Saturday, January 14, 2017

พัฒนาการของทุนนิยมในยุโรป 5

ตอนที่ 5..
การปกครองของราชวงศ์สจ๊วตและความสุกงอมของสถานการณ์ปฏิวัติ

ปี 1603  พระราชินีเอลิสซาเบธ (Elizabeth.I ครองราชย์ 1558-1603)  ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ทิวดอร์ได้สิ้นพระชนม์ลงพระองค์ไม่มีทายาท   จึงให้พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งราชวงศ์สจ๊วตของ สก๊อตแลนด์เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์     และเปลี่ยนพระนามเป็นเจมส์ที่ 1 (James 1ครองราชย์  1603-1625) จากนั้นมาก็เริ่มการปกครองของราชวงศ์สจ๊วตในอังกฤษ    อังกฤษกับสก๊อตแลนด์ถึงแม้ว่าจะมีประมุของค์เดียวกันแต่ทั้งสองรัฐก็ไม่ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน   สก๊อตแลนด์ยังคงรักษาอำนาจการปกครองตนเองไว้ไม่น้อยรวมทั้งรัฐสภาและศาสนาก็มีระบอบของตัวเอง

หลังจากเจมส์ที่ 1 มาอยู่อังกฤษ   ก็ได้พยายามธำรงรักษาระบอบเผด็จการศักดินาที่เน่าเฟะในทุกด้านเอาไว้   เขาโฆษณาทฤษฎีว่าด้วยอำนาจกษัตริย์เป็นอำนาจฟ้าประทาน อำนาจกษัตริย์ไม่มีขอบเขตจำกัดเป็นต้น   เห็นว่ากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายและรัฐสภา    ในด้านนโยบายเศรษฐกิจพระเจ้าเจมส์ก็ดำเนินระบอบผูกขาดอย่างขนานใหญ่       เป็นเจ้าของสัมปทานในการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าบางประเภทต่อบุคคลหรือบริษัท     ระบอบผูกขาดได้ขยายขอบเขตไปในแขนงการผลิตหลายแขนงและเกือบจะทั้งหมดของการค้ากับต่างประเทศและส่วนใหญ่ของการค้าภายในประเทศ   ระบอบผูกขาดทำให้นายทุนส่วนน้อยที่มีความสัมพันธ์ติดต่ออยู่กับราชสำนักร่ำรวยขึ้น    แต่ชนชั้นนายทุนกลางกับนายทุนน้อยกลับได้รับความเสียหาย   

ในด้านนโยบายทางศาสนาพระองค์ได้เสริมฐานะการปกครองของคณะอังกลิกันเพื่อเสริมความ มั่นคงให้กับอำนาจกษัตริย์ทั้งทำการปองร้ายสาวกนิกายพิวริแตนส์อย่างขนานใหญ่       เสือกไสพวกเขาต้องหลบหนีลี้ภัยไปอยู่อเมริกาเหนือ    ในด้านนโยบายต่างประเทศพระเจ้าเจมส์ละเมิดผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน     ยกเลิกนโยบายต่างประเทศดั้งเดิมที่ร่วมมือกับฮอลแลนด์ที่เป็นโปรเตสแตนท์    โจมตีสเปนที่เป็นโรมันคาทอลิค   ซึ่งเป็นนโยบายที่ยึดถือมาโดยตลอดแต่สมัยราชวงศ์เอลิซาเบธที่ 1 ในความ  พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะคืนดีกับสเปนและเป็นพันธมิตรด้วย   กระทั่งพยายามจะให้เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าหญิงแห่งสเปน   เพื่อเสริมความมั่นคงให้กับพันธมิตรอังกฤษสเปน   มุ่งหวังจะใช้อิทธิพลศักดินาทางสากลมารักษาการปกครองของตนในอังกฤษ

การปกครองของพระเจ้าเจมส์ในอังกฤษ  ทำให้ความขัดแย้งทางชนชั้นภายในประเทศทวีความรุนแรงยิ่ง ขึ้น   ชาวนาอันไพศาล  หัตถกร    คนงานสถานประกอบการและกรรมกรรายวันต่างไม่พอใจต่อนโยบายของราชวงศ์สจ๊วต ได้ก่อการจลาจลหลายต่อหลายครั้ง    ปี 1607 ชาวนาในแคว้นนอร์ตแธมป์ตัน เลส เตอร์  วอร์วิค  ทางภาคกลาง  ได้ก่อการเคลื่อนไหวของขบวนการ “ชาวที่ลุ่ม” ที่มีขนาดใหญ่โตเพื่อคัด ค้านเจ้าที่ดินที่กล่าวอ้างการระบายน้ำในผืนที่ดินซึ่งเป็นที่ลุ่มเข้าครอบครองที่ดินสาธารณะ    ต่อมาก็แพร่สะพัดไปในท้องที่อื่นๆ    ปี 1617  ในลอนดอนได้เกิดการลุกขึ้นสู้ของผู้ฝึกงานหัตถกรรมที่ว่างงานจำนวนมาก   ปี 1620 ในเมืองของแคว้นต่างๆทางภาคตะวันตกก็มีชาวนาก่อเหตุวุ่นวายอย่างหนัก  การต่อสู้ของมวลชนพัฒนาไปอย่างครึกโครมได้สั่นคลอนระเบียบศักดินา        ทั้งเป็นการหนุนเสริมให้การต่อสู้กับอำ นาจกษัตริย์ของฝ่ายค้านซึ่งเป็นชนชั้นนายทุนในรัฐสภาเข้มแข็งขึ้น   การที่กษัตริย์ดำเนินนโยบายจัดเก็บภาษีอัตราสูงและระบอบผูกขาดในอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม   ทำให้อุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมของอังกฤษตกอยู่ในสภาพซบเซา   ทำให้ชนชั้นนายทุนเกิดความไม่พอใจ   พวกเขาจึงปฏิเสธที่จะสนับสนุนกษัตริย์ทางด้านการคลัง      คัดค้านนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศของกษัตริย์

ปี 1625  พระเจ้าเจมส์สิ้นพระชนม์   ชาร์ลส์ที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทขึ้นครองราชย์    ได้ดำเนินนโยบายสืบต่อจากผู้พ่อ   ในกระบวนการต่อสู้คัดค้านอำนาจกษัตริย์นั้นในสภาล่างได้ปรากฏผู้นำฝ่ายค้านของขุนนางใหม่ชนชั้นนายทุนขึ้นจำนวนหนึ่ง  เช่น เซอร์จอห์น เอเลียต(Eliot Sir John 1592-1632) จอห์น ฮัมป์เดน (Hampden John 1594-1643)     จอห์น พีม(Pym John 1584-1643) เป็นต้น   พีมเคยเป็นผู้พิพากษารักษาความสงบ   เป็นเจ้าที่ดินใหญ่   เคยลงทุนทำเหมืองถ่านหินและตั้งบริษัทเสี่ยงภัยของพ่อค้า    มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการล่าอาณานิคม       ฮัมป์เดนเป็นผู้นำคนสำคัญของพิวริแตนส์ได้รับมรดกที่ดินเป็นจำนวนมากจากกองมรดกและการแต่งงานจนกลายเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษ  

บุคคลเหล่านี้มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับชนชั้นนายทุนอังกฤษ   เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน   พวกเขากล่าวตำหนิติเตียนนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลว่าอ่อนแอไร้ความสามารถ คัดค้านอำนาจอภิสิทธิ์ของกษัตริย์อย่างเด็ดเดี่ยว   พวกเขาอ้างบทบัญญัติใน “มหาธรรมนูญ”*(มหาธรรมนูญ เป็นเอกสารจำกัดอำนาจกษัตริย์ซึ่งเจ้าศักดินาใหญ่ของอังกฤษภายใต้การสนับสนุนของอัศวินและชาวเมือง  บีบบังคับให้กษัตริย์จอห์นแห่งอังกฤษลงนามในปี1215)   แต่ตีความตามทัศนะของชนชั้นนายทุน ทั้งใช้ชื่อ “ประชาชน” ไปจำกัดอำนาจกษัตริย์   ปี 1628 รัฐสภาได้เสนอ “หนังสือร้องเรียนเพื่อสิทธิและผลประโยชน์”   เรียกร้องว่าหาก    ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภากษัตริย์จะกู้เงินและเก็บภาษีไม่ได้    ถ้าไม่ได้อาศัยกฏหมายของรัฐหรือตัดสินของศาลยุติธรรมจะเที่ยวจับกุมคุมขังหรือริบทรัพย์สินของใครต่อใครไม่ได้     ไม่ให้จับกุมพลเมืองตามอำเภอใจโดยอาศัยประกาศภาวะฉุกเฉิน   ไม่ให้ยึดเอาอาคารบ้านเรือนของประชา ชนเป็นที่พักแรมของกองทหารเป็นต้น       พระเจ้าชาร์ลส์จนใจที่ถูกบีบจากภาวะยากลำบากทางการคลังจึงทำเป็นยอมเซ็นต์อนุมัติใน “หนังสือร้องเรียน”  หลอกเอาเงินช่วยเหลือไปได้ 350,000 ปอนด์  ต่อมาไม่นานก็จัดการยุบรัฐสภา

ระหว่างปี 1629-1640  พระเจ้าชาร์ลส์ ยุติการเรียกประชุมรัฐสภา   โดยให้ เคาน์ สตราฟฟอร์ด (Strafford 1593-1641)  และสังฆราชใหญ่ วิลเลียม ลอด (Laud William 1573-1645) เป็นที่ปรึกษา   ดำเนินการปกครองเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ไม่มีรัฐสภา   ในระหว่างนี้  พระองค์ได้จัดการจับผู้นำฝ่ายค้านในรัฐสภา 9 คนยัดเข้าคุก  ในจำนวนนี้  เอเลียต ป่วยเสียชีวิตในคุก     สาวกนิกายพิวริแตนส์ถูกปองร้ายหมายหัว    ระหว่างปี 1630-1640  สาวกนิกายพิวริแตนส์ที่ถูกบีบต้องหนีตายไปอยู่ต่างประเทศมีจำนวนถึง 65,000 คน   ในจำนวนนี้มี 20,000 คนหนีไปอยู่อเมริกาเหนือ      เพื่อสร้างรากฐานการคลังที่ไม่ต้องพึ่งพารัฐสภาพระเจ้าชาร์ลส์ได้บังคับเก็บภาษีจิปาถะ   ขายสัมปทานในการจำหน่ายสินค้าโดยกำหนดให้สินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันจำนวนมากเข้าอยู่ในขอบข่ายที่ผู้ได้รับสัมปทานเท่านั้นจึงจำหน่ายได้   ปี 1630 กำหนดว่าผู้มีรายได้จากที่ดินปีละ 40 ปอนด์ขึ้นไป   จะต้องรับสมญานามอัศวินเสียเบี้ยอัศวิน  มิฉะนั้นจะต้องถูกปรับ   ปี 1634 มีราชโองการให้สำรวจหลักเขตหวงห้ามของราชสำนัก   ผู้รุกล้ำเขตจะต้องถูกจับเสียค่าปรับ   ปี 1634 เริ่มเก็บภาษีเรือ* (ภาษีเรือ”  เป็นภาษีที่จัดเก็บขึ้น เพื่อรับมือกับโจรสลัด ที่มักจู่โจมตีต่อหมู่บ้านตามชายฝั่งทะเลของ ราชอาณาจักรในศตวรรษที่ 11-12 ได้ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้แล้ว) ปี 1635-1637 การเรียกเก็บภาษีเรือถึงกับขยายไปสู่แคว้นต่างๆที่เป็นดินแดนชั้นใน    เป็นเหตุให้มวลชนเกิดความไม่พอใจอย่างมาก

การรีดนาทาเร้นของพระเจ้าชาร์ลส์   ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น   การผลิตตกอยู่ในภาวะสับสน   เศรษฐกิจซบเซา   คนว่างงานเพิ่มมากขึ้น   การลุกขึ้นสู้ของชาวเมืองเกิดขึ้นไม่ได้ขาด   ปี 1639-1640 หัตถกรและคนงานในลอนดอนได้จัดให้มีการเดินขบวนสำแดงกำลังที่มีขนาดใหญ่โต  การเคลื่อนไหวของชาว นา  ในระหว่างทศวรรษที่ 1630-1640 ก็ปรากฏกระแสสูงใหม่   ปี 1632 และ1638  ชาวนาในแคว้นเคมบริดจ์  ได้ก่อการเคลื่อนไหวคัดค้านขบวนการกว้านที่ดิน   จากนั้นก็ขยายตัวไปยังแคว้นอื่นๆ    ปี 1639-1640 ชาวนาในแคว้นลินคอร์นก็ขยายการต่อสู้คัดค้านขบวนการกว้านที่ดินที่มีขนาดใหญ่โตขึ้น    พวกเขาได้บุกเข้าทำลายทำนบกั้นน้ำ   ปล่อยน้ำเข้าท่วมที่ดินสาธารณะที่ถูกยึดครอง    การต่อสู้อย่างกว้างขวางของประชาชนผู้ใช้แรงงานเป็นนิมิตหมายของมรสุมการปฏิวัติที่กำลังคืบใกล้เข้ามาทุกที     การลุกขึ้นสู้ในสก๊อตแลนด์ก็ยิ่งเร่งฝีก้าวให้การพัฒนาสถานการณ์ปฏิวัติขยายตัวเร็วยิ่งขึ้น

ภายหลังที่บัลลังก์กษัตริย์ของสก๊อตแลนด์รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับของอังกฤษแล้ว  ทางสก๊อตแลนด์ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งอำนาจการปกครองของตนเองไม่น้อย     เพื่อเสริมความมั่นคงให้กับอำนาจของกษัตริย์  พระเจ้าชาร์ลส์พยายามสร้างฐานะการปกครองของศาสนานิกายอังกลิกันขึ้นในสก๊อตแลนด์    แต่ถูกคัดค้านจากขุนนางและชนชั้นนายทุนของสก๊อตแลนด์อย่างเด็ดเดี่ยว        ทั้งใช้คณะเพรสไบเทอร์เรียนของสก๊อตแลนด์ไปคัดค้านคณะอังกลิกัน   ปี 1637 สังฆราชใหญ่ ลอด มีคำสั่งให้คณะเพรสไบเทอร์เรียนของสก๊อตแลนด์ใช้บทสวดวิงวอนของคณะอังกลิกันในพิธีกรรมทางศาสนา     หวังสร้างระบอบเผด็จการในสก๊อตแลนด์       

คำสั่งนี้ได้กลายเป็นชนวนการลุกขึ้นสู้ของสก๊อตแลนด์ ในปี 1638-1639 ชาวสก๊อตแลนด์ได้โจมตีกองทหารของอังกฤษแตกกระเจิงและรุกเข้าสู่ดินแดนอังกฤษเป็นครั้งแรก    เพื่อจัดหางบค่าใช้จ่ายทางทหารกษัตริย์ชาร์ลส์ถูกบีบจำต้องเรียกประชุมรัฐสภาในเดือนเมษายน 1640    ภายใต้กระแสสูงของการเคลื่อนไหวของมวลชน  รัฐสภาปฏิเสธคำเรียกร้องของบทางทหารของกษัตริย์   ทั้งรุกฆาตกษัตริย์ให้จัดการลงโทษพวกขุนนางสอพลอ  ยกเลิกมาตรการทั้งปวงที่กำหนดขึ้นแบบรวบอำนาจในช่วงไม่มีรัฐสภา    เดือนพฤษภาคมกษัตริย์ชาร์ลส์จัดการยุบรัฐสภา     การประชุมรัฐสภาครั้งนี้ตั้งแต่เริ่มเปิดสมัยประชุมจนถูกยุบมีช่วงเวลาสั้นๆไม่ถึงหนึ่งเดือน     ในประวัติศาสตร์จึงเรียกว่า “รัฐสภาช่วงสั้น”

หลังยุบรัฐสภาหนึ่งวัน คือวันที่ 6 พฤษภาคม     ในลอนดอนมีการเดินขบวนสำแดงกำลังคัดค้านรัฐบาลเผด็จการ   ที่แสดงออกอย่างเอาการเอางานที่สุดคือคนงานหัตถกรรมและผู้ฝึกงาน   ผู้เข้าร่วมยังมีกะลา สีเรือ  กรรมกรท่าเรือและพวกทำงานรับจ้างเบ็ดเตล็ด      วันที่ 14 พฤษภาคม  มวลชนในลอนดอนออกปฏิบัติการอีก  โดยบุกโจมตีคุกหวังจะช่วยเหลือมวลชนที่ถูกจับอันสืบเนื่องจากการเดินขบวนสำแดงกำลังในวันที่ 6 พฤษภาคม   ชาวนาในท้องที่ต่างๆนอกลอนดอนพากันโถมตัวเข้าต่อสู้แย่งชิงที่ดินของตนกลับ คืนมาและช่วงชิงสิทธิผลประโยชน์ของตนเองเพื่อหนุนช่วยซึ่งกันและกัน       หมู่บ้านต่างๆที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวได้จัดตั้งเป็นแนวร่วม   เริ่มตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 1640  และต่อจากนั้นมาเป็นเวลา 12 ปี   การเคลื่อนไหวของมวลชนพัฒนาเติบใหญ่มิได้ขาดกลายเป็นแหล่งที่มาของขุมกำลังปฏิวัติอันหนาแน่น  ราชวงศ์สจ๊วตกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางการเมืองอย่างลึกซึ้

การปฏิวัติเริ่มขึ้นสงครามภายในประเทศสองครั้งและการสถาปนาสาธารณรัฐ
การเปิดประชุมรัฐสภาช่วงยาว ขั้นใหม่ในการคัดค้านเผด็จการทรราชย์ของมวลประชาชน
เดือนสิงหาคม 1640 ชาวสก๊อตแลนด์ได้ก่อการโจมตีละลอกใหม่   กษัตริย์ชาร์ลส์เผชิญกับสถานการณ์คับขันจำใจต้องเรียกประชุมรัฐสภาอีก   ผลการเลือกตั้งในรัฐสภาใหม่ปรากฏว่าชนชั้นนายทุนและขุน นางใหม่ได้รับชัยชนะอีก   สมาชิกรัฐสภาช่วงสั้นมีกว่าครึ่งได้รับเลือกเข้ามาใหม่    รัฐสภาใหม่นี้ดำรงอยู่จนถึงเดือนเมษายน 1653   ในประวัติศาสตร์เรียกว่า “รัฐสภาช่วงยาว”   รัฐสภาช่วงยาวที่มีชนชั้นนาย ทุนและขุนนางใหม่เป็นฐาน   ซึ่งเคยมีบทบาทเป็นศูนย์การนำของการปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษในชั่วระยะหนึ่ง   การเปิดประชุมรัฐสภาช่วงยาวเป็นนิมิตหมายแสดงว่า        การต่อสู้คัดค้านเผด็จการทรราชย์ของมวลประชาชนได้ก้าวเข้าสู่ขั้นใหม่แล้ว...การเปิดฉากโหมโรงการปฏิวัติชนชั้นนายทุนได้เริ่มขึ้นแล้ว

ฤดูใบไม้ร่วงต่อฤดูหนาวของปี 1640   ในขณะที่มีการประชุมรัฐสภาช่วงยาวนั้น มวลชนในนครหลวงเปี่ยมล้นไปด้วยจิตใจปฏิวัติ   เจ้าหน้าที่ตำรวจในลอนดอนได้ถอนกำลังออกจาก “เขตเมือง”  ด้วยความหวาด กลัวมวลชน    ชาวเมืองในลอนดอนพากันเฮโลเข้าไปในเขตเมือง   พวกเขาบุกเข้าไปในวิหารชุมนุมกันในห้องโถง   อภิปรายปัญหาเกี่ยวกับแผนการของราชสำนัก      ประกาศบนท้องถนนว่าจะลงโทษผู้วางแผนการที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติสถานหนัก    กดความฮึกเหิมของราชสำนักและสังฆราชลงไป เมื่อ     การปฏิวัติมีบรรยากาศสู้รบสูงขึ้น   รัฐสภาช่วงยาวได้รับการสนับสนุนจากประชาชน   ทำให้การต่อสู้กับกษัตริย์เข้มข้นขึ้น

อำนาจการนำของรัฐสภาช่วงยาวยุคแรกอยู่ในมือของพวกเพรสไบเทอร์เรียน   ในจำนวนสมาชิกรัฐสภา 500 กว่าคน    มีอยู่ 400 กว่าคนมาจากผู้พิพากษาศาลรักษาความสงบ  และผู้เคยดำรงตำแหน่งบริหาร งานท้องถิ่น    ผู้นำในรัฐสภายังคงเป็น พิมม และ ฮัมป์เดน  ที่เคยนำการต่อสู้ในรัฐสภาสมัยต่างๆมาแล้ว    เนื่องจากมีการสนับสนุนของประชาชนอย่างล้นหลาม   พอเริ่มต้นรัฐสภาก็ทำการจับกุมตัว สตราฟฟอร์ตและสังฆราชใหญ่ ลอด  ซึ่งเป็นผู้ที่ประชาชนเคียดแค้นชิงชังอย่างที่สุด    และได้ตัดสินประหารชีวิตฐานทรยศกบฏชาติ   กษัตริย์ชาร์ลส์ปฏิเสธไม่ทรงยินยอมลงปรมาภิไธยในคำตัดสิน    ต่อเมื่อหัตถกร  ผู้ช่วยงาน  ลูกมือผู้ฝึกงาน  กะลาสีเรือจะบุกเข้าไปในไวท์ฮอลล์    จึงถูกบีบให้ทรงยินยอมลงปรมาภิไธยในคำตัดสินประหารชีวิต สตราฟฟอร์ด  

วันที่ 12 พฤษภาคม 1641   สตราฟฟอร์ดถูกส่งตัวเข้าสู่หลักประหาร   ลอด  ก็ถูกประหารชีวิตในเวลาต่อมา   ศาลของศาสนจักรอันได้แก่ “ศาลสูงสุด” ซึ่งเป็นเครื่องมือเผด็จการของกษัตริย์ก็ถูกสั่งยกเลิก  ประกาศ  คำสั่ง เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีที่ไม่ได้ผ่านการอนุมัติของรัฐสภาล้วนไม่มีผลบังคับใช้    ปี 1641  กษัตริย์ชาร์ลส์ถูกบีบจำต้องลงปรมาภิไธยใน “กฎ 3 ปี”   ซึ่งกำหนดว่า  อย่างน้อยเวลา 3 ปี ต้องเปิดสมัยประชุมรัฐสภา 1ครั้ง  นอกจากความเห็นชอบของรัฐสภาเองแล้วจะทำการยุบสภาไม่ได้   ข้อกำหนดต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นการโจมตีต่อระบอบเผด็จการศักดินาอย่างหนักหน่วง

เดือนพฤศจิกายน 1641   รัฐสภาผ่านเอกสารที่เรียกว่า “หนังสือประท้วงใหญ่”  รวม 204 ข้อ   โดยหยิบยกโทษกรรมของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ก่อไว้ใน 10 ปีหลัง   แต่ไม่ได้กล่าวถึงขบวนการกว้านที่ดิน   การปล้นชิงต่อชาวนาและสภาพอันยากจนข้นแค้นของกรรมกร     เนื้อหาที่เป็นพื้นฐานของเอกสารคือขอให้ประกันเสรีภาพในอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม    ตั้งรัฐบาลที่มีระบบรับผิดชอบต่อรัฐสภา ใช้คณะเพรสไบเทอร์เรียนแทนคณะอังกลิกันเป็นต้น   หนังสือประท้วงใหญ่คือหลักนโยบายทางการเมืองของชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่ในการปฏิวัติยุคแรก         จุดมุ่งหมายก็เพื่อดัดแปลงประเทศอังกฤษเป็นการปก ครองในระบอบรัฐสภาของชนชั้นนายทุนโดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนั่นเอง

ชาร์ลส์ปฏิเสธ “หนังสือประท้วงใหญ่”   ทั้งยังเพิ่มการปองร้ายต่อสมาชิกฝ่ายค้านในรัฐสภาหนักมือยิ่งขึ้น  วันที่ 3 มกราคม 1642 กษัตริย์ชาร์ลส์ไปที่สภาล่างบัญชากาให้จับกุมผู้นำฝ่ายค้าน 5 คน   อันมี พีม และ ฮัมป์เดน ด้วยพระองค์เอง    แต่พวกเขาหลบเข้าไปอยู่ในเขตเมืองซึ่งมีกำลังของชนชั้นนายทุนรวมศูนย์อยู่  ทั้งมีกองกำลังติดอาวุธของชาวเมืองคอยพิทักษ์รักษาอยู่    ในขณะที่กษัตริย์ชาร์ลส์เดินออกจากตึกรัฐสภา       มวลชนที่ชุมนุมอยู่หน้าประตูใหญ่ได้ส่งเสียงโห่ร้องประณามและขว้างใบปลิวปฏิวัติใส่พระองค์    วันรุ่งขึ้นกษัตริย์ชาร์ลส์ไปทำการตรวจค้นที่เขตเมืองอีก   แต่ก็ถูกมวลชนและกองกำลังติดอาวุธของชาว เมืองหลายพันคนเข้าขัดขวางอีก    ชาวนาผู้มีนาทำเองในแคว้นบัคกิ้งแฮม ซึ่งเป็นถิ่นบ้านเกิดของ ฮัมป์เดน   พากันเดินทางมาหนุนช่วยฝ่ายปฏิวัติในเขตเมือง    ชาวนาผู้มีนาทำเองในแคว้นต่างๆที่อยู่ใกล้กรุงลอนดอนก็พากันมุ่งหน้าสู่นครหลวง   รวมตัวกับพวกหัตถกร  ผู้ช่วยงานและลูกมือฝึกงานในลอนดอนจัด ตั้งเป็นกองทหารบ้านร่วมกัน พิทักษ์รักษารัฐสภา   วันที่ 10 มกราคม สมาชิกรัฐสภาผู้นำฝ่ายค้าน 5 คนได้กลับเข้าไปในรัฐสภาอีก

กษัตริย์ชาร์ลส์รู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในฐานะโดดเดี่ยวโดยสิ้นเชิงในกรุงลอนดอน    จึงลอบหนีออกจากนครหลวงอย่างเงียบๆในวันเดียวกับที่ห้าผู้นำฝ่ายค้านกลับเข้ารัฐสภา   มุ่งหน้าสู่เมืองยอร์ชทาวน์    มุ่งหวังจะไปหาเสียงสนับสนุนจากขุนนางในแคว้นต่างๆของภาคเหนือและภาคกลาง   รวบรวมสมัครพรรคพวกทำการดิ้นรนสุดชีวิต    วันที่ 22 สิงหาคม 1642    กษัตริย์ชาร์ลส์ได้ชักธงมหาราชบนยอดเขาเล็กๆลูกหนึ่งในน็อตติ้งแฮม   ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตามประเพณีสืบทอดที่แสดงว่าองค์ประมุขกำลังเรียกระดมบรรดาขุนนางราชสำนักและเจ้าผู้ครองนครเข้ามาถวายความจงรักภักดี       หมายความว่าทรงประกาศสงครามกับรัฐสภา   อังกฤษได้ก้าวเข้าสู่ขั้นสงครามกลางเมืองแล้ว …..จบตอนที่5



No comments:

Post a Comment