8. การประชุมสมัชชาครั้งที่2ของพรรคแรงงานสังคม-ประชาธิปไตยรัสเซีย
ก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน 1902 ”สันนิบาติกรรมกรยิว”
ได้ประชุมเพื่อกำหนดการประชุมสมัชชาครั้งที่สองของพรรคไว้แล้วในเดือนมิถุนายนที่เมือง เบลโลสต๊อค ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของโปแลนด์ หลังจากการประชุมผู้แทนทุกคนถูกจับกุมยกเว้นตัวแทนจาก
เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก คณะกรรมการจึงได้ตัดสินใจที่จะจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการขึ้นคณะหนึ่งสำหรับการประชุมสมัชชาโดยเฉพาะในการประชุมบรรดากลุ่ม-พรรคสังคม-ประชาธิปไตยเมื่อเดือนพฤศจิกายน1902 (ปฏิทินใหมGregorian calendar) ครุฟสกายาได้ระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
“การเตรียมการอย่างกว้างขวางสำหรับการประชุมสมัชชาดำเนินรุดหน้าไปตลอดฤดูหนาว มีการตั้งคณะกรรมการจัดการเพื่อเตรียมการประชุมสมัชชาขึ้นชุดหนึ่งเมื่อเดือนธันวาคม
1902 (ตามปฏิทินเก่า Julian carlender) ประกอบด้วยสมาชิกจาก
ยูซนี ราโบชี สหภาพภาคเหนือ จาก คราสนูดา ,เอ.เอ.
รัดเชนโก , เลงค์นิค
, คราชินานอฟสกี , สันนิบาติกรรมกรยิว เข้ามาร่วมภายหลัง”
การประชุมสมัชชาของพรรคแรงงานสังคม-ประชาธิปไตยรัสเซียมีขึ้นในระหว่าง 30 กรกฎาคมถึง 23สิงหาคม 1903
ที่โกดังเก็บแป้งสาลีขนาดใหญ่ในกรุงบรัสเซลล์ประเทศเบลเยี่ยม
การประชุมดำเนินไปได้เพียง 13 วาระ (ถึงแค่วันที่ 6 สิงหาคม) และไปเริ่มประชุมกันต่ออีก 24 วาระ
ที่กรุงลอนดอน จนจบการประชุม ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจากรัฐบาลเบลเยียมถูกกดดันจากสถานทูตรัสเซียตำรวจเบลเยียมจึงได้ผลักดันตัวแทนผู้ประชุมทั้งหมดออกนอกประเทศ การประชุมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากบรรดาพรรคลัทธิมาร์กซรัสเซียซึ่งได้ประกาศอย่างเปิดเผยเมื่อการประชุมสมัชชาครั้งแรกของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตย
การประชุมสมัชชาครั้งแรกนั้นเป็นเพียงการประกาศก่อตั้งพรรคเท่านั้นที่ได้ผ่านมติออกมายังไม่ได้มีโครงการหลักนโยบายอะไรออกมาเลย ส่วนการประชุมครั้งนี้เป็นการวางรากฐานทางอุดมการณ์และโครงสร้างของพรรคได้มีการนำปัญหาพื้นฐานทางทฤษฎีขึ้นมาพิจารณา ทุกโครงการได้ใช้เวลาอภิปรายตรวจสอบกันอย่างกว้างขวาง ทุกคำ ทุกประโยค ถูกแปรญัตติ และโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อน หนังสือ ”ประวัติสังเขปพรรคบอลเชวิค” ได้บรรยายบรรยากาศของการประชุมครั้งนั้นไว้ดังนี้
“ผู้แทนที่เข้าร่วมประชุมสมัชชาครั้งนี้มีอยู่ 43 คนเป็นตัวแทนขององค์กรจัดตั้ง 26
แห่ง
คณะกรรมการพรรคขององค์กรจัดตั้งทุกแห่งมีสิทธิ์ส่งผู้แทนได้ 2 คน
แต่บางแห่งส่งเพียงคนเดียวดังนั้นผู้แทน 43 คนจึงมีสิทธิ์ลงคะแนนรวม
51 เสียง...มีผู้สนับสนุนอิสครา(กลุ่มเลนิน)33 คนเป็นเสียงข้างมาก และในบรรดา 33
คนนี้มิใช่ผู้ที่สนับสนุนฝ่ายอิสคราเสียทั้งหมด มีเพียง 24 เสียงเท่านั้นที่เหนียวแน่นอยู่กับฝ่ายอิสคราส่วนอีก
9 คนเป็นพวกที่ยังโลเล
พวกเขาสนับสนุนมาร์ตอฟ และยังมีตัวแทนอีกกลุ่มหนึ่งที่แกว่งไปมาระหว่างฝ่ายอิสครากับฝ่ายทคัดค้าน พวกนี้มีอยู่ 10 เสียง
เป็นฝ่ายกลาง
ส่วนฝ่ายที่ค้านอิสคราอย่างเปิดเผยมีอยู่ 8เสียง เป็นนักลัทธิเศรษฐกิจ
3 คนและฝ่ายบุนด์[1]5 คน [ 33+10+8 = 51]
ว่าด้วยแนวทางใหญ่ของพรรคที่ควรให้การสนับสนุน”เผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ“ นั้นได้รับเสียงสนับสนุนเกือบทั้งหมดมีเพียงนักเศรษฐศาสตร์ อาคิมอฟ เท่านั้นที่งดออกเสียง มาตราที่หนึ่งว่าด้วยเรื่องคุณสมบัติของสมาชิกพรรคเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พรรคแรงงานสังคม-ประชาธิปไตยได้แตกออก
เป็นสองฝ่ายด้วยความเห็นที่ไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรง ต่อประเด็นที่ว่า
คนอย่างไรจึงเป็นสมาชิกพรรคได้? องค์ประกอบของพรรคควรเป็นเช่นไร? และในการจัดตั้ง..พรรคควรเป็นองค์รวมขององค์กรจัดตั้งทั้งหมด หรือเป็นสิ่งที่มีสัณฐานไม่แน่นอน(รวมกันแบบหลวมๆ)
เลนินเสนอว่า ...ผู้ที่ยอมรับหลักนโยบายของพรรค ให้การสนับสนุนทางวัตถุปัจจัยและต้องเป็นสมาชิกขององค์กรจัดตั้งหนึ่งใดของพรรคล้วนเป็นสมาชิกพรรคได้ ด้วยเหตุผลว่าพรรคเป็นขบวนการที่มีการจัดตั้ง,
การสมัครเป็นสมาชิกพรรคมิใช่จะลงชื่อแล้วก็เข้าพรรคได้ด้วยตนเอง หากต้องผ่านองค์กรจัดตั้งใดๆของพรรคเป็นผู้รับเข้ามาและพวกเขาต้องปฏิบัติตามวินัยพรรค ที่เลนินเสนอเช่นนี้เพราะมีเป้าประ
สงค์ที่จะบ่มเพาะสมาชิกผู้ที่ซื่อสัตย์เอาการเอางานเพื่อเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวต่อสู้ในอนาคต โดยมีโครงสร้างทางการจัดตั้งเป็นหน่วยเล็กๆที่คล่องตัว มิใช่มีบทบาทเพียงแค่ประสานงานในสาขาพรรคแห่งใดแห่งหนึ่งเท่านั้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นการพัฒนาไปสู่สมาชิกระดับนำ,เป็นแกนกลางของนักปฏิวัติอาชีพที่มีความเชื่อมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะสามารถใช้เวลาในการบริหารจัดการพรรคได้อย่างเต็มกำลังเพื่อนำมวลชนคนงานเข้าสู่การปฏิวัติโค่นล้มระบอบเอกาธิปไตยของพระเจ้าซาร์ หนังสือประวัติพรรคบอลเชวิคฯได้บรรยายเรื่องนี้ว่า
“สำหรับโครงสร้างและองค์ประกอบของพรรคนั้นเลนินเสนอว่า พรรคควรประกอบด้วยสองส่วนคือ หนึ่ง..ส่วนที่เป็นผู้ปฏิบัติงานระดับแกนซึ่งมีจำนวนไม่มากนักและดำเนินงานอยู่เป็นประ
จำ ส่วนนี้ได้แก่นักปฏิวัติอาชีพ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ประกอบอาชีพอื่นนอกจากทำงานพรรคเพียงอย่างเดียว คนเหล่านี้ต้องมีความรู้ทางทฤษฎี
,ความจัดเจนทางการเมือง และความสามารถทางการจัดตั้งอย่างต่ำที่สุดก็ในระดับที่จำเป็น ตลอดจนต้องสันทัดในการต่อสู้กับตำรวจของพระเจ้าซาร์และรู้จักหลบหลีกหูตาของตำรวจด้วย ส่วนที่สองคือส่วนที่เป็นสมาชิกพรรคซึ่งเป็นสายใยขององค์กรพรรคท้องถิ่น.......”
แม้มาร์ตอฟจะเห็นด้วยในเรื่องการรับนโยบายพรรคและการสนับสนุนปัจจัยทางวัตถุแก่พรรค แต่คัดค้านโดยไม่ยอมรับเงื่อนไขของการเข้าสังกัดองค์กรหนึ่งใดของพรรค โดยให้เหตุผลว่าพรรคเป็นสิ่งที่ไม่มีสัณฐานที่แน่นอนทางการจัดตั้ง สมาชิกทุกคนสามารถลงชื่อเข้าพรรคได้ด้วยตัวเองและไม่จำเป็นต้องสังกัดองค์กรจัดตั้งของพรรค แม้แต่ผู้ที่เข้าร่วมการนัดหยุดงานทั้งหลายก็สามารถลงชื่อเข้าพรรคได้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามวินัยพรรค ข้อเสนอของเลนินได้รับการสนับสนุนจากเพคลานอฟ ส่วนเอ๊กเซรอดและ เวรา ซาซูลิค พร้อมกับบรรดาผู้โลเลทั้งหลายรวมทั้งทร๊อตสกี
ซึ่งภายหลังได้เป็นผู้นำโซเวียตแห่งเปโตรกราดก็สนับสนุนข้อเสนอของมาร์ตอฟ
คะแนนเสียงในที่ประชุม 28
– 23 สนับสนุนข้อเสนอของมาร์ตอฟรวม
6 เสียงของพวกบุนด์และ1 เสียงของนักลัทธิเศรษฐกิจที่สนับสนุนมาร์ตอฟ แต่พวกเขาได้ประท้วงโดยเดินออกจากที่ประชุมไปกลุ่ม ของเลนินจึงกลับมาชนะด้วยคะแนนเสียง
23-21ครองเสียงข้างมาก เลนินจึงเรียกกลุ่มของตนว่า บอลชินสตโว(bolshinstvo /большинство́) หรือ”บอลเชวิค”ที่หมายถึงเสียงข้างมาก และเรียกฝ่ายมาร์ตอฟว่าเมนชินสตโว
(menshinstvo /меньшинство)หรือ”เมนเชวิค”ที่หมายถึงเสียงข้างน้อย หลังจาก การประชุมสมัชชาครั้งนี้ทำให้พรรคแรงงาน-สังคมประชาธิปไตยรัสเซียแตกออกเป็นสองฝ่าย
ที่ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้และร่วมมือกันมาตลอด จนกระทั่งมาแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี
1912 จากนั้นต่างฝ่ายได้จัดตั้งศูนย์กลางของตนขึ้นมา
การประชุมวาระที่ 27 สหพันธ์กรรมกรยิวหรือบุนด์ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรหนึ่งของพรรคตามมติของการประ
ชุมสมัชชาครั้งแรกได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาถึงฐานะของตนว่า สหพันธ์ฯควรมีฐานะเป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของชนชั้นผู้ใช้แรงงานยิวทั่วทั้งรัสเซีย ตัวแทนของสหพันธ์ได้เสนอว่า ประชาชาติรัสเซียต้องมีสิทธิ์ทในการใช้ภาษาของตนได้ เลนินและกลุ่มอิสคราคัดค้านส่วน
โจโซฟ สตาลิน ให้การสนับสนุนคะแนนเสียงออกมา 23:23 เท่ากัน โนเอ ซอร์ดาร์เนีย ผู้นำของกลุ่มสังคมประชาธิปไตยแห่งชาวคอเคเซียนเสนอให้ข้ามญัตตินี้ไปก่อน
นอกเหนือจากนั้นสันนิบาตฯ ยังเสนอว่าโครงสร้างของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยควรจะอยู่ในรูปของสหพันธ์ และฐานะของ”สันนิบาตกรรมกรยิว”หรือบุนด์ก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบนี้ด้วย ข้อเสนอนี้ตกไปด้วยคะแนนเสียง 45:5 โดยสมาชิก 5 คนงดออกเสียง ทั้งกลุ่มบอลเชวิคและเมนเชวิคต่างก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของบุนด์โดยวิจารณ์ว่าเป็นแนวคิดของลัทธิแบ่งแยก ลัทธิชาตินิยม
และลัทธิฉวยโอกาส หลังจากข้อเสนอของตนถูกคัดค้านตกไปสันนิบาตกรรมกรยิวหรือบุนด์ก็ถอนตัวออกจากพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยโดยนักลัทธิเศรษฐกิจสองคนก็ถอนตัวตามไปด้วย กลุ่มอิสคราจึงเป็นตัวแทนพรรคในต่างประเทศไปโดยปริยาย
กล่าวไปแล้ว เลนินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรวมพลังจากกลุ่มสังคมประชาธิปไตยที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั้งหมดเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..เป็นพรรคการเมืองที่เป็นแนวหน้าของชนชั้นกรรมาชีพ ในขณะที่กลุ่มเหล่านี้ยังมีทัศนะต่อพรรคการเมืองแบบเก่าคือไม่มีความไว้วางใจต่อกัน อยากจะดำรงตนอยู่อย่างอิสระ
ความคิดเช่นนี้มีพื้นฐานมาจากลักษณะที่หลากหลายของประชาชาติรัสเซียเอง สำหรับเสียงส่วนใหญ่ของสันนิบาติกรรมกรยิวนั้นรับเอาจุดยืนของหนังสือพิมพ์ ราโบเชเย เดโล(วารสารกรรมกร)มาใช้คือเคลื่อนไหวต่อสู้ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ในความเห็นของเลนิน...หากว่าสันนิบาตฯเข้าร่วมพรรคและรักษาความเป็นอิสระของตนในเรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อชาติเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่สันนิบาตฯต้องการอิสระในทุกด้านทุกปัญหาและต้องการเข้าร่วมในฐานะของพันธมิตรในสหพันธ์เท่านั้น ซึ่งแน่ใจได้ว่าวิธีดังกล่าวนั้นสันนิบาตฯไม่มีทางได้รับชัยชนะในการต่อสู้ด้วยตนเองเพียงลำพังได้เลยไม่ว่าในจะเรื่องหนึ่งเรื่องใด ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือประเทศควรจะมีพรรคกรรมกรที่รวมเอากรรมกรทุกเชื้อชาติในจักรวรรดิรัสเซียเข้าไว้ด้วยกันเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือว่าจะให้มีพรรคกรรมกรหลายพรรคที่ตั้งขึ้นต่างหากตามลักษณะเชื้อชาติ
เกี่ยวกับปัญหาการรับรององค์กรกลาง กลุ่มอิสคราได้รับการรับรองอย่างท่วมท้นมีเพียงกลุ่ม ราโบเชเย เดโล (วารสารกรรมกร)
เพียงกลุ่มเดียวที่คัดค้าน ที่ประชุมได้เลือกกรรมการกลางเพิ่มอีกสามคนได้แก่
เลงค์นิค นอสคอฟ และ ครซินซานอฟสกี ซึ่งทั้งสามสนับสนุนเลนิน คณะบรรณาธิการอิสคราบัดนี้ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของพรรค การเลือกตั้งบุคคลสำหรับศูนย์กลางของพรรคต้องเป็นนักปฏิวัติที่มั่นคงจริงๆเท่านั้น ในส่วนของหนังสืออิสคราแม้ส่วนใหญ่จะเห็นพ้องกับแนวทางของอิสคราแต่ก็ต้องเลือกตั้งกองบรรณาธิการกันใหม่อีก เลนินเห็นว่ากองบรรณาธิการควรจะมีแค่สามคนซึ่งแนวคิดเรื่องนี้ได้บอกแก่โปเตรซอฟและมาร์ตอฟก่อนหน้าการประชุมแล้ว แต่มาร์ตอฟเรียกร้องให้เลือกกรรมการชุดเดิมทั้ง
6
คน ในที่สุดที่ประชุมได้มีมติลดจำนวนกองบรรณาธิการอิสคราลงจาก
6 เหลือเพียง 3 คนได้แก่ เลนิน เพลคานอฟ และมาร์ตอฟ ผู้ที่พ้นตำแหน่งไปก็คือ เอ๊กเซรอด เวรา ซาซูลิค และโปเตรซอฟ
เรื่องนี้ได้สร้างความร้าวรานใจให้แก่เอ๊กเซรอดเป็นอย่างมาก มาร์ตอฟ ถอนตัวออกจากกองบรรณาธิการ ส่วนทร๊อตสกี้...ที่ให้ความเคารพนับถือเอ๊กเซลรอดเป็นอย่างมากก็ไม่ให้ความร่วมมือใดๆอีกต่อไป
เพลคานอฟเรียกร้องให้รับคณะกรรมการชุดเดิมกลับมาอีกเพื่อความสมานฉันท์ เลนินไม่เห็นด้วย...การลา ออกจึงเป็นวิธีเดียวที่ทำได้จึงขอลาออกจากกองบรรณาธิการ คงเหลือเพียงฐานะกรรมการของคณะ
กรรมการกลางเท่านั้น เพลคานอฟได้จัดการเลือกกองบรรณาธิการชุดเดิมกลับมาอีกโดยพละการ ตั้งแต่นั้นมาอิสคราก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายเมนเชวิค ภายในพรรคจึงเรียกอิสคราที่นำโดยเลนินว่า
อิสคราเก่า และเรียกอิสคราที่ถูกยึดไปว่าอิสคราใหม่
ที่พำนักของเลนินระหว่างลี้ภัยในสวิตเซอร์แลนด์
(ถ่ายเมื่อปี 1920)
9. การปฏิวัติปี
1905
3 มกราคม 1904 มีการนัดหยุดงานที่โรงงานปูติลอฟ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตหัวรถจักรและปืนใหญ่ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สาเหตุมาจากกรรมกร 4 คนถูกปลดออกจากงาน การหยุดงานได้กระจายไปในหลายพื้น ที่ในนครหลวงทำให้จำนวนผู้นัดหยุดงานเพิ่มขึ้นเป็น
80,000 คน บาทหลวง
จอร์จ กาปอน ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับตำรวจได้ก่อตั้งองค์กร
”สภากรรมกรโรงงานรัสเซีย” ได้นำขบวนคนงาน 140,000 คนเดินขบวนอย่างสงบไปยังพระราชวังฤดูหนาวที่พระเจ้าซาร์ประทับอยู่เพื่อถวายฎีการ้องทุกข์ กรรมกรและครอบครัวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดสำหรับไปโบสถ์ของตน ถือธงศาสนจักรและพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าซาร์ ร้องเพลงสวดมนต์ขอพรให้แก่พระองค์ไปตลอดทางด้วย กรรมกรส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าพระองค์จะทรงมีเมตตาและช่วยเหลือพวกตนให้พ้นจากความทุกข์ยากได้ ทหารรักษาพระองค์ได้รับคำสั่งจาก
เคาท์ เซอร์ไก ยุลิเยวิช วิทเท
(Count Sergei Yulyevich Witte) สั่งสกัดผู้เดิน ขบวนไม่ให้ผ่านไปยังเขตพระราชวังด้วยการยิงเข้าใส่ฝูงชน ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 1,000 คน บาดเจ็บอีกกว่า2,000 คน เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม“วันอาทิตย์นองเลือด”(Bloody
Sunday) อันเป็นปฐมเหตุในกระแสธารของการปฏิวัติ ความเชื่อถือศรัทธาของบรรดากรรมกรที่มีต่อพระเจ้าซาร์ได้หมดสิ้นลงและได้รับรู้จากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตนเองแล้วว่า พระเจ้าซาร์ไม่ได้รักประชาชนอย่าง ที่กล่าวขานโฆษณาเล่าลือกันมาเลย
[1] คือองค์กร”สันนิบาติกรรมกรยิว”
(General Jewish Labour Bund)
No comments:
Post a Comment