Monday, March 16, 2015

เลนิน บนเส้นทางปฏิวัติ (2)

2.ปัญญาชนและขบวนการชาวนาในรัสเซีย
ที่กล่าวว่าเลนินคือผลผลิตทั้งหมดของประวัติศาสตร์รัสเซียนั้น...ต้องมองย้อนกลับไปในยุคก่อนที่เลนินเกิด    ซึ่งเริ่มตั้งแต่ ปี1860....ขบวนการ “นารอดนิค”[1] ได้ก่อกำเนิดขึ้นในปลายทศวรรษ1850 จักรวรรดิรัสเซียเป็นหนึ่งในบรรดาไม่กี่ประเทศในยุโรปที่ยังปกครองด้วยระบอบศักดินา    ในขณะนั้น..ชีวิตทางเศรษฐกิจของประชาชนรัสเซียกำลังก้าวเข้าสู่ระบอบทุนนิยมซึ่งเกิดจากการถูกบีบล้อมโดยทุนนิยมยุโรปมากขึ้นและมากขึ้น   จึงมีความต้องการที่จะขยายและพัฒนาอุตสาหกรรม     ในเรื่องนี้รัฐบาลพระเจ้าซาร์เองก็ได้ตระหนักและมีแผนที่จะแก้ปัญหาระบอบไพร่ติดที่ดิน(serfdom)โดยการยกเลิกนิคมชาวนา(mir)  ซึ่งเป็นหน่วยผลิตแบบพึ่งตนเองที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศซึ่งจะเป็นการนำไปสู่การปลดปล่อยทาสติดที่ดิน      เพื่อจะได้มีแรงงานเสรีไว้รองรับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่กำลังเติบโตขึ้นทุกขณะ       รัฐศักดินาจึงถูกบีบให้เป็นผู้แบกรับภาระของชนชั้นนายทุนเพื่อให้ลุล่วงไป        เพราะในทางปฏิบัติไม่มีชนชั้นนายทุนรัสเซียคนใดจะสามารถผลักดันภาระนี้ให้เกิดผลสำเร็จได้       ดังนั้นจึงจำต้องทำการปฏิรูปเกษตรกรรมโดยการตราพระราชกำหนดขึ้นใช้บังคับ    แต่ยังคงไม่อาจแก้ปัญหาความขัดแย้งที่สั่งสมมาอย่างยาวนานได้    
การยกเลิกระรบทาสติดที่ดินในความหมายที่แท้จริงแล้วคือต้องดำเนินตามแบบอย่างของอังกฤษ(ปฏิวัติอุตสาหกรรม)และการปฎิวัติของฝรั่งเศส(เลิกล้มระบอบศักดินา)    เจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าซาร์เป็นเพียงการให้อิสระแก่ชาวนาเพื่อให้พ้นจากสภาพของ ”ทาสติดที่ดิน” เท่านั้น    หาได้หมายถึงการปลดปล่อยจากการควบคุมของบรรดาเจ้าของที่ดินไม่     ภายหลังการประกาศกฤษฎีกาฉบับที่ 19 กุมภาพันธ์ 1861(ตามศักราชเก่า) พบว่าชาวนาต้องประสบกับความยากลำบากและอึดอัดคับแค้นใจมากขึ้นกว่าเดิม    อย่างไรก็ตามขบวนการต่อสู้ของบรรดาชาวนารัสเซียต้องประสบกับความล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น       ด้านหนึ่งเนื่องมาจากบุคลิกภาพทางชนชั้นที่ล้าหลังประกอบกับทัศนะคติที่คับแคบแบบตัวใครตัวมัน      อีกด้านหนึ่งก็ถูกหลอก ลวงจากระบบการปกครองที่เข้มงวดกดขี่ของระบอบซาร์ที่ถูกทำให้เชื่อว่า พระเจ้าซาร์รักประชาชนเหมือนบิดารักบุตร   ประกอบกับความโหดร้ายทารุณในระบบไต่สวนของเจ้าศักดินาซึ่งชนชั้นนายทุนยังคงนำมาใช้อยู่
ความพยายามที่จะนำขบวนการต่อสู้ของชาวนาของปัญญาชนรัสเซียซึ่งถือกำเนิดบนแผ่นดินที่ชนชั้นศักดินากำลังพังทลายในอัตราที่รวดเร็วมากหากจะเทียบกับการเติบโตของชนชั้นนายทุน   ปัญญาชนได้แยกตัวออกจากจารีตที่ล้าหลังคร่ำครึของพวกขุนนางและโบสถ์     แทบจะกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่ได้สร้างความสัมพันธ์กับชนชั้นนายทุนที่ยังมีความคิดอนุรักษ์นิยมและไม่สุกงอม(ในการปฏิวัติ)      ทุกหนทุกแห่งในรัสเซียที่ชนชั้นผู้ได้เปรียบในสังคมจะพยายามทำตัวให้เป็นที่ยึดถือพึ่งพิง     หรือผลักดันตัวเองให้เป็นตัวแทนของชนชั้นผู้ถูกกดขี่และมวลชนชาวนา       มีเพียงปัญญาชนส่วนน้อยที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆและถือคติว่าปัญญาชนจะ ต้องมีความเสียสละและควรมีส่วนร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชาวนาซึ่งเป็นประชาชนพื้นฐาน       พวกเขา พยายามเข้าไปฝังตัวในหมู่ชาวนา   แต่งกายแบบชาวนา   กินแบบชาวนา   แม้แต่ทำการผลิตก็ใช้แต่คันไถและขวานแบบชาวนา
ปี 1860  ขบวนการใต้ดินกลุ่มแรกของปัญญาชนได้ก่อตั้งขึ้นที่รู้จักกันในนาม “รัสเซียหนุ่ม” ความมุ่งหมายในขณะนั้นคือ ”การปฏิวัติด้วยเลือดและไม่ประนีประนอม” เป็นอุดมการณ์พื้นฐานที่ค่อนข้างจะแตกต่างกับแนวคิดของในสังคมสมัยนั้น      องค์กรไต้ดินชนิดนี้เกิดขึ้นตามมาอย่างมากมายและพยายามที่จะปลุกระดมชาวนา  แต่กระนั้นการปฏิวัติที่คาดหวังก็เกิดขึ้นช้ามาก         ความมุ่งมั่นของขบวนการเหล่านี้ได้ยึดถือแนวทางที่ว่าการปฏิวัติจะต้องอาศัยพลังของชาวนาเป็นด้านหลัก        

ดังนั้น วันที่ 24 เมษายน 1866  ดิมิทรี  คาราโคซอฟ (Dimitri Karakozov) อดีตนักศึกษาวัย 25 ปี     บุตรขุนนางได้ลั่นกระสุนนัดแรกเข้าใส่ ซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่สอง   นั่นถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งแรกของปัญญา ชนกลุ่มเล็กๆหลังจากเคลื่อนไหวมาหกปี   การปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนักเพื่อหวังจะปลุกชาวนาลุกขึ้นต่อสู้ปฏิวัติไม่ประสบความสำเร็จ    จึงได้กลายมาเป็นการก่อเหตุสยดสยองต่อตัวบุคคล
ทศวรรษที่1870  การเคลื่อนไหวต่อสู้ระรอกสองของปัญญาชนก็เริ่มขึ้นอีกในขอบเขตที่กว้างขวางและถี่ขั้น นับจำนวนเป็นพันๆครั้ง     คนหนุ่มสาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งอดีตนักเรียนนักศึกษาเริ่มเข้าไปเคลื่อนไหวมวลชน    ด้วยการออกสู่ชนบทที่ค่อนข้างจะสับสนวุ่นวายไร้ระเบียบ      มีความมุ่งมั่นที่จะปลุกระดมและโฆษณาแนวคิดปฏิวัติให้แพร่กระจายไปทุกซอกทุกมุมของรัสเซียเพื่อกระตุ้นการลุกขึ้นสู้  
อย่างไรก็ตามขอบเขตการเคลื่อน ไหวของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนองมากนักจึงเกิดความผิดหวังท้อแท้ขึ้นเป็นอย่างมาก     บรรดาชาวนาไม่ค่อยสนใจต่อข้อเรียกร้องของพวกเขา      โดยเฉพาะในหลายๆกรณียังถูกโต้แย้งคัดค้านคำโฆษณาด้วยความหวาดระแวงรวมทั้งยังแสดงออกถึงการต่อต้านและไม่เป็นมิตร       ชาวนามักจะตั้งข้อสงสัยไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากในเมือง
เราจะขอสรุปขั้นตอนซึ่งเราคุ้นชินกันมาอย่างดี     นั่นคือเมื่อความหวังที่จะลุกขึ้นสู้หมดสิ้นไปแล้วสิ่งที่ตามมาคือการก่อภัยกับตัวบุคคล   ในช่วงเวลานั้นกล่าวว่าได้บรรลุถึงจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม1881 ตามปฏิทินเก่า   เมื่อชายหนุ่มชื่อ กริเนฟสกี้  สมาชิกของกลุ่ม ”นารอดนายา โวลยา” (ความหวังของประชาชน)ได้ขว้างระเบิดปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สองได้สำเร็จ      จะอย่างไรก็ตาม..แม้ว่าเลือดของซาร์จะสาดกระเซ็น    ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นจิตสำนึกปฏิวัติของชาวนาได้อยู่ดี  

ซาร์องค์ใหม่เห็นว่าบรรดาผู้ก่อภัยไม่ได้แสดงนัยอะไรมากไปกว่าความพึงพอใจส่วนตัวเท่านั้น      การตอบโต้จากรัฐบาลของซาร์เริ่มต้นด้วยการควบคุมปัญญาชนเสรีนิยม     ขจัดการเคลื่อนไหวทางกิจกรรมของนักศึกษา    เก็บยึดหนังสือแนวคิดก้าวหน้าประเภทปลุกระดมทั้งหลายออกจากห้องสมุด ฯลฯ

เนื้อหาที่แสดงออกถึงความอ่อนล้าสิ้นหวังในการเคลื่อนไหวนี้      จะเห็นได้จากบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร “เจตนารมณ์ของประชาชน” ฉบับสุดท้ายฉบับวันที่ 1ตุลาคม1885 ที่เขียนว่า   ”ขบวนการของเหล่าปัญญา ชนได้เสื่อมสลายลงไปแล้ว       ช่างเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและความขัดแย้งจนไม่สามารถให้คำตอบต่อปัญหาพื้นฐานของชีวิตทางสังคมได้......สำหรับประชาชนเอง ...ด้านหนึ่งคือการมองโลกในแง่ร้ายทั้งในด้านส่วนตัวและทางสังคม     อีกด้านหนึ่งคือการยึดติดอยู่กับความเชื่ออันงมงายในสังคมศาสนา”     ในทศวรรษที่ 1880 เป็นปฐมบทแห่งการล่มสลายของขบวนการปัญญาชนปฏิวัติ     สิ่งที่เกิดขึ้นร่วมยุคสมัยก็คือการถือกำเนิดขึ้นของปัญญาชนชนชั้นนายทุน      จากบทบาทของชนชั้นนายทุนรัสเซียส่งได้ส่งผลให้ภาระหน้าที่ของปัญญาชนปฏิวัติ,      อุดมการณ์ปฏิวัติต้องถูกเบียดขับและแทนที่ด้วย”ลัทธิปัจเจกชนนิยม”  ของชนชั้นนายทุนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้    แต่กระนั้นก็ตาม....ความไม่พอ ใจในระบอบซาร์ยังคงดำรงอยู่
ปี 1886 อเล็กซานเดอร์ เริ่มมีบทบาทในการเคลื่อนไหวครั้งแรกในกรณีสุสานโวโคโน     เพื่อระลึกในโอกาสครบรอบ 25 ปีของการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปที่ดินของชาวนา   โดยจะจัดให้มีการเดินขบวนไปยังสุสานซึ่งเป็นสถานที่บรรดาชาวนาได้ทำการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตนเอง     วันที่17พฤศจิกายนกลุ่มนัก ศึกษาหลายพันคนได้ไปรวมตัวกันที่สุสานแห่งนี้เพื่อเฉลิมฉลองในวาระครบรอบวันเสียชีวิตของ โดโบรลิยูบอฟ นักวิจารณ์การเมืองผู้มีชื่อเสียง       ครั้งนี้ขบวนนักศึกษาถูกล้อมโดยทหารหน่วยรบพิเศษ คอสแซก[2]   นักศึกษาถูกจับกุมหลายคน    ที่ถูกคัดชื่อออกจากมหาวิทยาลัยมีถึง 40 คน  ความจริงแล้วคนหนุ่มสาวเหล่านี้ตั้งใจที่จะเข้าไปปักหลักบนหลุมศพของนักต่อสู้ทางการเมืองในอดีต     เพื่อโน้มน้าวและยืนยันอย่างเปิดเผยให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมและการกดขี่ทางการเมืองในยุคสมัยนั้น
บรรยากาศท่ามกลางที่ชุมนุม...... การถกเถียงอภิปรายเป็นไปอย่างดุเดือดแหลมคมต่อประเด็นที่ว่า “เราจะทำอย่างไรกันดี?”  เสียงเรียกร้องต้องการสังคมที่มีเสรีภาพไม่ได้รับความใส่ใจ    ความไม่พอใจต่อความอ่อนแอทางการเมืองที่เป็นอยู่ได้ตอบคำถามนี้อย่างชัดแจ้งแล้ว...นั่นคือความรุนแรง!    ในครั้งแรก อเล็กซานเดอร์ไม่เห็นด้วยกับบทสรุปเช่นนี้กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดีเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย        ก่อนอื่นเขาพยายามที่จะแสวงหาการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองโดยวิธีอื่นที่น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องกว่า    แต่เพื่อนๆได้คัดค้านและตั้งคำถามว่า   “เรายังจะวนกลับไปยังจุดเดิมเช่นในอดีตกันอีกหรือ? ในขณะที่ประชาชนยังถูกกดขี่ด้วยความรุนแรงอยู่เช่นนี้? “อเล็กซานเดอร์เริ่มอ่านหนังสือและบทความต้องห้ามของนักเขียนฝ่ายซ้ายเช่น   ดิมิตรี  ปิซาเรฟ (Dmitry Pisarev) นิโคไล โดโบรลิยูบอฟ (Nikolay Dobrolyubov,นิโคไล เชอร์นีเชฟสกี[3] (Nikolay Chernyshevsky) และ คาร์ล มาร์กซ  (Karl Marx)  ช่วยจัดองค์กรเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลพระเจ้าซาร์   ได้เข้าร่วมหน่วยใต้ดินขององค์กรปฏิวัติสังคมนิยมที่มีความมุ่งมั่นในการลอบสังหารพระเจ้าซาร์.......เหตุ การณ์  1 มีนาคม1887[4]จึงได้ก่อตัวขึ้น
ผู้ร่วมขบวนต่างได้ตกลงใจแล้วว่าจะลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ในวันที่ 1 มีนาคม 1887    และจากพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์(เคมี)ของอเล็กซานเดอร์       เขาจึงถูกเลือกให้เป็นผู้ประกอบระเบิดสังหาร    อย่างไรก็ตามแผนการที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าต้องประสบกับความล้มเหลวก่อนที่จะมีโอกาสลงมือ  เมื่อผู้ร่วมขบวนคนหนึ่งถูกจับ      พวกเขาจึงถูกจับในตอนบ่ายของวันที่ 1 นั่นเอง     เมื่อแม่รู้ข่าวอเล็กซานเดอร์จึงตัดสินใจเดินทางไปยัง เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กทันที      แต่ซิมสบีร์กอยู่ไกลมากอีกทั้งไม่มีทางรถไฟผ่าน   ต้องจ้างรถไปยังเมืองซิสรานก่อนจึงจะต่อรถไฟไป  เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ได้   ค่าเช่ารถก็แพงมากต้องไปกันครั้งละหลายๆคนโดยเฉลี่ยค่ารถกัน     เป็นหน้าที่ของวลาดิมียร์ที่จะไปหาเพื่อนร่วมทางไปซิสรานในครั้งนี้   แต่กลับถูกปฏิเสธเบี่ยงบ่ายจากบรรดาปัญญาชนปากกล้าทั้งหลายที่ปกติชอบที่จะวิพากษ์ วิจารณ์ความชั่วร้ายของระบอบซาร์อย่างดุเดือดเผ็ดร้อน......ครานี้กลับปิดปากเงียบ    ทั้งๆที่ปกติเคยให้ความนับถือภรรยาหม้ายของผู้ตรวจการ อิลยา มาตลอด    ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้ามาให้กำลังใจ ”แม่” ของผู้ที่วางแผนสังหารพระเจ้าซาร์ที่พวกเขาเกลียดชัง!!!   สำหรับวลาดิมีร์....นี่คือประสบการณ์และความประทับใจครั้งแรกที่มีต่อพวกเสรีนิยม....เขาจะไม่มีวันลืมบทเรียนครั้งนี้เป็นอันขาด   คำให้การของ อเล็กซานเดอร์ได้พูดถึงการกดขี่ทั้งมวลว่าเป็นสาเหตุพื้นฐานของปฏิบัติการในครั้งนี้  เขากล่าวว่า
”เราไม่มีแม้แต่เพื่อนร่วมชนชั้นที่แข็งแกร่งพอที่จะล้มล้างรัฐบาลได้...ชนชั้นปัญญาชนของเราอ่อนแอเกินไปทางกายภาพ      การจัดตั้งในปัจจุบันนี้ยังไม่เพียงพอในการต่อสู้อย่างเปิดเผย   พลังของชนชั้นปัญญาชนนั้นอ่อนแอเกินไปที่จะกระตุ้นจิตสำนึกในผลประโยชน์ทางชนชั้นของมวลชน     การลอบสังหารจึงเป็นทางเดียวที่จะพิทักษ์สิทธิในความคิดนี้ได้”
วันที่ 8 มีนาคม  อเล็กซานเดอร์ ”ชาช่า” อุลิยานอฟ  พี่ชายของเลนินและเพื่อนๆก็ถูกนำไปประหารชีวิตโดยการแขวนคอด้วยวัยเพียง 21 ปี  ก่อนหน้านี้ไม่นานเมื่อวันที่ 12 มกราคม 1886 อิลยา อุลิยานอฟ บิดาได้เสียชีวิตจากโรคเลือดออกในสมอง (brain haemorrhage) เมื่อเลนินอายุได้เพียงสิบหกปี    พฤติกรรมของเขาเริ่มมีคและกล้าที่จะเผชิญกับเรื่องต่างๆมากขึ้น     หลังจากนี้ไม่นานเขาประกาศเลิกนับถือพระเจ้าเพราะพระเจ้าไม่มีอยู่จริง  แม้ว่าบิดาและพี่ชายจะเสีย ชีวิตลงการศึกษาของเขาก็ยังดำเนินต่อไปจนจบชั้นมัธยมปลายด้วยด้วยคะแนนสูงสุดได้รับรางวัลเหรียญทองเรียนดี      และต้องการเข้าศึกษาวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัยคาซาน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] ขบวนการปฏิวัติประชาชนเพื่อต่อต้านโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชของรัสเซีย  โดยเน้นชาวนาเป็นพลังหลักในการปฏิวัติ
[2] ชาวคอสแซกเป็นหนึ่งในชนชาติส่วนน้อยชนชาติหนึ่งในรัสเซีย      มีถิ่นฐานดั้งเดิมกระจายอยู่ในยูเครนและรัสเซียตอนใต้ลุ่มแม่น้ำดอน และแม่น้ำ ดไนเปอร์ แถบเทือกเขาคอเคซัส   
[3] นิโคไล เชอร์นีเชฟสกี ( 12 กรกฎาคม 1828 –17 ตุลาคม1889)  นักเขียน  นักปฏิวัติ  ผู้นำกลุ่มนารอดนิค  
[4] 1 มีนาคม 1887 เป็นวันที่กลุ่มสมาชิกนารอดนิควางแผนลอบสังหารซาร์อเล็กซานเดอร์ด้วยการขว้างระเบิด  

No comments:

Post a Comment