Saturday, January 28, 2017

บอลเชวิค..เส้นทางสู่การปฏิวัติ ตอนที่ 5

5.กลุ่มปลดปล่อยแรงงาน   
“การเคลื่อนไหวปฏิวัติในรัสเซียจะสามารถชนะได้มีเพียงหนทางเดียวดือการเคลื่อนไหวปฏิวัติของมวล ชนกรรมกร   สำหรับเราแล้วไม่มีทางออกอื่นใดและไม่อาจมี “(คำปราศรัยของ เพลคานอฟ ในที่ประชุม สมัชชาสังคมนิยมสากลที่กรุงปารีส) ครั้งหนึ่ง..เฮเกลได้ให้ข้อสังเกตว่า..”หากเราต้องการจะเห็นต้นโอคที่มีลำต้นแข็งแรง,กิ่งก้าน สาขาที่แผ่กระจายออกไปและพุ่มใบที่ดกหนา     เราคงไม่อาจมั่นใจนักหากจะเห็นแค่ผลของมัน  ”    

ดังนั้น..ภายในหน่ออ่อนที่สมบูรณ์...ไม่ว่าของพืชหรือสัตว์จะประกอบด้วยสิ่งที่แสดงถึงข้อมูลทางพันธุ กรรมที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาของมันในอนาคต  ซึ่งก็ไม่แตกต่างไปจากแนวโน้มในพัฒนาการของการปฏิวัติซึ่ง“ข้อมูลทางพันธุกรรม”จะแสดงออกทางทฤษฎีซึ่งอุดมไปด้วยองค์ ประกอบในตัวของมันเองบนพื้นฐานประสบการณ์ในอดีต     ทฤษฎีจึงเป็นความจำเป็นในเบื้อง แรก...พัฒนาการต่างๆที่ตามมาจึงจะเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงขนาดความเล็กหรือใหญ่ ..การจัดการองค์กรแบบล้าหลังและค่อนข้างจะเป็นแบบมือสมัครเล่นไม่อาจเดินไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้       ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของกลุ่มปลดปล่อยแรงงานคือการวางรากฐานทางทฤษฎีในการเคลื่อนไหว      ความจำเป็นในการทำงานครั้งแรกของกลุ่มก็คือการมุ่งเน้นที่การจัดการศึก ษาบ่มเพาะผู้ปฏิบัติงานให้ได้สักหนึ่งหรือสองหน่วยเน้นหนักที่หลักการพื้นฐานของลัทธิมาร์กซ

เพลคานอฟเขียนว่า “เราได้ทุ่มเทแรงใจทั้งหมดของเราพยายามที่จะเสนองานเขียนที่มวลชนชาวนา-กรรมกรสามารถเข้าถึงและทำความเข้าใจได้พวกเรา,ในเวลานั้นไม่ว่าอย่างไรยังถือว่าเป็นภาระหน้าที่ๆจะกระจายงานเขียนของเราไปยังแวดวงของบรรดาผู้นำชนชั้นกรรมกรที่เป็นปัญญาชน”   ข้อเขียนของเพลคานอฟในระยะเวลานี้เป็นช่วงของการวางรากฐานทางทฤษฎีในการสร้างพรรค  งานหลายๆชิ้นของเขายังคงความทันสมัยอยู่จวบจนกระทั่งปัจจุบัน   แม้ว่าจะไม่ค่อยจะได้รับความสนใจจากผู้ที่ศึกษาลัทธิมาร์กซเท่าที่ควร       เนื่องจากไม่มีโอกาส,และเป็นระยะที่คนทั้งสองคนยังเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกันทาง การเมือง       หลังการปฏิวัติ...เลนินเสนออย่างจริงจังให้มีการตีพิมพ์ซ้ำงานของเพลคานอฟที่ว่าด้วยปรัชญาเช่น “ลัทธิสังคมนิยมและการต่อสู้ทางการเมือง”(Socialism and the Political Struggle) ,ความแตกต่างของเรา” (Our Differences)      และโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานชั้นยอดของเพลคานอฟ..เรื่อง ”พัฒนาการของผู้มองด้านเดียวทางประวัติศาสตร์ (On the Development of the Monist View of History) ที่ถือว่าเป็นงานชิ้นสำคัญในการตอกย้ำความคิดพื้นฐานของวิภาษวิธีและวัตถุนิยมประวัติ ศาสตร์

การโจมตีของเพลคานอฟ  ทำให้บรรดาผู้นำของนารอดนิคเกิดความสับสนไม่สามารหาคำตอบที่มีเหตุผลได้เหมือนนักลัทธิมาร์กซ       พวกเขาไช้มาตรการตอบโต้ด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรงและใช้ข้อกล่าวหาที่มุ่งร้ายต่อกลุ่มใหม่     หนังสือพิมพ์ “เวสทนิค นารอดนอย โวลี”(ฉบับที่2 ปี 1884) กล่าวหาว่า “สำหรับพวกเขา(นักลัทธิมาร์กซ)  ได้โต้แย้งกับ นารอดนายา โวลยา มากยิ่งกว่าการต่อสู้กับรัฐบาลรัสเซียและผู้ที่กดขี่ประชาชนรัสเซียคนอื่นๆ”

บ่อยครั้งมากที่บรรดานักลัทธิมาร์กซได้รับฟังในคำกล่าวร้ายเช่นนั้นมาตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ ดูเหมือนว่ามันเป็นอาชญากรรมในการยืนยันความชัดเจนในเรื่องทฤษฎี  สำหรับความพยายามในการขีดเส้นแบ่งและกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างตัวมันเอง(ลัทธิมาร์กซ)และความโน้มเอียงของลัทธิการ เมืองอื่นๆ   ลัทธิมาร์กซเองมักจะถูกกล่าวหาอยู่เสมอๆว่าเป็น”ลัทธิพรรคพวก” ที่เลวร้าย    เป็นพวกต่อ ต้านความเป็นเอกภาพของฝ่ายซ้ายและอะไรต่อมิอะไรไปโน่น       เรื่องตลกร้ายที่สุดเรื่องหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์คือ ทิโคมิรอฟ (ชาวพรรคนารอดนายา โวลยา)  ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่เพลคานอฟวิจารณ์     ได้กล่าวหากลุ่มของเพลคานอฟว่าเป็นกลุ่มที่ทำลายความเป็นเอกภาพของปฏิวัติ      เป็นพวกยอมจำ นน,  ยอมแบกแอกของนายทุน      ซึ่งในภายหลังตัวเขาเองกลับกลายไปเป็นพวกปฏิกิริยาสนับสนุนราชวงศ์   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งสุดท้ายของผู้ที่ให้การสนับสนุน “เอกภาพ” ที่ไร้หลักการ...มักจะจบลงด้วยการเข้าร่วมกับฝ่ายที่เป็นศัตรูของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน

การทำงานเคลื่อนไหวด้านลึกในรัสเซีย  ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปด้วยความเจ็บปวดและยากลำบาก   การขนส่งเอกสารผิดกฎหมายเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก    ผู้ประกอบอาชีพและนักศึกษาที่อยู่หรือศึกษาในต่าง ประเทศต่างสมัครใจรับอาสาขนเอกสารที่ผิดกฎหมายเหล่านี้เมื่อกลับบ้านหรือกลับจากการท่องเที่ยว พักผ่อน    ในช่วงเวลาต่างๆสมาชิกของกลุ่มได้ถูกส่งเข้าไปในรัสเซียเพื่อสร้างความสัมพันธ์   การเดิน ทางเช่นนี้นับว่ามีอันตรายมากและบ่อยครั้งมักจะจบลงด้วยการถูกจับ      คนที่อยู่ภายในประเทศมักจะ สร้างการติดต่อโดยตรงกับกลุ่มที่อยู่ห่างไกลกันและรักษามันไว้ประหนึ่งก้อนทองคำ  ปี 1887-88  มีความพยายามก่อตั้งพรรคสังคมประชาธิปไตยรัสเซียในต่างประเทศนำโดยนักศึกษาชื่อ ราฟาอิล  โซโลไวชิค  ซึ่งออกจากรัสเซียไปเมื่อปี  1884    แต่เขามีความขัดแย้งกับกลุ่ม, เมื่อกลับถึงรัสเซียก็ถูกจับ กุมในปี 1889 และถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลานาน  

ในระหว่างที่ต้องโทษอยู่เขามีสภาพจิตสับสนและกระทำอัตวินิบาตกรรม    สมาชิกกลุ่มเดียวอีกคนหนึ่งคือ  กริกอร์  กูคอฟสกี  นักศึกษาหนุ่มในซูริคถูกจับที่เมือง อ๊าคเค่น ในเยอรมันนีและถูกส่งกลับไปให้รัฐบาลพระเจ้าซาร์   เขาถูกตัดสินจำคุกและได้กระทำอัตวินิบาตกรรมเช่นเดียวกัน   ยังมีเรื่องเช่นเดียว กันนี้อีกหลายกรณี    มือของเจ้าหน้าที่ของระบอบซาร์นั้นยาวมาก       กลุ่มเองก็เผชิญหน้ากับอันตรายจากการแทรกซึมจากสายของตำรวจและพวกสายลับ     เช่น คริสเตียน เฮาพ์  กรรมกรคนหนึ่งที่มีความ สัมพันธ์กับตำรวจเพื่อแทรกซึมเข้าไปในองค์กรจัดตั้งของพรรคสังคมประชาธิปไตยที่ลี้ภัยอยู่นอกประ เทศ    ถูกเปิดโปงโดยพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมันว่าเป็นสายลับของตำรวจ    เฮาพ์จึงถูกขับออกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์       

ที่แย่กว่าเรื่องใดๆคือความรู้สึกที่ว่าถูกโดดเดี่ยวจากการเมืองอย่างสิ้น เชิง     ที่ทำให้แย่ลงอีกก็คือการไม่ลงรอยกันในหมู่นักปฏิวัติที่ใช้ชีวิตแบบผู้ลี้ภัย    ชาวนารอดนิคพลัดถิ่นทั้งหลายรู้สึกเจ็บปวดต่อคำวิจารณ์ของเพลคานอฟ      จึงเปิดทางให้แก่ความรู้สึกเจ็บปวดของพวกเขาด้วยการประท้วงพวกที่เรียกว่า พวกนิยมบาคูนิน และเรียกร้องให้มีการขอโทษในที่สาธารณะ    ผู้ลี้ภัยส่วนข้างมากเป็นชาวนารอดนิคและเป็นปรปักษ์ที่ไม่ยอมประนีประนอมกับกลุ่มใหม่(กลุ่มปลดปล่อยแรงงาน ของเพลคานอฟ)   ที่พวกเขาพิจารณาว่าเป็นผู้ทรยศและสร้างความแตกแยก     หนึ่งปีผ่านไปภรรยาของเพลคานอฟได้ระลึกถึงความหลังว่า  ” ในขณะนั้นกลุ่มนารอดนายา โวลยา และ เอ็น. เค. มิคคาอิลลอฟสกี  ได้ครอบงำจิตวิญญานของผู้พลัดถิ่นและเหล่านักศึกษารัสเซียในเจนีวา”

หลังจากการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่2    เป็นช่วงเวลาของความสิ้นหวังที่ปกคลุมไปทั่วทั้งรัสเซีย     รัฐบาลของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 เงียบเชียบราวกับป่าช้า   สังคมรัสเซียตกอยู่ในความมืดมนต่อความหวังที่จะมีการเปลี่ยนแปลง       ต้องเผชิญกับความสิ้นหวังกับการปฏิรูปอย่างสันติและถือว่าเป็นความล้มเหลวของการเคลื่อนไหวปฏิวัติทั้งมวลอีกด้วย     ในบรรยากาศเช่นนี้เองที่ว่าทำ ไม โรซา ลุกเซ็มบวร์ก  จึงได้รำลึกถึงทศวรรษแห่งความเป็นปฏิกิริยาที่มีแต่ความว่างเปล่า    อเล็กซานเดอร์ที่ 3 กษัตริย์องค์ใหม่  เป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่,แข็งแรงพอที่จะงอเกือกม้าในมือได้ แต่มีสติปัญญาเพียงน้อยนิด      ผู้ปกครองรัสเซียตัวจริงก็คือ โปเบโดนอสท์เซฟ ที่ปรึกษาของกษัตริย์องค์ก่อน

ตัวแทนของสภาคณะสงฆ์อันศักดิ์สิทธิ์..มีความเชื่อว่าประชาธิปไตยแบบตะวันตกนั้นเป็นสิ่งที่เน่าเหม็นมีแต่ระบบการปกครองแบบบิดากับบุตรแบบรัสเซียเท่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม,สำนักข่าวจะต้องถูกสั่งปิด,โรงเรียนจะต้องถูกควบคุมโดยโบสถ์  ,และพระเจ้าซาร์จะต้องมีอำนาจสูงสุด    และพระในชนบทจะต้องรายงานเรื่องราวที่น่าสงสัยใดๆในทางการเมืองของพลเมืองที่อยู่ในเขตคามของตนแก่ตำรวจ..  และแม้แต่หัวข้อการเทศนาของตนก็ต้องผ่านการเซ็นเซอร์ด้วย     ส่วนพวกที่มิใช่นิกายโอโธด๊อกซ์หรือมิใช่คริสเตียนจะต้องถูกควบคุมตรวจสอบอย่างเข้มงวด   สานุศิษย์ของตอลสตอย จะถูกพิจารณาว่าเป็นอันตรายต่อโบสถ์และรัฐตัวตอลสตอยเองก็ถูกบัพชนียกรรม      การประท้วงของนักศึกษาได้ถูกปราบปรามอย่างรุนแรง

เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก    หลายๆฝ่ายจำต้องล่าถอย..อุดมการณ์เสื่อมทรามลงและถูกละทิ้งไปด้วยความขลาดเขลา     ทิศทางของชาวนารอดนิคดั้งเดิมนั้นได้ถึงทางตันแล้วจากการตัดหนามถมทางตัว เองจากการก่อภัยร้าย    “การปฏิวัติสุดกำลัง”  ส่งผลให้เกิดการตีกลับ 180 องศาและในบั้นปลายก็จบลงในค่ายของพวกเสรีนิยมที่ไร้วัฒนธรรม..ด้วยการเสนอนโยบายที่ขลาดกลัวผ่านคำสั่งสอนของการ ”ทำทีละน้อย ทำอย่างสันติ”  ตามวัฒธรรมการศึกษาที่ไม่เป็นพิษภัยในสายตาของชนชั้นปกครอง มาตอฟ ได้เขียนวิจารณ์ความผุพังของลัทธินารอดนิคไว้ว่า.. ”ความล้มเหลวของการปฏิวัติแบบ เสรีภาพของประชาชน ก็เช่นเดียวกันกับการล่มสลายของลัทธิประชานิยมทั้งมวล”      ในปริมณฑลอันไพศาลปัญญาชนฝ่ายประชาธิปไตยกำลังขวัญเสียอย่างถึงที่สุด และผิดหวังในการเมืองและภารกิจที่กล้าหาญของตนเอง      วัฒนธรรมแบบ “เจียมเนื้อเจียมตัว” ในการรับใช้ของกลุ่มเสรีนิยม..ของชนชั้นผู้ครอบ  ครองสมบัติ....เหล่านี้เป็นสัญญานภายใต้การมีส่วนร่วมของปัญญาชนที่ยังคงภักดีต่อกลุ่มประ ชานิยมในยุคสมัยที่มืดมัวของทศวรรษที่ 1880

ในสิบปีแรกหรือการดำรงอยู....กลุ่มปลดปล่อยแรงงานถูกบีบให้ต้องต่อสู้อย่างเหน็ดเหนื่อยในสมรภูมิที่ทวนกระแส      เพื่อหาหนทางไปสู่คนหนุ่มสาว,เพลคานอฟ  มีภาระในการแสวงหาผู้ร่วมงานที่ปฏิเสธหรือมีความคิดแบบกึ่งนารอดนิค   หนึ่งในกลุ่มได้ตีพิมพ์จุลสารชื่อ “สโวบอดนายา  รอสสิยา” หรือรัส เซียเสรี    การนำเสนอเบื้องต้นเพื่อจะได้เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดถึงความเป็นไปได้ของ  “การจัด ตั้งกรรมกรและชาวนาล้อมรอบการเคลื่อนไหว” และถกเถียงกันต่อไปถึงเรื่องที่อาจจะทำให้ผู้ที่ชื่นชอบเสรีนิยมตกใจกลัวที่จะเข้าร่วมเล่นเกม “คนตาบอด” ไล่จับคนตาดีแบบรัสเซีย  สถานภาพของผู้ลี้ภัยไม่แน่ว่าจะแย่ลงไปอีกหรือไม่     ความสิ้นหวังของกลุ่มได้แสดงออกโดยความไม่ลงรอยกันระหว่างเพลคานอฟและผู้ร่วมงาน   แม้แต่กิจกรรมที่เกี่ยวกับเอกสารของกลุ่มก็เต็มไปด้วยอุปสรรค

กลุ่มปลดปล่อยแรงงานใช้ชีวิตกันภายใต้วิกฤตทางการเงินมาอย่างต่อเนื่อง     มีบ้างเพียงเล็กน้อยที่สามารถระดมเงินสดได้แต่ก็อยู่ในขอบเขตจำกัด       บ่อยครั้ง..ที่ชีวิตของพวกเขาต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกกันว่า ”นางฟ้า”  ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในโลกมายาแบบอเมริกันหมายถึงผู้มีฐานะที่มีความเห็นอกเห็นใจได้จัดสรรเงินเพื่อใช้ในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทำเอกสาร   แม้ว่าบางคนจะไม่ใช่นักสังคมนิยม   เช่น กูรเยฟ ที่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการออกหนังสือ โซเชียล เดโมแครต รายสามเดือน       โดยปกติทั่วไป...สิ่งตีพิมพ์ของกลุ่มมักจะออกมาอย่างไม่ค่อยจะสม่ำเสมอ   ในเวลานั้นภาระหน้าที่ดำเนินไปในสภาพที่ใกล้จะสิ้นหวัง      ฤดูร้อนปี 1885 เพลคานอฟได้เขียนจดหมายถึง อัคเซลรอด  บอกถึงภาวะ ที่ย่ำแย่....”ในความเป็นจริง..เรากำลังยืนอยู่บนขอบนรกของหนี้สินต่างๆไม่รู้และไม่อาจคาดคิดได้ว่าเมื่อไหร่จะมีอะไรบางอย่างมาฉุดรั้งเรามิให้ตกลงไป..ทุกอย่างเลวร้ายเหลือเกิน

ตลอดช่วงเวลาที่มืดมนของทศวรรษที่ 1880 เพลคานอฟและครอบครัวมีชีวิตอยู่อย่างยากไร้  ในเวลานั้นเขาได้ให้บทเรียนเพื่อเตือนสติเป็นบทความเกี่ยวกับค่าจ้างที่น้อยนิดในรัสเซีย  ความเป็นอยู่ในห้อง พักที่ถูกที่สุดของคนขายเนื้อที่บริการอาหารพิเศษคือ ซุป และเนื้อต้ม   เนื่องจากอาหารที่เลวและความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ค่อยๆบ่อนเซาะสุขภาพของเขา       มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาล้มป่วยลงด้วยโรคเยื่อหุ้มปอดอัก เสบซึ่งมีผลต่อเขาไปตลอดชีวิต     การทำงานภายใต้ความยากลำบาก,ความทุกข์ทรมานและความกด ดันจากทุกทิศทาง….กลุ่มปลดปล่อยแรงงานยังดำรงอยู่ได้และยึดโยงกันด้วยความยึดมั่นในอุดมการณ์ การณ์..  .และแน่นอนยังเกิดจากความมีคุณธรรมและความรับผิดชอบทางการเมืองของเพลคานอฟเองด้วย   

ภายในกลุ่ม..เพลคานอฟอยู่ในระดับสูงสุด      การที่ถูกโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุดทำให้สมาชิกของกลุ่มมีความสนิทสนมกันอย่างแน่นแฟ้น  หล่อหลอมรวมกันด้วยความผูกพันทางการเมืองที่มั่นคงและลักษณะส่วนตัว    ไม่ใช่เพราะสิ่งใดๆ..ที่ภายหลังพวกเขาได้ฉายานามว่า “ครอบครัว”  และเพลคานอฟเองก็คือหัวหน้าครอบครัวที่สมาชิกไม่อาจปฏิเสธได้ในด้านความรับรู้และสติปัญญาที่เปรียบเสมือนหอคอยที่มียอดสูงกว่ายอดอื่นๆ     การดำรงอยู่ของพวกเขาในปีที่ยากลำบากต่างต้องเสียสละดิ้นรนต่อสู้ด้วยการพึ่งพาอาศัยกันและกันอย่างถึงที่สุด    ในกรณีดังกล่าวมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าปัญหาส่วนตัวและการ เมืองได้ผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว เพลคานอฟเป็นหอคอยที่แข็งแกร่งกว่าอันอื่นที่คอยปลุกปลอบ พวกเขาให้มีกำลังใจในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและเรื่องปัญหาส่วนตัว

เรื่องที่น่าเศร้าของคนเช่น อัคเซลรอด และซาซูลิค ได้แก่การเป็นคนที่มีสองบุคลิกภายใต้เงื่อนไขประ วัติศาสตร์ที่ต่างกัน..บุคคลเช่นนี้สามารถจะแสดงบทบาทสำคัญให้เป็นแบบอย่างได้   แต่หลายปีที่ต้องใช้ในชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในการลี้ภัยได้ทำลายพัฒนาการทางสภาพจิตใจและความเป็นปัญญาชนไปเสียสิ้น       การทำงานภายใต้ร่มเงาของเพลคานอฟ, การเจริญเติบโตของพวกเขากลายเป็นเรื่องที่ไร้สาระไม่สามารถต่อยอดได้      เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปพวกเขาไม่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้,ไฟของการปฏิวัติได้มอดสลายไป      เนื่องจากสภาพที่กลุ่มได้พยายามผลักดันงานมาตลอดเป็นระยะเวลาหลายทศวรรษ     ผลพวงเล็กๆของการโฆษณาชวนเชื่อที่จำกัดอยู่ในวงแคบๆได้คืบคลานเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้     ปัจจัยดังกล่าวไม่เคยมีความสำคัญทางด้านพื้นฐานในช่วงปีแรกๆ,ซึ่งเป็นเวลายาวนานและเชื่องช้าช่วงของการเตรียมพร้อมทางทฤษฎีและแวดวงโฆษณาเล็กๆ    เฉพาะในภายหลังเมื่อการเคลื่อนไหวของนักลัทธิมาร์กซ์รัสเซียต้องเผชิญกับความจำเป็นที่จะต้องก้าวข้ามข้อจำกัดของขั้นตอนการโฆษณา   ได้ทำให้คุณสมบัติที่โดดเด่นของกลุ่มปลดปล่อยแรงแรงงานปรากฎออกมา

ล่วงเลยไปถึงสองทศวรรษ..สมาชิกของกลุ่มปลดปล่อยแรงงานยังมีจำนวนเท่าเดิมและเป็นคนเดิมๆ วี.เอ็น.อิกนาตอฟ  ผู้ก่อตั้งเสียชีวิตเร็วเกินไปตั้งแต่เริ่มแรกแต่ได้ฝากรอยประทับเอาไว้   เลฟ ดอยท์ช คือจิตวิญญาณคนสำคัญในด้านการทำงานขององค์กร      เป็นต้นว่าเป็นผู้จัดการพิมพ์และเผยแพร่เอกสาร    พาเวล อัคเซลรอด  ซึ่งเชี่ยวชาญในด้านการโฆษณาเป็นที่ประทับใจของคนหนุ่มอย่างเลนินและทรอตสกี     ชื่อเสียงของเขานั้นเคียงคู่กับเพลคานอฟมาอย่างยาวนาน    เวรา ซาซูลิค  ที่มีความจริงใจ   มีบุคลิกที่อบอุ่นแต่เป็นคนใจร้อน  ได้รับความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งจากบาดแผลของการลี้ภัย  เธอรู้สึกหงุดหงิดในการปิดช่องว่างระหว่างกลุ่มปลดปล่อยแรงงานและนักปฏิวัติรุ่นใหม่ในรัสเซียและสนับสนุนอย่างจริงจังในนามของคนหนุ่มสาวเพื่อเอาชนะการต่อต้านของเพลคานอฟ  และให้กำลังใจกับการริเริ่มในสิ่งใหม่ๆ...แต่มักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จกับกลุ่มคนหนุ่มที่ลี้ภัย    

การทำงานอย่างอดทนของนักลัทธิมาร์กซในที่สุดก็ประสบกับความล้มเหลว   เหตุผลที่แท้จริงกับเสียงร้องคร่ำครวญของพวกนารอดนิคเกี่ยวกับ “ลัทธิพรรคพวก”..”ไอ้พวกแบ่งแยก”ส่งผลสะเทือนต่อแนวคิดของลัทธิมาร์กซและลุกลามไปถึงผู้ที่นิยมลัทธิมาร์กซด้วย      เป็นเรื่องยากที่จะประเมินถึงแรงกระทบที่มีต่องานหนังสือเช่น “ความแตกต่างของเรา”  ที่นักปฏิวัติรุ่นหนุ่มสาวในรัสเซียกระหายอยากจะได้เพื่อหาทางออกจากหนทางที่ตีบตันของลัทธินารอดนิคซึ่งขณะนั้นอยู่ในขั้นที่ต้องพิสูจน์ตัวเองในความเสื่อมถอยของมัน       การเปลี่ยนข้างไปสู่ฝ่ายขวาของผู้นำนารอดนิคได้บรรลุถึงบทสุดท้ายแล้วด้วยการเปิด เผยการทรยศของ ทิโคมิรอฟ  ที่เป็นเป้าในการโต้เถียงของเพลคานอฟ    ผู้ซึ่งในปี1888 ได้ตีพิมพ์หนัง สือเรื่อง “ทำไมข้าพ เจ้าจึงเลิกเป็นนักปฏิวัติ”

การพังทลายของขบวนการปฏิวัติที่เก่าแก่เช่นลัทธินารอดนิคได้ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งในขบวนหนุ่มสาวภายในรัสเซีย   ได้เกิดการแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจนระหว่างผู้ที่สนับสนุนแนวทางเสรีนิยมที่แสดงออก ถึงธาตุแท้ของนักปฏิรูป      และเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีความมุ่งมั่นบนเส้นทางของการปฏิวัติ      ใกล้จะสิ้นปี 1887 เอส. เอ็น.กินสบวร์ก   ได้กลับรัสเซียอย่างกระ ทันหัน     เขียนจดหมายแสดงความห่วงใยต่อ พี แอล. ลาฟรอฟ  ว่าหนังสือ “ความแตกต่างทางการเมืองของเรา” และ “ลัทธิสังคมนิยมและการต่อสู้ของเรานั้นทรงอิทธิพลและเข้มแข็งมาก   ซึ่งถึงคราวที่พวกเราจะต้องทำความตกลงกันเกี่ยวกับความสำคัญของปัจเจกชน ความสำคัญของปัญญาชนในการปฏิวัติได้ถูกทำลายลงโดยหนังสือทั้งสอง      โดยส่วนตัวแล้วผมได้เห็นผู้คนซึ่งถูกบดขยี้โดยทฤษฎีของเขา  สิ่งสำคัญในน้ำ เสียงของเขาคือความกล้าหาญและเชื่อมั่นในความถูกต้อง         ข้อคัดค้านทั้งมวลของเขาที่มีมาก่อน,ความถดถอยของคนรุ่นก่อนซึ่งเกือบจะกลายเป็นศูนย์    ทั้งหมดนี้มีอิทธิพลอย่างแน่นอน”  จดหมายของ กินสบวร์ก แสดงถึงความไม่รู้ว่า....นักลัทธิมาร์กซที่ถูกเนรเทศกลุ่มใหม่กำลังก่อตัวขึ้นภาย ในประเทศ,ถกเถียงกันถึงความล้มเหลวที่ผ่านมา   กำลังวางแผนในการแสวงหาทางเส้นใหม่   ซึ่งณที่นี้ความคิดของเพลคานอฟกำลังงอกงาม     ปลายทศวรรษ 1890 กลุ่มฯเริ่มจะพอใจที่ได้ประจักษ์กับตาตนเองว่านักลัทธิมาร์กซรุ่นหนุ่มสาวได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น    ชื่อของเพลคานอฟเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางของหน่วยงานใต้ดินและสถานีตำรวจทุกแห่ง


No comments:

Post a Comment