ตอนที่
7
สงครามกลางเมืองครั้งที่สองกับการสถาปนาสาธารณรัฐ
ในขณะที่ภายในกองทัพมีการต่อสู้กันอยู่นั้น
อิทธิพลปฏิกิริยาก็ได้เงยหัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ปลายปี 1647
กษัตริย์ลอบหนีออกจากที่คุมขัง
แต่หนีไปถึงเกาะไวท์ก็ถูกจับตัวได้อีก
เนื่องจากเกรงว่าการเคลื่อนไหวของมวลชนจะมีกระแสสูงขึ้น กลุ่มคณะเพรสไบทีเรียนของสก๊อตแลนด์และกลุ่มคณะเพรสไบทีเรียนของอังกฤษต่างก็ส่งคนไปเจรจากับกษัตริย์ชาร์ลส์
เพื่อทำข้อตกลงลับกัน ฤดูใบไม้ผลิปี 1648
พวกนิยมกษัตริย์ได้อาศัยปัญหาทุพภิกขภัยและความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ได้ก่อการจลาจลในท้องที่ต่างๆ
เช่นลอนดอน เวลส์ และเคนต์
มีเรือรบหลายลำแปรพักตร์ไปเข้ากับฝ่ายนิยมกษัตริย์ เดือนกรกฎาคม กองทัพสก๊อตแลนด์เคลื่อนกำลังเข้าสู่ภาคเหนือของอังกฤษสนับสนุนการกบฏของกษัตริย์ชาร์ลส์
เบื้องหน้าการคุกคามจากสงครามครั้งใหม่ที่ฝ่ายนิยมกษัตริย์ก่อขึ้น กลุ่มอิสระจึงตัดสินใจประนีประนอมกับกลุ่มเสมอภาคชั่วคราว ในที่ประชุมสภากองทัพในเดือนเมษายน 1648 กลุ่มอิสระและกลุ่มเสมอภาคตกลงร่วมมือกันตีทัพฝ่ายกษัตริย์พ่ายแพ้ไป การสู้รบผ่านไปเป็นเวลาหลายเดือนการก่อกบฏในท้องที่ต่างๆของฝ่ายกษัตริย์จึงถูกปราบปรามลงไปได้
สงครามกลางเมืองครั้งที่สองยุติลงด้วยการที่กรุงเอดินบะระของสก๊อตแลนด์ถูกยึดครอง
ขณะที่กองทัพออกจากกรุงลอนดอนเพื่อปราบปรามการกบฏของฝ่ายกษัตริย์นั้น กลุ่มคณะเพรสไบทีเรียนก็สร้างฐานะที่ได้เปรียบในรัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งดำเนินการเจรจากับกษัตริย์เกี่ยวกับการคืนสู่ราชบัลลังก์ ต้นเดือนธันวาคมกองทัพเคลื่อนกำลังเข้าสู่กรุงลอนดอน เข้าควบคุมรัฐสภาทำการกวาดล้างสมาชิกรัฐสภากลุ่มคณะเพรสไบทีเรียนที่วางตัวเป็นศัตรูกับกองทัพจำนวน
140 กว่าคน ด้วยเหตุจากการกวาดล้างเป็นเหตุให้สมาชิกบางส่วนจงใจไม่เข้าร่วมประชุม ทำให้สมาชิกที่เข้าร่วมประชุมมีเพียง
50-60 คนเท่านั้น
ต่อมารัฐสภาช่วงยาวจึงถูกขนานนามว่า
“รัฐสภาไม่สมประกอบ”
รัฐสภาดำเนินการต่อสู้ต่อไปในปัญหาพิจารณาพิพากษาโทษกษัตริย์ชาร์ลส์ สภาล่างใช้เวลาอภิปรายเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆจึงเสนอให้ส่งตัวชาร์ลส์ขึ้นศาลฐานทรยศกบฏชาติ แต่ว่า สภาสูงซึ่งมีสมาชิกสภาเหลืออยู่เพียง
16 คนกลับใช้สิทธิยับยั้งภายใต้แรงกดดันอย่างหนักของพลทหารและมวลชน
กลุ่มอิสระภายหลังที่ประกาศให้สภาล่างเป็นสถาบันอำนาจสูงสุดแล้วได้ผ่านมติจัดตั้งศาลสูงพิเศษที่ประกอบด้วยบุคคลจากรัฐสภาและกองทัพรวม
135 คน
ทำการพิจารณาพิพากษาคดีของกษัตริย์ชาร์ลส์ในวันที่ 6
มกราคม 1649
ถึงวันที่ 27 เดือนเดียวกัน ศาลจึงได้มีคำพิพากษาว่า ชาร์ลส์แห่งราชวงศ์สจ๊วตเป็นทรราช ผู้ทรยศ อาชญากร และศัตรูร่วมของประชาชน ให้สำเร็จโทษเสีย วันที่
30 มกราคม ท่ามกลางเสียงชัยโยโห่ร้องชาร์ลส์ถูกบั่นพระเศียร
ภายหลังกษัตริย์ชาร์ลส์สิ้นพระชนม์รัฐสภาของกลุ่มอิสระได้ผ่านกฎหมายจำนวนมาก
ในการประชุมระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เดือนพฤษภาคม 1649 ได้ยกเลิกสภาขุนนาง
กำหนดให้รัฐสภาที่มีสภาเดียวเป็นสถาบันอำนาจสูงสุดของประเทศ
และมอบอำนาจบริหารให้กับคณะรัฐมนตรีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพที่ มี ครอมเวลล์
เป็นผู้นำ เดือนพฤษภาคมรัฐสภาประกาศให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐ
กระแสสูงใหม่ของการต่อสู้ช่วงชิงประชาธิปไตยของมวลประชาชน กลุ่มขุดดิน
ภายหลังสถาปนาสาธารณรัฐกลุ่มอิสระได้ยึดอำนาจรัฐไว้ในมือ สร้างเผด็จการชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่ขึ้น ในด้านเศรษฐกิจกลุ่มอิสระยังคงดำเนินนโยบายของคณะเพรสไบทีเรียนต่อไป รีดนาทาเร้นคนยากจน
ปกป้องคุ้มครองทรัพย์สินของชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่อย่างสุดกำลัง ในทางการเมืองปฏิเสธการปฏิรูปใดๆที่จะดำเนินไปอีกขั้นหนึ่ง เป็นเหตุให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสมอภาคมีกระแสสูงขึ้นและการลุกฮือแข็งข้อของพลทหาร ลิลเบอร์น ประณามคณะรัฐมนตรีอย่างเปิดเผยว่า มันคือเตียงนอนอันอบ อุ่นของทรราชย์ใหม่
รัฐบาลของกลุ่มครอมเวลล์เป็นราชวงศ์ที่เผด็จการยิ่งกว่า ป่าเถื่อนยิ่งกว่าราชวงศ์ที่ผ่านมา เดือนมิถุนายน
ลิลเบอร์นกับมิตรร่วมรบของเขาส่วนหนึ่งถูกจับ
เพื่อจะทำลายกลุ่มเสมอภาคในกองทัพ ครอมเวลล์ ตัดสินใจส่งพวกเขาไปปราบปรามการลุกขึ้นสู้ทางประ
ชาชาติของไอร์แลนด์ กลุ่มเสมอภาคดำเนินการต่อสู้ชนิดมาไม้ไหนไปไม้นั้น
พวกเขาเสนอให้จ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงตกเบิก คัดค้านการส่งทหารไปยังไอร์แลนด์และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมืองเป็นต้น พวกเขาดำเนินการปลุกระดมในกองทัพ เดือนพฤษภาคมกองทหารบางกรมกองที่ถูกส่งไปยังไอร์แลนด์
ขณะ ที่เดินทางไปถึงท้องที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ได้ก่อการลุกฮือแข็งข้อขนานใหญ่ การลุกฮือแข็งข้อของกอง
ทหารทำให้รัฐสภาและรัฐบาลตกอกตกใจเป็นกำลัง
ครอมเวลล์เล่นลูกไม้ใหม่โดยยุแหย่ให้เกิดความแตกแยกระหว่างกรมกองต่างๆ เขาใช้คำมั่นสัญญาว่าจะดำเนินตาม “กติกาประชาชน” เปิดประชุมรัฐสภาใหม่และจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงตกเบิกเป็นเหยื่อล่อ ไปทำให้หน่วยทหารอีกส่วนหนึ่งอยู่ในความสงบ
ทั้งเสือกใสพวกเขาไปปราบปรามหน่วยทหารที่ลุกขึ้นสู้ ครอมเวลล์
ยังนำหน่วยทหารที่ประกอบด้วยชั้นชนชาวนารวยด้วยตนเองไปทำการปราบปรามกลุ่มเสมอภาคที่ลุกขึ้นสู้อย่างโหดร้าย
ในเวลาเดียวกับที่กลุ่มเสมอภาคดำเนินการต่อสู้กับกลุ่มครอมเวลล์นั้นคนยากจนในชนบทก็ดำเนินการต่อสู้ช่วงชิงให้แก้ปัญหาที่ดินตามผลประโยชน์ของชาวนา ที่เด่นที่สุดในหมู่พวกเขาคือ
“กลุ่มเสมอภาคที่แท้ จริง” หรือ
“กลุ่มขุดดิน” การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสมอภาคโดยมูลฐานแล้วไม่ได้ล้ำออกนอกขอบเขตการช่วงชิงสิทธิเลือกตั้งทั่วไปของชนชั้นนายทุน
กลุ่มขุดดินเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชาวนาที่ยากจนอันกว้างใหญ่ไพศาล สะท้อนออกซึ่งความคิดลัทธิเฉลี่ยแบบสังคมบรรพกาลที่เรียบๆของชาวนา พวกเขาเห็นว่าบนผืนดินที่หล่อเลี้ยงด้วยหยาดเหงื่อและหยดเลือดของประชาชน
ประชาชนควรได้ไม่เพียงแต่สิทธิ เลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น หากควรได้รับที่ดินด้วย
ที่ดินที่แต่ละคนครอบครองควรจำกัดแค่ความจำเป็นในการดำรงชีพของแต่ละคนเท่านั้น ที่ดินของกษัตริย์ ของรัฐ
ของศาสนจักร และของพวกนิยมกษัตริย์จะต้องจัดสรรส่วนหนึ่งมาแบ่งให้ชาวนา เนื่องจากกลุ่มอิสระก็เช่นเดียวกับกลุ่มคณะเพรสไบทีเรียนไม่ได้ ให้ผลประโยชน์อะไรในทางเป็นจริงแก่ชาวนา ชาวนาที่ยากจนจึงลงมือแก้ปัญหาที่ดินด้วยตนเอง
นักคิดและผู้นำของกลุ่มขุดดินคือ เจอร์ราด
วินสแตนเลย์(Gerrard Winstanley 1609-1652) เขาเป็นพ่อค้าย่อยที่ล้มละลายในกรุงลอนดอน ต่อมาไปเป็นชาวนารับจ้างในแคว้นเซอเรย์ใกล้ๆกรุงลอนดอน วินสแตนเลย์
ดำเนินการเคลื่อนไหวในนามคนยากคนจนที่ถูกกดขี่ทั้งปวงของอังกฤษ โฆษณาความคิดลัทธิเฉลี่ยแบบสังคมบรรพกาล เรียกร้องให้ทำลายระบอบกรรมสิทธิ์เอกชนในการถือครองที่ดิน มีความคิดเห็นว่าคนทุกคนล้วนต้องออกแรงทำงาน
มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันในด้านสิทธิผลประโยชน์
กลับไปสู่ภาวะธรรมชาติของระบอบถือครองที่ดินโดยส่วนรวม แต่ว่าเขามีความคิดเห็นว่า ให้ใช้ “ความรัก”
และการกระทำที่เป็นแบบอย่างไปส่งผลสะเทือนต่อผู้อื่น คัดค้านการใช้กำลังไปทำลายระบอบกรรมสิทธิ์เอกชน เพ้อฝันจะผ่านโครงการปฏิรูปสังคมแบบยูโธเปียไปทำให้ระบอบกรรมสิทธิ์สาธารณะปรากฏเป็นจริงขึ้น เขายังเห็นว่าไม่เพียงแต่คนยากคนจนเท่านั้นที่จะเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของกลุ่มขุดดินแม้แต่พวกเจ้าของที่ดิน เมื่อได้รับรู้ถึงลักษณะชอบธรรมในการ เคลื่อนไหวของกลุ่มขุดดินแล้วก็ล้วนจะต้องยอมสละที่ดินของตนเอง คำเทศนาโวหารเกี่ยวกับความรักของวินสแตนเลย์ได้ลดทอนประกายที่คมกล้าของความคิดปฏิวัติของเขาลงไปไม่น้อย
เดือนเมษายน
1649
ชาวนากลุ่มหนึ่งได้ไปบุกเบิกที่ดินที่ภูเขา เซนต์จอร์จ ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆกรุงลอนดอน พวกเขาทำงานด้วยกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน ขนานนามตนเองว่า “พวกขุดดิน” ต่อมาในท้องที่ต่างๆเช่น นอร์ทแธมป์ตัน บักกิ้งแฮม
กลอสเตอร์ ฮันติงตัน
แลงคาเซียร์ ลินคอร์น
ฯลฯ
ล้วนได้ปรากฏการเคลื่อนไหวของกลุ่มขุดดิน
การเคลื่อนไหวแม้จะมีลักษณะสันติ
ทั้งเป็นการบุกเบิกที่ ดินรกร้างว่างเปล่า
ไม่ได้แตะต้องระบอบกรรมสิทธิ์เอกชนแต่ยังไม่วายถูกรัฐบาลขับไล่และสั่งห้าม ต่อมาไม่นานการเคลื่อน
ไหวของกลุ่มขุดดินในท้องที่ต่างๆ ได้ถูกกองทหารปราบปรามลงไปตามลำดับ
การลุกขึ้นสู้ทางประชาชาติของไอร์แลนด์ถูกปราบปราม
เกาะไอร์แลนด์ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติคทางภาคตะวันตกของยุโรป กับสก๊อตแลนด์
และอังกฤษเพียงมีช่องแคบขวางกั้นเท่านั้น แต่เดิมมีชนเผ่าต่างๆของชนชาติเคลท์อาศัยอยู่ นับแต่ครึ่งหลังศตวรรษที่ 12 อังกฤษก็เริ่มรุกรานเข้าสู่ไอร์แลนด์
ถึงศตวรรษที่ 16
ก็เริ่มทำการแย่งยึดที่ดินขนานใหญ่
พระเจ้าเจมส์ที่ 1
เคยริบที่ดินในไอร์แลนด์ถึงสามล้านเอเคอร์
ชาวอังกฤษและชาวสก๊อตแลนด์พากันย้ายถิ่นฐานไปอยู่อัลสเตอร์ภาคเหนือของไอร์แลนด์ ท้องที่แห่งนี้จึงกลายเป็นฐานที่มั่นของอังกฤษในการปกครองไอร์แลนด์ ในขณะที่ สตราฟฟอร์ท ดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ในปี
1633-1639นั้น
ได้ดำเนินการปกครองแบบอาณานิคมที่โหดร้ายป่าเถื่อนที่สุด เป็นเหตุให้เกิดการลุกขึ้นสู้ทางประชาชาติของชาวไอร์แลนด์
ในปี 1641 เพื่อการสร้างชาติที่เป็นเอกราช การลุกขึ้นสู้ภายใต้การนำของ
“สหพันธ์โรมันคาทอลิค”
ได้ปะทุขึ้นที่อัลสเตอร์เป็นแห่งแรก
ไม่นานก็ลุกลามไปทั่วทั้งเกาะ
เพื่อปราบปรามการลุกขึ้นสู้ของไอร์แลนด์และพิชิตไอร์แลนด์ในที่สุด ปี 1642
รัฐสภาช่วงยาวได้ผ่านมติให้ริบที่ดินค่อนข้างดีของไอร์แลนด์จำนวนสองล้านห้าแสนเอเคอร์เป็นค่าใช้จ่ายทางทหารสำหรับกองทหารที่ทำศึกในไอร์แลนด์ โดยวิธีจำหน่ายโฉนดที่ดินก่อน
แล้วตีราคาต่ำที่สุดขายให้แก่ชนชั้นนายทุนใหญ่และขุนนางใหม่ของอังกฤษ แต่เนื่องจากสงครามกลางเมืองระเบิดขึ้น โครงการพิชิตไอร์แลนด์จึงถูกพักไว้ชั่วคราว
ค่าใช้จ่ายทางทหารสำหรับกองทัพที่ออกศึกในไอร์แลนด์
ซึ่งรวบรวมมาได้ถูกเปลี่ยนไปใช้ในสงครามกลางเมือง
หลังจากที่การเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในอังกฤษถูกปราบลงในปี 1649 แล้ว เดือนสิงหาคม ครอมเวลล์ ก็ยกทัพไปตีไอร์แลนด์ นี่เป็นสงครามล่าเมืองขึ้นครั้งแรกของสาธารณรัฐอังกฤษ
มันได้นำภัยพิบัติมาสู่ประชาชนไอร์แลนด์อย่างแสนสาหัส ในระยะเว ลานับตั้งแต่ปี
1649-1652 เป็นเวลา 3 ปีที่กองทหารอังกฤษเข้ารุกรานไอร์แลนด์
ทำให้ประชากรไอร์แลนด์ลดลง 610,000 คนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 1,460,000 คน ที่ดินจำนวนมากถูกแย่งยึด
การฟื้นอำนาจครั้งที่
1 ถูกบดขยี้
ปี
1648
ในขณะที่การปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษขึ้นสู่กระแสสูงนั้น รัฐสภากลุ่มคณะเพรสไบทีเรียนของสก๊อตแลนด์ วิตกว่าการขยายตัวของการปฏิวัติจะกระตุ้นให้ชาวนาในสก๊อตแลนด์ลุกขึ้นสู้ สั่นคลอนฐานะการปกครองของพวกเขา จึงหันเข้าหาค่ายนิยมกษัตริย์ฝากความหวังไว้กับราชวงศ์สจ๊วต
ปี 1649 ภายหลังที่ชาร์ลส์ที่ 1
ถูกสำเร็จโทษไม่นาน พวกขุนนางและชนชั้นนายทุนของสก๊อตแลนด์หลังจากได้รับคำมั่นสัญญาจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ที่หนีตายไปอยู่ฮอลแลนด์ว่า ยินดีจะให้คณะเพรสไบทีเรียนของสก๊อตแลนด์เป็นศาสนาของทางการและคำมั่นสัญญาอื่นๆ แล้วก็ประกาศสนับสนุนชาร์ลส์ที่
2 ขึ้นเป็นกษัตริย์
ทั้งสมคบกับพวกนิยมกษัตริย์ในอังกฤษเตรียมโค่นล้มสาธารณรัฐ บรรลุซึ่งการฟื้นอำนาจราชวงศ์สจ๊วตในอังกฤษ ปี 1650
ชาร์ลส์ที่ 2 กลับถึงสก๊อตแลนด์
สาธารณรัฐอังกฤษเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันคับขัน รัฐสภาจึงเรียกตัวครอมเวลล์กลับจากไอร์แลนด์
แต่งตั้งเขาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพปราบสก๊อตแลนด์ ครึ่งปีแรกของปี 1650 สง ครามอาณานิคมต่อไอร์แลนด์ของอังกฤษสิ้นสุดลงโดยพื้นฐาน ครอมเวลล์ได้จัดหน่วยทหารภายใต้การบังคับบัญชาให้ตั้งประจำอยู่ในไอร์แลนด์เพื่อปราบปรามการลุกขึ้นสู้ของชาวไอร์แลนด์ต่อไป ส่วนตนเองกลับสู่อังกฤษ นำกองทหารเข้าบุกสก๊อตแลนด์ต่อไป เดือนกันยายน 1650 ขณะที่กองทหาร 2
กองสัประยุทธ์กันที่ แดนบาร์ นั้น ครอมเวลล์นำกำลังเข้าโจมตียังความเสียหายแก่กองทหารสก๊อตแลนด์อย่างหนัก
เดือนกันยายน
1651 ชาร์ลส์ที่ 2 นำทัพด้วยตนเอง
หลีกเลี่ยงการปะทะซึ่งหน้ากับกำลังหลักของครอมเวลล์ทางชายฝั่งทะเลตะวันออก แล้วเดินทัพเลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกมุ่งหน้าสู่ไอร์แลนด์ มุ่งหวังจะเข้าตีกรุงลอนดอน ได้เกิดการรบขั้นแตกหักขึ้นที่วูสเตอร์ ชาวนาถือการกลับมาของชาร์ลส์ที่ 2 เป็นการซ้ำรอยภัยพิบัติในสมัยชาร์ลส์ที่ 1
จึงพากันจับอาวุธขึ้นโถมตัวเข้าสู่การสู้รบ
ทหารบ้านเฉพาะมาจากแคว้นอีสเซ็กซ์และแคว้นซัฟโฟล์คก็มีถึง 3,000 คน ครอมเวลล์ได้รับการสนับสนุนจากชาวนาที่ติดอาวุธจึงเปลี่ยน สถานการณ์จากรับเป็นรุก กองทหารของชาร์ลส์ถูกทำลายเรียบ ชาร์ลส์ที่ 2
หนีเอาตัวรอดไปอยู่ต่างประ เทศ
ความมุ่งหวังฟื้นอำนาจราชวงศ์เก่าครั้งที่ 1
ถูกบดขยี้ลง
สาธารณรัฐหลังจากได้พิชิตสก๊อตแลนด์แล้ว ก็ได้ริบที่ดินจำนวนมากจากขุนนางใหญ่และพวกนิยมกษัตริย์ส่วนหนึ่งให้เป็นรางวัลแก่นายทหารชั้นสูง อีกส่วนหนึ่งขายให้แก่ชนชั้นนายทุนอังกฤษและสก๊อตแลนด์ โดยเฉพาะหลังจากพิชิตไอร์แลนด์แล้ว สาธารณรัฐได้ริบที่ดินของพวกลุกขึ้นสู้อย่างขนานใหญ่ทำให้
ที่ดิน 2
ใน 3 ของไอร์แลนด์ เปลี่ยนกรรมสิทธิ์ไปอยู่ในมือของผู้ถือครองอังกฤษ
ที่สำคัญคือตกอยู่ในมือของชนชั้นนายทุนใหญ่และนายทหารชั้นสูงและชั้นกลางในเขตเมืองลอนดอน ก่อรูปเป็นชั้นชนใหม่ของขุนนางที่ดินอังกฤษ ตัวครอมเวลล์เองได้ครอบครองที่ดินชั้นดีในไอร์แลนด์ถึง
1,000 เอเคอร์
ชั้นชนใหม่ของขุนนางที่ดินนี้ได้กลายเป็นเสาค้ำของอิทธิพลปฏิกิริยาอังกฤษ ได้กุมอำนาจรัฐ และพยายามจะฟื้นระบอบขุนนางอังกฤษตามประเพณีดั้งเดิม
นโยบายภายในและต่างประเทศของสาธารณรัฐ
นโยบายภายในและต่างประเทศของสาธารณรัฐเผด็จการชนชั้นนายทุนของกลุ่มอิสระทั้งหมดวางอยู่บนจุดพื้นฐานเหล่านี้คือ ละเลยผลประโยชน์ของประชาชนผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นผู้พิทักษ์รักษาสาธารณรัฐ โดย เฉพาะอย่างยิ่งคือละเลยผลประโยชน์ของชาวนา..สร้างเงื่อนไขที่เป็นผลดีต่อการก่อร่างสร้างตัวเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีของชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่ที่ได้อำนาจรัฐแล้ว รัฐบาลได้จัดการขายที่ดินจำนวนมากที่ริบมาจากราชสำนัก..พวกนิยมกษัตริย์และศาสนจักรด้วยวิธีแบ่งขายเป็นแปลงใหญ่และตีราคาสูง คนยากคนจนไม่มีปัญญาซื้อได้ ฉะนั้นจึงตกอยู่ในมือของชนชั้นนายทุนและขุนนางใหม่
รัฐสภายังนำเอาไร่สวนของพวกนิยมกษัตริย์ปูนบำเหน็จแก่พวกชั้นบนของกองทัพ ตัวครอมเวลล์เองก็ได้มา 2 แปลงที่สามารถทำรายได้ปีละ 7,000 ปอนด์ขึ้นไป เจ้าที่ดินคนใหม่จัดการขับไล่ชาวนาออกจากผืนที่ดิน ภายในประ เทศได้ปรากฏสภาพฉวยโอกาสเก็งกำไรจากการซื้อขายที่ดินอย่างครึกโครม
ในด้านนโยบายต่างประเทศ
เพื่อแย่งชิงอำนาจครองความเป็นเจ้าในการค้าขายทางทะเล ได้ทำการโจมตีฮอลแลนด์ที่เป็นคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญ ปี 1651ได้ประกาศใช้
“กฎหมายการเดินเรือทางทะเล” ในกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดไว้ว่า การนำเข้าสินค้าของอังกฤษจะอนุญาตให้เรืออังกฤษหรือของประเทศผู้ผลิตสินค้านั้นเป็นผู้ขนส่งเท่านั้น
ส่วนสินค้าส่งออกก็อนุญาตให้เฉพาะเรืออังกฤษเป็นผู้ส่ง "กฏหมายการเดินเรือทางทะเล" มีผลกระทบโดยตรงต่อฮอลแลนด์ซึ่งดำเนินกิจการขนส่งทางทะเลโดยเฉพาะ
ด้วย เหตุนี้ ฮอลแลนด์กับอังกฤษจึงได้ทำสงครามกันเป็นเวลา 2
ปี (1652-1654) ผลของสงครามคือฮอล แลนด์เป็นฝ่ายแพ้ จึงถูกบีบให้รับรอง “กฎหมายการเดินเรือทางทะเล” จากนั้นมา
การค้าขายทางทะเลและกิจการเดินเรือของอังกฤษก็ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว …จบตอนที่ 7
No comments:
Post a Comment