Monday, March 16, 2015

เลนิน บนเส้นทางปฏิวัติ (3)

3. ชีวิตในมหาวิทยาลัยและลัทธิการเมืองแบบเสรีนิยม1887–1893
เมื่อได้เข้าศึกษาวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัยคาซานในเดือนสิงหาคมแล้ว   วลาดิมีร์ได้เช่าอพาร์ทเม้นท์ในเมือง    ในขณะที่มารดากำลังจัดการบ้านของครอบครัวในซิมสบีร์กเพื่อให้ผู้อื่นเช่าและจะตามไปอยู่ด้วยในเดือนพฤศจิกายน     วลาดิมีร์เริ่มสนใจแนวคิดทางการเมืองแบบเสรีนิยมของพี่ชาย ด้วยการอ่านนิยายโรแมนติคของ นิโคไล  เชนีเชฟสกี เรื่อง จะทำอะไรดี? (What is to be done?,1863) อย่างตั้งอกตั้งใจหลังจากที่เคยอ่านจบมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนอายุสิบสี่     เขาพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เชอร์นีเชฟสกีนำเสนอโดยเฉพาะเรื่องเสรีภาพของประชาชน   วลาดิมีร์ไม่ยอมหยุดอยู่เพียงแค่นั้นเขาเริ่มมีการติดต่อพบปะกับหน่วยจัดตั้งลับของกองกำลังปฏิวัติที่นำโดยนักสังคมนิยมชาวนาชื่อ  โลซา โบโกราซ   และเข้าร่วมในชมรม ซามารา-ซิมสบีร์ก เชมลียาเชสตโว[1](zemlyachestvo) ในมหาวิทยาลัยที่มีลักษณะเป็นชมรมท้องถิ่นและได้รับเลือกเป็นตัวแทนของสภาสมาคมท้องถิ่น(ลับ)ในมหาวิทยาลัยและเริ่มมีปฏิ สัมพันธ์กับบรรดาฝ่ายซ้ายโดยเต็มใจเข้าร่วมฟื้นฟูองค์กรปฏิวัติ ”นารอดนายา โวลยา” (Narodnaya Volya ”เสรีภาพของประชาชน”) ซึ่งเป็นองค์กรติดอาวุธฝ่ายซ้ายที่ก่อนนี้เคยลอบสังหารพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง(เสียชีวิตเมื่อ 13 พฤษภาคม 1881)     วันที่ 4 ธันวาคม วลาดิมีร์ได้มีส่วนร่วมเดินขบวนเรียกร้องให้ยกเลิกข้อบังคับที่กำหนดให้สมาคมนักศึกษาเป็นสิ่งผิดกฏหมาย   ผลก็คือผู้ประท้วงถูกจับกุมกว่าร้อยคน      ตัวเขาเองถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นหัวโจกในการประท้วงและถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย   โดยมีคำสั่งจากรัฐมนตรีมหาดไทยให้เขาอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของตำรวจและให้เนรเทศไปอยู่ในที่ดินของครอบครัว(ตา)ที่โคคุชชิโน

เลนิน  ประมาณปี 1887 ช่วงวัยที่กำลังแสวงหาลัทธิสังคมนิยม

ที่นี่เขาได้อ่านเอกสาร,บทความของพวกเสรีนิยมด้วยความกระหายใคร่รู้   และเกิดความหลงไหลในงานของเชอร์นีเชฟสกี  แต่แม่ไม่คอยสบอารมณ์เท่าไหร่กับแนวคิดนี้    ในเดือนกันยายน1888 วลาดิมีร์จึงมีจดหมายไปถึงรัฐมนตรีมหาดไทยเพื่อขออนุมัติให้เขาได้ออกไปเรียนในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ     และในที่สุดคำร้องของเขาได้รับการปฏิเสธแต่อนุญาตให้กลับไปยังคาซานได้   ที่นั่นเขาได้อาศัยอยู่ที่ เปอรายา โกรา กับแม่และดมิตทรีน้องชาย

ที่พำนักใหม่ทำให้เขาได้รู้จักกับ เอม. พี. เชทเวอร์โกวา นักปฏิวัติ   และได้เข้าร่วมเสวนาทางการเมืองกันอย่างลับๆ      ซึ่งพวกเขาใช้เวลาส่วนมากไปกับการถกเถียงอภิปรายปัญหายุทธศาสตร์การเมือง  และที่นี่  เป็นที่ๆเขาได้รับแนวคิดลัทธิมาร์ซด้วยการศึกษาเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมจากหนังสือเรื่อง  ”ทุน” (Das Kapital) ของมาร์กซ   หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลต่อเขาอย่างมหาศาล      แม่ได้เฝ้าสังเกตดูทัศนะทางการเมืองของเขาตลอดเวลา      ได้พยายามซื้อที่ดินในหมู่บ้าน อลาเคียฟวา ชานเมือง ซามาราซึ่งเป็นสถานที่มีชื่อเสียงจากบทกวีของ  เกลบ อูสเป็นสกี    นักกวีที่วลาดิมีร์ชื่นชอบโดยหวังว่าวลาดิมีร์จะหันเหความสนใจจากการเมืองมาเป็นการเกษตร    เขาเริ่มศึกษาชีวิตของชาวนาส่วนใหญ่ที่ต้องเผชิญกับความ    ยากจนค่นแค้น      ในเวลาต่อมาเริ่องนี้จึงมีอิทธิพลและเป็นพลังขับดันทัศนะทางการเมืองของเขาเป็นพิเศษ     เพียงแต่วลาดิมีร์ไม่ค่อยจะชอบใจที่พวกชาวนาชอบมาขโมยอุปกรณ์และสัตว์เลี้ยงของเขาเป็นอย่างมากด้วยเหตุนี้แม่จึงขายฟาร์มไปในที่สุด   ฤดูหนาวเดือนกันยายนปี1889 ครอบครัวอุลิยานอฟย้ายไปอยู่ที่ซามารา  ที่ซึ่งวลาดิมียร์ได้มีการติดต่อกับพวกที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเมืองของนักปฏิวัติผู้ที่ถูกเนรเทศ(สมาชิกนารอดนิครุ่นเก่า)    ในการแลกเปลี่ยนอภิปรายกันในกลุ่มย่อยที่มี  อเล็กไซ พี. สกลียาเลนโก เป็นหัวหน้า     ในครั้งนั้นทั้ง สกลียาเลนโกและ วลาดิมีร์ต่างก็ได้ศึกษาลัทธิมาร์กซมาก่อนบ้างแล้ว   วลาดิมีร์ได้แปลจุลสารชิ้นสำคัญคือ  ”คำประกาศของคอมมิวนิสต์” (The Communist Manifesto ,1848) ของมาร์กซและเองเกลส์ออกมาเป็นภาษารัสเซียเพื่อการศึกษาของหน่วย    เขาเริ่มศึกษางานของ กอร์กี้ เพลคานอฟ[2](1856–1918)    นักลัทธิมาร์กซชาวรัสเซียผู้ร่วมก่อตั้งขบวนการ Black Repartition และสนับสนุนความเห็นของเพลคานอฟในข้อที่ว่า     รัสเซียจะต้องก้าวจากสังคมศักดินาไปสู่สังคมทุนนิยมอย่างไม่ต้องสงสัย     นักลัทธิมาร์กซต่างได้วิเคราะห์สรุปว่าสังคมรัสเซียมีแนวโน้มที่จะดำเนินไปในทางนั้น       สิ่งหนึ่งที่วลาดิมีร์เริ่มเกิดความสงสัย...ไม่แน่ใจมากขึ้นทุกทีคือวิธีการที่ใช้หน่วยติดอาวุธโจมตีและลอบสังหารศัตรู  และคิดว่าไม่ค่อยจะมีประโยชน์สักเท่าใดนัก      เดือนธันวาคม 1889   เขาได้คัดค้านยุทธวิธีเช่นนี้ด้วยการถกเถียงโต้แย้งกับ เอ็ม. วี. ซาบูเนียฟ  ผู้ซึ่งกำลังรณณรงค์หาสมาชิกใหม่เพื่อฟื้นฟูพรรค ”เสรีภาพของประชาชน” ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง    แม้ว่าวลาดิมีร์จะไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคแต่ก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ฉันท์สหายกับสมาชิกพรรคเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี  

โดยเฉพาะกับ  อพอลลอน ชุคสต์  สมาชิกอาวุโสซึ่งภายหลังขอให้วลาดิมีร์เป็นพ่อทูลหัวบุตรชายของเขา  มีนาคม 1890  มารดาพยายามร้องเรียนชี้แจงกับเจ้าหน้าที่เพื่อให้วลาดิมีร์ได้มีโอกาสได้เข้าสอบเทียบเพื่อรับปริญญาบัตรตามที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้เปิดโอกาสให้แก่บุคคลภายนอก(ที่ไม่ได้ลงทะเบียน)   เข้าสอบเทียบความรู้   เขาเลือกสอบที่มหาวิทยาลัยแห่งเซ็นต์ ปีเตอร์สเบิร์กและสามารถสอบเทียบได้ในระดับเกียรติ์นิยม        แต่งานฉลองจำต้องยกเลิกไปเนื่องจากโอลก้าน้องสาวป่วยและเสียชีวิตจากไข้ไทฟอยด์     วลาดิมีร์ยังคงอยู่ในซามาราอีกหลายปีจนกระทั่งเดือนมกราคม1892ศาลท้องถิ่นได้ว่าจ้างเขาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา      หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ทำงานกับทนายความ  อังไดร เอ็น. คาร์ดิน    
ปัญหาพื้นฐานที่ถกเถียงกันอยู่คือความไม่ลงรอยกันระหว่างชาวนากับบรรดาช่างฝีมือ    เขาเริ่มอุทิศเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเมืองแนวเสรีนิยม      และยังคงบทบาทการเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่ม สกีลาเรนโก และพยายามสร้างแนวทางลัทธิมาร์กซที่เหมาะกับสภาพของประเทศรัสเซีย   จากแรงกระตุ้นในการศึกษางานของเพลคานอฟ    วลาดิมีร์ได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆของสังคมรัสเซียและชนชั้นที่หลากหลายในสังคมเพื่อใช้ในการสนับสนุนยืนยันในการอธิบายถึงพัฒนาการทางสังคม   ด้วยหวังว่าจะได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจากปัญญาชน    ในปี1893 เขาได้เสนอบทความเรื่อง “การพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ในการดำเนินชีวิตของชาวนา” แก่หนังสือพิมพ์แนวเสรีนิยมRussianThought” (แนวคิดรัสเซีย) แต่ถูกปฏิเสธิในที่สุดก็ได้ตีพิมพ์ในปี 1927(โดยพรรคหลังจากได้อำนาจรัฐแล้ว)    ฤดูใบไม้ร่วงปี1893ได้เขียนหนังสือเรื่อง  “ว่าด้วยสิ่งที่เรียกว่าปัญหาการตลาด” (On the So-Called Market Question ) ซึ่งเป็นความพยายามครั้งแรกที่จะเปิดเผยธาตุแท้ของระบอบทุนนิยมที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาวนารัสเซีย

4. การเคลื่อนไหวปฏิวัติที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กและในต่างประเทศ  (1893–1895)
ในปีนั้นเอง  วลาดิมีร์ได้ย้ายไปอยู่ที่ เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองหลวงของจักรวรรดิ์รัสเซียซึ่งกำลังก้าวไปสู่การเป็นนครอุตสาหกรรมอย่างขนานใหญ่        เขาได้พำนักในอพาร์ทเม้นท์แถบถนน เซอร์เกี๊ยฟสกี  ในเขต ลิไทนี   ก่อนจะย้ายไปยังบ้านเลขที่ 7 ตรอกคาซาชีใกล้กับ เฮย์มาร์เก็ต และได้งานเป็นผู้ช่วย นาย เอ็ม. เอฟ.โฟคเกนชไตน์ ทนายความ    และได้เข้าร่วมกับหน่วยปฏิวัติใต้ดินที่นำโดย เอส.ไอ.รัดเชนโก  ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักเรียนจากสถาบันเทคโนโลยี่ที่สังกัดนครหลวง   เช่นเดียวกับวลาดิมีร์พวกเขาเป็นนักลัทธิมาร์กซที่เรียกตนเองว่านักสังคมประชาธิปไตยตามอย่างพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมัน  ซึ่งครั้งนั้นยังเป็นพรรคลัทธิมาร์กซอยู่     ด้วยความประทับใจในความรู้ลัทธิมาร์กซของวลาดิมีร์  บรรดาสหายจึงให้การต้อนรับเขาด้วยความชื่นชม    และไม่นานก็ได้รับการยอมรับในฐานะสมาชิกคนสำคัญของกลุ่ม  

เขาได้ขยายความคิดลัทธิมาร์กซไปสู่ขบวนการเคลื่อนไหวปฏิวัติของชาวสังคมนิยม    ปี 1894 ในการประชุมลับครั้งหนึ่ง    วลาดิมีร์ได้ถกเถียงโต้แย้งกับ วี.พี.โวรอนตซอฟ นักทฤษฎีผู้เลื่องชื่อซึ่งเป็นเจ้าของงานเขียน ”ชตากรรมของระบอบทุนนิยมในรัสเซีย (The Fate of Capitalism in Russia .1882)”    นิสัยแบบตรงไปตรงมาของเขาทำให้ถูกหมายหัวจากสายลับของตำรวจที่แทรกตัวอยู่ในที่ประชุม     ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเคลื่อนไหวแนวทางลัทธิมาร์กซในรัสเซีย    วลาดิมีร์จึงได้ติดต่อกับ เพทร เบอร์นาโดวิช สตรูฟ[3]  ผู้มั่งคั่งที่เห็นด้วยกับแนวคิดซึ่งยินดีข่วยเหลือในการตีพิมพ์หนังสือแนวคิดลัทธิมาร์กซ  และสนับสนุนให้กำลังใจในการจัดตั้งหน่วยงานปฏิวัติในแหล่งศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญในรัสเซีย     วลาดิมีร์ยังคบหาเป็นเพื่อนกับนักลัทธิมาร์กซหนุ่มชาวรัสเซียเชื้อสายยิวชื่อ จูเลียส มาร์ตอฟ  ผู้ซึ่งมีส่วนได้ช่วยเหลือสหายในกลุ่มให้ร่นเวลาในการแก้ปัญหาทางทฤษฎีในการเคลื่อนไหวปฏิวัติอีกด้วย

                               

เลนิน จากแฟ้มของตำรวจเมื่อปี 1895 
และ นาเดซดา  ครุพสกายา (นาดยา)คนรักซึ่งต่อมาเป็นภรรยา

นาเดซดา  ครุพสกายา:  สมาชิกพรรคบอลเชวิค นักปฏิวัติ  นักการศึกษา เกิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ คศ. 1869  ในครอบครัวชนชั้นสูงที่ฐานะทางการเงินไม่สู้จะดีนัก  บิดาของเธอ คอนสแตนติน  อิกนาเตวิช  ครุพสกี   เป็นนายทหารสังกัดกรมทหารราบมาจากตระกูลผู้ดีของจักรวรรดิ์รัสเซีย 

หลังจากรับราชการมาหกปีรู้สึกเบื่อหน่ายและถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าไม่มีพฤติกรรมแบบรัสเซียจึงลาออกจากราชการเพราะถูกสงสัยว่าเข้าข้างนักปฏิวัติ        ในเวลานั้นได้เข้าทำงานในโรงงานอีกหลายแห่ง และมีรายได้พิเศษจากค่านายหน้าทางธุรกิจตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต      มารดาของเธอ  เอลิซเวทตา  วาซีลลิเยฟนา  ทริสโทรวา     ลูกกำพร้าจากตระกูลผู้ดีที่ไม่มีที่ดินของตนเองได้ลงทะเบียนในหลักสูตร เบสตูเซฟ[4] เพื่อที่จะได้รับการศึกษาที่กำหนดไว้  ซึ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับบุตรีของครอบครัวผู้ดีในรัสเซียสมัยนั้น  หลังจากจบการศึกษา เอลิซาเวทตา  ได้เข้าทำงานเป็นครูผู้ดูแลและสอนเด็กในครอบครัวผู้ดีครอบครัวหนึ่งจนกระทั่งแต่งงานกับ ครุพสกี

เนื่องจากมีบิดามารดาเป็นปัญญาชนและสืบเชื้อสายมาจากชนชั้นขุนนาง  ประกอบกับประสบการณ์การทำงานกับชนชั้นล่างที่ต่ำต้อยน่าจะเป็นสิ่งบ่มเพาะอุดมการณ์ของเธอ    ตั้งแต่วัยเด็ก...จิตวิญญานของครุพสกายาเปี่ยมล้นไปด้วยการต่อต้านชีวิตบัดซบที่ดำรงอยู่รอบกายของเธอ  อเรียตเน ไทรโควา เพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยมกล่าวถึงเธอว่า  “ ตัวสูงๆ  เงียบขรึม  ไม่ค่อยสุงสิงกับเด็กผู้ชาย  ทำอะไรด้วยความรอบคอบ  มีความมั่นใจในตนเอง....เธอมักจะเป็นหนึ่งของผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานอยู่เสมอ”  นาดยาเข้าเรียนมัธยมต้นแห่งสองแห่งก่อนที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมสตรี “เจ้าชาย เอ. เอ.โอโบเลนสกี” โรงเรียนเอกชนที่มีระดับในเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก     การเรียนการสอนที่นี่ค่อนข้างเสรีไม่ค่อยเข้มงวดเหมือนกับโรงเรียนมัธยมทั่วไป   จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าดำเนินงานโดยกลุ่มนักปฏิวัติรุ่นเก่า   ครุพสกายามีความประทับใจและสนใจในเรื่องการศึกษามาตั้งแต่เด็ก   เธอชอบที่จะถอดรูปแบบการศึก  ษาจากทฤษฎีของตอลสตอย (Leo Tolstoy[5])   ซึ่งด้านหลักจะเน้นแต่การพัฒนาของนักเรียนแต่ละคนโดยใช้ความ สัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนเป็นศูนย์กลาง      ทำให้เธอต้องศึกษางานแทบทุกชิ้นของตอลสตอยรวมถึงทฤษฎีที่ว่าด้วยการปฏิรูป   ที่เน้นสันติวิธี   ยึดถือความถูกกฎหมาย  มุ่งไปสู่การละเว้นสิ่งฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นและสิ่งที่ผูกมัดตนเอง    ไม่จ้างใครมาทำงานบ้าน  ฯลฯ  

ตลอดชีวิตในวัยศึกษาครุพสกายาได้อุทิศตนในการเข้าร่วมถกปัญหากับผู้คนหลายๆกลุ่ม   กลุ่มศึกษาเหล่านี้ได้อภิปรายถกเถียงกันในหัวข้อที่ทุกคนต่างมีส่วนร่วมอย่างใจจดจ่อ   และไม่นาน...หนึ่งในกลุ่ม  ได้นำเสนอทฤษฎีลัทธิมาร์กซแก่ครุพสกายา   และแนวทางในการยกระดับชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นของทฤษฎีนี้ได้ดึงดูดความสนใจของเธอเป็นอย่างมาก    เธอจึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจังแต่ก็มีอุปสรรคอย่างมากที่หนังสือประเภทนี้ถูกประกาศให้เป็นหนังสือต้องห้ามโดยรัฐบาลซาร์      ทำให้บรรดานักปฎิวัติต่าง เก็บรวบรวมหนังสือเหล่านี้เก็บซุกซ่อนไว้ในห้องสมุดใต้ดิน   เมื่อวลาดิมีร์ได้เริ่มเข้าไปมีความสัมพันธ์กับกลุ่มศึกษาลัทธิมาร์กซใน เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก  ซึ่งมี นาเดซดา“นาดยา”ครุปสกายา(1869–1939) ร่วมอยู่ด้วย    ภายหลังเธอกล่าวถึงวลาดิมีร์ในจุลสารของเธอเรื่อง "เลนินศึกษามาร์กซอย่างไร” (How Lenin Studied Marx) ว่า

เลนินมีความรู้เกี่ยวกับลัทธิมาร์กอย่างอย่างน่าอัศจรรย์   ในปี 1893 เมื่อแรกที่เขามาถึงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก   ก็ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่พวกเราชาวมาร์กซเป็นอย่างมากต่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่องานของมาร์กซและเองเกลส์    ในทศวรรษที่ 90 ในแวดวงของนักลัทธิมาร์กซเริ่มมีการเคลื่อนไหวรวมกลุ่มกัน  หลักๆแล้วตอนแรกก็สนใจศึกษาเรื่อง “ทุน” แม้มันค่อนข้างจะยาก ไปสักหน่อยแต่เราก็มีความพยายามที่จะเข้าถึงเนื้อหาของมัน     ทำให้ละเลยต่องานนิพนธิ์อื่นๆของมาร์กซไป      สมาชิกส่วนใหญ่ในแวดวงของเรายังไม่เคยอ่านแม้แต่   ”แถลงการณ์ของคอมมิวนิสต์”   อย่างเช่นตัวข้าพเจ้าเองได้อ่านครั้งแรกก็ตกเข้าไปปี 1898 จากฉบับพิมพ์ภาษา เยอรมันขณะที่กำลังลี้ภัยอยู่”

มาร์กซและเองเกลส์เป็นคำที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ปี 1897 เลนินเขียนเรื่อง”The Characteristics of Economic Romanticism” ให้แก่วารสาร ”New Word ” ถูกบีบให้หลีกเลี่ยง คำว่า “มาร์กซ” และ ”ลัทธิมาร์กซ” หากจำเป็นก็ให้กล่าวโดยอ้อมไม่อย่างนั้นจะเกิดความยุ่งยากแก่วารสารได้ เลนินมีความเข้าใจภาษาต่างประเทศค่อนข้างดีและพยายามสืบค้นทุกสิ่งทุกอย่างของมาร์กซและเองเกลส์ทั้งภาษาเยอรมันและฝรั่งเศส อันนา อิลยินิชนา(พี่สาว) เล่าถึงการอ่านหนังสือ ”ความอับจนของปรัชญา” (The Poverty of Philosophy)  ในภาคภาษาฝรั่งเศสกับ โอลก้า น้องสาวของเขาว่า โดยมากแล้วเขาจะอ่านฉบับภาษาเยอรมันแล้วจะแปลงานของมาร์กซและเองเกลส์ส่วนที่มีความสำคัญและที่เขาสนใจไว้เป็นภาษารัสเซีย

งานใหญ่ชิ้นแรกของเขา  ซึ่งตีพิมพ์อย่างผิดกฎหมายในปี 1894 เรื่อง  “ใครเป็นมิตรกับประชาชน” ("Who are the Friends of the People?")   โดยอ้างอิงจากหนังสือ  แถลงการณ์ของคอมมิวนิสต์” (communist manifesto) , “บทวิจารณ์เศรษฐศาสตร์การเมือง” , ”ความอับจนของปรัชญา”, “อุดมการณ์เยอรมัน” , “จดหมายของมาร์กซถึงรูจ”  และหนังสือ “แอนตี้ ดือห์ริ่ง”( Anti Duehring) ของเองเกลส์  ,  “กำเนิดครอบครัว”( The Origin of the Family) และ” ทรัพย์สินส่วนตัวและรัฐ” (Private Property and the State.)   หนังสือ "Friends of the People "(มิตรของประชาชน) ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางจากนักลัทธิมาร์กซผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับงานของมาร์กซ     และมีความใส่ใจกับคำถามมากมายเกี่ยวกับหนทางที่จะไปสู่ความสำเร็จ    นิพนธ์เล่มต่อมาของเลนินคือ ”สาระทางเศรษฐศาสตร์ตามคำสอนของชาวนารอดนิคและข้อวิจารณ์ ของสตรูฟว์”  ที่เราได้ศึกษามาแล้วจากบทอ้างอิงใน "The Eighteenth Brumaire" และ “สงครามกลางเมืองฝรั่งเศส” จนถึง “วิพากษ์นโยบายโกธา” และจากตอนที่สองและสามของ “ทุน”

หลังจากย้ายที่พำนักจึงมีความเป็นไปได้สำหรับเลนินที่เริ่มศึกษาและคุ้นเคยกับงานนิพนธ์ต่างๆของมาร์กซและเองเกลส์  ประวัติของมาร์กซที่เลนินเขียนให้หนังสือ  “กรานาท เอนไซโคลพีเดีย”  บ่งแสดงความถึงความรับรู้ที่น่าทึ่งของเลนินที่มีต่องานมาร์กซดีกว่าสิ่งอื่นใด   ม้นแสดงว่าเลนินมี ความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะตักตวงเอาความรู้ขณะที่อ่านงานของมาร์กซ       ที่สถาบันเลนินมีสมุดบันทึกของเขามากมายโดยเฉพาะจากงานของมาร์กซ    เลนินได้ใช้ความรู้จากบันทึกเหล่านี้อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าจดและหมายเหตุเอาไว้   เขาไม่เพียงแต่ศึกษามาร์กซเท่านั้น   แต่ยังใคร่ครวญต่อคำสอนของมาร์กซอย่างลึกซึ้งอีกด้วย ดังเช่นปฐกถาของเขาในการประชุมสันนิบาตเยาวชนครั้งที่สามในปี 1920  เลนินกล่าวต่อเยาวชนเหล่านั้นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะรวบรวมความรู้ทั้งหมดและรับเอาอย่างชาวลัทธิคอมมิวนิสต์   จะต้องไม่ศึกษาแบบท่องจำ   แต่ควรเป็นวิธีขบคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง   ข้อสรุปบางอย่างอาจผิดแผกไปจากจากมุมมองของการศึกษาในปัจจุบัน” (Volume   XXV.)    

ด้วยความรอบรู้ในลัทธิมาร์กซและในความเชื่อมั่นในพลังของชนชั้นคนงานต่อการปฏิวัติ  วลาดิมีร์ ได้ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในทุกๆวันอาทิตย์ตามโรงงานหรือสถานที่อื่นๆเพื่อพบปะพูดพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับวิถีปฏิวัติแบบสังคมนิยม    นาเดซดา ครุฟสกาย่า  เล่าว่า
ที่จริงแล้วเราสามารถคุยกันที่โรงเรียนได้เกือบทุกเรื่อง  แม้ว่าแทบทุกชั้นเรียนจะมีตำรวจลับอยู่ด้วย  ขอเพียงแต่หลีกเลี่ยงคำที่ต้องห้ามอย่างเช่น “ซาร์”  “การนัดหยุดงาน” หรืออะไรทำนองนี้  ก็สามารถพูดเรื่องราวพื้นฐานได้ทั้งหมด” 

วลาดิมีร์เองเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มว่า นิโคไล เปโตรวิช ที่เป็นชื่อปลอม  แต่เพื่อนๆชอบที่จะเรียกด้วยความสนิทสนมว่า   “สตาริก”(ผู้อาวุโสหรือไอ้เฒ่า) จากลักษณะท่าทางที่ค่อนข้างจะเข้มงวดในการปกปิดร่อง รอยการเคลื่อนไหว     เพราะรู้ดีว่ามีสายลับตำรวจจำนวนไม่น้อยที่แฝงตัวแทรกซึมอยู่ในขบวนการปฏิวัติ     เขาเริ่มเขียนบทความสั้นทางการเมืองเรื่อง ”ใครเป็นมิตรกับประชาชน”  ที่ต่อสู้เพื่อลัทธิสังคมประชาธิป ไตยจากพื้นฐานประสบการณ์ที่กว้างขวางของตนเองในซามารา   และได้พิมพ์แจกจ่ายอย่างลับๆกว่าสองร้อยฉบับ      แม้จะยึดแนวทางสังคมประชาธิปไตยอย่างเดียวกันวลาดิมีร์และชาวสังคมประชาธิปไตยก็มีความคิดขัดแย้งกับพรรค  สังคมนิยมปฏิวัติ  ซึ่งยึดถือแบบแผนที่ล้าสมัยของพรรค นารอดนายา โวลยา     และยังสนับสนุนความคิดสังคมนิยมที่มีพื้นฐานมาจากชาวนา   พรรคสังคมนิยมปฏิวัติยังคงเน้นที่บทบาทสำคัญของชาวนาที่มีต่อการปฏิวัติ ด้วยการเน้นความจริงของประเทศรัสเซียในปี 1881 ที่มีชาวนาถึง 75 ล้านคนในขณะที่ชนชั้นกรรมาชีพมีเพียงแค่ 1 ล้านคนเท่านั้น    แม้จำนวนจะแตกต่างกันอย่างมากมายเพียงนี้แต่นักลัทธิมาร์กซยังเชื่อว่า....ชนชั้นชาวนานั้นมีแรงกระตุ้นเพียงเพื่อต้องการเป็นเจ้า ของที่ดินทำกินเท่านั้น   พวกเขายังมีแนวคิแบบทุนนิยมไม่ใช่สังคมนิยม   มีแต่ชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้นที่จะเป็นพลังนำการปฏิวัติไปสู่สังคมนิยมได้    แต่วลาดิมีร์ยังคงยอมรับแนวคิดของ  เพทร์ (ปีเตอร์) ทกาเชวี (1844–1886)  นักสังคมนิยม-ชาวนา ในประเด็นของกองกำลังติดอาวุธ
เลนินมีความคาดหวังต่อความเป็นปึกแผ่นของการประสานงานระหว่างการเคลื่อนไหวของขบวนการสังคมประชา ธิปไตยของเขาและ”กลุ่มปลดปล่อยแรงงาน” ที่จัดตั้งขึ้นใน เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย เพลคานอฟและนักลัทธิมาร์กซชาวรัสเซียผู้ลี้ภัยเมื่อปี1883  วลาดิมีร์และ อี.ไอ.สปอนติ  ได้รับคัดเลือกให้เดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อพบกับเพลคานอฟผู้ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสนับสนุนพรรคสังคมประชาธิป ไตยแต่ได้วิจารณ์พรรคว่าเพิกเฉยต่อบทบาทของชนชั้นนายทุนในการปฏิวัติ     วลาดิมีร์เดินทางต่อไปยังยังซูริคและได้รู้จักกับ  พาเวล เอ๊กเซลรอด  (Pavel Axelrod) และสมา ชิกคนอื่นๆของกลุ่มปลดปล่อยแรงงาน ส่วนในปารีสได้พบกับ เพาล์ ลาฟาร์ก[6](Paul Lafargueและได้ค้นคว้าเรื่องปารีสคอมมูนซึ่งเขาถือว่าเป็นต้นแบบ ”รัฐ” ของชนชั้นกรรมาชีพ   

ด้วยความช่วยเหลือทางการเงินจากมารดาจึงได้เดินทางกลับไปยังสวิตเซอร์แลนด์เพื่อรักษาสุขภาพ หลังจากนั้นก็ไปยังกรุงเบอร์ลินประเทศเยอรมัน    ที่นั่นวลาดิมีร์ได้ใช้เวลาหกเดือนศึกษาค้นคว้าในห้องสมุกลางและได้รู้จักกับ   วิลเฮล์ม ลิบเนคท์[7](Wilhelm Liebknecht)   เมื่อถึงคราวที่จะต้องเดินทางกลับรัสเซียก็แอบซุกซ่อนเอกสารเกี่ยวกับการปฏิวัติมาด้วย    ตลอดเวลาวลาดิมีร์ต้องเดินทางหลบซ่อนหรือย้ายที่อาศัยไปหลายๆแห่งเพราะรู้ตัวว่าถูกตำรวจจับตามองอยู่กระนั้นก็ได้เผยแพร่เอกสารความคิดลัทธิมาร์กซ์เรื่อง” เหตุผลของกรรมกร”  รวมทั้งจดหมายข่าวในคราวที่กรรมกรนัดหยุดงานในกรุงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กอันเป็นศูนย์ กลางโรงงานทอผ้าของบริษัทธอนตัน    ในที่สุดวลาดิมีร์และนักเคลื่อนไหวอีก 40 คนก็ถูกจับในคืนก่อนที่จะพิมพ์เอกสารใต้ดิน     และถูกฟ้องในข้อหามีพฤติกรรมปลุกระดมและก่อความไม่สงบ

-------------------------------------------------------------------------------------
[1] ชมรมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย   ส่วนมากจะมีลักษณะเป็นชมรมท้องถิ่นเพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหมู่สมาชิก  
[2] นักทฤษฎีลัทธิมาร์กซชาวรัสเซียคนแรกที่เผยแพร่ลัทธิมาร์กซในรัสเซีย
[3] นักสังคมนิยมชนชั้นนายทุนน้อย  ภายหลังกลายเป็นนักลัทธิแก้โดยสนับสนุนแนวทางของเมนเชวิค
[4] เป็นสถาบันการศึกษาของกุลสตรีที่ใหญ่และเด่นที่สุดในจักรวรรดิรัสเซีย   หลังการปฏิวัติได้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่สามในเปโตรกราดและยุบรวมเข้ากับมหาวิทยาลัยแห่งเปโตรกราดเมื่อปี 1919
[5] ลีโอ  ตอลสตอย (1828-1910) นักประพันธ์เอกชาวรัสเซีย   เจ้าของบทประพันธ์เรื่อง “สงครามและสันติภาพ”
[6] นักปฏิวัติชาวฝรั่งเศส แต่งงานกับลูกสาวของมาร์กซ
[7]  นักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ ชาวเยอรมัน

No comments:

Post a Comment