3. ชีวิตในมหาวิทยาลัยและลัทธิการเมืองแบบเสรีนิยม1887–1893
เมื่อได้เข้าศึกษาวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัยคาซานในเดือนสิงหาคมแล้ว วลาดิมีร์ได้เช่าอพาร์ทเม้นท์ในเมือง ในขณะที่มารดากำลังจัดการบ้านของครอบครัวในซิมสบีร์กเพื่อให้ผู้อื่นเช่าและจะตามไปอยู่ด้วยในเดือนพฤศจิกายน วลาดิมีร์เริ่มสนใจแนวคิดทางการเมืองแบบเสรีนิยมของพี่ชาย
ด้วยการอ่านนิยายโรแมนติคของ นิโคไล เชนีเชฟสกี
เรื่อง จะทำอะไรดี? (What is to be
done?,1863) อย่างตั้งอกตั้งใจหลังจากที่เคยอ่านจบมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนอายุสิบสี่
เขาพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เชอร์นีเชฟสกีนำเสนอโดยเฉพาะเรื่องเสรีภาพของประชาชน วลาดิมีร์ไม่ยอมหยุดอยู่เพียงแค่นั้นเขาเริ่มมีการติดต่อพบปะกับหน่วยจัดตั้งลับของกองกำลังปฏิวัติที่นำโดยนักสังคมนิยมชาวนาชื่อ
โลซา โบโกราซ และเข้าร่วมในชมรม ซามารา-ซิมสบีร์ก เชมลียาเชสตโว[1](zemlyachestvo) ในมหาวิทยาลัยที่มีลักษณะเป็นชมรมท้องถิ่นและได้รับเลือกเป็นตัวแทนของสภาสมาคมท้องถิ่น(ลับ)ในมหาวิทยาลัยและเริ่มมีปฏิ
สัมพันธ์กับบรรดาฝ่ายซ้ายโดยเต็มใจเข้าร่วมฟื้นฟูองค์กรปฏิวัติ ”นารอดนายา โวลยา” (Narodnaya Volya
”เสรีภาพของประชาชน”) ซึ่งเป็นองค์กรติดอาวุธฝ่ายซ้ายที่ก่อนนี้เคยลอบสังหารพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง(เสียชีวิตเมื่อ
13 พฤษภาคม 1881) วันที่ 4
ธันวาคม วลาดิมีร์ได้มีส่วนร่วมเดินขบวนเรียกร้องให้ยกเลิกข้อบังคับที่กำหนดให้สมาคมนักศึกษาเป็นสิ่งผิดกฏหมาย ผลก็คือผู้ประท้วงถูกจับกุมกว่าร้อยคน ตัวเขาเองถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นหัวโจกในการประท้วงและถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย โดยมีคำสั่งจากรัฐมนตรีมหาดไทยให้เขาอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของตำรวจและให้เนรเทศไปอยู่ในที่ดินของครอบครัว(ตา)ที่โคคุชชิโน
เลนิน ประมาณปี 1887 ช่วงวัยที่กำลังแสวงหาลัทธิสังคมนิยม
ที่นี่เขาได้อ่านเอกสาร,บทความของพวกเสรีนิยมด้วยความกระหายใคร่รู้ และเกิดความหลงไหลในงานของเชอร์นีเชฟสกี แต่แม่ไม่คอยสบอารมณ์เท่าไหร่กับแนวคิดนี้ ในเดือนกันยายน1888 วลาดิมีร์จึงมีจดหมายไปถึงรัฐมนตรีมหาดไทยเพื่อขออนุมัติให้เขาได้ออกไปเรียนในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ และในที่สุดคำร้องของเขาได้รับการปฏิเสธแต่อนุญาตให้กลับไปยังคาซานได้ ที่นั่นเขาได้อาศัยอยู่ที่ เปอรายา โกรา
กับแม่และดมิตทรีน้องชาย
ที่พำนักใหม่ทำให้เขาได้รู้จักกับ เอม. พี.
เชทเวอร์โกวา นักปฏิวัติ และได้เข้าร่วมเสวนาทางการเมืองกันอย่างลับๆ
ซึ่งพวกเขาใช้เวลาส่วนมากไปกับการถกเถียงอภิปรายปัญหายุทธศาสตร์การเมือง
และที่นี่ เป็นที่ๆเขาได้รับแนวคิดลัทธิมาร์ซด้วยการศึกษาเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมจากหนังสือเรื่อง
”ทุน” (Das Kapital) ของมาร์กซ หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลต่อเขาอย่างมหาศาล แม่ได้เฝ้าสังเกตดูทัศนะทางการเมืองของเขาตลอดเวลา ได้พยายามซื้อที่ดินในหมู่บ้าน
อลาเคียฟวา ชานเมือง ซามาราซึ่งเป็นสถานที่มีชื่อเสียงจากบทกวีของ เกลบ อูสเป็นสกี นักกวีที่วลาดิมีร์ชื่นชอบโดยหวังว่าวลาดิมีร์จะหันเหความสนใจจากการเมืองมาเป็นการเกษตร เขาเริ่มศึกษาชีวิตของชาวนาส่วนใหญ่ที่ต้องเผชิญกับความ ยากจนค่นแค้น
ในเวลาต่อมาเริ่องนี้จึงมีอิทธิพลและเป็นพลังขับดันทัศนะทางการเมืองของเขาเป็นพิเศษ เพียงแต่วลาดิมีร์ไม่ค่อยจะชอบใจที่พวกชาวนาชอบมาขโมยอุปกรณ์และสัตว์เลี้ยงของเขาเป็นอย่างมากด้วยเหตุนี้แม่จึงขายฟาร์มไปในที่สุด ฤดูหนาวเดือนกันยายนปี1889 ครอบครัวอุลิยานอฟย้ายไปอยู่ที่ซามารา
ที่ซึ่งวลาดิมียร์ได้มีการติดต่อกับพวกที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเมืองของนักปฏิวัติผู้ที่ถูกเนรเทศ(สมาชิกนารอดนิครุ่นเก่า)
ในการแลกเปลี่ยนอภิปรายกันในกลุ่มย่อยที่มี
อเล็กไซ พี. สกลียาเลนโก เป็นหัวหน้า ในครั้งนั้นทั้ง
สกลียาเลนโกและ วลาดิมีร์ต่างก็ได้ศึกษาลัทธิมาร์กซมาก่อนบ้างแล้ว วลาดิมีร์ได้แปลจุลสารชิ้นสำคัญคือ ”คำประกาศของคอมมิวนิสต์” (The Communist Manifesto ,1848) ของมาร์กซและเองเกลส์ออกมาเป็นภาษารัสเซียเพื่อการศึกษาของหน่วย เขาเริ่มศึกษางานของ กอร์กี้ เพลคานอฟ[2](1856–1918) นักลัทธิมาร์กซชาวรัสเซียผู้ร่วมก่อตั้งขบวนการ
Black
Repartition
และสนับสนุนความเห็นของเพลคานอฟในข้อที่ว่า
รัสเซียจะต้องก้าวจากสังคมศักดินาไปสู่สังคมทุนนิยมอย่างไม่ต้องสงสัย นักลัทธิมาร์กซต่างได้วิเคราะห์สรุปว่าสังคมรัสเซียมีแนวโน้มที่จะดำเนินไปในทางนั้น สิ่งหนึ่งที่วลาดิมีร์เริ่มเกิดความสงสัย...ไม่แน่ใจมากขึ้นทุกทีคือวิธีการที่ใช้หน่วยติดอาวุธโจมตีและลอบสังหารศัตรู และคิดว่าไม่ค่อยจะมีประโยชน์สักเท่าใดนัก เดือนธันวาคม 1889 เขาได้คัดค้านยุทธวิธีเช่นนี้ด้วยการถกเถียงโต้แย้งกับ
เอ็ม. วี. ซาบูเนียฟ
ผู้ซึ่งกำลังรณณรงค์หาสมาชิกใหม่เพื่อฟื้นฟูพรรค ”เสรีภาพของประชาชน” ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าวลาดิมีร์จะไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคแต่ก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ฉันท์สหายกับสมาชิกพรรคเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะกับ อพอลลอน ชุคสต์
สมาชิกอาวุโสซึ่งภายหลังขอให้วลาดิมีร์เป็นพ่อทูลหัวบุตรชายของเขา มีนาคม 1890 มารดาพยายามร้องเรียนชี้แจงกับเจ้าหน้าที่เพื่อให้วลาดิมีร์ได้มีโอกาสได้เข้าสอบเทียบเพื่อรับปริญญาบัตรตามที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้เปิดโอกาสให้แก่บุคคลภายนอก(ที่ไม่ได้ลงทะเบียน)
เข้าสอบเทียบความรู้ เขาเลือกสอบที่มหาวิทยาลัยแห่งเซ็นต์
ปีเตอร์สเบิร์กและสามารถสอบเทียบได้ในระดับเกียรติ์นิยม แต่งานฉลองจำต้องยกเลิกไปเนื่องจากโอลก้าน้องสาวป่วยและเสียชีวิตจากไข้ไทฟอยด์ วลาดิมีร์ยังคงอยู่ในซามาราอีกหลายปีจนกระทั่งเดือนมกราคม1892ศาลท้องถิ่นได้ว่าจ้างเขาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ทำงานกับทนายความ อังไดร เอ็น. คาร์ดิน
ปัญหาพื้นฐานที่ถกเถียงกันอยู่คือความไม่ลงรอยกันระหว่างชาวนากับบรรดาช่างฝีมือ เขาเริ่มอุทิศเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเมืองแนวเสรีนิยม และยังคงบทบาทการเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่ม
สกีลาเรนโก และพยายามสร้างแนวทางลัทธิมาร์กซที่เหมาะกับสภาพของประเทศรัสเซีย จากแรงกระตุ้นในการศึกษางานของเพลคานอฟ วลาดิมีร์ได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆของสังคมรัสเซียและชนชั้นที่หลากหลายในสังคมเพื่อใช้ในการสนับสนุนยืนยันในการอธิบายถึงพัฒนาการทางสังคม
ด้วยหวังว่าจะได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจากปัญญาชน ในปี1893 เขาได้เสนอบทความเรื่อง
“การพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ในการดำเนินชีวิตของชาวนา” แก่หนังสือพิมพ์แนวเสรีนิยม“RussianThought” (แนวคิดรัสเซีย) แต่ถูกปฏิเสธิในที่สุดก็ได้ตีพิมพ์ในปี 1927(โดยพรรคหลังจากได้อำนาจรัฐแล้ว)
ฤดูใบไม้ร่วงปี1893ได้เขียนหนังสือเรื่อง “ว่าด้วยสิ่งที่เรียกว่าปัญหาการตลาด” (On
the So-Called Market Question ) ซึ่งเป็นความพยายามครั้งแรกที่จะเปิดเผยธาตุแท้ของระบอบทุนนิยมที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาวนารัสเซีย
4. การเคลื่อนไหวปฏิวัติที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กและในต่างประเทศ (1893–1895)
ในปีนั้นเอง วลาดิมีร์ได้ย้ายไปอยู่ที่ เซนต์
ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองหลวงของจักรวรรดิ์รัสเซียซึ่งกำลังก้าวไปสู่การเป็นนครอุตสาหกรรมอย่างขนานใหญ่
เขาได้พำนักในอพาร์ทเม้นท์แถบถนน
เซอร์เกี๊ยฟสกี ในเขต ลิไทนี ก่อนจะย้ายไปยังบ้านเลขที่ 7 ตรอกคาซาชีใกล้กับ เฮย์มาร์เก็ต
และได้งานเป็นผู้ช่วย นาย เอ็ม. เอฟ.โฟคเกนชไตน์ ทนายความ และได้เข้าร่วมกับหน่วยปฏิวัติใต้ดินที่นำโดย
เอส.ไอ.รัดเชนโก
ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักเรียนจากสถาบันเทคโนโลยี่ที่สังกัดนครหลวง เช่นเดียวกับวลาดิมีร์พวกเขาเป็นนักลัทธิมาร์กซที่เรียกตนเองว่านักสังคมประชาธิปไตยตามอย่างพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมัน ซึ่งครั้งนั้นยังเป็นพรรคลัทธิมาร์กซอยู่ ด้วยความประทับใจในความรู้ลัทธิมาร์กซของวลาดิมีร์ บรรดาสหายจึงให้การต้อนรับเขาด้วยความชื่นชม และไม่นานก็ได้รับการยอมรับในฐานะสมาชิกคนสำคัญของกลุ่ม
เขาได้ขยายความคิดลัทธิมาร์กซไปสู่ขบวนการเคลื่อนไหวปฏิวัติของชาวสังคมนิยม ปี 1894 ในการประชุมลับครั้งหนึ่ง วลาดิมีร์ได้ถกเถียงโต้แย้งกับ
วี.พี.โวรอนตซอฟ นักทฤษฎีผู้เลื่องชื่อซึ่งเป็นเจ้าของงานเขียน ”ชตากรรมของระบอบทุนนิยมในรัสเซีย
(The Fate of Capitalism in Russia .1882)” นิสัยแบบตรงไปตรงมาของเขาทำให้ถูกหมายหัวจากสายลับของตำรวจที่แทรกตัวอยู่ในที่ประชุม ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเคลื่อนไหวแนวทางลัทธิมาร์กซในรัสเซีย วลาดิมีร์จึงได้ติดต่อกับ เพทร เบอร์นาโดวิช
สตรูฟ[3] ผู้มั่งคั่งที่เห็นด้วยกับแนวคิดซึ่งยินดีข่วยเหลือในการตีพิมพ์หนังสือแนวคิดลัทธิมาร์กซ
และสนับสนุนให้กำลังใจในการจัดตั้งหน่วยงานปฏิวัติในแหล่งศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญในรัสเซีย วลาดิมีร์ยังคบหาเป็นเพื่อนกับนักลัทธิมาร์กซหนุ่มชาวรัสเซียเชื้อสายยิวชื่อ
จูเลียส มาร์ตอฟ ผู้ซึ่งมีส่วนได้ช่วยเหลือสหายในกลุ่มให้ร่นเวลาในการแก้ปัญหาทางทฤษฎีในการเคลื่อนไหวปฏิวัติอีกด้วย
เลนิน จากแฟ้มของตำรวจเมื่อปี 1895
และ นาเดซดา ครุพสกายา (นาดยา)คนรักซึ่งต่อมาเป็นภรรยา
นาเดซดา
ครุพสกายา: สมาชิกพรรคบอลเชวิค นักปฏิวัติ นักการศึกษา เกิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ คศ. 1869 ในครอบครัวชนชั้นสูงที่ฐานะทางการเงินไม่สู้จะดีนัก
บิดาของเธอ คอนสแตนติน อิกนาเตวิช
ครุพสกี
เป็นนายทหารสังกัดกรมทหารราบมาจากตระกูลผู้ดีของจักรวรรดิ์รัสเซีย
หลังจากรับราชการมาหกปีรู้สึกเบื่อหน่ายและถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าไม่มีพฤติกรรมแบบรัสเซียจึงลาออกจากราชการเพราะถูกสงสัยว่าเข้าข้างนักปฏิวัติ ในเวลานั้นได้เข้าทำงานในโรงงานอีกหลายแห่ง
และมีรายได้พิเศษจากค่านายหน้าทางธุรกิจตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต มารดาของเธอ เอลิซเวทตา
วาซีลลิเยฟนา ทริสโทรวา
ลูกกำพร้าจากตระกูลผู้ดีที่ไม่มีที่ดินของตนเองได้ลงทะเบียนในหลักสูตร เบสตูเซฟ[4] เพื่อที่จะได้รับการศึกษาที่กำหนดไว้
ซึ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับบุตรีของครอบครัวผู้ดีในรัสเซียสมัยนั้น หลังจากจบการศึกษา เอลิซาเวทตา ได้เข้าทำงานเป็นครูผู้ดูแลและสอนเด็กในครอบครัวผู้ดีครอบครัวหนึ่งจนกระทั่งแต่งงานกับ
ครุพสกี
เนื่องจากมีบิดามารดาเป็นปัญญาชนและสืบเชื้อสายมาจากชนชั้นขุนนาง
ประกอบกับประสบการณ์การทำงานกับชนชั้นล่างที่ต่ำต้อยน่าจะเป็นสิ่งบ่มเพาะอุดมการณ์ของเธอ
ตั้งแต่วัยเด็ก...จิตวิญญานของครุพสกายาเปี่ยมล้นไปด้วยการต่อต้านชีวิตบัดซบที่ดำรงอยู่รอบกายของเธอ อเรียตเน ไทรโควา เพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยมกล่าวถึงเธอว่า “ ตัวสูงๆ
เงียบขรึม
ไม่ค่อยสุงสิงกับเด็กผู้ชาย
ทำอะไรด้วยความรอบคอบ
มีความมั่นใจในตนเอง....เธอมักจะเป็นหนึ่งของผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานอยู่เสมอ”
นาดยาเข้าเรียนมัธยมต้นแห่งสองแห่งก่อนที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมสตรี
“เจ้าชาย เอ. เอ.โอโบเลนสกี” โรงเรียนเอกชนที่มีระดับในเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก
การเรียนการสอนที่นี่ค่อนข้างเสรีไม่ค่อยเข้มงวดเหมือนกับโรงเรียนมัธยมทั่วไป จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าดำเนินงานโดยกลุ่มนักปฏิวัติรุ่นเก่า ครุพสกายามีความประทับใจและสนใจในเรื่องการศึกษามาตั้งแต่เด็ก เธอชอบที่จะถอดรูปแบบการศึก ษาจากทฤษฎีของตอลสตอย (Leo Tolstoy[5])
ซึ่งด้านหลักจะเน้นแต่การพัฒนาของนักเรียนแต่ละคนโดยใช้ความ สัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
ทำให้เธอต้องศึกษางานแทบทุกชิ้นของตอลสตอยรวมถึงทฤษฎีที่ว่าด้วยการปฏิรูป ที่เน้นสันติวิธี ยึดถือความถูกกฎหมาย
มุ่งไปสู่การละเว้นสิ่งฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นและสิ่งที่ผูกมัดตนเอง ไม่จ้างใครมาทำงานบ้าน ฯลฯ
ตลอดชีวิตในวัยศึกษาครุพสกายาได้อุทิศตนในการเข้าร่วมถกปัญหากับผู้คนหลายๆกลุ่ม กลุ่มศึกษาเหล่านี้ได้อภิปรายถกเถียงกันในหัวข้อที่ทุกคนต่างมีส่วนร่วมอย่างใจจดจ่อ และไม่นาน...หนึ่งในกลุ่ม ได้นำเสนอทฤษฎีลัทธิมาร์กซแก่ครุพสกายา
และแนวทางในการยกระดับชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นของทฤษฎีนี้ได้ดึงดูดความสนใจของเธอเป็นอย่างมาก เธอจึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจังแต่ก็มีอุปสรรคอย่างมากที่หนังสือประเภทนี้ถูกประกาศให้เป็นหนังสือต้องห้ามโดยรัฐบาลซาร์ ทำให้บรรดานักปฎิวัติต่าง
เก็บรวบรวมหนังสือเหล่านี้เก็บซุกซ่อนไว้ในห้องสมุดใต้ดิน เมื่อวลาดิมีร์ได้เริ่มเข้าไปมีความสัมพันธ์กับกลุ่มศึกษาลัทธิมาร์กซใน
เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งมี นาเดซดา“นาดยา”ครุปสกายา(1869–1939) ร่วมอยู่ด้วย
ภายหลังเธอกล่าวถึงวลาดิมีร์ในจุลสารของเธอเรื่อง
"เลนินศึกษามาร์กซอย่างไร” (How Lenin
Studied Marx) ว่า
“เลนินมีความรู้เกี่ยวกับลัทธิมาร์กอย่างอย่างน่าอัศจรรย์ ในปี 1893 เมื่อแรกที่เขามาถึงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ก็ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่พวกเราชาวมาร์กซเป็นอย่างมากต่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่องานของมาร์กซและเองเกลส์ ในทศวรรษที่ 90 ในแวดวงของนักลัทธิมาร์กซเริ่มมีการเคลื่อนไหวรวมกลุ่มกัน หลักๆแล้วตอนแรกก็สนใจศึกษาเรื่อง “ทุน”
แม้มันค่อนข้างจะยาก
ไปสักหน่อยแต่เราก็มีความพยายามที่จะเข้าถึงเนื้อหาของมัน
ทำให้ละเลยต่องานนิพนธิ์อื่นๆของมาร์กซไป
สมาชิกส่วนใหญ่ในแวดวงของเรายังไม่เคยอ่านแม้แต่ ”แถลงการณ์ของคอมมิวนิสต์”
อย่างเช่นตัวข้าพเจ้าเองได้อ่านครั้งแรกก็ตกเข้าไปปี 1898 จากฉบับพิมพ์ภาษา เยอรมันขณะที่กำลังลี้ภัยอยู่”
มาร์กซและเองเกลส์เป็นคำที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ปี 1897 เลนินเขียนเรื่อง”The Characteristics of Economic
Romanticism” ให้แก่วารสาร
”New Word ” ถูกบีบให้หลีกเลี่ยง คำว่า “มาร์กซ” และ
”ลัทธิมาร์กซ”
หากจำเป็นก็ให้กล่าวโดยอ้อมไม่อย่างนั้นจะเกิดความยุ่งยากแก่วารสารได้ เลนินมีความเข้าใจภาษาต่างประเทศค่อนข้างดีและพยายามสืบค้นทุกสิ่งทุกอย่างของมาร์กซและเองเกลส์ทั้งภาษาเยอรมันและฝรั่งเศส อันนา อิลยินิชนา(พี่สาว)
เล่าถึงการอ่านหนังสือ ”ความอับจนของปรัชญา” (The Poverty of Philosophy) ในภาคภาษาฝรั่งเศสกับ โอลก้า
น้องสาวของเขาว่า โดยมากแล้วเขาจะอ่านฉบับภาษาเยอรมันแล้วจะแปลงานของมาร์กซและเองเกลส์ส่วนที่มีความสำคัญและที่เขาสนใจไว้เป็นภาษารัสเซีย
งานใหญ่ชิ้นแรกของเขา ซึ่งตีพิมพ์อย่างผิดกฎหมายในปี 1894 เรื่อง “ใครเป็นมิตรกับประชาชน”
("Who are the Friends of the People?") โดยอ้างอิงจากหนังสือ ”แถลงการณ์ของคอมมิวนิสต์” (communist
manifesto) , “บทวิจารณ์เศรษฐศาสตร์การเมือง” , ”ความอับจนของปรัชญา”, “อุดมการณ์เยอรมัน” , “จดหมายของมาร์กซถึงรูจ”
และหนังสือ “แอนตี้ ดือห์ริ่ง”( Anti Duehring) ของเองเกลส์ , “กำเนิดครอบครัว”( The Origin of the
Family) และ” ทรัพย์สินส่วนตัวและรัฐ” (Private Property and
the State.) หนังสือ "Friends
of the People "(มิตรของประชาชน) ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางจากนักลัทธิมาร์กซผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับงานของมาร์กซ
และมีความใส่ใจกับคำถามมากมายเกี่ยวกับหนทางที่จะไปสู่ความสำเร็จ นิพนธ์เล่มต่อมาของเลนินคือ
”สาระทางเศรษฐศาสตร์ตามคำสอนของชาวนารอดนิคและข้อวิจารณ์ ของสตรูฟว์” ที่เราได้ศึกษามาแล้วจากบทอ้างอิงใน
"The Eighteenth Brumaire" และ “สงครามกลางเมืองฝรั่งเศส”
จนถึง “วิพากษ์นโยบายโกธา” และจากตอนที่สองและสามของ “ทุน”
หลังจากย้ายที่พำนักจึงมีความเป็นไปได้สำหรับเลนินที่เริ่มศึกษาและคุ้นเคยกับงานนิพนธ์ต่างๆของมาร์กซและเองเกลส์ ประวัติของมาร์กซที่เลนินเขียนให้หนังสือ “กรานาท เอนไซโคลพีเดีย”
บ่งแสดงความถึงความรับรู้ที่น่าทึ่งของเลนินที่มีต่องานมาร์กซดีกว่าสิ่งอื่นใด ม้นแสดงว่าเลนินมี
ความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะตักตวงเอาความรู้ขณะที่อ่านงานของมาร์กซ ที่สถาบันเลนินมีสมุดบันทึกของเขามากมายโดยเฉพาะจากงานของมาร์กซ เลนินได้ใช้ความรู้จากบันทึกเหล่านี้อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าจดและหมายเหตุเอาไว้ เขาไม่เพียงแต่ศึกษามาร์กซเท่านั้น
แต่ยังใคร่ครวญต่อคำสอนของมาร์กซอย่างลึกซึ้งอีกด้วย ดังเช่นปฐกถาของเขาในการประชุมสันนิบาตเยาวชนครั้งที่สามในปี
1920 เลนินกล่าวต่อเยาวชนเหล่านั้นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง
“ที่จะรวบรวมความรู้ทั้งหมดและรับเอาอย่างชาวลัทธิคอมมิวนิสต์ จะต้องไม่ศึกษาแบบท่องจำ แต่ควรเป็นวิธีขบคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง ข้อสรุปบางอย่างอาจผิดแผกไปจากจากมุมมองของการศึกษาในปัจจุบัน”
(Volume XXV.)
ด้วยความรอบรู้ในลัทธิมาร์กซและในความเชื่อมั่นในพลังของชนชั้นคนงานต่อการปฏิวัติ วลาดิมีร์
ได้ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในทุกๆวันอาทิตย์ตามโรงงานหรือสถานที่อื่นๆเพื่อพบปะพูดพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับวิถีปฏิวัติแบบสังคมนิยม นาเดซดา ครุฟสกาย่า เล่าว่า
“ที่จริงแล้วเราสามารถคุยกันที่โรงเรียนได้เกือบทุกเรื่อง แม้ว่าแทบทุกชั้นเรียนจะมีตำรวจลับอยู่ด้วย ขอเพียงแต่หลีกเลี่ยงคำที่ต้องห้ามอย่างเช่น
“ซาร์” “การนัดหยุดงาน”
หรืออะไรทำนองนี้
ก็สามารถพูดเรื่องราวพื้นฐานได้ทั้งหมด”
วลาดิมีร์เองเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มว่า นิโคไล
เปโตรวิช ที่เป็นชื่อปลอม
แต่เพื่อนๆชอบที่จะเรียกด้วยความสนิทสนมว่า “สตาริก”(ผู้อาวุโสหรือไอ้เฒ่า)
จากลักษณะท่าทางที่ค่อนข้างจะเข้มงวดในการปกปิดร่อง รอยการเคลื่อนไหว
เพราะรู้ดีว่ามีสายลับตำรวจจำนวนไม่น้อยที่แฝงตัวแทรกซึมอยู่ในขบวนการปฏิวัติ เขาเริ่มเขียนบทความสั้นทางการเมืองเรื่อง
”ใครเป็นมิตรกับประชาชน” ที่ต่อสู้เพื่อลัทธิสังคมประชาธิป
ไตยจากพื้นฐานประสบการณ์ที่กว้างขวางของตนเองในซามารา
และได้พิมพ์แจกจ่ายอย่างลับๆกว่าสองร้อยฉบับ
แม้จะยึดแนวทางสังคมประชาธิปไตยอย่างเดียวกันวลาดิมีร์และชาวสังคมประชาธิปไตยก็มีความคิดขัดแย้งกับพรรค สังคมนิยมปฏิวัติ ซึ่งยึดถือแบบแผนที่ล้าสมัยของพรรค นารอดนายา
โวลยา และยังสนับสนุนความคิดสังคมนิยมที่มีพื้นฐานมาจากชาวนา
พรรคสังคมนิยมปฏิวัติยังคงเน้นที่บทบาทสำคัญของชาวนาที่มีต่อการปฏิวัติ ด้วยการเน้นความจริงของประเทศรัสเซียในปี
1881 ที่มีชาวนาถึง 75 ล้านคนในขณะที่ชนชั้นกรรมาชีพมีเพียงแค่
1 ล้านคนเท่านั้น แม้จำนวนจะแตกต่างกันอย่างมากมายเพียงนี้แต่นักลัทธิมาร์กซยังเชื่อว่า....ชนชั้นชาวนานั้นมีแรงกระตุ้นเพียงเพื่อต้องการเป็นเจ้า
ของที่ดินทำกินเท่านั้น พวกเขายังมีแนวคิแบบทุนนิยมไม่ใช่สังคมนิยม
มีแต่ชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้นที่จะเป็นพลังนำการปฏิวัติไปสู่สังคมนิยมได้ แต่วลาดิมีร์ยังคงยอมรับแนวคิดของ เพทร์ (ปีเตอร์) ทกาเชวี (1844–1886) นักสังคมนิยม-ชาวนา
ในประเด็นของกองกำลังติดอาวุธ
เลนินมีความคาดหวังต่อความเป็นปึกแผ่นของการประสานงานระหว่างการเคลื่อนไหวของขบวนการสังคมประชา
ธิปไตยของเขาและ”กลุ่มปลดปล่อยแรงงาน” ที่จัดตั้งขึ้นใน เจนีวา
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย เพลคานอฟและนักลัทธิมาร์กซชาวรัสเซียผู้ลี้ภัยเมื่อปี1883 วลาดิมีร์และ อี.ไอ.สปอนติ ได้รับคัดเลือกให้เดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อพบกับเพลคานอฟผู้ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสนับสนุนพรรคสังคมประชาธิป
ไตยแต่ได้วิจารณ์พรรคว่าเพิกเฉยต่อบทบาทของชนชั้นนายทุนในการปฏิวัติ วลาดิมีร์เดินทางต่อไปยังยังซูริคและได้รู้จักกับ พาเวล เอ๊กเซลรอด (Pavel Axelrod) และสมา ชิกคนอื่นๆของกลุ่มปลดปล่อยแรงงาน ส่วนในปารีสได้พบกับ
เพาล์ ลาฟาร์ก[6](Paul Lafargue) และได้ค้นคว้าเรื่องปารีสคอมมูนซึ่งเขาถือว่าเป็นต้นแบบ
”รัฐ” ของชนชั้นกรรมาชีพ
ด้วยความช่วยเหลือทางการเงินจากมารดาจึงได้เดินทางกลับไปยังสวิตเซอร์แลนด์เพื่อรักษาสุขภาพ หลังจากนั้นก็ไปยังกรุงเบอร์ลินประเทศเยอรมัน ที่นั่นวลาดิมีร์ได้ใช้เวลาหกเดือนศึกษาค้นคว้าในห้องสมุกลางและได้รู้จักกับ วิลเฮล์ม ลิบเนคท์[7](Wilhelm
Liebknecht) เมื่อถึงคราวที่จะต้องเดินทางกลับรัสเซียก็แอบซุกซ่อนเอกสารเกี่ยวกับการปฏิวัติมาด้วย ตลอดเวลาวลาดิมีร์ต้องเดินทางหลบซ่อนหรือย้ายที่อาศัยไปหลายๆแห่งเพราะรู้ตัวว่าถูกตำรวจจับตามองอยู่กระนั้นก็ได้เผยแพร่เอกสารความคิดลัทธิมาร์กซ์เรื่อง”
เหตุผลของกรรมกร”
รวมทั้งจดหมายข่าวในคราวที่กรรมกรนัดหยุดงานในกรุงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กอันเป็นศูนย์
กลางโรงงานทอผ้าของบริษัทธอนตัน
ในที่สุดวลาดิมีร์และนักเคลื่อนไหวอีก 40 คนก็ถูกจับในคืนก่อนที่จะพิมพ์เอกสารใต้ดิน
และถูกฟ้องในข้อหามีพฤติกรรมปลุกระดมและก่อความไม่สงบ
-------------------------------------------------------------------------------------
[1] ชมรมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ส่วนมากจะมีลักษณะเป็นชมรมท้องถิ่นเพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหมู่สมาชิก
[2] นักทฤษฎีลัทธิมาร์กซชาวรัสเซียคนแรกที่เผยแพร่ลัทธิมาร์กซในรัสเซีย
[3] นักสังคมนิยมชนชั้นนายทุนน้อย
ภายหลังกลายเป็นนักลัทธิแก้โดยสนับสนุนแนวทางของเมนเชวิค
[5] ลีโอ ตอลสตอย (1828-1910)
นักประพันธ์เอกชาวรัสเซีย เจ้าของบทประพันธ์เรื่อง “สงครามและสันติภาพ”
[6] นักปฏิวัติชาวฝรั่งเศส
แต่งงานกับลูกสาวของมาร์กซ
[7] นักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ
ชาวเยอรมัน
No comments:
Post a Comment