Saturday, January 28, 2017

พัฒนาการของทุนนิยมในยุโรป 8

ตอนที่   8.
จากเผด็จการรวบอำนาจทางทหารของครอมเวลล์ถึงการฟื้นอำนาจราชวงศ์สจ๊วต
การสถาปนาเผด็จการรวบอำนาจทางทหารของครอมเวลล์

ภายหลังที่ชนชั้นนายทุนโค่นล้มการปกครองศักดินาได้มาซึ่งอำนาจรัฐแล้ว   ด้านที่ล้าหลังในตัวของมันก็กลายเป็นด้านหลัก   ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่กับประชาชนก็รุนแรงและแหลมคมขึ้น   ค่าใช้จ่ายทางทหารอันหนักอึ้ง  ความทรุดโทรมทางด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม   ราคาสินค้าที่ถีบตัวสูงขึ้น  ชีวิตความเป็นอยู่ที่นับวันเลวลง   ทำให้ความไม่พอใจของประชาชนผู้ใช้แรงงานคุกรุ่นขึ้นมาอีก  ฤดูใบไม้ผลิ ปี 1653  แคว้นเคมบริดจ์เกิดการลุกขึ้นสู้ของชาวนา   แย่งยึดที่ดินที่ถูกแย่งยึดคืน   ตีโต้กองทหารสาธารณรัฐที่ยกมาปราบปราม    เดือนพฤษภาคม  แคว้นนอร์โฟล์คก็เกิดการลุกขึ้นสู้ในลักษณะคล้ายคลึงกัน  พวกนักประชาธิปไตยก็เริ่มคึกคัก    เคลื่อนไหวแจกจ่ายจุล สารที่คัดค้านรัฐบาล       ปลุกระดมประชาชนให้ลุกขึ้นใช้ปฏิบัติการเพื่อบรรลุซึ่งการปฏิรูปอีกก้าวหนึ่ง   พรรคอัศวินได้ฉวยโอกาสอาศัยความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่ออำนาจรัฐใหม่   เตรียมก่อการจลาจลในหลายท้องที่   วางแผนกโลบายฟื้นอำนาจกษัตริย์   ชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่เผชิญกับการคุก คามที่เพิ่มทวีขึ้นทุกวันทั้งจากซ้ายและขวา   จึงมีความเรียกร้องต้องการที่จะสถาปนาเผด็จการทางทหารอย่างเร่งด่วน

เพื่อพิทักษ์รักษาเผด็จการชนชั้นนายทุน   ครอมเวลล์ตัดสินใจใช้ปฏิบัติการ   ก่อนอื่นทำการตอบโต้การคุกคามที่มาจากด้านขวาก่อน    จัดการขับไล่ไสส่งรัฐสภาช่วงยาวที่ไม่สมประกอบ   รัฐสภาช่วงยาวเคยเป็นศูนย์กลางนำการปฏิวัติชนชั้นนายทุน    แต่ในสมัยสาธารณรัฐ   มันได้เปลี่ยนสีแปรธาตุเป็นกลุ่มคณาธิปไตยที่ประชาชนรู้สึกจงเกลียดจงชัง   มันได้สมรู้ร่วมคิดกับอิทธิพลศักดินาวางแผนตรากฎหมายเลือกตั้งใหม่   กุมอำนาจรัฐต่อไป   เตรียมการฟื้นอำนาจกษัตริย์   วันที่20 เมษายน 1653ครอมเวลล์ได้ข่าวว่ารัฐสภากำลังเปิดอภิปรายกฎหมายเลือกตั้งใหม่   จึงนำกำลังทหารบุกเข้าไปในที่ประชุม  ด่ากราดสมาชิกรัฐสภาด้วยการระบุชื่ออย่างเปิดเผย   เขาล้วงนาฬิกาออกจากกระเป๋า   ยื่นคำขาดว่าจะไม่ให้รัฐสภาดำรงอยู่ที่นี่เกิน 1 นาทีตามเวลาที่กำหนดให้    

จากนั้นก็สั้งทหารทำการขับไล่สมาชิกรัฐสภาทั้งหมดออกจากห้องประชุมครอมเวลล์เดินไปหยุดยืนที่ข้างเก้าอี้ประธานรัฐสภา   เห็นบนโต๊ะมีตราประทับ (ตราพระลัญจกรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทรงอิทธิพลของกษัตริย์ที่มอบอำนาจไว้กับประธานรัฐสภา) วางอยู่   จึงกล่าวว่า “เราจะจัดการอย่างไรกับของเล่นชิ้นนี้ดี   โยนมันทิ้งไปแล้วกันนะ”    เสร็จแล้วเขาก็สั่งให้ปิดประตูลั่นกุญแจประตูใหญ่ของตึกรัฐสภา  แล้ว กลับไปที่ไวท์ฮอลล์   ในขณะที่ครอมเวลล์ทำการขับไล่รัฐสภาช่วงยาวอยู่นั้น    ไม่ได้เจอกับแรงต่อต้านใดๆจากสมาชิกรัฐสภาทั้งสิ้น กล่าวตามคำพูดของเขาก็คือ  “หมาตัวเดียวก็ไม่กล้าเห่า”   มวลประชาชนอังกฤษชื่นชมกับเรื่องนี้   เพราะว่ามันได้ทำลายภัยแฝงในการฟื้นอำนาจศักดินาลงไปได้

หลังสลายรัฐสภาช่วงยาว   เดือนกรกฎาคม 1653ครอมเวลล์ได้เรียกประชุม “รัฐสภาขนาดย่อม” ที่มีสมาชิกเพียง100 กว่าคน    สมาชิกรัฐสภาขนาดย่อมไม่ได้เกิดจากการเลือกตั้ง   หากเกิดจากการเสนอชื่อโดยองค์การศาสนาของกลุ่มอิสระและอนุมัติโดยครอมเวลล์ เนื่องจากภายในประ เทศมีความไม่พอใจโดยทั่วไป  “รัฐสภาขนาดย่อม” จึงจำเป็นต้องผ่านร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปจำนวนหนึ่ง   เช่นลดหย่อนภาษีอากร  ยกเลิกภาษี 10 ชัก 1     ลดกำลังทหาร เป็นต้น  เป็นเหตุให้กลุ่มนายทหารชั้นสูงที่นำโดยครอมเวลล์โกรธเกรี้ยวมาก    จึงจัดการยุบมันเสียในวันที่ 12 ธันวาคม   

หลังจากนั้น 4 วัน   ภายใต้การชี้แนะเป็นนัยของครอมเวลล์  พวกนายทหารชั้นสูง  ผู้พิพากษาและนายกเทศมนตรีลอนดอนได้เข้าชื่อเสนอให้ครอมเวลล์รับสมญานาม “ผู้ป้องกันประเทศ”  ด้วยประการฉะนี้    ครอมเวลล์ก็ได้สถาปนาอำนาจรัฐเผด็จการรวบอำนาจทางทหารภายใต้รูปแบบของสาธารณรัฐ    อำนาจรัฐนี้มีชนชั้นนายทุนใหญ่และชนชั้นใหม่ของขุนนางเจ้าที่ดินเป็นรากฐานของมัน   โดยถือเอาการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของพวกเขาเป็นจุดมุ่งหมาย     ชนชั้นขุนนางเจ้าที่ดินนี้ได้ค่อยๆก่อรูปและเติบใหญ่ขึ้นท่ามกลางสงครามรุกรานอาณานิคม ส่วนบนของมันโดยทั่วไปจะมีสมญานามและยศถาบรรดาศักดิ์ขุนนาง   ทั้งนับวันแต่จะใกล้ชิดกับขุนนางศักดินาเก่ามากยิ่งขึ้น     เมื่อรากฐานทางชนชั้นของอำนาจรัฐครอมเวลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ย่อมจะสะท้อนออกในนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศของเขา

รัฐบาลแห่งชาติ  การปกครองโดยทหารตำรวจและสงครามต่อภายนอก
หลังจากรัฐสภาขนาดย่อมถูกยุบไม่นาน   สภานายทหารได้ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ที่เรียกว่า “เครื่องมือการปกครอง”  กำหนดว่า  อำนาจรัฐของสาธารณรัฐอังกฤษ  สก๊อตแลนด์และไอร์แลนด์ล้วนเป็นของเจ้าป้องกันประเทศ   นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผนึกเอา อังกฤษ  สก๊อตแลนด์และไอร์แลนด์เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปีถัดมา  อาศัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญใหม่*  (รัฐธรรมนูญใหม่ได้กำหนดคุณสมบัติด้านทรัพย์สินของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มจาก 40ชิลลิงจากรายได้ในผืนที่ดินเป็น 200 ปอนด์  เช่นนี้แล้ว  รัฐสภาก็ถูกควบคุมโดยเจ้าที่ดินใหญ่    นายทหารชั้นสูงที่กลายเป็นเจ้าที่ดินใหญ่จากการเขมือบที่ดินในไอร์แลนด์)  เรียกประชุมรัฐสภา  ในรัฐสภามีสมาชิกรัฐสภาจำนวนหนึ่งที่เป็นกลุ่มสาธารณรัฐ  ได้แสดง ออกซึ่งความไม่พอใจต่อการมีอำนาจเบ็ดเสร็จของเจ้าป้องกันประเทศ      ดังนั้นครอมเวลล์จึงปล่อยให้มันดำรงอยู่แค่ 5 เดือนก็จัดการยุบทิ้งเสีย   

เป็นเวลา 2 ปีหลังจากนั้นก็ไม่ได้เปิดประชุมรัฐสภาอีกเลย    ครอมเวลล์อาศัยคณะรัฐมนตรีที่ประกอบจากนายทหารชั้นสูง 18 คน   ดำเนินการปกครองแบบเผด็จการรวบอำนาจ   แต่ว่า สถานการณ์ภายในประเทศตึงเครียดขึ้นอีกก้าวหนึ่ง   เพื่อกดการต่อต้านของประชาชน   ปราบปรามการกบฏของพวกนิยมกษัตริย์   ในระหว่างปี 1655-1656 ครอมเวลล์ได้จัดแบ่งอังกฤษออกเป็นเขตทหาร 11 เขต   แต่ละเขตแต่งตั้งนายทหารบกยศพลตรีเป็นผู้นำ    กุมอำนาจทั้งทางการเมืองและการทหารไว้บนตัวคนเดียว   รับผิดชอบควบคุมดูแลตั้งแต่ระเบียบสังคมไปจนถึงชีวิตส่วนตัวของชาวบ้าน   ดำเนินระบอบการปกครองโดยทหารและตำรวจอย่างโจ๋งครึ่ม    ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า   ระบอบการปกครองโดยนายพลตรีกองทัพบกนั่นเอง

ในด้านเศรษฐกิจ  รัฐบาลแห่งชาติปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน   รักษาไว้ซึ่งภาษี 10 ชัก 1ของศาสนจักรในอดีต   คุ้มครองนักกว้านที่ดิน   ขบวนการกว้านที่ดินแถบป่าชายเลนขนานใหญ่ที่เริ่มเกิดขึ้นใหม่ในอังกฤษก็ได้รับการคุ้มครองจากรัฐ    นโยบายต่างประเทศที่เป็นพื้นฐานของรัฐบาลแห่งชาติก็คือ   สร้างความได้เปรียบทางการค้าของโลกและจักรวรรดิอาณานิคมที่เข้มแข็งเกรียงไกรให้กับชนชั้นนายทุนอังกฤษ     

เพื่อผ่อนคลายวิกฤติการณ์ทางการเมืองภายในประเทศและใช้สินสงครามที่ได้จากการทำสงครามภายนอกประเทศไปชดเชยการขาดดุลทางการคลัง   รัฐบาลแห่งชาติยังคงดำเนินสงครามปล้นชิงต่อภายนอกประเทศต่อไป   โดยใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อประเทศโปรตุเกสและสเปนตามลำดับ   ภายหลังที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนอันมหาศาลแล้ว   อังกฤษจึงสามารถแย่งยึดเกาะจาไมก้าในทะเลคาริบเบียน (1655) และดานซิก บนผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรป (1658)  จากมือสเปนมาได้   สนองความทะเยอทะยานในการแผ่ขยายอาณาเขตให้กับชนชั้นนายทุน

รัฐบาลแห่งชาติล้มคว่ำ
รัฐบาลแห่งชาติถูกกระหน่ำตีทั้งจากด้านซ้ายและขวา   ชาร์ลส์ที่ 2 ได้ช่วงชิงการสนับสนุนจากสเปน ฝรั่งเศสและอิทธิพลเน่าเฟะอื่นๆที่เป็นโรมันคาทอลิคบนผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรป    ทั้งได้ประสานกับพวกนิยมกษัตริย์ภายในประเทศดำเนินแผนกโลบายฟื้นอำนาจกษัตริย์   บนผืนแผ่นดินที่ผ่านการชะล้างจากเปลวเพลิงปฏิวัติ    การเคลื่อนไหวของประชาชนก็เริ่มก่อหวอดขึ้นอีก    การต่อสู้ของชาวป่าชายเลนทางภาคตะวันออก  และการต่อสู้คัดค้านการกว้านที่ดินของชาวนาในท้องที่ต่างๆเกิดขึ้นมิได้ขาด   เริ่มตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1650  ชาวนาไม่นำพาต่อการสั่งห้ามของเจ้าของกรรมสิทธิ์   พากันบุกเข้าไปในป่าสงวนหักร้างถางพง  แปรเขตป่าเป็นผืนที่ดินเพาะปลูก    ถึงปี 1659  การเคลื่อนไหวของชาวนาได้ปรากฏกระแสสูงใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ชนชั้นนายทุนและขุนนางที่ดิน   โดยเฉพาะคือส่วนบนของพวกเขา   เมื่อเผชิญกับกระแสสูงการเคลื่อนไหวของประชาชนที่นับวันเพิ่มทวีขึ้น   ก็ตกอกตกใจเป็นกำลัง   จึงเรียกร้องให้เปลี่ยนระบอบเผด็จการรวบอำนาจทางทหารกลับไปสู่ระบอบกษัตริย์    เพื่อจะได้ดำเนินการปราบปรามอย่างป่าเถื่อนสยดสยอง  ปี1656  รัฐบาลแห่งชาติได้เปิดประชุมรัฐสภาสมัยที่ 2  แก้ไข “เครื่องมือการปกครอง”   มีการเสนอให้ฟื้นระบอบกษัตริย์และสภาสูง   เรียกร้องให้ครอมเวลล์สถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์     ครอมเวลล์เองย่อมมีความปรารถนาจะตั้งราชวงศ์ใหม่อยู่แล้ว    แต่เนื่องจากผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆในหมู่ชนชั้นนายทุนไม่ลงตัวกัน  ต่อปัญหาฟื้นระบอบกษัตริย์จึงมีความเห็นแตกต่างกัน   ทางกองทัพก็มีความเห็นคัดค้าน   นายทหารชั้นสูงก็ไม่ยอมสละอำนาจทางการเมืองของตน    ดังนั้น ครอมเวลล์จึงจำต้องปฏิเสธการขึ้นสู่บัลลังก์   รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่ผ่านสภาก็ให้ตัดข้อความเกี่ยวกับระบอบกษัตริย์ออกเสีย    แต่ประกาศว่า  เจ้าป้องกันประเทศจะสืบทายาทโดยตระกูลครอมเวลล์เท่านั้น

เดือนกันยายน 1658  ในขณะที่นโยบายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาลแห่งชาติตกอยู่ในฐานะยากลำบาก   วิกฤตการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจใกล้จุดระเบิดนั้น   ครอมเวลล์ป่วยเสียชีวิต หลังจากที่ลูกชายของเขา  ริชาร์ดครอมเวลล์(Cromwell Richard 1626-1712) เข้ารับตำแหน่งเจ้าป้องกันประเทศสืบต่อจากผู้เป็นบิดาแล้ว    บรรดานายทหารทั้งหลายก็เปิดฉากต่อสู้แก่งแย่งชิงอำนาจกันอย่างดุเดือด     ภ่ยในกลุ่มชนชั้นปกครองตกอยู่ในสภาพปั่นป่วนระส่ำระสาย    ชนชั้นนายทุนใหญ่และส่วนบนของขุนนางเจ้าที่ดิน   มีความต้องการอันรีบด่วนที่จะมีอำนาจที่เข้มแข็งอำนาจหนึ่งเพื่อปราบปรามกำลังฝ่ายปฏิวัติ  พวกเขาจึงฝากความหวังไว้กับราชสำนักแห่งราชวงศ์สจ๊วต    

ตัวแทนที่อยู่ในประเทศอังกฤษของชาร์ลส์ที่ 2 ก็ขยายการเคลื่อนไหวฟื้นอำนาจระบอบกษัตริย์เป็นการใหญ่   วิลเลี่ยมเลนธอลล์( William  Lenthall 1591-1662)  ประธานรัฐสภาช่วงยาวซึ่งเป็นพวกจงรักภักดีต่อราชสำนักได้ฟื้นรัฐสภาไม่สมประกอบในเดือนพฤษภาคม 1659  บีบบังคับให้ริชาร์ด ลาออก และล้มระบอบรัฐสภาแห่งชาติ    จอร์จมังค์( Jeorge Monk1608-1670)  ผู้บัญชาการทหารของอังกฤษประจำสก๊อตแลนด์เป็นพวกนิยมกษัตริย์ที่ฝังตัวอยู่ในกองทัพ        ได้ยกทัพเข้ากรุงลอนดอนในเดือนกุมภาพันธ์ 1660  เข้าควบคุมรัฐบาล       จากนั้นก็วางแผนให้ชาร์ลส์ที่ 2 ซึ่งหนีตายอยู่ในฮอลแลนด์   ประกาศ “แถลงการณ์เบรดา”      โฆษณาเผยแพร่ในหมู่ผู้มีทรัพย์สินให้มีความเพ้อฝันต่อราชวงศ์เก่า    เดือนมีนาคม เรียกประชุมรัฐสภาใหม่  มังค์ฉวยโอกาสยัดเยียดคนของพวกนิยมกษัตริย์เข้าสู่รัฐสภาจำนวนมาก    เดือนพฤษภาคม รัฐสภาประกาศสถาปนาชาร์ลส์ที่ 2 เป็นกษัตริย์   จากนั้นไม่นาน ชาร์ลส์ที่ 2 ก็กลับถึงลอนดอน  เริ่มยุคฟื้นอำนาจในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ

การฟื้นอำนาจราชวงศ์เก่าในปี 1660  ตลอดจนนโยบายภายในและต่างประเทศ
ชาร์ลส์ที่ 2 (Charles 2 ครองราชย์ 1600-1685) ใน “แถลงการณ์เบรดา”  ได้กล่าวถึงว่าหลังคืนสู่ราชบัลลังก์แล้วจะนิรโทษกรรมต่อผู้เข้าร่วมการปฏิวัติ  จะอนุญาตให้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา   ประกันความสัมพันธ์ในทรัพย์สินและที่ดินที่กำหนดขึ้นในสมัยปฏิวัติ    ดังนั้นจึงได้รับการต้อนรับจากผู้มีทรัพย์ สินโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นนายทุนใหญ่       แต่ว่าความฝันของพวกเขาได้พังทลายลงอย่างรวดเร็ว  พออำนาจที่อยู่ภายใต้การควบคุมของชาร์ลส์และพวกนิยมกษัตริย์เริ่มจะมั่นคง    พวกเขาก็ตระบัดสัตย์  พยายามฟื้นระบอบเผด็จการศักดินาที่มีอยู่ก่อนปฏิวัติอย่างสุดกำลัง    ดำเนินการพลิกคดีอย่างบ้าคลั่ง  ไม่เพียงแต่ปราบปรามมวลชนอย่างไร้ความปราณีเท่านั้น   หากยังปราบปรามชนชั้นนายทุนอย่างไม่ไว้หน้าอีกด้วย  

ต่อบุคคลที่เคยเข้าร่วการพิจารณาคดีกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 1  ล้วนมีโทษฐาน “ผู้ปลงพระชนม์”   ไม่ว่าจะเสียชีวิตแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่  ล้วนถูกตัดสินลงโทษด้วยการแขวนคอทั้งสิ้น   ศพที่เน่าเปื่อยแล้วของครอมเวลล์ก็ถูกขุดขึ้นมาและนำไปแขวนคออยู่บนหลักกางเขน   ปี 1661  เรียกประชุม “รัฐสภาอัศวิน”  ประกาศฟื้นคณะอังกลิกัน เริ่มยุคปองร้ายทางศาสนาอีกครั้งหนึ่ง   การเข่นฆ่าได้ขยายขอบเขตออกไปสู่ผู้คนทั้งปวงที่นิยมระบอบสาธารณรัฐ    พวกหัวรุนแรงตลอดจนผู้เข้าร่วมปฏิวัติหรือสนับสนุนการปฏิวัติ
แต่ว่าการกระทำที่ถอยหลังเข้าคลองของราชวงศ์ฟื้นอำนาจได้ถูกคัดค้านจากด้านต่างๆ  พวกนิยมกษัตริย์ที่กลับจากการหนีตาย   ถึงแม้ว่าจะพยายามฟื้นคืนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนที่สูญเสียไป  แต่ว่าที่ดินเหล่านี้ได้เปลี่ยนเจ้าของไปหลายเจ้าของแล้วในสมัยปฏิวัติ   และส่วนใหญ่ตกไปอยู่ในมือของชนชั้นนายทุนที่เป็นกลุ่มคณะเพรสไบทีเรียน   

พวกนิยมกษัตริย์รวมทั้งตัวกษัตริย์เองจำใจเห็นด้วยกับวิธีประนีประนอมคือให้เจ้าของที่ดินคนใหม่ชด    ใช้ค่าสินไหมทดแทนบางประการแก่เจ้าที่ดินคนเก่า      แต่ที่ดินยังคงเป็นของเจ้าของคนใหม่ต่อไป   รัฐบาลฟื้นอำนาจในขณะเดียวกับที่ปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของเจ้าที่ดินใหญ่และเจ้าของฟาร์มเกษตรใหญ่แบบทุนนิยมนั้น   ก็ได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมในบางระดับ  เพราะว่าทางราชสำนักก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อยจากการเคลื่อนไหวปล้นชิงอาณานิคมจากบริษัทผูกขาดการค้ากับต่างประเทศและจากการค้าทาส

เพื่อช่วงชิงการช่วยเหลือจากกษัตริย์หลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส     ชาร์ลส์ที่ 2 ได้ฟื้นศาสนจักรโรมันคาทอลิคในอังกฤษ   และเสริมความเข้มแข็งให้กับการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช    ต่อภายนอกยอมขึ้นต่อฝรั่งเศสซึ่งเป็นโรมันคาทอลิค    ปี 1670 ได้เซ็นสัญญาลับกับฝรั่งเศสซึ่งมีลักษณะทำลาย ชนชั้นนายทุนอังกฤษ   ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเลิกนโยบายปกป้องคุ้มครองอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมของอังกฤษ  ทั้งขายเมืองดานซิกที่ครอมเวลล์ยึดได้ให้กับฝรั่งเศส   มาตรการเหล่านี้  ล้วนทำให้ชนชั้นนายทุนอังกฤษไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง   ความพ่ายแพ้ในสงคราม อังกฤษ-ฮอลแลนด์(1664-1667) ยิ่งทำให้ผู้คนทั้งหลายเคียดแค้นชิงชังต่อราชวงศ์สจ๊วต      ปี 1672ชาร์ลส์ที่ 2  ประกาศ “แถลงการณ์เสรีภาพในการนับถือศาสนา”  เป็นก้าวแรกของการฟื้นศาสนจักรโรมันคาทอลิคในอังกฤษ   แต่ได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากรัฐสภา  จึงจำใจยกเลิกแถลงการณ์ฉบับนั้น

ในกระบวนการต่อสู้กับราชวงศ์สจ๊วตนั้น   รัฐสภาได้ค่อยๆแบ่งฝ่ายออกเป็นสองฝ่าย   ฝ่ายที่สนับสนุนกษัตริย์เรียกว่า “พรรคทอรี่”  เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของขุนนางเจ้าที่ดินซึ่งมีความสัมพันธ์กับราชสำนัก  พวกนี้สนับสนุนรูปแบบอำนาจรัฐแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์   ฝ่ายที่คัดค้านกษัตริย์เรียกว่า “พรรควิก”*(คำว่า วิก/Whig   ตามความหมายเดิมหมายถึงโจรสก๊อตแลนด์   ส่วนคำว่า ทอรี่ นั้น ความหมายเดิมหมายถึงคนที่นับถือศาสนาโรมันคาทอลิคของไอร์แลนด์  เป็นฉายานามที่ทั้งสองฝ่ายใช้ด่าทอฝ่ายตรงข้าม) ซึ่งเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมตลอดจนขุนนางเจ้าที่ดินใหม่ที่มีความสัมพันธ์กับมัน   พวกนี้พยายามช่วงชิงขยายอำนาจของรัฐสภา   จำกัดอำนาจกษัตริย์  

ปี 1679 พวกวิกพยายามดันรัฐสภาผ่าน “กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองต่อร่างกาย”  ในกฎหมายฉบับนี้ระบุว่า  ไม่มีหมายจับของศาลจะทำการจับกุมคุมขังผู้คนไม่ได้   ผู้ถูกจับจะต้องส่งให้ศาลพิจารณาในเวลาอันสั้น   นี่ก็คือรากฐานระบอบรัฐธรรมนูญของอังกฤษนั่นเอง   แต่ความเป็นจริงแล้ว  มันคือวิธีการอย่างหนึ่งที่ชนชั้นนายทุนใช้รับมือกับการปองร้ายของชนชั้นศักดินา   ก่อนอื่นก็คือใช้มาปกป้องคุ้มครองชาวพรรควิก   กฎหมายนี้ยังระบุว่า  ผู้ถูกจับถ้าหากสามารถยื่นหลักทรัพย์จำนวนมากค้ำประกัน  ปล่อยตัวชั่วคราวได้   แต่ผู้ถูกจับที่ถูกจับในกรณีติดหนี้แล้ว   จะอยู่นอกความคุ้มครองของกฎหมายฉบับนี้   จะเห็นได้ว่า  “กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองทางร่างกาย” มีลักษณะทางชนชั้นอย่างเด่นชัดที่ให้ความคุ้มครองเฉพาะผู้มีทรัพย์สินเท่านั้น

ปี 1685 ชาร์ลส์ที่ 2 สิ้นพระชนม์    เจมส์ที่ 2 (James 2 ครองราชย์ 1685-1688) ผู้ซึ่งคลั่งไคล้ในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคสืบราชบัลลังก์   เขาก็รับเงินอุดหนุนจากฝรั่งเศส      ทำงานตามนโยบายของหลุยส์ที่ 14 เช่นเดียวกับชาร์ลส์ที่ 2  เขาลดภาษีขาเข้าสำหรับสินค้าฝรั่งเศส   ขายผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมของอังกฤษ  ทั้งเตรียมสถาปนาศาสนจักรโรมันคาทอลิคขึ้นในอังกฤษอีก  ฟื้นการปกครองของศาสนจักรโรมันคาทอลิคอันเป็นห่วงโซ่สำคัญห่วงหนึ่ง  ในการบรรลุซึ่งการฟื้นอำนาจศักดินาอย่างทั่วด้านและเสริมความมั่นคงให้กับการปกครองของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช   ในการนี้  เจมส์ที่2 ได้ปลดปล่อยสาวกนิกายโรมันคาทอลิคที่ต้องโทษจำคุกจำนวนมาก   เอาสาวกนิกายโรมันคาทอลิคมาเป็นแม่ทัพนายกองในกองทัพ   ปี 1687 ประกาศ “แถลงการณ์เสรีภาพในการนับถือศาสนา”   ยกเลิกกฎหมายที่จำกัดสาวกนิกายโรมันคาทอลิคและสาวกนอกนิกายของทางการ   เตรียมเปลี่ยนนิกายโรมันคาทอลิคเป็นศาสนาของทางการ  

เดือนเมษายน 1688   กษัตริย์มีราชโองการให้อ่านแถลงการณ์ฉบับนี้ให้วิหารทุกแห่ง   ทั้งทำการจับกุมสังฆราชและมหาสังฆราชของคณะอังกลิกันที่ขัดราชโองการของพระองค์      ความจริง การที่ราชวงศ์สจ๊วต ซึ่งเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชนชั้นศักดินาเคยร่วมมือกับชนชั้นนายทุนนั้นก็เป็นเพราะความจำเป็น   มาบัดนี้ถึงคราวที่จะแตกหักอย่างเปิดเผยแล้ว   ดังนั้นจึงทำให้ขุนนางเจ้าที่ดินใหม่และชนชั้นนายทุนรู้สึกถึงความคุกคามที่มีต่อพวกเขาโดยตรง       พวกขุนนางเจ้าที่ดินกลัวว่าวันใดที่ฟื้นอำนาจสังฆราชโรมันคาทอลิค   นำมาซึ่งการฟื้นอำนาจระบอบศักดินาอย่างทั่วด้านแล้ว   ที่ดินและศาสนสมบัติที่พวกเขาแย่งยึดจากศาสนจักรโรมันคาทอลิคแต่ครั้งปฏิรูปศาสนาของพวกเขาก็จะหลุดมือไป   ที่ดิน 7 ใน 10 ของอังกฤษก็จะต้องเปลี่ยนเจ้าของใหม่  


ชนชั้นนายทุนอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมกลัวว่า  ศาสนจักรและระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชจะอุดช่องทางการสร้างฐานะร่ำรวยของพวกเขา   นี่ก็ทำให้กลุ่มและชั้นชนต่างๆของชนชั้นนายทุนและขุนนางเจ้าที่ดินใหม่รวมตัวกันเข้าภายใต้คำขวัญ      คัดค้านศาสนจักรโรมันคาทอลิคของ “ต่างชาติ” ที่เป็น “ปฏิปักษ์กับประชาชาติ”  นับแต่คณะอังกลิกันซึ่งเป็นศาสนาของทางการไปจนถึงกลุ่มคณะเพรสไบที เรียน กลุ่มอิสระ ซึ่งเป็นสาวกนิกายโปรแตสแตนท์อันเป็นศาสนาที่ไม่ใช่ของทางการ   ล้วนรวมตัวกันขึ้นมาคัดค้านกษัตริย์เพื่อป้องกันการฟื้นอำนาจอย่างทั่วด้านของระบอบศักดินาและการเคลื่อนไหวปฏิวัติของมวลชน ที่อาจเกิดขึ้นอีก  

พรรควิกและพรรคทอรี่ตกลงร่วมมือกันก่อการรัฐประหาร   เดือนมิถุนายน 1688  รัฐสภาส่งตัวแทนไปประเทศฮอลแลนด์  เชิญเจ้าชายวิลเลี่ยมที่ 3 แห่งราชวงศ์ออร์เรนจ์ (1650-1702)   ราชบุตรเขยของเจมส์ที่ 2 ซึ่งขณะนั้นเป็นกงสุลบริหารรัฐบาลของฮอลแลนด์มาสืบราชบัลลังก์ของอังกฤษ    เดือนพฤศจิกายน วิลเลี่ยมนำกองทัพยกพลขึ้นบกที่อังกฤษ   เจมส์ที่ 2  ไม่ทันได้ต่อต้านก็หนีเตลิดไปอยู่ฝรั่งเศส    เดือนกุมภาพันธ์ 1689  รัฐสภาประกาศสถาปนาวิลเลี่ยมเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษ   พระชายาของพระองค์เป็นราชินี   ผ่านจากการต่อสู้ฟื้นอำนาจและต้านการฟื้นอำนาจหลายครั้งหลายหน    ในที่สุด อังกฤษก็สามารถสถาปนาระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญของชนชั้นนายทุนขึ้น การรัฐประหารครั้งนี้  ชนชั้นนายทุนเรียกมันว่า  “การปฏิวัติที่มีเกียรติ” จบตอนที่ 8

No comments:

Post a Comment