Monday, March 23, 2015

เลนิน บนเส้นทางปฏิวัติ (5)

8. การประชุมสมัชชาครั้งที่2ของพรรคแรงงานสังคม-ประชาธิปไตยรัสเซีย
ก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน 1902  ”สันนิบาติกรรมกรยิว” ได้ประชุมเพื่อกำหนดการประชุมสมัชชาครั้งที่สองของพรรคไว้แล้วในเดือนมิถุนายนที่เมือง เบลโลสต๊อค  ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของโปแลนด์ หลังจากการประชุมผู้แทนทุกคนถูกจับกุมยกเว้นตัวแทนจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก คณะกรรมการจึงได้ตัดสินใจที่จะจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการขึ้นคณะหนึ่งสำหรับการประชุมสมัชชาโดยเฉพาะในการประชุมบรรดากลุ่ม-พรรคสังคม-ประชาธิปไตยเมื่อเดือนพฤศจิกายน1902 (ปฏิทินใหมGregorian calendar)   ครุฟสกายาได้ระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า

“การเตรียมการอย่างกว้างขวางสำหรับการประชุมสมัชชาดำเนินรุดหน้าไปตลอดฤดูหนาว   มีการตั้งคณะกรรมการจัดการเพื่อเตรียมการประชุมสมัชชาขึ้นชุดหนึ่งเมื่อเดือนธันวาคม 1902 (ตามปฏิทินเก่า Julian carlender) ประกอบด้วยสมาชิกจาก  ยูซนี ราโบชี   สหภาพภาคเหนือ  จาก คราสนูดา ,เอ.เอ. รัดเชนโก ,  เลงค์นิค , คราชินานอฟสกี , สันนิบาติกรรมกรยิว เข้ามาร่วมภายหลัง”

การประชุมสมัชชาของพรรคแรงงานสังคม-ประชาธิปไตยรัสเซียมีขึ้นในระหว่าง 30 กรกฎาคมถึง 23สิงหาคม 1903 ที่โกดังเก็บแป้งสาลีขนาดใหญ่ในกรุงบรัสเซลล์ประเทศเบลเยี่ยม การประชุมดำเนินไปได้เพียง 13 วาระ (ถึงแค่วันที่ 6 สิงหาคม) และไปเริ่มประชุมกันต่ออีก 24 วาระ ที่กรุงลอนดอน  จนจบการประชุม  ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจากรัฐบาลเบลเยียมถูกกดดันจากสถานทูตรัสเซียตำรวจเบลเยียมจึงได้ผลักดันตัวแทนผู้ประชุมทั้งหมดออกนอกประเทศ การประชุมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากบรรดาพรรคลัทธิมาร์กซรัสเซียซึ่งได้ประกาศอย่างเปิดเผยเมื่อการประชุมสมัชชาครั้งแรกของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตย    

การประชุมสมัชชาครั้งแรกนั้นเป็นเพียงการประกาศก่อตั้งพรรคเท่านั้นที่ได้ผ่านมติออกมายังไม่ได้มีโครงการหลักนโยบายอะไรออกมาเลย ส่วนการประชุมครั้งนี้เป็นการวางรากฐานทางอุดมการณ์และโครงสร้างของพรรคได้มีการนำปัญหาพื้นฐานทางทฤษฎีขึ้นมาพิจารณา ทุกโครงการได้ใช้เวลาอภิปรายตรวจสอบกันอย่างกว้างขวาง ทุกคำ ทุกประโยค  ถูกแปรญัตติ  และโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อน   หนังสือ ”ประวัติสังเขปพรรคบอลเชวิค” ได้บรรยายบรรยากาศของการประชุมครั้งนั้นไว้ดังนี้

“ผู้แทนที่เข้าร่วมประชุมสมัชชาครั้งนี้มีอยู่ 43 คนเป็นตัวแทนขององค์กรจัดตั้ง 26 แห่ง  คณะกรรมการพรรคขององค์กรจัดตั้งทุกแห่งมีสิทธิ์ส่งผู้แทนได้ 2 คน  แต่บางแห่งส่งเพียงคนเดียวดังนั้นผู้แทน 43 คนจึงมีสิทธิ์ลงคะแนนรวม 51 เสียง...มีผู้สนับสนุนอิสครา(กลุ่มเลนิน)33 คนเป็นเสียงข้างมาก   และในบรรดา 33 คนนี้มิใช่ผู้ที่สนับสนุนฝ่ายอิสคราเสียทั้งหมด   มีเพียง 24 เสียงเท่านั้นที่เหนียวแน่นอยู่กับฝ่ายอิสคราส่วนอีก 9 คนเป็นพวกที่ยังโลเล      พวกเขาสนับสนุนมาร์ตอฟ     และยังมีตัวแทนอีกกลุ่มหนึ่งที่แกว่งไปมาระหว่างฝ่ายอิสครากับฝ่ายทคัดค้าน  พวกนี้มีอยู่ 10 เสียง เป็นฝ่ายกลาง    ส่วนฝ่ายที่ค้านอิสคราอย่างเปิดเผยมีอยู่ 8เสียง เป็นนักลัทธิเศรษฐกิจ 3 คนและฝ่ายบุนด์[1]5 คน [ 33+10+8 = 51]

ว่าด้วยแนวทางใหญ่ของพรรคที่ควรให้การสนับสนุน”เผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ“ นั้นได้รับเสียงสนับสนุนเกือบทั้งหมดมีเพียงนักเศรษฐศาสตร์ อาคิมอฟ เท่านั้นที่งดออกเสียง มาตราที่หนึ่งว่าด้วยเรื่องคุณสมบัติของสมาชิกพรรคเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พรรคแรงงานสังคม-ประชาธิปไตยได้แตกออก เป็นสองฝ่ายด้วยความเห็นที่ไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรง ต่อประเด็นที่ว่า   

คนอย่างไรจึงเป็นสมาชิกพรรคได้?  องค์ประกอบของพรรคควรเป็นเช่นไร? และในการจัดตั้ง..พรรคควรเป็นองค์รวมขององค์กรจัดตั้งทั้งหมด  หรือเป็นสิ่งที่มีสัณฐานไม่แน่นอน(รวมกันแบบหลวมๆ)   

เลนินเสนอว่า ...ผู้ที่ยอมรับหลักนโยบายของพรรค  ให้การสนับสนุนทางวัตถุปัจจัยและต้องเป็นสมาชิกขององค์กรจัดตั้งหนึ่งใดของพรรคล้วนเป็นสมาชิกพรรคได้  ด้วยเหตุผลว่าพรรคเป็นขบวนการที่มีการจัดตั้ง,  การสมัครเป็นสมาชิกพรรคมิใช่จะลงชื่อแล้วก็เข้าพรรคได้ด้วยตนเอง หากต้องผ่านองค์กรจัดตั้งใดๆของพรรคเป็นผู้รับเข้ามาและพวกเขาต้องปฏิบัติตามวินัยพรรค ที่เลนินเสนอเช่นนี้เพราะมีเป้าประ สงค์ที่จะบ่มเพาะสมาชิกผู้ที่ซื่อสัตย์เอาการเอางานเพื่อเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวต่อสู้ในอนาคต  โดยมีโครงสร้างทางการจัดตั้งเป็นหน่วยเล็กๆที่คล่องตัว มิใช่มีบทบาทเพียงแค่ประสานงานในสาขาพรรคแห่งใดแห่งหนึ่งเท่านั้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นการพัฒนาไปสู่สมาชิกระดับนำ,เป็นแกนกลางของนักปฏิวัติอาชีพที่มีความเชื่อมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะสามารถใช้เวลาในการบริหารจัดการพรรคได้อย่างเต็มกำลังเพื่อนำมวลชนคนงานเข้าสู่การปฏิวัติโค่นล้มระบอบเอกาธิปไตยของพระเจ้าซาร์ หนังสือประวัติพรรคบอลเชวิคฯได้บรรยายเรื่องนี้ว่า

“สำหรับโครงสร้างและองค์ประกอบของพรรคนั้นเลนินเสนอว่า พรรคควรประกอบด้วยสองส่วนคือ หนึ่ง..ส่วนที่เป็นผู้ปฏิบัติงานระดับแกนซึ่งมีจำนวนไม่มากนักและดำเนินงานอยู่เป็นประ จำ  ส่วนนี้ได้แก่นักปฏิวัติอาชีพ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ประกอบอาชีพอื่นนอกจากทำงานพรรคเพียงอย่างเดียว  คนเหล่านี้ต้องมีความรู้ทางทฤษฎี ,ความจัดเจนทางการเมือง  และความสามารถทางการจัดตั้งอย่างต่ำที่สุดก็ในระดับที่จำเป็น ตลอดจนต้องสันทัดในการต่อสู้กับตำรวจของพระเจ้าซาร์และรู้จักหลบหลีกหูตาของตำรวจด้วย ส่วนที่สองคือส่วนที่เป็นสมาชิกพรรคซึ่งเป็นสายใยขององค์กรพรรคท้องถิ่น.......”

แม้มาร์ตอฟจะเห็นด้วยในเรื่องการรับนโยบายพรรคและการสนับสนุนปัจจัยทางวัตถุแก่พรรค  แต่คัดค้านโดยไม่ยอมรับเงื่อนไขของการเข้าสังกัดองค์กรหนึ่งใดของพรรค โดยให้เหตุผลว่าพรรคเป็นสิ่งที่ไม่มีสัณฐานที่แน่นอนทางการจัดตั้ง  สมาชิกทุกคนสามารถลงชื่อเข้าพรรคได้ด้วยตัวเองและไม่จำเป็นต้องสังกัดองค์กรจัดตั้งของพรรค แม้แต่ผู้ที่เข้าร่วมการนัดหยุดงานทั้งหลายก็สามารถลงชื่อเข้าพรรคได้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามวินัยพรรค  ข้อเสนอของเลนินได้รับการสนับสนุนจากเพคลานอฟ   ส่วนเอ๊กเซรอดและ เวรา ซาซูลิค พร้อมกับบรรดาผู้โลเลทั้งหลายรวมทั้งทร๊อตสกี ซึ่งภายหลังได้เป็นผู้นำโซเวียตแห่งเปโตรกราดก็สนับสนุนข้อเสนอของมาร์ตอฟ    

คะแนนเสียงในที่ประชุม  28 – 23  สนับสนุนข้อเสนอของมาร์ตอฟรวม 6 เสียงของพวกบุนด์และ1 เสียงของนักลัทธิเศรษฐกิจที่สนับสนุนมาร์ตอฟ แต่พวกเขาได้ประท้วงโดยเดินออกจากที่ประชุมไปกลุ่ม  ของเลนินจึงกลับมาชนะด้วยคะแนนเสียง 23-21ครองเสียงข้างมาก เลนินจึงเรียกกลุ่มของตนว่า บอลชินสตโว(bolshinstvo /большинство́) หรือ”บอลเชวิค”ที่หมายถึงเสียงข้างมาก และเรียกฝ่ายมาร์ตอฟว่าเมนชินสตโว (menshinstvo /меньшинство)หรือ”เมนเชวิค”ที่หมายถึงเสียงข้างน้อย   หลังจาก การประชุมสมัชชาครั้งนี้ทำให้พรรคแรงงาน-สังคมประชาธิปไตยรัสเซียแตกออกเป็นสองฝ่าย ที่ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้และร่วมมือกันมาตลอด  จนกระทั่งมาแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี 1912  จากนั้นต่างฝ่ายได้จัดตั้งศูนย์กลางของตนขึ้นมา

การประชุมวาระที่ 27 สหพันธ์กรรมกรยิวหรือบุนด์ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรหนึ่งของพรรคตามมติของการประ ชุมสมัชชาครั้งแรกได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาถึงฐานะของตนว่า สหพันธ์ฯควรมีฐานะเป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของชนชั้นผู้ใช้แรงงานยิวทั่วทั้งรัสเซีย  ตัวแทนของสหพันธ์ได้เสนอว่า ประชาชาติรัสเซียต้องมีสิทธิ์ทในการใช้ภาษาของตนได้  เลนินและกลุ่มอิสคราคัดค้านส่วน โจโซฟ สตาลิน ให้การสนับสนุนคะแนนเสียงออกมา 23:23 เท่ากัน  โนเอ  ซอร์ดาร์เนีย  ผู้นำของกลุ่มสังคมประชาธิปไตยแห่งชาวคอเคเซียนเสนอให้ข้ามญัตตินี้ไปก่อน

นอกเหนือจากนั้นสันนิบาตฯ ยังเสนอว่าโครงสร้างของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยควรจะอยู่ในรูปของสหพันธ์ และฐานะของ”สันนิบาตกรรมกรยิว”หรือบุนด์ก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบนี้ด้วย  ข้อเสนอนี้ตกไปด้วยคะแนนเสียง 45:5 โดยสมาชิก 5 คนงดออกเสียง   ทั้งกลุ่มบอลเชวิคและเมนเชวิคต่างก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของบุนด์โดยวิจารณ์ว่าเป็นแนวคิดของลัทธิแบ่งแยก  ลัทธิชาตินิยม   และลัทธิฉวยโอกาส    หลังจากข้อเสนอของตนถูกคัดค้านตกไปสันนิบาตกรรมกรยิวหรือบุนด์ก็ถอนตัวออกจากพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยโดยนักลัทธิเศรษฐกิจสองคนก็ถอนตัวตามไปด้วย กลุ่มอิสคราจึงเป็นตัวแทนพรรคในต่างประเทศไปโดยปริยาย

กล่าวไปแล้ว เลนินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรวมพลังจากกลุ่มสังคมประชาธิปไตยที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั้งหมดเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..เป็นพรรคการเมืองที่เป็นแนวหน้าของชนชั้นกรรมาชีพ ในขณะที่กลุ่มเหล่านี้ยังมีทัศนะต่อพรรคการเมืองแบบเก่าคือไม่มีความไว้วางใจต่อกัน  อยากจะดำรงตนอยู่อย่างอิสระ   ความคิดเช่นนี้มีพื้นฐานมาจากลักษณะที่หลากหลายของประชาชาติรัสเซียเอง   สำหรับเสียงส่วนใหญ่ของสันนิบาติกรรมกรยิวนั้นรับเอาจุดยืนของหนังสือพิมพ์ ราโบเชเย เดโล(วารสารกรรมกร)มาใช้คือเคลื่อนไหวต่อสู้ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ในความเห็นของเลนิน...หากว่าสันนิบาตฯเข้าร่วมพรรคและรักษาความเป็นอิสระของตนในเรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อชาติเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่ปัญหา   แต่สันนิบาตฯต้องการอิสระในทุกด้านทุกปัญหาและต้องการเข้าร่วมในฐานะของพันธมิตรในสหพันธ์เท่านั้น  ซึ่งแน่ใจได้ว่าวิธีดังกล่าวนั้นสันนิบาตฯไม่มีทางได้รับชัยชนะในการต่อสู้ด้วยตนเองเพียงลำพังได้เลยไม่ว่าในจะเรื่องหนึ่งเรื่องใด ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือประเทศควรจะมีพรรคกรรมกรที่รวมเอากรรมกรทุกเชื้อชาติในจักรวรรดิรัสเซียเข้าไว้ด้วยกันเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน   หรือว่าจะให้มีพรรคกรรมกรหลายพรรคที่ตั้งขึ้นต่างหากตามลักษณะเชื้อชาติ

เกี่ยวกับปัญหาการรับรององค์กรกลาง  กลุ่มอิสคราได้รับการรับรองอย่างท่วมท้นมีเพียงกลุ่ม ราโบเชเย  เดโล (วารสารกรรมกร) เพียงกลุ่มเดียวที่คัดค้าน  ที่ประชุมได้เลือกกรรมการกลางเพิ่มอีกสามคนได้แก่ เลงค์นิค  นอสคอฟ  และ ครซินซานอฟสกี  ซึ่งทั้งสามสนับสนุนเลนิน   คณะบรรณาธิการอิสคราบัดนี้ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของพรรค การเลือกตั้งบุคคลสำหรับศูนย์กลางของพรรคต้องเป็นนักปฏิวัติที่มั่นคงจริงๆเท่านั้น ในส่วนของหนังสืออิสคราแม้ส่วนใหญ่จะเห็นพ้องกับแนวทางของอิสคราแต่ก็ต้องเลือกตั้งกองบรรณาธิการกันใหม่อีก เลนินเห็นว่ากองบรรณาธิการควรจะมีแค่สามคนซึ่งแนวคิดเรื่องนี้ได้บอกแก่โปเตรซอฟและมาร์ตอฟก่อนหน้าการประชุมแล้ว แต่มาร์ตอฟเรียกร้องให้เลือกกรรมการชุดเดิมทั้ง 6 คน   ในที่สุดที่ประชุมได้มีมติลดจำนวนกองบรรณาธิการอิสคราลงจาก 6 เหลือเพียง 3 คนได้แก่ เลนิน  เพลคานอฟ   และมาร์ตอฟ    ผู้ที่พ้นตำแหน่งไปก็คือ เอ๊กเซรอด  เวรา ซาซูลิค  และโปเตรซอฟ 

เรื่องนี้ได้สร้างความร้าวรานใจให้แก่เอ๊กเซรอดเป็นอย่างมาก มาร์ตอฟ ถอนตัวออกจากกองบรรณาธิการ ส่วนทร๊อตสกี้...ที่ให้ความเคารพนับถือเอ๊กเซลรอดเป็นอย่างมากก็ไม่ให้ความร่วมมือใดๆอีกต่อไป  เพลคานอฟเรียกร้องให้รับคณะกรรมการชุดเดิมกลับมาอีกเพื่อความสมานฉันท์    เลนินไม่เห็นด้วย...การลา ออกจึงเป็นวิธีเดียวที่ทำได้จึงขอลาออกจากกองบรรณาธิการ คงเหลือเพียงฐานะกรรมการของคณะ กรรมการกลางเท่านั้น เพลคานอฟได้จัดการเลือกกองบรรณาธิการชุดเดิมกลับมาอีกโดยพละการ   ตั้งแต่นั้นมาอิสคราก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายเมนเชวิค ภายในพรรคจึงเรียกอิสคราที่นำโดยเลนินว่า อิสคราเก่า และเรียกอิสคราที่ถูกยึดไปว่าอิสคราใหม่  

ที่พำนักของเลนินระหว่างลี้ภัยในสวิตเซอร์แลนด์ (ถ่ายเมื่อปี 1920)

9. การปฏิวัติปี 1905     
3 มกราคม 1904 มีการนัดหยุดงานที่โรงงานปูติลอฟ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตหัวรถจักรและปืนใหญ่ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สาเหตุมาจากกรรมกร 4 คนถูกปลดออกจากงาน การหยุดงานได้กระจายไปในหลายพื้น  ที่ในนครหลวงทำให้จำนวนผู้นัดหยุดงานเพิ่มขึ้นเป็น 80,000 คน  บาทหลวง จอร์จ กาปอน  ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับตำรวจได้ก่อตั้งองค์กร ”สภากรรมกรโรงงานรัสเซีย” ได้นำขบวนคนงาน 140,000 คนเดินขบวนอย่างสงบไปยังพระราชวังฤดูหนาวที่พระเจ้าซาร์ประทับอยู่เพื่อถวายฎีการ้องทุกข์  กรรมกรและครอบครัวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดสำหรับไปโบสถ์ของตน ถือธงศาสนจักรและพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าซาร์ ร้องเพลงสวดมนต์ขอพรให้แก่พระองค์ไปตลอดทางด้วย   กรรมกรส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าพระองค์จะทรงมีเมตตาและช่วยเหลือพวกตนให้พ้นจากความทุกข์ยากได้   ทหารรักษาพระองค์ได้รับคำสั่งจาก เคาท์ เซอร์ไก ยุลิเยวิช  วิทเท (Count Sergei Yulyevich Witte) สั่งสกัดผู้เดิน ขบวนไม่ให้ผ่านไปยังเขตพระราชวังด้วยการยิงเข้าใส่ฝูงชน ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 1,000 คน บาดเจ็บอีกกว่า2,000 คน เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม“วันอาทิตย์นองเลือด”(Bloody Sunday) อันเป็นปฐมเหตุในกระแสธารของการปฏิวัติ  ความเชื่อถือศรัทธาของบรรดากรรมกรที่มีต่อพระเจ้าซาร์ได้หมดสิ้นลงและได้รับรู้จากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตนเองแล้วว่า  พระเจ้าซาร์ไม่ได้รักประชาชนอย่าง ที่กล่าวขานโฆษณาเล่าลือกันมาเลย 






[1] คือองค์กร”สันนิบาติกรรมกรยิว” (General Jewish Labour Bund) 

No comments:

Post a Comment