
วลาดิมีร์ อิลยิช เลนิน (Владимир Ильич Ленин) ชื่อเดิม วลาดิมีร์ อิลยิช อุลิยานอฟ เกิดเมื่อ 22 เมษายน [ปฏิทินเก่า[1] 10 เมษายน] 1870 เป็นนักปฏิวัติ นักลัทธิมาร์กซ คอมมิวนิสต์ นักการเมืองชาวรัสเซีย ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตตั้งแต่ 1922 ถึง 1924 ความคิดด้านทฤษฎีปฏิวัติลัทธิมาร์กซของเขาเป็นที่รู้จักอย่ากว้างขวางในนามลัทธิเลนินซึ่งต่อมาได้พัฒนาไปสู่ทฤษฎีการเมืองลัทธิ มาร์กซ-เลนิน
วลาดิมีร์เกิดในครอบครัวชั้นกลางที่ค่อนข้างจะมั่งคั่งในซิมสบีร์กค์ เริ่มมีความสนใจแนวทางการเมืองปฏิวัติฝ่ายซ้ายเนื่องมาจากพี่ชายชองเขาถูกประหารชีวิตในปี
1887 เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยคาร์ซาน แต่ถูกคัดชื่อออกจากมหา วิทยาลัยหลังจากเข้าศึกษาได้ไม่นานเนื่องมาจากการเข้าร่วมขบวนการต่อต้านซาร์ หลังจากนั้นก็ได้อุทิศเวลาศึกษาด้วยตนเองไม่นานได้เข้าสอบเทียบความรู้จนสำเร็จปริญญาด้านกฏหมายซึ่งเป็นรากฐานทางการเมืองที่แปรเปลี่ยนไปสู่ลัทธิมาร์กซ ปี 1893 ได้เดินทางไปยังเมืองหลวง เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นสถานที่เขาได้เริ่มการปลุกระดมทางการ
เมืองอย่างต่อเนื่อง และกลาย เป็นแกนนำของกลุ่ม “สันนิบาตการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชนชั้นคนงาน” ถูกจับกุมและเนรเทศไปยังไซบีเรียเป็นเวลาสามปี ต่อมาได้หลบหนีไปลี้ภัยในยุโรปตะวันตกเช่น เยอรมันนี
อังกฤษ และสุดท้ายทีสวิตเซอร์แลนด์ จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติโค่นล้มระบอบซาร์เดือนกุมภาพันธ์ปี
1917 และรัฐบาลชั่วคราวได้อำนาจเขาจึงตัดสินใจกลับบ้าน ในฐานะผู้นำกลุ่มบอลเชวิคในพรรค
“แรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย”
เลนินได้มีบทบาทนำในเหตุการณ์ปฏิวัติเดือนตุลาคม 1917 โดยโค่นล้มรัฐบาลชั่วคราวและสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพโซเวียตซี่งเป็นรัฐสัง
คมนิยมแห่งแรกของโลก หลังจากนั้นเลนินก็ได้วางแผนตระเตรียมการปฏิรูปสังคมนิยมโดยทันทีรวมถึงการเปลี่ยนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินขนาดใหญ่ของบรรดาขุนนางเจ้าที่ดินและที่ดินในสังกัดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าเป็นกรรมสิทธิ์ของโซเวียต(สภา)แห่งคนงาน ในขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับการคุกคามและการรุกรานของเยอรมันอยู่นั้น เลนินได้เสนอความเห็นว่ารัสเซียควรทำสัญญาสงบศึกกับเยอรมันโดยเร็ว
ซึ่งยังผลให้รัสเซียสามารถถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งแรกได้ ในปี 1921เขาได้เสนอแนวนโยบายเศรษฐกิจแผนใหม่ เริ่มแรกใช้ระบบทุนนิยมแห่งรัฐ(แทนทุนนิยมของเอกชน)ไปพลางก่อน เริ่มจากการพัฒนาและกอบกู้อุตสาหกรรมขึ้นมาจากความเสียหายในเหตุ
การณ์สงครามกลางเมือง ปี 1922
สาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพโซเวียตได้ร่วมกับบรรดาอาณานิคมของจักรวรรดิ์รัสเซียเดิมเข้าในสหภาพโซเวียต กลุ่มบอลเชวิคภายหลังได้กลายเป็นพรรคคอมมิว นิสต์แห่งสหภาพโซเวียต
เป็นพรรคกองหน้าแต่เพียงพรรคเดียวของเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ
drawing by Nikolai
Bukharin, 31 March 1927
ในฐานะนักการเมืองเลนินเป็นนักพูดที่มีเสน่ห์สามารถโน้มน้าวผู้ฟังให้คล้อยตามได้ ในฐานะปัญญาชน ก็ได้ใช้ความรอบรู้ทั้งทางด้านทฤษฏีและปรัชญา พัฒนาลัทธิมาร์กซจนสามารถสร้างสรรค์แนวทางปรัชญา
ลัทธิมาร์กซ-เลนิน ขึ้นมา ซึ่งนักปฏิบัตินิยมชาวรัสเซียจะเน้นแต่บทบาทและให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเป็นแนวหน้าทางการเมืองที่มุ่งมั่นและมีวินัยในกระบวนการปฏิวัติ
ปกป้องความเป็นไปได้ของการปฏิวัติสังคมนิยมในประเทศทุนนิยมล้าหลัง โดยการสร้างพันธมิตรระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับชาวนาในชนบท เลนินยังคงเป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในด้านการแบ่งค่ายของประชาคมโลก การบริหารงานของเขาถูกตรวจสอบวิจารณ์ว่าอยู่ในระดับเผด็จการและถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษย์ชนอย่างรุนแรง แต่บรรดาผู้นิยมสนับสนุนได้คัดค้านการวิจารณ์นี้ว่าเป็นการประเมินที่ไม่รอบด้าน โดยเลือกกล่าวเพียงเฉพาะในขอบเขตที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจเท่านั้น
และได้ยกย่องเขาในฐานะวีรบุรุษของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน เลนินมีอิทธิพลและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ทั่งโลก หลังมรณกรรมของเขาลัทธิเลนินได้ถูกพัฒนาต่อยอดในสถาบันศึกษาหลายต่อหลายแห่งในนามของ ลัทธิสตาลิน ลัทธิทร๊อตสกี และลัทธิเหมา
1. ปฐมวัย 1870–1887
อิลยา
นิโคลาเยวิช อุลิยานอฟ (1831–1886) บิดาของเลนินเป็นบุตรคนที่สี่สุดท้องของคู่สามีภรรยาที่มีถิ่นอาศัยในอัสตราคาน[2] นิโคไล วาสสิลิวิช อุลิยานอฟ ปู่ของเลนินสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษชาวคาลมิคหรือตาร์ตาที่เคยเป็นไพร่ติดที่ดิน(serf)มาก่อน ประกอบอาชีพเป็นช่างเย็บผ้าก่อนจะแต่งงานกับ อันนา
อเล็กซีฟนา สเมอร์โนวา เมื่อนิโคไลอายุได้ห้าสิบปีกับหญิงสาวผู้ไร้การศึกษาชาวคาลมิคที่ต่างวัยกันมาก
อิลยาหนีความยากจนโดยได้รับการอนุมัติให้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งคาร์ซาน
ซึ่งเขาเลือกเรียนวิชาฟิสิคส์และคณิตศาสตร์ซึ่งภายหลังได้ถูกว่าจ้างให้เป็นครูสอนวิชาเหล่านี้ที่วิทยาลัยเพนซา
ของพวกผู้ดีในปี1854 และได้รู้จักกับ มารียา
อเล็กซานโดรวา บลังค์ (1835–1916) จากการแนะนำและสนับสนุนจากบรรดาเพื่อนของทั้งสองฝ่าย ทั้งสองตกลงใจแต่งงานกันในฤดูร้อนปี 1863. มารียามาจากครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดี เป็นบุตรีของนายแพทย์ อเล็กซานเดอร์ ดิมิตริวิช บลังค์ เชื้อสายรัสเซีย-ยิว และอันนา
อิวานโนวา โกรสช๊อฟ ภรรยาชาวเยอรมัน จึงไม่ประหลาดที่ดร. บลังค์จะได้ตระเตรียมแผนการศึกษาให้แก่ลูกๆเป็นอย่างดี เธอได้เรียนทั้งภาษาอังกฤษ
ฝรั่งเศส ไปพร้อมๆกับภาษารัสเซียและเยอรมัน
และนั่นเป็นผลให้เธอมีความเป็นเลิศในวรรณคดีรัสเซีย หลังแต่งงานไม่นาน อิลยา ได้รับข้อเสนองานสอนใน นิชนี นอฟกอรอด และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลโรงเรียนประถมในเมืองซิมสบีร์กในอีกหกปีต่อมา หลังจากนั้นอีกห้าปีก็ได้รับตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ของโรงเรียนประจำจังหวัด ซึ่งต้องดูแลรับผิดชอบแผนงานของรัฐบาลในการปรับปรุงโรงเรียนของรัฐอีกกว่า
450 แห่งให้ทันสมัย ผลก็คือได้รับอิสริยาภรณ์
ชั้น ออร์เดอร์ อ๊อฟ เซนต์ วลาดิมียร์(Order
of St. Vladimir)และใด้เลื่อนฐานันดรขึ้นเป็นชนชั้นผู้ดีที่สามารถสืบต่อตำแหน่งแก่ทายาทได้
เลนิน “โวโลดยา” เมื่ออายุประมาณสี่ขวบ
สามีภรรยาชนชั้นกลางคู่นี้ให้กำเนิดบุตรสองคนได้แก่ อันนา (เกิด1864) และอเล็กซานเดอร์(เกิด1868) ก่อนที่ วลาดิมีร์ ”โวโลดยา” อิลยิช บุตรคนที่สามจะตามมาเมื่อวันที่ 10 เมษายน 1870 และรับศีลล้างบาป (baptised) ในโบสถ์ เซนต์ นิโคลัส จากนั้นทั้งสองก็มีทายาทตามมาอีกหลายคนคือ โอลก้า(1871) ดิมิตรี(1874) มารียา(1878) ส่วนนิโคไล น้องชายอีกคนหนึ่งที่เกิดในปี
1873 แต่เสียชีวิตหลังคลอดได้ไม่นาน อิลยาเป็นคนเคร่งศาสนาคริสต์นิกายรัสเซีย
ออร์โธดอกซ์มาก เห็นได้จากการรับศีลล้างบาปของลูกๆ แม้ว่าภรรยา มารียา จะนับถือนิกาย
ลูเธอร์รัล(โปรแตสแท้นท์)
ซึ่งเป็นนิกายที่มีความแตกต่างกันในความเชื่อและวัตรปฏิบัติ ซึ่งต่อมาได้มีอิทธิพลในด้านแนวคิดทางการเมืองต่อบรรดาลูกๆของเธอเป็นอย่างมาก แต่ทั้งคู่ก็ยังคงเป็นพวกนิยมกษัตริย์และอนุรักษ์นิยมแต่มีแนวคิดที่ค่อนข้างเสรี พวกเขาให้การสนับสนุน ”พระราชบัญญัติปลดปล่อยทาสติดที่ดินเพื่อการปฏิรูปปี
1861” ที่ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สองประกาศใช้
และเชื่อมั่นว่าพรบ.นี้จะทำให้รัสเซียมีความเจริญก้าวหน้าเท่าเทียมกับประเทศในยุโรปตะวันตก ทั้งสองพยายามหลีกเลี่ยงการพบปะสังสรรค์กับบรรดานักเสรีนิยมทั้งหลายที่มีความคิดโค่นล้มระบอบกษัตริย์ ซึ่งถูกตำรวจลับของระบอบซาร์จับตาดูอยู่อย่างลับๆ
ทั้งครอบครัวอูลิยานอฟมักจะไปใช้เวลาพักผ่อนที่โคคุชชิโน ในที่ดินของคุณตาร่วมกับครอบครัว เวเรเทนนิคอฟ
ซึ่งเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของมารียาทุกๆฤดูร้อน ในบรรดาพี่น้อง วลาดิมีร์สนิทกับโอลก้ามากที่สุด เพราะโดยธรรมชาติเขาเป็นคนที่ชอบแข่งขันซึ่งบางครั้งค่อนข้างจะเสี่ยงอันตราย แต่น้องสาวผู้นี้มักจะยอมรับการกระทำที่ไม่สู้จะดีของเขาเสมอๆ วลาดิมีร์เป็นนักกีฬาที่หลักแหลมโดยเฉพาะกีฬาหมากรุกที่เขามักจะเล่นในยามว่าง แต่บิดามุ่งมั่นให้สนใจการเรียนมากกว่าโดยส่งเข้าโรงเรียนมัธยมชั้นดีที่ซิมบีร์กซึ่งเป็นโรงเรียนตัวอย่างที่มีระเบียบวินัยเข้มข้น เป็นสถาบันที่ขึ้นชื่อในด้านอนุรักษ์นิยม หนุ่มน้อยวลาดิมียร์มักจะเป็นผู้สอนภาษาละตินที่เขาถนัดแก่พี่สาวและยังช่วยติวเพื่อนนักเรียนชาวชูวาส[3] ซึ่งเป็นชนชาติส่วนน้อยอยู่เสมอ
ในวัยเด็กของเลนินไม่อาจแยกออกจาก
อเล็กซานเดอร์ อุลิยานอฟ พี่ชายที่เกิดก่อนสี่ปีได้ ตั้งแต่เล็ก
เขาเฝ้ามองพี่ชายด้วยความชื่นชมและพยายามเอาอย่าง อย่างเช่นเมื่อแม่ถามเลนินหรือ โวลอดยา ว่าจะกินอะไรเป็นอาหารเช้า? ธัญพืชกับนมหรือเนย? เขามักจะตอบว่า “เอาเหมือน ซาช่า(อเล็กซานเดอร์)นั่นแหละ”
เมื่อพี่ชายเสียชีวิตเลนินพึ่งจะย่างเข้า 17 ที่ส่อแววสุขุมลุ่มลึกในอนาคต
อเล็กซานเดอร์ พี่ชายเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย เซ็นต์ ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1883 ในช่วงระหว่างที่บรรดาคนหนุ่มสาวต่างหมดหวังท้อแท้ทางการเมือง สามปีแรกในมหาวิทยาลัย อเล็กซานเดอร์ตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพียงอย่างเดียว ในสมองเต็มไปด้วยตารางธาตุของ
เมเดเลเยฟ[4] เขาได้รับรางวัลเหรียญทองในการแข่งขันบรรยายทางวิชาการในปี 1885 หลังจากนั้นก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของสมาคมวิทยา ศาสตร์ของมหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่อาจสลัดพ้นจากกิจกรรมทางการเมืองไปได้ เมื่อตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทัศนะคติเดิมมาสู่ทัศนคติที่ก้าวหน้า เขาเริ่มต้นด้วยการปลุกระดมทางการเมืองต่อต้านระบบสมบูรณาญาสิทธิราช
เป็นฏิปักษ์กับซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สามกษัตริย์แห่งจักรวรรดิ์รัสเซียในเวลานั้น บรรยากาศทางการเมืองหลังจากกษัตริย์คนก่อนซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สองถูกลอบปลงพระชนม์ดำเนินไปด้วยความเข้มงวด คร่ำครึ และอึดอัดขัดข้อง ระบบการศึกษาแบบเก่าจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้อีกต่อไป เซ็มยอน
นาดซัน กวีร่วมสมัยของอเล็กซานเดอร์ได้เขียนถึงบรรยากาศของช่วงชีวิตในวัยศึกษาว่า
“วัยเด็กที่ผ่านพ้น ไม่มีความรัก ไม่มีมิตรภาพหรือเสรีภาพ”
----------------------------------------------------------------------------------------
[1] คือปฏิทินโรมันที่ใช้ในสมัยก่อนคริสต์ศักราช 45 ปี จูเลียส ซีซาร์ ให้ทำการปรับปรุงจึงเรียกกันว่าปฏิทินจูเลียน/ปฏิทินเก่า) โดยคำนวณจากการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นเวลา 365.25 วัน แบ่งเป็น 12 เดือน ปรากฏว่าคลาดเคลื่อนไปจากความจริงเพราะโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลาใกล้เคียงที่สุดคือ 364.2425 วัน เพื่อที่จะให้วันอีสเตอร์ตรงกับวันที่ 21 มีนาคมของทุกๆปี (วันวสันตวิษุวัต) พระสันตะปาปา เกรกอรีที่ 13 (1502 – 1585) ได้ทำการปฏิรูปปฏิทินเสียใหม่โดยให้เพิ่มวันขึ้นอีก 10 วันจากเดิมตั้งแต่ คศ. 1582 จนถึงวันที่ 10 มีนาคม 1700 และทุกๆ 100 ปีให้เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน คือจาก 11 มีนาคม 1700 ถึง 11 มีนาคม 1800 เพิ่ม 11 วัน, จาก 12 มีนาคม 1800 ถึง 12 มีนาคม 1900 เพิ่ม 12 วัน , จาก 13 มีนาคม 1900 ถึง 13 มีนาคม 2100 เพิ่ม 13 วัน เรียกว่าปฏิทินเกรกอเรียนหรือปฏิทินใหม่ ( ในรัสเซียสมัยนั้นใช้ปฏิทินเก่าตามนิกายรัสเซียออธอด๊อกซ์ ซึ่งถือว่าเป็นนิกายประจำชาติ)
[1] คือปฏิทินโรมันที่ใช้ในสมัยก่อนคริสต์ศักราช 45 ปี จูเลียส ซีซาร์ ให้ทำการปรับปรุงจึงเรียกกันว่าปฏิทินจูเลียน/ปฏิทินเก่า) โดยคำนวณจากการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นเวลา 365.25 วัน แบ่งเป็น 12 เดือน ปรากฏว่าคลาดเคลื่อนไปจากความจริงเพราะโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลาใกล้เคียงที่สุดคือ 364.2425 วัน เพื่อที่จะให้วันอีสเตอร์ตรงกับวันที่ 21 มีนาคมของทุกๆปี (วันวสันตวิษุวัต) พระสันตะปาปา เกรกอรีที่ 13 (1502 – 1585) ได้ทำการปฏิรูปปฏิทินเสียใหม่โดยให้เพิ่มวันขึ้นอีก 10 วันจากเดิมตั้งแต่ คศ. 1582 จนถึงวันที่ 10 มีนาคม 1700 และทุกๆ 100 ปีให้เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน คือจาก 11 มีนาคม 1700 ถึง 11 มีนาคม 1800 เพิ่ม 11 วัน, จาก 12 มีนาคม 1800 ถึง 12 มีนาคม 1900 เพิ่ม 12 วัน , จาก 13 มีนาคม 1900 ถึง 13 มีนาคม 2100 เพิ่ม 13 วัน เรียกว่าปฏิทินเกรกอเรียนหรือปฏิทินใหม่ ( ในรัสเซียสมัยนั้นใช้ปฏิทินเก่าตามนิกายรัสเซียออธอด๊อกซ์ ซึ่งถือว่าเป็นนิกายประจำชาติ)
ตัวอย่าง
เลนินเกิดเมื่อ 10
เมษายน 1870 นับตามปฏิทินเก่า ถ้าจะนับตามปฏิทินใหม่ต้องบวกเข้าไปอีก 12
วัน (เพราะปี คศ. 1870
อยู่ในช่วงปี คศ. 1800
– 1900 ) ดังนั้นเมื่อนับตามปฏิทินใหม่จะเป็นวันที่ 22 เมษายน 1870
(10 บวก 12 =
22)
[2] เมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของปากแม่น้ำโวลก้า ก่อนไหลลงสู่ทะเลสาบคัสเปียน
[3] คือชนชาติส่วนน้อยในรัสเซียเชื้อสายเติร์กที่ตั้งรกรากอยู่อย่างกระจัดกระจายตั้งแต่เขตโวลกาไปจนถึงไซบีเรีย ส่วนใหญ่จะมีถิ่นฐานอยู่ในสาธารณรัฐชูวาสเชีย
[4]
ดิมิตรี อิวานโนวิช เมเดเลเยฟ (1834–1907)
นักเคมีชาวรัสเซีย ผู้ประดิษฐ์ตารางธาตุและแสดงจำนวนอะตอมของธาตุไว้อย่างเป็นระบบ
Many thanks for your kind invitation. I’ll join you.
ReplyDeleteWould you like to play cards?
Come to the party with me, please.
See you soon...
เครดิตฟรี
แจกเครดิตฟรี ฝากถอนง่าย
เครดิตฟรี
คาสิโนออนไลน์