Friday, November 25, 2016

พัฒนาการของทุนนิยมในยุโรป 2

ตอนที่ 2  การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมในยุโรป

สภาพโดยสังเขปของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม
การกำเนิดและการพัฒนาของรูปแบบการผลิตทุนนิยมนั้น  ใช้ไฟและดาบเป็นเครื่องมือเบิกทาง ในขณะ   เดียวกัน   ยังใช้ปากกาและลิ้นไปแก้ต่างให้กับความชอบธรรมของตนเองด้วย    โดยดำเนินการท้ารบต่อระเบียบแบบแผนของศักดินาจากด้านรูปการจิตสำนึก     นี่เป็นยุคแห่งการปลูกฝังความคิดใหม่และวัฒน ธรรมใหม่ของชนชั้นนายทุน      ในประวัติศาสตร์โดยทั่วไปเรียกกันว่า “การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม”
การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมเริ่มแรกสุดได้เกิดขึ้นที่อิตาลีก่อนในศตวรรษที่ 14-15  ต่อมาก็ได้ขยายตัวไปสู่ฝรั่งเศส  เยอรมัน  อังกฤษ  สเปนและเนเธอร์แลนด์ตามลำดับ    เมื่อย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 16 คู่ขนานไปกับความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบทุนนิยมพัฒนาไปและการต่อสู้คัดค้านศักดินาของประชาชนขึ้นสู่กระแสสูง   การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมก็เข้าสู่ยุคเจริญรุ่งเรืองอย่างสุดขีด

การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม  คือการวิพากษ์อย่างกว้างขวางที่ชนชั้นนายทุนกระทำต่อระบอบศักดินา  ปลายหอกของมันมุ่งจ่อไปยัง ศาสนจักรโรมันคาทอลิก    ในสมัยกลาง   ศาสนจักรโรมันคาทอลิกเป็นเสาค้ำทางจิตใจของระบอบศักดินาในยุโรป   เป็นตัวแทนทั่วไปของอิทธิพลเน่าเฟะทั้งปวง    ไม่เพียงแต่สร้างระบอบแบ่งชั้นทางศาสนาของตนตามรูปแบบศักดินาจนกลายเป็นเจ้าอาณาจักรศักดินาที่มีอิทธิพลมากที่สุด   ถือครองที่ดินถึง 1 ใน 3 ของประเทศต่างๆที่เป็นโรมันคาทอลิกเท่านั้น      หากยังพยายามอย่างสุดความสามารถในการอธิบายให้ผู้คนเชื่อว่าระเบียบแบบแผนศักดินานั้นเป็น เทวลิขิต อีกด้วย   ทำการควบคุมปริมณฑลด้านต่างๆทั้งทางชีวิตสังคม  ความคิด และวัฒนธรรมอย่างแน่นหนา   ปฏิญญาของศาสนจักรก็เป็นปฏิญญาทางการเมืองในเวลาเดียวกัน    บทบัญญัติในคัมภีร์ล้วนแล้วแต่มีผลทางกฎ หมายที่ใช้ในศาลต่างๆ    สรุปแล้ว....ศาสนจักรโรมันคาทอลิกที่มีองค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรมเป็นผู้นำ,สวมเสื้อคลุมอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับระบอบศักดินา    และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดนักคิดแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม จึงได้พุ่งปลายหอกแห่งการวิพากษ์ไปยังศาสนจักรโรมันคา  ทอลิกและเทววิทยาโดยตรง

เพื่อจะต่อต้านกับเทววิทยาของคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก  ซึ่งพันธนาการความคิดผู้คนมานับร้อยนับพันปี       บรรดานักคิดของชนชั้นนายทุนทั้งหลายได้แต่ไปขอความช่วยเหลือจากจิตวิญญาณของกรีซและโรมันในสมัยโบราณ      พวกเขาพยายามยกย่องสรรเสริญวัฒนธรรมคลาสสิคที่สะท้อนการ เมืองแบบ ประชาธิปไตยของเจ้าทาส  และเศรษฐกิจสินค้าของระบอบทาส  ก่อกระแสค้นคว้าวิชาการดั้งเดิม  สืบเสาะค้นหาต้นฉบับตำราดั้งเดิม   เลียนแบบศิลปกรรมของศิลปินดั้งเดิม   ขุดค้นและใช้ปัจจัยที่เป็นคุณในวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับรูปการจิตสำนึกของศักดินา       ตั้งแต่ภาษาไปจนถึงรูปแบบของงานศิลปะ    ล้วนส่อแนวโน้ม “ฟื้นคืนของเก่า” บางประการ    กระทั่งกล่าวถึงวัฒนธรรมของพวกเขาว่าเป็นการ “คืนชีพ”  และ  “ฟื้นฟู” ของวัฒนธรรมดั้งเดิม(แบบโรมันและกรีก) 

คำว่าฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมจึงได้ชื่อเพราะเหตุนี้     จริงๆแล้วการที่ชนชั้นนายทุนเรียกหาวิญญาณของผู้ล่วงลับ  จุดมุ่งหมายก็เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการของศักดินาและสถาปนาสังคมทุนนิยม   พวกเขา  “หยิบยืมชื่อ  คำขวัญสู้รบ และอาภรณ์ของคนโบราณ   เพื่อจะได้สวมใส่ชุดอาภรณ์ที่ได้รับการกราบไหว้บูชามาช้านานชนิดนี้   ใช้ภาษาที่หยิบยืมมานี้ไปแสดงฉากใหม่ของประวัติศาสตร์โลก”  (มาร์กซ  เรื่อง...ดิ เอททีน บรูแมร์ อ๊อฟ หลุยส์ โบนาปาร์ต ”The Eighteenth Brumaire of Louis Napoleon เป็นบทความที่มาร์กซเขียนขึ้นเพื่อวิจารณ์ในกรณีที่ นโปเลียน หลุยส์  นโปเลียน หลานชายของจักรพรรดิ์นโปเลียนทำการรัฐประหารและขึ้นครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเมื่อปี 1851  .)

โดยเนื้อแท้แล้ว...ภายใต้รูปแบบ “ฟื้นฟู” วัฒนธรรมดั้งเดิม   แต่ที่โฆษณานั้นคือเนื้อหาความคิดของชนชั้นนายทุนซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิมนุษย์นิยม”   ดังนั้นบุคคลที่เป็นตัวแทนความคิดและวัฒนธรรมในขณะนั้นก็ได้ชื่อว่า “นักลัทธิมนุษย์นิยม”   นักลัทธิมนุษย์นิยมเหล่านั้นยืนยันว่า มนุษย์เป็นผู้สร้างชีวิตและ   เป็นเจ้าของชีวิต    ใช้ทัศนคติสามัญธรรมดา “ที่เป็นมนุษย์” ไปเป็นปฏิปักษ์กับคำเทศนา “ที่เป็นเทวะ” ของศาสนจักรโรมันคาทอลิก   “มนุษย์” ในที่นี้...แท้จริงแล้วก็คือตัวชนชั้นนายทุน    และ “เทวะ” ในที่นี้ก็คือผู้ปกครองศักดินาที่ถูกทำให้เป็นแบบเทวะไปแล้วนั่นเอง    ลัทธิมนุษย์นิยมได้สะท้อนถึงผลประโยชน์และความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนที่ใช้ในการต่อสู้โฆษณา ลัทธิมนุษ์นิยมโจมตีเทววิทยาที่ทรงอิทธิพลทางด้านศิลปะวรรณคดี       ได้ทลายพันธนาการทางความคิดของศักดินาชั่วขณะหนึ่งจนปรากฏสถานการณ์ใหม่   ด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติก็มีการพัฒนาไปก้าวใหญ่

อลิเฮียริ ดังเต (Alighieri Dante 1265-1321)  นักกวีชาวเมืองฟลอเรนซ์ของอิตาลี   ก็ได้แสดงออกให้เห็นซึ่งหน่ออ่อนของกระแสความคิดลัทธิมนุษย์นิยมไว้ในบทกวีอันลือชื่อเรื่อง“หัสนาฏกรรมของเทวะ”   โดยใช้นามปากกาเพื่อปกปิดตัวเอง   ทำการประณามองค์สันตะปาปาและพวกพระอย่างกล้าหาญ ต่อจากดังเตก็มีนักเขียนและผลงานปรากฏออกมาจำนวนหนึ่ง   ทั้งในอิตาลีและประเทศอื่นๆในยุโรป   ที่ลือชื่อที่สุดก็มีบทกวีพรรณนาความรักของฟรานเซสโก เพทราคา (Francesco Petrarca 1304-1375)    เรื่อง“บันเทิงทศวาน” ของจิโอวานนิ บอคคาค์ซีโอ (Bocaccio Giovanni 1313-1375) นักกวีชาวอิตาลี “สดุดีเทวาโง่”  วรรณกรรมเสียดสีของ เดสิเดอร์ริอุส อีราสมุส(Desiderius Erasmus 1466-1536)  นักเขียนชาวฮอลแลนด์  “คนยักษ์กับลูกชายของคนยักษ์”  นวนิยายเสียดสีของ ฟรองซัวส์ ราบองเล (Francois Rabenlaie 1494-1553)  นักเขียนชาวฝรั่งเศส      นวนิยายเรื่องยาว “ท่านจีฮาด” ของ ซาวีดรา มิกูเอลเดอ เซอร์วานเตส(Saavedra Miguel De Cervantes 1547-1616) นักเขียนชาวสเปน     และบทละครของ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ (William Shakespear  1564-1616)  นักเขียนชาวอังกฤษ เป็นต้น   

วรรณกรรมเหล่านี้  ได้สะท้อนออกซึ่งความขัดแย้งแห่งยุคสังคมศักดินาสลายตัวในยุโรป   ทำการเสียดสีทิ่มแทงอย่างเจ็บแสบต่อศาสนจักร     พวกพระและพวกขุนนางศักดินาพยายามโฆษณายกย่องสรรเสริญอารมณ์ความคิดและแบบวิถีชีวิตของชนชั้นนายทุน   สร้างวีรภาพของชนชั้นนายทุน   พวกเขายังเริ่มใช้ภาษาของประชาชาติของตนในงานเขียน     ไม่ใช้ภาษาลาตินที่คนส่วนใหญ่ที่สุดอ่านไม่รู้เรื่องอีกต่อไป   เช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่ได้ขยายขอบเขตในการเผยแพร่กระแสความคิดลัทธิมนุษย์นิยมให้กว้างออกไปเท่า นั้น  หากยังมีบทบาทกระตุ้นต่อภาษาประชาชาติและการสถาปนาประเทศของประชาชาติสมัยใหม่ที่ก้าว หน้าไปอีกด้วย    ในด้านศิลปะโดยเฉพาะในด้านจิตรกรรมและแกะสลัก   ก็ได้สืบทอดปัจจัยอรรถนิยมของศิลปะคดั้งเดิม  ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ยังคงใช้ศาสนาและเทพนิยายที่มีมาแต่ดั้งเดิมเป็นเค้าเรื่อง   แต่ก็บรรยายด้วยทัศนะและวิธีการของโลกสามัญธรรมดา    ถลกเสื้อคลุมที่ลี้ลับของเทวะทิ้งไป    ทำให้เทวะไม่ใช่สิ่งซึ่งสูงสุดเอื้อมอีกต่อไป   หากเป็นบุคคลที่แสดงออกซึ่งอารมณ์ความคิดของชนชั้นนายทุน   ที่มีทั้งดีใจ เสียใจ โกรธ เกลียด เป็นต้น    สิ่งเหล่านี้ได้แสดงออกอย่างเด่นชัดมากในงานของจิตรกรชาวอิตาลี  เช่น เลียวนาร์โด ดา วินชี (Leonado Da Vinci 1452-1519)    ไมเคิล แองเจโล บัวนาร์โรติ (Michel angelo Buonarroti 1475-1564)     และราฟาเอล ซานติ (Raphael Santi 1480-1520) เป็นต้น    สิ่งที่นักลัทธิมนุษย์นิยมโฆษณาป่าวร้องนั้นก็คือ    ลัทธิเอกชนของชนชั้นนายทุน    ด้วยเหตุนี้ พวกเขาย่อมจะต้องคัด ค้านมวลชน   และดูถูกมวลชน   ในบรรดางานศิลปะวรรณคดีสมัยฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมนั้น   ประชาชนผู้ใช้แรงงานไม่มีฐานะเลยแม้แต่น้อย   ถึงจะมีปรากฏตัวออกมาบ้างก็มักจะถูกบิดเบือนเป็นตัวตลกที่น่าสมเพชเสียมากกว่า

การพัฒนาของการผลิตแบบทุนนิยม   ได้ผลักดันให้วิทยาศาสตร์ธรรมชาติพัฒนาก้าวหน้าไปด้วย   นิโคเลาส์  โคเปอร์นิคุส (Nicolaus Copernicus 1473-1543)  นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์อาศัยการสังเกตเป็นเวลายาวนานของตนเอง  และผลสรุปที่ได้จากการค้นคว้าของคนรุ่นก่อนเป็นพื้นฐาน  เสนอ “ทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง” ขึ้นเป็นครั้งแรก    เขาเห็นว่าศูนย์กลางของจักรวาลคือดวงอาทิตย์ไม่ใช่โลก โลก..เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในหลายๆดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เท่านั้น    โลกยังหมุนรอบแกนตัวเองอีกด้วย    เช่นนี้แล้วก็ได้ปฏิเสธระบบ “ทฤษฎีโลกเป็นศูนย์กลาง” ซึ่งเคยครองฐานะครอบงำและถูกปกป้องคุ้มครองโดยศาสนจักรมานานนับพันปีเสียสิ้น         ต่อจากนั้น กาลิเลโอ  (Galileo 1564- 1642)นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี     โจฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes Kepler 1571-1630) นักดารา ศาสตร์ชาวเยอรมันได้ทำการสาธยายพิสูจน์เพิ่มเติมต่อทฤษฎีของโคเปอร์นิคุส      แม้ว่าทางศาสนจักรโรมันคาทอลิคใช้วิธีการอันโหดเหี้ยมทุกชนิดไปปองร้ายต่อความ “นอกรีตนอกรอย” ของโคเปอร์นิคุสก็ตาม    แต่ “โลกยังคงหมุนอยู่” ได้กลายเป็นคำขวัญที่ปลุกเร้าใจผู้คนในขณะนั้นไปแล้ว    ทฤษฎีอันเหลวไหลที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลาง   โลกไม่เคลื่อนไหว    ได้ถูกโค่นลงในที่สุดพร้อมกับเทพนิยายประ เภทพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกที่เชื่อมโยงอยู่กับทฤษฎีนี้ก็ถูกสั่นคลอนไปด้วย

ในการต่อสู้อันแหลมคมนี้   บรูโน จิโอร์ดาโน (Bruno Giordano ประมาณ 1548-1600) นักคิดและนัก วิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีมีฐานะเด่นเป็นพิเศษ   บรูโนได้สรุปรวบยอดผลสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติจากด้านปรัชญา    ได้พิทักษ์และพัฒนาทฤษฎีของโคเปอร์นิคุส      คัดค้านทฤษฎีพระเจ้าสร้างโลกอันเป็นทฤษฎีอันเหลวไหลไร้สาระ   ความคิดและการกระทำของเขาเป็นที่เคียดแค้นชิงชังของศาสนจักรยิ่งนัก   จึงได้เฝ้ากลั่นแกล้งปองร้ายเขาตลอดเวลา    และในที่สุดเขาถูกชนชั้นปกครองใช้ไฟเผาตายอยู่บนหลักประหารในกรุงโรม     บรูโนเชื่อมั่นสัจธรรมของวิทยาศาสตร์อย่างมั่นคง   ดูถูกเหยียดหยามเทวสิทธิ์   ในขณะที่ผู้พิพากษาของศาสนจักรตัดสินประหารชีวิตเขานั้น    เขาได้ลุกขึ้นโต้ตอบด้วยท่วงท่าอันไม่ประ หวั่นพรั่นพรึงว่า “พวกท่านอ่านคำพิพากษายังรู้สึกขลาดกลัวกว่าข้าซึ่งฟังคำพิพากษาเสียอีก” วิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบันก็พัฒนาก้าวหน้าขึ้นในท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดด้วยประการเช่นนี้  ในยุค
 ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมชนชั้นนายทุนที่เกิดใหม่ยังอ่อนแอมาก      มันพยายามจะทลายเครื่องพันธนาการของระบอบศักดินา   แต่ก็ไม่สามารถเสนอหลักนโยบายสู้รบในการโค่นล้มระบอบศักดินาในขั้นมูลฐานได้     แสดงให้เห็นถึงลักษณะพิเศษที่ชนชั้นนายทุนยังอยู่ในกระบวนการตั้งครรภ์ในตัวระบอบศักดินา   ซึ่งได้สะท้อนออกอย่างเด่นชัดในกระแสความคิดลัทธิมนุษย์นิยมที่พวกเขาโฆษณาเผยแพร่

เนื้อหาสำคัญของลัทธิมนุษย์นิยม
ลัทธิมนุษย์นิยมเป็นอาวุธทางความคิดที่สำคัญที่ชนชั้นนายทุนในขณะนั้นใช้ไปคัดค้านระบบทฤษฎีเทว วิทยาของศาสนจักร     และสาธยายความเรียกร้องต้องการทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของตนเองเทววิทยาสมัยกลางเห็นว่า   เทวะนั้นอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างส่วนมนุษย์นั้นต่ำต้อย    บนร่างกายมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยบาป   ตามแต่เทวะจะบัญชา    ตัวมนุษย์เองนั้นไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้   มนุษย์จึงไม่ควรเรียกร้องอะไร        ขอแต่ทำตนเป็นทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์ พินอบพิเทาของเทวะ ก็จะสามารถได้รับ “ความสุข” ใน “ชาติหน้า” เป็นต้น           เทศนาโวหารเหล่านี้เป็นเพียงการสะท้อนระเบียบแบบแผนศักดินาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจธรรมชาติแบบพอเพียง      อำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เทวะมีต่อมนุษย์นั้น  ก็คือการแสดงออกซึ่งการปกครองแบบอภิสิทธิ์ของเจ้าศักดินานั่นเอง    กล่าวสำหรับชนชั้นนายทุนที่ต้องการทำ ลายพันธนาการของศักดินาพัฒนาทุนนิยมอย่างเสรีแล้ว  มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจทนได้ทีเดียว

ประการแรก....มุ่งตรงต่อเทศนาโวหารของเทววิทยาชุดนี้  นักลัทธิมนุษย์นิยมก็พยายามเน้นและสรร เสริญ คุณค่า  ศักดิ์ศรี และพลังของคน  ใช้มนุษย์ภาพไปคัดค้านเทวภาพ   พวกเขาเห็นว่าพระเจ้าสร้างสรรพสิ่ง   ขณะเดียวกันก็สร้างมนุษย์     มนุษย์นั้นต่างกับสัตว์และพืชก็ตรงที่ว่ามนุษย์มี “เหตุผล”  ซึ่งก็คือ  “มนุษย์ภาพ” ที่แท้จริง   ในเมื่อมนุษย์ไม่ใช่มีบาปมาแต่กำเนิดก็สามารถผ่านจากการค้นคว้าตนเอง  เสาะค้นธรรมชาติและสังคมไปพัฒนา “เหตุผล”  ได้มาซึ่ง “เสรีภาพ”  และ “ความสุข”   โดยไม่ต้องไปคุกเข่าวิงวอนร้องขอต่อศาสนจักรและพระผู้เป็นเจ้า       บางคนก็กล่าวว่ามนุษย์สามารถอาศัยเจตนา รมณ์แห่งตนไปกำกำหนดชะตากรรมของตนเอง     บางคนก็กล่าวว่ามนุษย์สามารถอาศัยความเร่าร้อนแบบวีรชนเอกชนไปสู่สรวงสวรรค์ได้      ส่วนเช็คสเปียร์นั้นก็อาศัยปากของตัวละครร้องตะโกนว่า “อา..มนุษย์ช่างเป็นผล งานชิ้นเยี่ยม   มันเปี่ยมด้วยเหตุผลที่สูงค่า  มีพลังที่ยิ่งใหญ่  มีท่วงท่าอันสง่างาม  มีกิริยาอันสุภาพเสียนี่กระไร   ด้านการกระทำดูประหนึ่งเทวทูต   ด้านภูมิปัญญาเสมอเหมือนเทพเจ้า มันคือเจตภูตของจักรวาล  เจ้าคือวิญญาณของสรรพสิ่ง”    

นักลัทธิมนุษย์นิยมก็ได้โฆษณาฐานะที่เป็นอิสระของ”มนุษย์”       คัดค้านและลดอำนาจสัมบูรณ์ของ ”เทวะ”เช่นนี้แหละ   ในขณะนั้น พวกเขายังไม่กล้าเสนอคำขวัญ  ”สิทธิมนุษย์ฟ้าประทาน”   อันเป็นคำขวัญของนักคิดแห่งยุคเสริมสร้างภูมิปัญญาในศตวรรษที่ 18 อย่างเปิดเผย   ไม่กล้าปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเปิดเผย    หากยังคงยอมรับว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพลังชี้ขาดในขั้นสุดท้าย   นักลัทธิมนุษย์นิยมใช้มนุษย์ภาพไปปฏิเสธเทวภาพ  เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าชนชั้นนายทุนพยายามต่อสู้ชิงชัยกับชนชั้นศักดินาเพื่อเพิ่มพูนโภคทรัพย์และแผ่อิทธิพลของตนภายใต้ขอบเขตของระบอบศักดินาเท่านั้น    ประชาชนผู้ใช้แรงงานเรือนร้อยล้านเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์โลกกลับถูกพวกเขาสบประมาท ว่า  เป็น”ฝูงชนเถื่อนที่ด้อยปัญญา  ไร้สติสัมปชัญญะ”  และถูกขจัดอยู่นอก “คุณค่า” และ “ศักดิ์ศรี”

ประการที่ 2   ต่อลัทธิตัดกิเลสที่โฆษณาป่าวร้องโดยศาสนาจักรโรมันคาทอลิค   นักลัทธิมนุษย์นิยมได้ทำการโจมตีอย่างสุดกำลังโดยเสนอคำขวัญ “เสรีภาพส่วนบุคคล”   “ความสุขส่วนบุคคล”   เพื่อแก้ต่างให้กับการเคลื่อนไหวด้านอุตสาหกรรมและวิถีชีวิตของชนชั้นนายทุน   พวกเขาพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่า  “เสรีภาพส่วนบุคคล”  และ “ความสุขส่วนบุคคล”  เป็นจุดมุ่งหมายชีวิตของมนุษย์   คือความเรียกร้องต้องการของ “มนุษย์ภาพ”    พวกเขาประณามลัทธิตัดกิเลสซึ่งโฆษณาโดยพวกพระว่า   เป็นสิ่งซึ่งฝืน “มนุษย์ภาพ” เป็นสุดยอดของความคิดจอมปลอม   พวกพระกล่าวว่าโลกเป็น “แหล่งความทุกข์” เรียก    ร้องให้ผู้อื่นดูเบาโภคทรัพย์   แต่พวกเขาเองกลับยึดครองที่ดินผืนใหญ่เขมือบสินทรัพย์ของผู้อื่น   พวกพระโฆษณาว่า อันเนื้อหนังมังสาคือคุกตะรางของวิญญาณ   เตือนผู้อื่นให้อดใจละเว้นจากตัณหา   แต่พวกเขาเองกลับละโมบโลภมาก   ใช้ชีวิตอันเหลวแหลกเน่าเฟะ   

นักลัทธิมนุษย์นิยมได้โจมตีความคิดจอมปลอมชนิดนี้อย่างไม่ปรานีปราศรัย   และถือมันเป็นสิ่งยืนยันพิ สูจน์ว่าการแสวงหาโภคทรัพย์และชีวิตที่เสพสุขของชนชั้นนายทุนเป็นสิ่งชอบธรรม   พ็อกจิโอ แบรคซิโอลินี(Poggio Bracciolini 1380-1495) นักมนุษย์นิยมชาวอิตาลีเห็นว่า   โภคทรัพย์เป็นเครื่องหมายที่แจ่ม ชัดซึ่งแสดงถึงความเอาใจใส่ของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อคนๆหนึ่ง     ฉะนั้นการร่ำรวยมีสินทรัพย์จึงเป็นกุศลผลบุญชนิดหนึ่ง    ส่วน โลเรนโซ วัลลา (Lorenzo Valla 1406-1457) นักมนุษย์นิยมชาวอิตาลีอีกผู้หนึ่ง  ก็โฆษณาทัศนะวิญญาณกับเนื้อหนังมังสาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน    เน้นว่าชีวิตทางเนื้อหนังมังสามีคุณค่า ไม่แพ้การปลดเปลื้องทางวิญญาณ  จะต้องเสพสุขสำราญทั้งปวงในชีวิตของชาตินี้   

จะเห็นได้ว่า “เสรีภาพส่วนบุคคล” ที่พวกเขาใฝ่หานั้น   เป็นเพียงนามแฝงของเสรีภาพในการซื้อขาย  เสรีภาพในการขูดรีดและเสรีภาพในทรัพย์สินของชนชั้นนายทุนเท่านั้นเอง   และ “ความสุขส่วนบุคคล”  ที่พวกเขาโฆษณา  โดยเนื้อแท้แล้วก็คือใช้ลัทธิเสพสุขที่เปิดเผยของชนชั้นนายทุนไปคัดค้านลัทธิเสพสุขที่ไม่เปิดเผยของชนชั้นศักดินานั่นเอง     “เสรีภาพ”และ”ความสุข”เช่นนี้   แน่ละย่อมถือเอาความล้มละลายและความขมขื่นของประชาชนผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ที่สุดเป็นเงื่อนไขเบื้องแรก    ฉะนั้น  แบรคคิโอลินี  จึงประกาศอย่างเปิดเผยว่า   ต่อเมื่อเจตนารมณ์ของบุคคลเฉพาะรายได้ทำลายกฎของคนส่วนใหญ่แล้วเท่านั้น   “ภารกิจอันยิ่งใหญ่” จึงจะประจักษ์เป็นจริงได้

จากนี้จะเห็นได้ว่า   ลัทธิมนุษยนิยมที่ชนชั้นนายทุนโฆษณานั้น    ได้ถือเอา “มนุษยภาพ” ที่อยู่เหนือชนชั้นเป็นรากฐานทางทฤษฎี    แต่ว่าในสังคมที่มีชนชั้น   มีแต่มนุษยภาพที่มีลักษณะชนชั้นเท่านั้น   ไม่มีมนุษย์ภาพที่อยู่เหนือชนชั้น   บรรดาตัวแทนนักคิดของชนชั้นนายทุนทั้งหลายจับเอาอาวุธ “มนุษยภาพ”ขึ้นมา  ก็เพื่อจะประกาศว่าธาตุแท้ของชนชั้นนายทุน  อันได้แก่ลัทธิเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน   ลัทธิเสพสุขและความคลั่งไคล้ในการเป็นเจ้าเข้าครอง    ทั้งหมดเหล่านี้เป็น “มนุษยภาพทั่วไป”  อันเป็นสิ่งซึ่งฟ้าประทาน    จากนี้ไปปลุกเร้าให้ชนชั้นนายทุนทำการช่วงชิงอำนาจการขูดรีดต่อประชาชน   อำนาจการครอบครองต่อโภคทรัพย์และอำนาจการปกครองต่อสังคมกับชนชั้นศักดินา

ประการที่ 3  เริ่มต้นจาก “มนุษยภาพ” ชนิดนี้   พวกเขายังเสนอและสาธยายถึงความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนและทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐ   ขณะนั้นบรรดาเจ้าศักดินาเฉือนดินแดนแข็งอำนาจ   เจ้าครองนครวางอำนาจบาตรใหญ่  สงครามเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน   เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการพัฒนาอย่างราบรื่นของทุนนิยมโดยตรง      การลุกฮือขึ้นสู้ของประชาชนในสมัยสะสมทุนปฐมกาลก็คุกคามต่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของชนชั้นนายทุน   ในขณะที่ชนชั้นนายทุนยังไม่มีกำลังเพียงพอในการกุมอำนาจรัฐนั้น   จึงมีความเรียกร้องต้องการอันเร่งด่วนที่จะให้มีอำนาจกษัตริย์ที่เข้มแข็งเกรียงไกรอำนาจหนึ่งไปทำลายการเฉือนดินแดนแข็งอำนาจแบบศักดินาและปราบปรามการต่อสู้ของประชาชน     เป็นการสนองตลาดการค้าภายในประเทศที่เป็นเอกภาพในการพัฒนาทุนนิยม    ขณะที่ตัวแทนนักคิดชนชั้นนายทุนทั้งหลายแสดง ออกซึ่งความเรียกร้องต้องการทางการเมืองนี้  ก็ยังคงหยิบยก “ทฤษฎีมนุษยภาพ” เป็นอาวุธ    

ในบทนิพนธ์ “ว่าด้วยกษัตราธิราช” ของนิโคโล แมคเคียเวลลี่ (Machiavelli Niccolo 1469-1527) นักคิดนักการเมืองชาวอิตาลี   เริ่มต้นจากความคิดที่ว่า “สันดานของมนุษย์นั้นชั่วร้ายมาแต่กำเนิด”   จึงได้วางมาตรฐานเป็นแนวปฏิบัติสำหรับกษัตริย์และรัฐของกษัตริย์    เขากล่าวว่า “ใครก็ตามหากคิดจะสถาปนารัฐๆ หนึ่งทั้งตรากฎหมายให้กับรัฐนี้    ก่อนอื่นเขาจะต้องตั้งสมมุติฐานว่ามนุษย์นั้นล้วนแล้วแต่ชั่วร้ายและ     พอมีโอกาสก็มักจะแสดงออกซึ่งความชั่วร้ายของพวกเขาออกมา”   เขายังกล่าวอย่างเปิดเผยอีกว่า ”เนื่องด้วยมนุษย์นั้นชั่วร้าย”  ฉะนั้นเพื่อจะบรรลุจุดมุ่งหมาย     ผู้ปกครองก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงวิธีการที่ใช้จะต้องทำให้ตนเองเพียบพร้อมด้วยความดุร้ายเยี่ยงสิงโต   และเจ้าเล่ห์ดุจสุนัขจิ้ง จอก   แต่ว่า “จะต้องหลีก เลี่ยงการละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่น   เพราะว่าผู้คนอาจลืมเลือนการตายของบิดาผู้ให้กำเนิดได้    แต่จะไม่ยินยอมให้เกิดการสูญเสียของสินทรัพย์เป็นอันขาด” 

แมคเคียเวลลี่ได้สลัดทิ้งซึ่งจินตภาพของเทววิทยาโดยสิ้นเชิง   ประกาศอย่างเปิดเผยว่า  ผลประโยชน์ของรัฐเป็นมาตรฐานสูงสุดในการวินิจฉัยพฤติกรรมทางการเมือง    เช่นนี้แล้ว แมคเคียเวลลี่ก็ได้เผยให้เห็นถึงความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนอย่างล่อนจ้อนและเป็นจริงในอันที่จะได้มาซึ่งอำนาจรัฐ   การพิทักษ์ทรัพย์สิน  ขยายทุน  เป็นภาระหน้าที่อันดับแรกโดยอาศัยความรุนแรงที่ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามบรรทัดฐานของศีลธรรมใดๆทั้งสิ้นจึงเป็นรากฐานอันแท้จริงของรัฐชนิดนี้     ฉะนั้น ทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐของแมคเคียเวลลี่ได้สะท้อนให้เห็นความเรียกร้องต้องการอย่างแรงกล้าในอันที่จะสถาปนารัฐของประชา ชาติที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางของชนชั้นนายทุนในยุโรปขณะนั้น     และทฤษฎีที่ว่า  เพื่อผลสำเร็จทางการเมือง  ขอเพียงให้บรรลุจุดมุ่งหมายได้ก็ไม่ต้องคำนึงถึงวิธีการที่ใช้  ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิแมคเคียเวลลี่”  นี้ได้ถูกนักการเมืองชนชั้นนายทุน  โดยเฉพาะพวกลัทธิฟาสซิสต์ยึดถือเป็นคติประจำใจอย่างเคร่งครัด

ธาตุแท้ของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม
การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมเป็นการเคลื่อนไหวทางความคิดและวัฒนธรรมครั้งหนึ่งของชนชั้นนายทุน   มันได้สะท้อนความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่จากด้านรูปการจิตสำนึก โดยเชื่อมโยงเข้ากับการเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาที่ขึ้นสู่กระแสสูงในศตวรรษที่ 16   ได้สั่นคลอนต่อศาสนจักรโร มันคาทอลิคอันเป็นเสาค้ำทางจิตใจของระบอบศักดินาในยุโรปอย่างรุนแรง อันเป็นการตระเตรียมประชา มติให้กับการปฏิวัติชนชั้นนายทุน   ฉะนั้นมันจึงสอดคล้องกับกระแสประวัติศาสตร์ในขณะนั้น   ในขณะ
ที่ชนชั้นนายทุนดำเนินการโจมตีชนชั้นปกครองศักดินาและศาสนจักรโรมันคาทอลิค   ซึ่งเป็นตัวแทนของมันที่ถูกทำให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้น      เพื่อจะปิดบังอำพรางผลประโยชน์อันคับแคบของตน   และปิดบังอำพรางการเป็นปฏิปักษ์กับประชาชนผู้ใช้แรงงานของตน     

นักคิดของชนชั้นนายทุนได้เพียรพยายามอ้างตนว่าไม่ใช่ตัวแทนของชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ   หากแต่เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก  แต่ว่าสิ่งที่ชนชั้นนายทุนทำอยู่นั้น  เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นของประชามหาชน   แม้แต่ในยามที่ชนชั้นนายทุนก่อการรุกโจมตีต่อชนชั้นศักดินานั้น   ก็ไม่ได้หยุดยั้งการขูดรีดและกดขี่ประชาชนผู้ใช้แรงงานแม้แต่น้อย     ทั้งจุดมุ่งหมายในการก่อการรุกโจมตีชนชั้นศักดินาของชนชั้นนายทุนก็เพื่อช่วงชิงอำนาจในการปกครองและขูดรีดประชาชนผู้ใช้แรงงานโดยแท้   ฉะนั้นพออำนาจรัฐตกถึงมือ    พวกเขาก็มักจะรวมหัวกับอิทธิพลศักดินาทำการรุกโจมตีต่อประชา ชนผู้ใช้แรงงานที่เรียกร้องให้ปฏิวัติต่อไป    ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่พวกฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมป่าวร้องนั้น   กล่าวสำหรับชนชั้นนายทุนแล้ว   มันคือโองการสวรรค์  แต่กับประชาชนผู้ใช้แรงงานแล้ว มันคือกลลวง

ตั้งแต่วันแรกที่อุบัติขึ้น   ชนชั้นนายทุนก็แบกเครื่องหลังที่เป็นสิ่งตรงข้ามกับตนไว้ซึ่งก็คือชนชั้นกรรมา ชีพ  ในการต่อสู้กับชนชั้นศักดินาแต่ละครั้ง    ผู้นำหน้าของชนชั้นกรรมาชีพยุคใกล้ก็เคยก่อการเคลื่อน ไหวที่เป็นอิสระของตน        ทั้งได้เสนอความเรียกร้องต้องการของตนที่ต้องการให้ทรัพย์สินเป็นของสาธารณะมาแล้ว เช่น โธมัส มึนเซอร์ (Thomas Müntzer  ประมาณ 1489 -1525/นักเทศน์และนักการศาสนาชาวเยอรมันในยุคแรกๆของการปฏิรูป      เป็นผู้นำการลุกขึ้นสู้ของชาวนาและชนชั้นล่างเยอรมันในปี 1525  ถูกจับในการสู้รบที่เมือง ฟรังเกนเฮ้าเซ่น  ถูกทรมานและประหารชีวิตในที่สุด .) ในสงครามชาวนาเยอรมัน   ก็คือธงนำของพวกเขา  เบื้องหน้ากระแสความคิดวัฒนธรรมของชนชั้นนายทุนเขาได้ชูธง “ทรัพย์สินสาธารณะ” อย่างกล้าหาญ   ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการปฏิเสธระเบียบแบบแผนศักดินาในขณะนั้นอย่างถึงที่สุดเท่านั้น หากยังเป็นการท้าทายต่อแบบวิธีการผลิตของชนชั้นนายทุนและรูปการจิตสำนึกของมันอย่างองอาจกล้าหาญด้วย
                                                โทมัส  มึนเซอร์  ภาพจากวิกิพีเดีย
การเปิดโปงกลลวงนี้ยังมาจากอีกด้านหนึ่งคือนักสังคมนิยมอุดมคติยุคแรก   การต่อสู้ทางชนชั้นในสังคมที่ดุเดือดแหลมคมในสมัยการสะสมทุนปฐมกาล    ทำให้พวกเขามองเห็น “มะเร็งร้าย” ของสังคมที่เกิดจากการขูดรีดของทุน  ดังนั้น จึงพยายามสร้างภาพ   สังคมที่ “สวยสดงดงาม” ขึ้นสังคมหนึ่งในสมองของตน  งานเขียนที่เป็นตัวแทนของพวกเขาได้แก่ “ยูโธเปีย”ของโธมัส มอร์ (Thomas More 1478-1535) ชาวอังกฤษและ “สุริยะนคร” ของทอมมาโซ คามปาเนลล่า (Tommaso  Campanella 1568-1639) ชาวอิตาลี      งานเขียนเหล่านี้ได้ตีแผ่ให้เห็นถึงการสะสมปฐมกาลของทุนที่ได้นำความทุกข์ยากลำเค็ญมาสู่ประชาชนผู้ใช้แรงงาน      เห็นว่าระบอบทรัพย์สินเอกชนเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายทั้งปวง   ขณะเดียวกันก็ได้วาดภาพสังคมระบอบทรัพย์สินสาธารณะอันเป็นสังคมในอุดมคติ     กล่าวโดยสรุปแล้ว  จุดยืนมูลฐานและจุดเริ่มต้นของพวกเขายังถูกครอบงำโดยโลกทัศน์ของชนชั้นนายทุน    ทั้งไม่สามารถค้นพบกำลังทางชนชั้นและวิถีทางที่เป็นจริงในปัจจุบันในการทำให้สังคมในอุดมคตินี้ปรากฏเป็นจริงขึ้นก็ตาม    แต่งานเขียนของพวกเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงจากอีกด้านหนึ่งว่า   ระบอบทรัพย์สินเอกชนของชนชั้นนายทุนที่ตัวแทนของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมพยายามพิทักษ์รักษาและยกย่องสรรเสริญนั้น เป็นเพียงโซ่ตรวนเส้นใหม่ที่นำมาคล้องคอประชาชนผู้ใช้แรงงานเท่านั้น     การอ้างตนเป็น “ตัวแทนของมวลมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก”  ล้วนเป็นคำพูดที่ลวงคนทั้งสิ้น    
จบตอนทื่ 2….ตอนต่อไปได้แก่    การโหมโรงการปฏิวัติของชนชั้นนายทุน


No comments:

Post a Comment