นโควาลสกี้และพรรคพวกไม่ได้ยิงใครเลยต้องถูกประหารชีวิต     การแขวนคอกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน,  ภายในสองปีมีการแขวนคอประชาชนไปถึง 23 ราย   รวมถึงเด็กชายอายุ 19 ปีคนหนึ่ง    เพียงแค่ชูป้ายคำแถลงของนักปฏิวัติที่สถานีรถไฟซึ่งเป็นข้อกล่าวหาเพียงข้อเดียวที่ทำให้เด็กคนนั้นต้องโทษประหาร “เขายังเป็นแค่เด็กชาย  แต่ได้ตายเยี่ยงผู้ใหญ่

เด็กสาวคนหนึ่งอายุแค่ 14 ปีถูกเนรเทศไปไซบีเรียตลอดชีวิต  เพียงเธอพยายามกระตุ้นฝูงชนให้ปล่อยนักโทษบางคนในขณะที่ถูกนำไปประหาร,เธอฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดน้ำ    ผู้ต้องโทษใช้เวลาเป็นปีในที่คุมขังที่มีสภาพคล้ายถ้ำเล็กๆที่ชุกไปด้วยไข้ไทฟอยด์และเสียชีวิตไปถึง 20 % ภายในหนึ่งปีในขณะที่รอการไต่สวน       นักโทษพากันประท้วงต่อการปฏิบัติอย่างโหดร้ายของผู้คุมด้วยการอดอาหารก็ถูกบังคับให้กินด้วยการจับกรอกแม้   ผู้ที่พ้นโทษแล้วยังคงถูกเนรเทศไปยังไซบีเรีย     พวกเขาต้องประ สบกับความอดอยาก       รอจนกว่าจะได้รับความเห็นใจจากรัฐบาลอนุญาตให้กลับบ้านได้    ทั้งหมดนี้ได้สร้างความโกรธแค้นให้แก่บรรดาคนหนุ่มสาวเหมือนถูกสุมด้วยเปลวไฟของความเดือดแค้นที่ต้อง การจะแก้แค้น  

เหยื่อของภัยขาวจึงถูกทดแทนด้วยสมาชิกรุ่นใหม่  ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ต้องตกเป็นเหยื่ออยู่ในวงจรแห่งการกดขี่...ลัทธิก่อภัยร้าย...และการกดขี่อีกต่อไป...    คนรุ่นแล้วรุนเล่าต้องเสียชีวิตในเส้นทางเช่นนี้อย่างไม่มีวันจบสิ้น....   ฝ่ายอำนาจรัฐ..ไม่เพียงเฉพาะบุคคลทั่วๆไปและหัวหน้าตำรวจเท่านั้นที่เสริมความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม    โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด..แม้ต่อความจริงที่ว่ากลุ่ม  นารอดนายา โวลยา จะประสบความสำเร็จเพียงใดในการลอบสังหาร

รัฐมนตรี โพเบโดนอสต์เซฟ       อัยการสูงสุดคนใหม่สาบานว่าจะใช้อำนาจรัฐาธิปัตย์แบบ ”เลือดกับเหล็ก” ในการกวาดล้างกลุ่มที่ก่อภัยร้าย   กฎหมายที่เข้มงวดทยอยออกมาโดยให้อำนาจในการจับกุม เซนเซอร์และการเนรเทศเป็นไปได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด   ได้สร้างผลสะเทือนไม่แต่เพียงนักปฏิวัติเท่านั้น   ยังลุกลามไปถึงกลุ่มที่มีแนวโน้มไปทางเสรีนิยมอีกด้วย     การกดขี่ในชาติได้ยกระดับสูงขึ้น ด้วยการสั่งระงับสิ่งตีพิมพ์ที่ไม่ใช่ภาษารัสเซียทั้งหมด       กฎหมายยังส่งผ่านไปยังบรรดาเจ้าที่ดินให้ดูแลควบคุมชาวนาอย่างเข้มงวดอีกด้วย   

กระแสปฏิกิริยาได้แพร่กระจายไปยังโรงเรียนและมหาวิทยาลัย...ซึ่งถูกออกแบบมาให้บดขยี้รูปการต่างๆเกี่ยวกับเสรีภาพเพื่อเป็นการยับยั้งจิตใจที่ต่อต้านคัดค้านของเยาวชนคนหนุ่มสาวซึ่งเป็นเรื่องตรงกัน ข้ามกับความคาดหวังของบรรดานักก่อภัยร้าย    จากมาตรการที่เข้มงวดนี้..ไม่มีการลุกขึ้นสู้ของมวลชน ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อต้าน       ในไม่ช้าความหวังทั้งมวลของยุคแห่งลัทธิวีรชนที่ยอมเสียสละตัวเองก็ มอดมลายเป็นเถ้าถ่านไป        ปีกก่อภัยร้ายของลัทธินารอดนิค ถูกขจัดไปอย่างรวดเร็วจากกระแสของการจับกุม     ปี 1882 ศูนย์กลางขององค์กรถูกกวาดล้าง,ฝ่ายนำถูกจับกุม   การเคลื่อนไหวของชาวนา รอดนิคแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย.    .ณ.ชั่วโมงนี้..ชาวนารอดนิคดั้งเดิมที่ไม่ยอมจำนนได้กระจัด กระจายไปเคลื่อนไหวอยู่ในส่วนต่างๆของยุโรป      ดุลกำลังใหม่ทางชนชั้นกำลังถือกำเนิดขึ้นภายในประเทศรัสเซียที่ล้าหลัง

นับเป็นปีๆแล้วที่แนวคิดของมาร์กซและเองเกลส์(แม้ว่ารูปแบบจะยังไม่สมบูรณ์และมีลักษณะหยาบๆผิวเผินเป็นสิ่งที่นักปฏิวัติรัสเซียมีความคุ้นเคย    มาร์กและโดยเฉพาะเองเกลส์มีส่วนสัมพันธ์กับนักทฤษฎีของลัทธินารอดนิคในการถกเถียงโต้แย้งแลกเปลี่ยนกันอยู่     แต่ลัทธิมาร์กซ์ยังไม่ค่อยมีผู้สนับสนุนนักในรัสเซีย    มันยังถูกปฏิเสธจากลัทธิก่อภัยร้ายต่อตัวบุคคล   และยังคัดค้านต่อ  ”การที่รัสเซียจะก้าวไปบนเส้นทางสังคมนิยม"   การยืนยันต่อบทบาทนำของชาวนาในขบวนการปฏิวัตินั้นเหลือที่จะรับได้ในหมู่เยาวชนนักปฏิวัติ      หากจะการเปรียบเทียบ ”โฆษณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง” ของบาคูนิน  ซึ่งเป็นแนว คิดที่รัสเซียได้ประสบกับบทเรียนอันเจ็บปวดของระบอบทุนนิยม     ก็ยังดีกว่าที่จะไม่ยอมทำอะไรเลยของลัทธิยอมจำนน

ชาวนารอดนิครุ่นเก่าส่วนใหญ่จะมีความหมิ่นแคลนและดูเบาในเรื่องทฤษฎี    ตราบเท่าที่พวกเขายังพึ่ง  พาการอ้างถึงเหตุผลทางอุดมการณ์        เมื่อมาพิจารณาย้อนหลังตามความเป็นจริง จะเห็นว่าแนวทางเคลื่อนไหวที่เคยปฏิบัติกันมานั้นมีความบิดเบี้ยว   อีกทางหนึ่งพวกเขายังคงยึดมั่นในแนวคิดที่ว่าชาวนาว่ายังเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวปฏิวัติอยู่,   ซึ่งมันเป็น ”ภารกิจพิเศษทางประวัติศาสตร์” ของรัส เซีย    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลัทธิชนชาติสลาฟและกลุ่มลัทธิก่อภัยร้าย      นักอุดมคติของลัทธินารอดนิคจะยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างหัวชนฝา แทนที่จะยอมรับข้อผิดพลาดและเลือกแนวทางปฏิบัติ,ลองดำเนินการทางด้านยุทธศาสตร์และยุทธวิธีอื่นๆเพื่อจะได้เป็นการยืนยันทดสอบว่า    แนวคิดเดิมนั้นใช้ไม่ได้, การกระทำเช่นนั้นจะทำให้จมลึกไปสู่หล่มปลักของความพ่ายแพ้

การดำเนินการครั้งแรกในแนวทางใหม่โดยมีเพลคานอฟและพลพรรคเพียงไม่กี่คน  ได้วางรากฐานที่มั่น คงสำหรับอนาคตบนพื้นฐานของการแก้ไขทางด้าน ความคิด..ทฤษฎี..ยุทธวิธี  และแนวทางยุทธศาสตร์ เรื่องนี้...นับเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของเพลคานอฟ     ถ้าปราศจากการกระทำเช่นนี้ก็ไม่อาจคาดคิดไปถึงพัฒนาการของพรรคบอลเชวิค     แม้แต่เขาเองก็กล่าวว่า “นารอดนิคเป็นแค่ปลายก้อย” เพลคานอฟพยายามแสวงหาคำตอบต่อปัญหาหลักเกี่ยวกับวิกฤตการทางอุดมการณ์ของนารอดนิค   โดยศึกษางานของมาร์กซและเองเกลส์อย่างจริงจัง       เขาถูกบีบให้ต้องหลบภัยไปยังต่างประเทศในเดือนมกราคม 1880   เขาได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักลัทธิมาร์กซชาวฝรั่งเศสและเยอรมันและได้ต่อสู้ทางอุดม การณ์อย่างดุเดือดกับนักอนาธิปไตย     การที่ได้ประสบกับการเคลื่อนไหวด้านแรงงานในยุโรปเป็นเรื่องชี้ขาดต่อจุดเปลี่ยนในการพัฒนาทางความคิดของเพลคานอฟ

กลุ่มใต้ดินในรัสเซีย   งานนิพนธ์ของมาร์กซ์มีน้อยมาก,ที่พอจะหาได้คงมีแต่เฉพาะเรื่องเศรษฐศาสตร์ และก็เช่นเดียวกับผู้คนในยุคสมัยของเขาที่คุ้นเคยแต่เฉพาะนิพนธ์เรื่อง “ทุน” ของมาร์กซ,ซึ่งก็ถูกเซ็น เซอร์โดยรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ที่พิจารณาว่าเป็นอันตรายต่อความมั่นคง   ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่ว่าพวกเจ้าพนักงานเซนเซอร์เองนั้นมีความเข้าใจมันหรือไม่ ?     พวกเขาคิดแค่ว่า....ไม่ให้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนกรรมกรเท่านั้น     การที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการเคลื่อนไหวปฏิวัติรัสเซีย(เพราะลี้ภัย) ...ได้เปิดโอกาสให้แก่เพลคานอฟและคนอื่นๆได้เข้าถึงงานนิพนธิ์ต่างๆที่หาไม่ได้ในรัสเซีย    เพลคานอฟได้ศึกษาปรัชญาลัทธิมาร์กซ..ความเรียงเกี่ยวกับการต่อสู้ทางชนชั้นและทัศนะคติของวัตถุนิยมทางด้านประวัติศาสตร์ได้จุดประกายให้แก่การปฏิวัติรัสเซียในภายภาคหน้า    

เมื่อเปรียบเทียบกันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง….ความคิดเก่าเกี่ยวกับลัทธิก่อภัยร้าย..ลัทธิอนาธิปไตย..และลัทธินารอดนิค   ได้แตกสลายไปภายใต้การเข้ามาและการวิพากษ์วิจารณ์ของลัทธิมาร์กซ     เขาได้กล่าวไว้หลังจากที่ได้สะสมประสบการณ์ว่า  ” ไม่ว่าใคร..ที่ไม่ได้ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นกับเราแทบจะไม่สามารถจินตนาการถึงความกระตือรือร้นที่เราทุ่มเทตัวเองลงในการศึกษาของบทนิพนธิ์เกี่ยวกับสังคมประชา ธิปไตย   ท่ามกลางการดำเนินงานของนักทฤษฎีชาวเยอรมัน  ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วนับว่าเป็นนักทฤษฎีชั้นยอด   และยิ่งได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับพวกเขายิ่งทำให้เราเข้าใจเรื่องราวของสังคมประชาธิปไตยมากขึ้น    เราก็ยิ่งมีความเชื่อมั่นที่จะแก้ไขและพัฒนาการปฏิวัติของเราเอง...ทฤษฎีของมาร์กซ..เหมือนดั่งกระสวย...ที่สามารถนำเราก้าวออกจากความวกวนของความขัดแย้งที่ถูกยัดเยียดและแฝงฝังอยู่ในใจของเราโดยอิทธิพลของบาคูนิน"

อย่างไรก็ตาม     การแยกขั้วออกจากอดีตนั้นไม่ง่ายนักโดยเฉพาะกับ เลฟ ด๊อยท์ช และ เวรา ซาซูลิค ทั้งสองสามีภรรยายังคงตกอยู่ภายใต้ภาพลวงตาของลัทธิก่อภัยร้าย   จริงๆแล้วเมื่อข่าวการลอบสังหารพระเจ้าซาร์มาถึง     พวกเขาทั้งหมดยกเว้นเพลคานอฟมีใจที่จะกลับไปสู่ นารอดนายา โวลยาอีก   จากประสบการณ์ที่ผ่านมา,ในแต่ละสถานการณ์   เพลคานอฟได้เข้าใจว่า..ผู้ปฏิบัติงานของพรรคคนงานรัส เซียไม่ได้ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า  ชาวนารอดนายา โวลยา เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงวิถีปฏิบัติในการต่อสู้กับระบบซาร์แห่งยุคสมัย        

การเคลื่อนไหวตลอดมานั้นได้ก้าวขึ้นสู่กระแสสูงมาจากชีวิตและเลือดเนื้อของวีรชนปฏิวัติที่ได้เสียสละไปแล้วอย่างนับไม่ถ้วนซึ่งไม่อาจจารนัยได้หมดสิ้น     เป็นความจริงที่ ว่า..เพราะธรรมเนียมการเคลื่อน ไหวต่อสู้ของชาวนารอดนิค    แม้ว่าจะอยู่ในภาวะที่เสื่อมถอย..แต่ก็ยังคงเป็นที่ดึงดูดใจให้บรรดาคนรุ่นหนุ่มสาวที่มีความสับสน..เสาะแสวงหาหนทางไปสู่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม    เช่นอเล็กซานเดอร์   อูลิยานอฟ  พี่ชายของเลนินที่ถูกประหารเพราะมีส่วนร่วมในการวางแผนปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง ในปี 1887       สำหรับเลนินเองก็มีความเห็นอกเห็นใจชาวนารอดนิค   และเป็นที่แน่ นอนว่า  การเริ่มต้นชีวิตทางการเมืองของเขาก็คือผู้สนับสนุนพรรค นารอดนายา  โวลยา      การจะรัก ษาชีวิตของผู้คนจากวิถีของการก่อภัยร้ายนั้นเป็นหน้าที่แรกๆของนักลัทธิมาร์กซรัสเซีย

โดยไม่คำนึงถึงกำลังที่น้อยนิดของตน    กลุ่มของเพลคานอฟ ได้สร้างความตกใจให้แก่ฝ่ายนำของนารอดนายา โวลยา ที่พยายามขัดขวางสุ้มเสียงของลัทธิมาร์กซโดยใช้ท่าทีแบบขุนนาง      กลุ่มของเพลคานอฟ  พยายามแสวงหาเส้นทางที่จะนำไปสู่นักปฎิวัติรุ่นหนุ่มในรัสเซีย      ในที่สุดก็ต้องพบกำแพงแห่งอุปสรรคที่สร้างขึ้นมาโดยฝ่ายนำของนารอดนายา โวลยา ที่ควบคุมโรงพิมพ์ของพรรค  บรรณาธิ   การหนังสือ”ข่าวสารของพรรค” (The Narodnaya Volya Herald)   ปฏิเสธที่จะตีพิมพ์งานของเพลคานอฟ เรื่อง  “ระบอบสังคมนิยมและการต่อสู้ทางการเมือง”  งานบุกเบิกชิ้นแรกของเขาในการต่อต้านลัทธิอนาธิปไตย       

 เบื้องแรก ทิโคมิรอฟ(Tikhomirov)ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค นารอดนายา โวลยา  ดูเหมือนว่าจะเห็นคล้อยตามและมีแนวโน้มจะรับคำร้องของกลุ่ม   แต่หลังจากพิมพ์หนังสือเล่มดังกล่าวแล้ว    ทิโคมิรอฟ เปลี่ยนใจกระทันหันและยกเลิกการรับรองที่จะรับกลุ่มเข้าเป็นองค์กรจัดตั้งของพรรค นารอดนายา โวลยา โดยมีข้อแม้ว่า   แรกสุด...พวกเขาจะต้องทำการสลายกลุ่ม..และการสมัครเข้าเป็นสมาชิกจะต้องมีการพิจารณาแบบเป็นรายๆไป     ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับการประนีประ นอม,และภายในเดือนกันยายน 1883 นักลัทธิมาร์กซจึงได้ก่อตั้งกลุ่ม ”ปลดปล่อยแรงงานรัสเซีย” ขึ้นมา

ในช่วงเวลาของการแยกทางกัน  ทางกลุ่มนักลัทธิมาร์กซประกอบด้วยสมาชิกไม่เกินห้าคน  ได้แก่ เพลคานอฟ   อักเซลรอด   และเวรา  ซาซูลิค  ซึ่งล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีเกียรติ์ประวัติเป็นที่รู้จักกันดีในการเคลื่อนไหวของนารอดนิค เวรา  ซาซูลิค  มีชื่อเสียงซึ่งเป็นคนที่ชาวยุโรปรู้จักกันดีจากผลพวงของกรณี เทรปอฟ    เลฟ  ดอยท์ช  สามีของซาซูลิค ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในรัสเซียตอนใต้ในฐานะนักโฆษณา ชวนเชื่อของนารอดนิคอยู่จนกระทั่งปลายปีทศวรรษที่ 1870   ส่วนบทบาทของ วาซิลี  นิโคเลวิช  อิค นาตอฟ(1854-85) ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก    เขาได้หลบหนีไปยังรัสเซียตอนกลางเพื่อเข้าร่วม กับการประท้วงของขบวนนักศึกษา        ก่อนเสียชีวิตเขาได้สะสมเงินไว้เป็นจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือหน่วยในการเคลื่อนไหว    น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยวรรณโรค,ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางเขามิให้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมได้มากนัก   ส่วน ดอยท์ช ถูกจับกุมในเยอรมันเมื่อปี 1884 ถูกส่งตัวกลับรัสเซียและถูกตัดสินจำคุกหลายปี       การเสียชีวิตของ อิคนาตอฟ  มีผลกระทบต่อจำนวนสมาชิกในกลุ่มทำให้เหลืออยู่แค่เพียง 3 คน

พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากและการต่อสู้ที่โดดเดี่ยวภายใต้ชื่อจัดตั้งเป็นเวลานานหลายปี ซึ่งต้องใช้ความหาญกล้าอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนที่เสียงส่วนน้อยซึ่งเปี่ยมไปด้วยจิตสำนึกในการตัดสิน ใจต่อสู้..ทวนกระแสที่เชี่ยวกราก...โดดเดี่ยวจากมวลชน….สภาพที่เลวร้ายของการลี้ภัยบนหนทางที่ปก คลุมไปด้วยความตีบตัน,และแทบจะไม่มีโอกาส    มันไม่ใช่ครั้งสุดท้าย...ที่พลังของลัทธิมาร์กซรัสเซียได้ลดบทบาทลงสู่ระดับ ร่ำไห้ในที่ๆไร้ผู้คน   มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผูกโยงพวกเขาเอาไว้..นั่นก็คือความมั่นคงในอุดมการณ์   ทฤษฎี   และการประเมินเหตุการณ์ในอนาคต    เรื่องนี้..แม้จะเป็นความจริงที่ว่าอุดมการณ์ของพวกเขานั้นได้โบยบินไปสู่ความเป็นสัจธรรม     การเคลื่อนไหวด้านแรงงานในรัสเซียพึ่งจะอยู่ในขั้นเริ่มต้น   จริงอยู่แม้จะมีการเริ่มเคลื่อนไหวหยุดงาน    แต่นั่นไม่ได้อยู่ในวิสัยของสังคมนิยม    กลุ่มแรงงานเหล่านั้นดำรงอยู่และยังคงถูกครอบงำโดยแนวคิดของนารอดนิค   และเสียงที่แผ่วเบาของกลุ่มปลดปล่อยแรงงานยังคงไม่ได้ยินในโรงงาน...   แม้แต่ขบวนนักศึกษาก็ยังถูกสะกดไว้ด้วยแนวโน้มของลัทธิอนาธิปไตยและการก่อภัยร้ายสรุปก็คือ..ยังยากที่จะเข้าถึง

จดหมายที่เพลคานอฟเขียนถึง อัคเซลรอด เมื่อปลายเดือน มีนาคม 1889  มีใจความตอนหนึ่งว่า  “ทุกคน (ทั้งพวกเสรีนิยมและสังคมนิยม)  กล่าวอย่างไม่มีข้อโต้แย้งว่า....คนรุ่นหนุ่มสาวจะไม่สนใจฟังใครก็ตามที่กล่าวต่อต้านลัทธิก่อภัยร้าย     ต่อสิ่งนี้เราจะต้องมีความระมัดระวัง  ภายหลังการก่อตั้งกลุ่มปลด ปล่อยแรงงาน   ไม่นานนักก็ต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างรุนแรงจากทุกฝ่ายโดยถูกกล่าวหาว่า”ทรยศ” ต่อการปฏิวัติของลัทธินารอดนิค     จากประเทศที่ลี้ภัย  ทิโคมิรอฟ ได้ติดต่อกับบรรดาสหายในรัสเซีย เตือนพวกเขามิให้ยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มของเพลคานอฟ  กระแสของการใส่ร้ายบิดเบือนบังเกิดผล    โซบอฟสกี  สานุศิษย์ดั้งเดิมของ บาคูนิน ได้ตั้งข้อสังเกตอย่างเหน็บแนมว่า..”พวกคุณทั้งหลายไม่ใช่นักปฏิวัติ  แต่เป็นได้แค่นักเรียนของวิชาสังคมวิทยา”  ประเด็นหลักที่ถูกโจมตีอย่างสม่ำเสมอได้แก่ “แนวคิดของ มาร์กซนั้นใช้ไม่ได้ในรัสเซียและนโยบายของเพลคานอฟนั้นก็ลอกเลียนมาจากเยอรมันอย่างไม่มีความละอาย

ในปลายทศวรรษที่ 1880   จะเห็นว่าแนวคิดของลัทธิมาร์กซได้เป็นที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้าง ขวางในการเคลื่อนไหวของมวลชนกรรมกรยุโรปจากการเคลื่อนไหวที่ถูกโดดเดี่ยวในรัสเซียทำให้สมา ชิกของกลุ่ม ”ปลดปล่อยแรงงาน”   ถูกดึงเข้ามาใกล้ชิดกับพรรคสังคมนิยมสากลที่มีพลังโดยสัญชาติญาน     เพลคานอฟและบรรดาสหายได้ตีพิมพ์บทความ,กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมต่างๆโดยเฉพาะของพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมันที่เป็นพรรคของ มาร์กซ  เองเกลส์  ลิปเนคท์ และเบเบล พวกเขาได้รับกำลังใจและความช่วยเหลืออย่างดีจากพรรคสังคมประชาธิปไตยในยุโรป      พลังลัทธิมาร์กซในรัสเซียยังเล็กมากแต่ก็ได้ผนึกกำลังเข้ากับกองทัพอันมหึมาของชนชั้นกรรมาชีพในเยอรมัน    ฝรั่งเศส  เบลเยียม  จำนวนล้านๆคน   ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของลัทธิมาร์กซ..ที่ไม่ใช่ถ้อยคำบรรยายในหนังสือ”ทุน” หากแต่เป็นจำนวนของสมาชิกสหบาลกรรมกร,สาขาพรรค,และคะแนนเสียงส่วนหนึ่งในรัฐสภา

แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากกลุ่มสังคมประชาธิปไตยยุโรป    แต่ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับการทุ่มเทจิตใจ     ผู้นำกลุ่มได้ใช้เวลานับปีในการสร้างความสัมพันธิ์ฉันท์มิตรกับผู้นำกลุ่มนารอดนิคเช่นลาฟลอฟ    โดยส่วนตัวแล้ว,ผู้นำพรรคสังคมประชาธิปไตยดูเหมือนว่ายังไม่ค่อยจะไว้วางใจต่อกลุ่มที่แยก ตัวออกไปนัก      การโต้แย้งอย่างเฉียบคมของเพลคานอฟต่อนารอดนิคได้สร้างสร้างความตื่นตะลึงขึ้นอย่างกว้างขวางในการ ”พูดความจริง”     เพลคานอฟเขียนว่า...การต่อสู้กับสาวกบาคูนินของเรา บาง    ทีสังคมประชาธิปไตยตะวันตกอาจจะเกิดความหวั่นวิตกมากขึ้น      การพิจารณาของพวกเขาไม่ค่อยจะถูกกาละนัก   พวกเขาหวาดหวั่นต่อคำโฆษณาชวนเชื่อของเรา  เนื่องมาจากการแยกตัวออกมาจากพรรคปฏิวัติซึ่งจะทำให้พลังต่อต้านรัฐบาลอ่อนด้อยลง”

ความเจ็บปวดส่วนนั้นจะต้องเก็บกลืนเอาไว้ดังที่เองเกลส์ได้ติดต่อกับ  เวรา ซาซูลิค ทางจดหมาย   ใน ความเห็นของเขายอมรับถึงความเป็นไปได้ในการสร้างสังคมนิยมในประเทศที่ล้าหลังอย่างรัสเซีย   ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการวิเคราะห์     สำหรับตัวมาร์กซเอง..คำนำในแถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์( The communist manifesto ) ฉบับพิมพ์ภาษารัสเซียปี 1882 และนิพนธิ์อื่นๆก็ไม่ได้ชี้แสดงถึงความเป็นไปได้ในการสร้างสังคมที่ไร้ชนชั้นในรัสเซียบนพื้นฐานของนิคมหมู่บ้าน(mir /มีร์)    แต่ได้ผูกโยงอย่างชัด เจนถึงภาพในอนาคตของการปฏิวัติสังคมนิยมในประเทศที่ระบอบทุนนิยมพัฒนาแล้วอย่างในประเทศ ยุโรปตะวันตกท่านเขียนว่า ....”สัญญานที่บ่งบอกถึงการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพในตะวันตก, ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินผืนเล็กๆในรัสเซียปัจจุบันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาการของพรรคคอมมิวนิสต์  ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน

จากจดหมายที่มีถึงซาซูลิค ลงวันที่ 23 เมษายน 1885 เองเกลส์ มีความระมัดระวังอย่างยิ่งต่อหนังสือของเพลคานอฟเรื่อง “ความแตกต่างของเรา”(Our Differences) ด้านหนึ่งเองเกลส์ผู้เฒ่าได้แสดงถึงความภาคภูมิใจว่าในรัสเซียคนหนุ่มสาวที่สังกัดพรรคได้ยอมรับทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ทางประวัติ ศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ของมาร์กซที่ตรงไปตรงมาและไม่คลุมเครือ    สามารถหักล้างกับแนวคิดที่มีลักษณะอนาธิปไตยทั้งมวลและธรรมเนียมปฏิบัติที่ไร้สาระของคนรุ่นก่อนหน้านี้ลงอย่างสิ้นเชิง กรณีดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่บรรดาผู้นำพรรคสังคมประชาธิปไตยสากลจะมองนักลัทธิมาร์กซรัสเซียกลุ่มเล็กๆนี้ด้วยสายตาที่หมิ่นแคลนอีกต่อไป

พรรคที่มีพื้นฐานมาจากพลังสนับสนุนของมวลชน   ยังเป็นเรื่องที่หนักใจสงสัยกันอยู่ในความคิดของบรรดาผู้นำกรรมกรตะวันตกถึงความเป็นไปได้ที่จะสร้างพรรคปฏิวัติลัทธิมาร์กซขึ้นได้ในรัสเซีย   ทางนอกประเทศต่างให้ความนับถือเพลคานอฟและกลุ่ม       แม้พวกเขาแม้จะรวม่กันแต่ก็ยังคงความเป็นอิสระต่อกันซึ่งเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจ       อะไรคือปัญหาของความไม่ลงรอยกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้นนี้?   มันสืบเนื่องมาจากความไม่ชัดเจนทางทฤษฎีหรือ?   มีความจำเป็นที่จะต้องแยกแยะคำถามเหล่านี้หรือ ไม่?   ทำไมนักปฏิวัติรัสเซียจึงไม่สามารถรวมตัวกันได้?

ทัศนะคติในการสงสัยของพวกเขาดูเหมือนว่าจะตัดสินกันที่ความใหญ่เล็กของกลุ่มและมีความคืบหน้าที่ค่อนข้างจะล่าช้า     โดยการเปรียบเทียบแล้วกลุ่มนารอดนิคที่มีองค์กรจัดตั้งที่ใหญ่กว่ามาก,มีทรัพยา กรมากกว่า    และมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อทั้งภายในและภายนอกรัสเซีย กระนั้นกลุ่มที่เพลคานอฟเป็นตัวแทนที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความสำคัญอันใดนักพึ่งจะเป็นหน่ออ่อนของพรรคปฏิวัติซึ่งประกอบไป ด้วยพลังมวลชนอันไพศาล     ผ่านการต่อสู้มาเป็นเวลาถึง  34 ปี    โดยมีจุดมุ่งหมายในการนำมวลชนกรรมกรและชาวนารัสเซียไปช่วงชิงอำนาจและสถาปนารัฐประชาธิปไตยของกรรมกรให้เป็นจริงขึ้นมา


No comments:

Post a Comment