2.ปัญญาชนและขบวนการชาวนาในรัสเซีย
ที่กล่าวว่าเลนินคือผลผลิตทั้งหมดของประวัติศาสตร์รัสเซียนั้น...ต้องมองย้อนกลับไปในยุคก่อนที่เลนินเกิด ซึ่งเริ่มตั้งแต่ ปี1860....ขบวนการ “นารอดนิค”[1] ได้ก่อกำเนิดขึ้นในปลายทศวรรษ1850 จักรวรรดิรัสเซียเป็นหนึ่งในบรรดาไม่กี่ประเทศในยุโรปที่ยังปกครองด้วยระบอบศักดินา ในขณะนั้น..ชีวิตทางเศรษฐกิจของประชาชนรัสเซียกำลังก้าวเข้าสู่ระบอบทุนนิยมซึ่งเกิดจากการถูกบีบล้อมโดยทุนนิยมยุโรปมากขึ้นและมากขึ้น จึงมีความต้องการที่จะขยายและพัฒนาอุตสาหกรรม ในเรื่องนี้รัฐบาลพระเจ้าซาร์เองก็ได้ตระหนักและมีแผนที่จะแก้ปัญหาระบอบไพร่ติดที่ดิน(serfdom)โดยการยกเลิกนิคมชาวนา(mir) ซึ่งเป็นหน่วยผลิตแบบพึ่งตนเองที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศซึ่งจะเป็นการนำไปสู่การปลดปล่อยทาสติดที่ดิน เพื่อจะได้มีแรงงานเสรีไว้รองรับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่กำลังเติบโตขึ้นทุกขณะ
รัฐศักดินาจึงถูกบีบให้เป็นผู้แบกรับภาระของชนชั้นนายทุนเพื่อให้ลุล่วงไป เพราะในทางปฏิบัติไม่มีชนชั้นนายทุนรัสเซียคนใดจะสามารถผลักดันภาระนี้ให้เกิดผลสำเร็จได้
ดังนั้นจึงจำต้องทำการปฏิรูปเกษตรกรรมโดยการตราพระราชกำหนดขึ้นใช้บังคับ แต่ยังคงไม่อาจแก้ปัญหาความขัดแย้งที่สั่งสมมาอย่างยาวนานได้
การยกเลิกระรบทาสติดที่ดินในความหมายที่แท้จริงแล้วคือต้องดำเนินตามแบบอย่างของอังกฤษ(ปฏิวัติอุตสาหกรรม)และการปฎิวัติของฝรั่งเศส(เลิกล้มระบอบศักดินา)
เจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าซาร์เป็นเพียงการให้อิสระแก่ชาวนาเพื่อให้พ้นจากสภาพของ
”ทาสติดที่ดิน” เท่านั้น
หาได้หมายถึงการปลดปล่อยจากการควบคุมของบรรดาเจ้าของที่ดินไม่ ภายหลังการประกาศกฤษฎีกาฉบับที่
19 กุมภาพันธ์ 1861(ตามศักราชเก่า)
พบว่าชาวนาต้องประสบกับความยากลำบากและอึดอัดคับแค้นใจมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามขบวนการต่อสู้ของบรรดาชาวนารัสเซียต้องประสบกับความล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น ด้านหนึ่งเนื่องมาจากบุคลิกภาพทางชนชั้นที่ล้าหลังประกอบกับทัศนะคติที่คับแคบแบบตัวใครตัวมัน อีกด้านหนึ่งก็ถูกหลอก
ลวงจากระบบการปกครองที่เข้มงวดกดขี่ของระบอบซาร์ที่ถูกทำให้เชื่อว่า พระเจ้าซาร์รักประชาชนเหมือนบิดารักบุตร
ประกอบกับความโหดร้ายทารุณในระบบไต่สวนของเจ้าศักดินาซึ่งชนชั้นนายทุนยังคงนำมาใช้อยู่
ความพยายามที่จะนำขบวนการต่อสู้ของชาวนาของปัญญาชนรัสเซียซึ่งถือกำเนิดบนแผ่นดินที่ชนชั้นศักดินากำลังพังทลายในอัตราที่รวดเร็วมากหากจะเทียบกับการเติบโตของชนชั้นนายทุน ปัญญาชนได้แยกตัวออกจากจารีตที่ล้าหลังคร่ำครึของพวกขุนนางและโบสถ์ แทบจะกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่ได้สร้างความสัมพันธ์กับชนชั้นนายทุนที่ยังมีความคิดอนุรักษ์นิยมและไม่สุกงอม(ในการปฏิวัติ) ทุกหนทุกแห่งในรัสเซียที่ชนชั้นผู้ได้เปรียบในสังคมจะพยายามทำตัวให้เป็นที่ยึดถือพึ่งพิง หรือผลักดันตัวเองให้เป็นตัวแทนของชนชั้นผู้ถูกกดขี่และมวลชนชาวนา
มีเพียงปัญญาชนส่วนน้อยที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆและถือคติว่าปัญญาชนจะ
ต้องมีความเสียสละและควรมีส่วนร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชาวนาซึ่งเป็นประชาชนพื้นฐาน พวกเขา
พยายามเข้าไปฝังตัวในหมู่ชาวนา แต่งกายแบบชาวนา กินแบบชาวนา แม้แต่ทำการผลิตก็ใช้แต่คันไถและขวานแบบชาวนา
ปี 1860
ขบวนการใต้ดินกลุ่มแรกของปัญญาชนได้ก่อตั้งขึ้นที่รู้จักกันในนาม
“รัสเซียหนุ่ม” ความมุ่งหมายในขณะนั้นคือ ”การปฏิวัติด้วยเลือดและไม่ประนีประนอม”
เป็นอุดมการณ์พื้นฐานที่ค่อนข้างจะแตกต่างกับแนวคิดของในสังคมสมัยนั้น องค์กรไต้ดินชนิดนี้เกิดขึ้นตามมาอย่างมากมายและพยายามที่จะปลุกระดมชาวนา แต่กระนั้นการปฏิวัติที่คาดหวังก็เกิดขึ้นช้ามาก ความมุ่งมั่นของขบวนการเหล่านี้ได้ยึดถือแนวทางที่ว่าการปฏิวัติจะต้องอาศัยพลังของชาวนาเป็นด้านหลัก
ดังนั้น
วันที่ 24 เมษายน 1866 ดิมิทรี
คาราโคซอฟ (Dimitri Karakozov)
อดีตนักศึกษาวัย 25 ปี บุตรขุนนางได้ลั่นกระสุนนัดแรกเข้าใส่ ซาร์
อเล็กซานเดอร์ที่สอง นั่นถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งแรกของปัญญา
ชนกลุ่มเล็กๆหลังจากเคลื่อนไหวมาหกปี การปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนักเพื่อหวังจะปลุกชาวนาลุกขึ้นต่อสู้ปฏิวัติไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้กลายมาเป็นการก่อเหตุสยดสยองต่อตัวบุคคล
ทศวรรษที่1870
การเคลื่อนไหวต่อสู้ระรอกสองของปัญญาชนก็เริ่มขึ้นอีกในขอบเขตที่กว้างขวางและถี่ขั้น
นับจำนวนเป็นพันๆครั้ง
คนหนุ่มสาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งอดีตนักเรียนนักศึกษาเริ่มเข้าไปเคลื่อนไหวมวลชน ด้วยการออกสู่ชนบทที่ค่อนข้างจะสับสนวุ่นวายไร้ระเบียบ มีความมุ่งมั่นที่จะปลุกระดมและโฆษณาแนวคิดปฏิวัติให้แพร่กระจายไปทุกซอกทุกมุมของรัสเซียเพื่อกระตุ้นการลุกขึ้นสู้
อย่างไรก็ตามขอบเขตการเคลื่อน ไหวของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนองมากนักจึงเกิดความผิดหวังท้อแท้ขึ้นเป็นอย่างมาก บรรดาชาวนาไม่ค่อยสนใจต่อข้อเรียกร้องของพวกเขา โดยเฉพาะในหลายๆกรณียังถูกโต้แย้งคัดค้านคำโฆษณาด้วยความหวาดระแวงรวมทั้งยังแสดงออกถึงการต่อต้านและไม่เป็นมิตร ชาวนามักจะตั้งข้อสงสัยไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากในเมือง
เราจะขอสรุปขั้นตอนซึ่งเราคุ้นชินกันมาอย่างดี นั่นคือเมื่อความหวังที่จะลุกขึ้นสู้หมดสิ้นไปแล้วสิ่งที่ตามมาคือการก่อภัยกับตัวบุคคล ในช่วงเวลานั้นกล่าวว่าได้บรรลุถึงจุดสูงสุดเมื่อวันที่
1
มีนาคม1881
ตามปฏิทินเก่า เมื่อชายหนุ่มชื่อ กริเนฟสกี้ สมาชิกของกลุ่ม ”นารอดนายา โวลยา”
(ความหวังของประชาชน)ได้ขว้างระเบิดปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สองได้สำเร็จ จะอย่างไรก็ตาม..แม้ว่าเลือดของซาร์จะสาดกระเซ็น ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นจิตสำนึกปฏิวัติของชาวนาได้อยู่ดี
ซาร์องค์ใหม่เห็นว่าบรรดาผู้ก่อภัยไม่ได้แสดงนัยอะไรมากไปกว่าความพึงพอใจส่วนตัวเท่านั้น การตอบโต้จากรัฐบาลของซาร์เริ่มต้นด้วยการควบคุมปัญญาชนเสรีนิยม
ขจัดการเคลื่อนไหวทางกิจกรรมของนักศึกษา
เก็บยึดหนังสือแนวคิดก้าวหน้าประเภทปลุกระดมทั้งหลายออกจากห้องสมุด
ฯลฯ
เนื้อหาที่แสดงออกถึงความอ่อนล้าสิ้นหวังในการเคลื่อนไหวนี้ จะเห็นได้จากบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร
“เจตนารมณ์ของประชาชน” ฉบับสุดท้ายฉบับวันที่
1ตุลาคม1885 ที่เขียนว่า ”ขบวนการของเหล่าปัญญา
ชนได้เสื่อมสลายลงไปแล้ว ช่างเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและความขัดแย้งจนไม่สามารถให้คำตอบต่อปัญหาพื้นฐานของชีวิตทางสังคมได้......สำหรับประชาชนเอง
...ด้านหนึ่งคือการมองโลกในแง่ร้ายทั้งในด้านส่วนตัวและทางสังคม อีกด้านหนึ่งคือการยึดติดอยู่กับความเชื่ออันงมงายในสังคมศาสนา”
ในทศวรรษที่ 1880 เป็นปฐมบทแห่งการล่มสลายของขบวนการปัญญาชนปฏิวัติ สิ่งที่เกิดขึ้นร่วมยุคสมัยก็คือการถือกำเนิดขึ้นของปัญญาชนชนชั้นนายทุน จากบทบาทของชนชั้นนายทุนรัสเซียส่งได้ส่งผลให้ภาระหน้าที่ของปัญญาชนปฏิวัติ, อุดมการณ์ปฏิวัติต้องถูกเบียดขับและแทนที่ด้วย”ลัทธิปัจเจกชนนิยม” ของชนชั้นนายทุนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่กระนั้นก็ตาม....ความไม่พอ ใจในระบอบซาร์ยังคงดำรงอยู่
ปี 1886 อเล็กซานเดอร์ เริ่มมีบทบาทในการเคลื่อนไหวครั้งแรกในกรณีสุสานโวโคโน เพื่อระลึกในโอกาสครบรอบ 25 ปีของการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปที่ดินของชาวนา โดยจะจัดให้มีการเดินขบวนไปยังสุสานซึ่งเป็นสถานที่บรรดาชาวนาได้ทำการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตนเอง วันที่17พฤศจิกายนกลุ่มนัก ศึกษาหลายพันคนได้ไปรวมตัวกันที่สุสานแห่งนี้เพื่อเฉลิมฉลองในวาระครบรอบวันเสียชีวิตของ
โดโบรลิยูบอฟ นักวิจารณ์การเมืองผู้มีชื่อเสียง
ครั้งนี้ขบวนนักศึกษาถูกล้อมโดยทหารหน่วยรบพิเศษ
คอสแซก[2] นักศึกษาถูกจับกุมหลายคน ที่ถูกคัดชื่อออกจากมหาวิทยาลัยมีถึง 40
คน ความจริงแล้วคนหนุ่มสาวเหล่านี้ตั้งใจที่จะเข้าไปปักหลักบนหลุมศพของนักต่อสู้ทางการเมืองในอดีต เพื่อโน้มน้าวและยืนยันอย่างเปิดเผยให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมและการกดขี่ทางการเมืองในยุคสมัยนั้น
บรรยากาศท่ามกลางที่ชุมนุม......
การถกเถียงอภิปรายเป็นไปอย่างดุเดือดแหลมคมต่อประเด็นที่ว่า “เราจะทำอย่างไรกันดี?” เสียงเรียกร้องต้องการสังคมที่มีเสรีภาพไม่ได้รับความใส่ใจ ความไม่พอใจต่อความอ่อนแอทางการเมืองที่เป็นอยู่ได้ตอบคำถามนี้อย่างชัดแจ้งแล้ว...นั่นคือความรุนแรง! ในครั้งแรก
อเล็กซานเดอร์ไม่เห็นด้วยกับบทสรุปเช่นนี้กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดีเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย ก่อนอื่นเขาพยายามที่จะแสวงหาการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองโดยวิธีอื่นที่น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องกว่า แต่เพื่อนๆได้คัดค้านและตั้งคำถามว่า
“เรายังจะวนกลับไปยังจุดเดิมเช่นในอดีตกันอีกหรือ?
ในขณะที่ประชาชนยังถูกกดขี่ด้วยความรุนแรงอยู่เช่นนี้? “อเล็กซานเดอร์เริ่มอ่านหนังสือและบทความต้องห้ามของนักเขียนฝ่ายซ้ายเช่น ดิมิตรี
ปิซาเรฟ (Dmitry Pisarev) นิโคไล โดโบรลิยูบอฟ (Nikolay
Dobrolyubov) ,นิโคไล เชอร์นีเชฟสกี[3] (Nikolay Chernyshevsky) และ คาร์ล มาร์กซ (Karl Marx) ช่วยจัดองค์กรเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลพระเจ้าซาร์
ได้เข้าร่วมหน่วยใต้ดินขององค์กรปฏิวัติสังคมนิยมที่มีความมุ่งมั่นในการลอบสังหารพระเจ้าซาร์.......เหตุ
การณ์ 1 มีนาคม1887[4]จึงได้ก่อตัวขึ้น
ผู้ร่วมขบวนต่างได้ตกลงใจแล้วว่าจะลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ในวันที่ 1 มีนาคม 1887 และจากพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์(เคมี)ของอเล็กซานเดอร์ เขาจึงถูกเลือกให้เป็นผู้ประกอบระเบิดสังหาร อย่างไรก็ตามแผนการที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าต้องประสบกับความล้มเหลวก่อนที่จะมีโอกาสลงมือ
เมื่อผู้ร่วมขบวนคนหนึ่งถูกจับ พวกเขาจึงถูกจับในตอนบ่ายของวันที่ 1 นั่นเอง เมื่อแม่รู้ข่าวอเล็กซานเดอร์จึงตัดสินใจเดินทางไปยัง
เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กทันที แต่ซิมสบีร์กอยู่ไกลมากอีกทั้งไม่มีทางรถไฟผ่าน ต้องจ้างรถไปยังเมืองซิสรานก่อนจึงจะต่อรถไฟไป เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ได้ ค่าเช่ารถก็แพงมากต้องไปกันครั้งละหลายๆคนโดยเฉลี่ยค่ารถกัน เป็นหน้าที่ของวลาดิมียร์ที่จะไปหาเพื่อนร่วมทางไปซิสรานในครั้งนี้ แต่กลับถูกปฏิเสธเบี่ยงบ่ายจากบรรดาปัญญาชนปากกล้าทั้งหลายที่ปกติชอบที่จะวิพากษ์
วิจารณ์ความชั่วร้ายของระบอบซาร์อย่างดุเดือดเผ็ดร้อน......ครานี้กลับปิดปากเงียบ ทั้งๆที่ปกติเคยให้ความนับถือภรรยาหม้ายของผู้ตรวจการ
อิลยา มาตลอด ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้ามาให้กำลังใจ
”แม่” ของผู้ที่วางแผนสังหารพระเจ้าซาร์ที่พวกเขาเกลียดชัง!!! สำหรับวลาดิมีร์....นี่คือประสบการณ์และความประทับใจครั้งแรกที่มีต่อพวกเสรีนิยม....เขาจะไม่มีวันลืมบทเรียนครั้งนี้เป็นอันขาด คำให้การของ
อเล็กซานเดอร์ได้พูดถึงการกดขี่ทั้งมวลว่าเป็นสาเหตุพื้นฐานของปฏิบัติการในครั้งนี้ เขากล่าวว่า
”เราไม่มีแม้แต่เพื่อนร่วมชนชั้นที่แข็งแกร่งพอที่จะล้มล้างรัฐบาลได้...ชนชั้นปัญญาชนของเราอ่อนแอเกินไปทางกายภาพ การจัดตั้งในปัจจุบันนี้ยังไม่เพียงพอในการต่อสู้อย่างเปิดเผย พลังของชนชั้นปัญญาชนนั้นอ่อนแอเกินไปที่จะกระตุ้นจิตสำนึกในผลประโยชน์ทางชนชั้นของมวลชน การลอบสังหารจึงเป็นทางเดียวที่จะพิทักษ์สิทธิในความคิดนี้ได้”
วันที่ 8 มีนาคม อเล็กซานเดอร์ ”ชาช่า” อุลิยานอฟ พี่ชายของเลนินและเพื่อนๆก็ถูกนำไปประหารชีวิตโดยการแขวนคอด้วยวัยเพียง
21 ปี ก่อนหน้านี้ไม่นานเมื่อวันที่
12 มกราคม 1886 อิลยา อุลิยานอฟ
บิดาได้เสียชีวิตจากโรคเลือดออกในสมอง (brain haemorrhage) เมื่อเลนินอายุได้เพียงสิบหกปี พฤติกรรมของเขาเริ่มมีคและกล้าที่จะเผชิญกับเรื่องต่างๆมากขึ้น หลังจากนี้ไม่นานเขาประกาศเลิกนับถือพระเจ้าเพราะพระเจ้าไม่มีอยู่จริง แม้ว่าบิดาและพี่ชายจะเสีย ชีวิตลงการศึกษาของเขาก็ยังดำเนินต่อไปจนจบชั้นมัธยมปลายด้วยด้วยคะแนนสูงสุดได้รับรางวัลเหรียญทองเรียนดี
และต้องการเข้าศึกษาวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัยคาซาน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] ขบวนการปฏิวัติประชาชนเพื่อต่อต้านโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชของรัสเซีย โดยเน้นชาวนาเป็นพลังหลักในการปฏิวัติ
[2] ชาวคอสแซกเป็นหนึ่งในชนชาติส่วนน้อยชนชาติหนึ่งในรัสเซีย มีถิ่นฐานดั้งเดิมกระจายอยู่ในยูเครนและรัสเซียตอนใต้ลุ่มแม่น้ำดอน
และแม่น้ำ ดไนเปอร์ แถบเทือกเขาคอเคซัส
[3] นิโคไล เชอร์นีเชฟสกี (
12 กรกฎาคม 1828 –17 ตุลาคม1889)
นักเขียน นักปฏิวัติ ผู้นำกลุ่มนารอดนิค
[4] 1 มีนาคม 1887 เป็นวันที่กลุ่มสมาชิกนารอดนิควางแผนลอบสังหารซาร์อเล็กซานเดอร์ด้วยการขว้างระเบิด
No comments:
Post a Comment