Monday, December 12, 2016

พัฒนาการของทุนนิยมในยุโรป 3

ตอนที่  3  การโหมโรงของการปฏิวัติชนชั้นนายทุน      

ขบวนการปฏิรูปศาสนา
คู่ขนานไปกับที่อิทธิพลและผลสะเทือนของชนชั้นนายทุนแผ่ขยายกว้างออกไปทุกวัน   พวกเขาไม่อาจนิ่งเฉยในฐานะที่ไร้สิทธิไร้เสียงของตนดังแต่ก่อนอีกแล้วในวิถีของการสะสมทุนปฐมกาลและฟื้นฟูศิลปวัฒน-  ธรรม   ชนชั้นนายทุนเริ่มใช้ปฏิบัติการทางการเมือง    ปฏิบัติการนี้เริ่มต้นที่การเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาในยุโรปและสงครามชาวนาขนาดใหญ่ในเยอรมัน

นับแต่ศตวรรษที่ 14 ฝ่ายค้านในศาสนจักรโรมันคาทอลิคที่สะท้อนความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนาย ทุนอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมที่เจริญขึ้นใหม่    เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก   ที่อังกฤษในครึ่งหลังศตวรรษที่ 14  มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้สถาปนา “ศาสนจักรประจำชาติ” ของจอห์น ไวคลิฟฟ์ (John Wycliffe ประมาณ 1320-1384)    ที่เชคโกสโลวาเกียในต้นศตวรรษที่ 15 ก็มีการต่อสู้ปฏิรูปศาสนาที่ประสานกับการช่วงชิงการปลดปล่อยประชาชาติที่ก่อการโดย จาน ฮุส (Jan Hus หรือ จอห์น ฮุส)   การเคลื่อนไหวดังกล่าวข้างต้นได้แบ่งแยกออกเป็นกลุ่มปฏิวัติที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชาวนาและชาวเมือง,ได้ฟักตัวกลายเป็นการลุกขึ้นสู้ของชาวนาที่ดุเดือดรุนแรง      จนถึงศตวรรษที่ 16  การปฏิรูปศาสนาได้รวมตัวเป็นกระแสคลื่นอันเชี่ยวกรากซัดกระหน่ำไปทั่วยุโรป      ประเทศเยอรมันที่ความขัดแย้งทางชนชั้นรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นจุดปะทุของขบวนการนี้   มาร์ติน  ลูเธอร์ เป็นผู้ก่อการรุกโจมตีเป็นคนแรก

มาร์ติน  ลูเธอร์(Martin 1483-1546)เป็นศาสตราจารย์ด้านเทววิทยาของมหาวิทยาลัยในเมืองวิทเทนแบร์ก (Wittenberg หรือ ลูเธอร์ชตัดท์/ Lutherstadt)ของเยอรมัน      มีความไม่พอใจอย่างหนักต่อความเหลวแหลกและไร้เหตุผลขององค์สันตะปาปาและศาสนจักร     เขา..ในฐานะตัวแทนผลประโยชน์และความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่        ก่อนอื่นจึงได้เสนอแนวคิดให้ปฏิรูปศาสนจักรโรมันคาทอลิค    หลักการขั้นมูลฐานข้อหนึ่งในคำสอนใหม่ของลูเธอร์คือ   “ความศรัทธานำมาซึ่งการปลดเปลื้อง”   เขาเห็นว่าการได้รับการปลดเปลื้องทางวิญญาณของมนุษย์  เพียงพึ่งพาความเคร่งในศรัทธาก็พอแล้ว       ไม่จำเป็นต้องผ่านพวกพระเป็นสื่อกลางและไม่ต้องพึ่งการถวายปัจจัยต่อศาสนจักรและพิธีกรรมอันจุกจิกหยุมหยิม       ดังนั้นเขาจึงมีความเห็นให้ยกเลิกระบอบแบ่งชั้นศักดินาทางศาสนาและพิธีกรรมจุกจิกหยุมหยิมทุกชนิด    ยกเลิกกิจกรรมทั้งหมดที่เป็นการเผาผลาญทรัพย์สินเงินทองของศาสนจักร       สร้าง“ศาสนจักรราคาถูก” ที่สอด คล้องกับความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุน   ลูเธอร์ยังโจมตีลัทธิตัดกิเลสของศาสนจักรโรมันคาทอลิคว่า ฝืน “มนุษยภาพ”    เขาเห็นว่า “การได้มาซึ่งทรัพย์สินและพิทักษ์รักษาทรัพย์สิน” เป็น “หน้าที่อันพึง ของคริสต์ศาสนิกชนทุกคน”  เช่นนี้แล้ว  เขาได้ยืนยันว่า  การขูดรีดจนสามารถสร้างฐานะร่ำรวยของชนชั้นนายทุนเป็นสิ่งถูกต้องและชอบด้วยเหตุผล      ข้อคิดเห็นในการปฏิรูปศาสนจักรของ ลูเธอร์ ที่สำคัญได้สะท้อนความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่      ขณะเดียวกันก็ได้รับการสนับสนุนจากพวกอัศวินและเจ้าผู้ครองนครส่วนหนึ่ง    เพราะว่าพวกเขาจ้องจะเขมือบที่ดินผืนใหญ่และทรัพย์สินของศาสนจักรมาเป็นเวลานานแล้วนั่นเอง

ปี 1517 ภายใต้คำอ้างเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม     องค์สันตะปาปาได้จัดจำหน่ายบัตรไถ่บาปชนิดหนึ่งในประเทศที่เป็นโรมันคาทอลิคทั้งหลาย       ทั้งนี้เพื่อกอบโกยเงินทองเข้ากระเป๋านั่นเอง    ทูตพิเศษขององค์สันตะปาปาโฆษณาว่าเพียงแค่นำเงินที่ซื้อบัตรไถ่บาปไปเคาะตู้เงิน  วิญญาณของคนที่มีบาปก็สามารถไปสู่สรวงสวรรค์ได้         กลลวงอันไร้ยางอายนี้ทำให้ความไม่พอใจของมวลชนชั้นชนต่างๆในเยอรมันที่มีต่อองค์สันตปาปาและศาสนจักรซึ่งสะสมและเก็บกดมาเป็นเวลานานถึงจุดระเบิดทันที   ยามนั้น  ลูเธอร์ได้จัดการปิดประกาศ “หลักธรรม 95 ข้อ” (Ninety-five Theses)   ของเขาไว้ที่ประตูใหญ่ของวิหาร วิทเทนแบร์ก ทำการประณามองค์สันตปาปาอย่างสาดเสียเทเสีย   ปี 1520  เขายังจัดการเผาราชโองการขององค์สันตะปาปาที่คัดชื่อเขาออกจากศาสนิกภาพต่อหน้าสาธารณชน      ทั้งเสนอให้สถาปนาศาสนจักรประจำชาติที่สลัดพ้นจากการควบคุมขององค์สันตะ ปาปา        ปฏิบัติการและคำเรียกร้องอันห้าวหาญนี้    ได้กลายเป็นสัญญาณสู้รบที่คัดค้านศาสนจักรโรมันคาทอลิคในทันที

แต่ทว่า  พอไฟถูกจุดขึ้นแล้วก็ได้ไหม้ลามออกนอกขอบเขตที่ชนชั้นนายทุนจะควบคุมได้     ชาวนาและชาวเมืองอันกว้างใหญ่ไพศาลได้พกพาความเรียกร้องต้องการของตนโถมตัวเข้าสู่การเคลื่อนไหวโดยมี โธมัส มึนเซอร์ (Thomas Müntzer  )เป็นผู้นำ      พวกเขามีความคิดเห็นให้ใช้ความรุนแรงไปโค่นล้มระ บอบสังคมในปัจจุบัน   สถาปนารัฐแบบเมืองแมนแดนสวรรค์ที่ไม่มีทรัพย์สินเอกชน   ไม่มีการขูดรีดและกการกดขี่ทางชนชั้นขึ้นรัฐหนึ่ง    โธมัส มึนเซอร์   เคยเป็นหมอสอนศาสนาโรมันคาทอลิคในเมืองสวิคเคาน์( Zwickau)ของเยอรมัน  เริ่มแรกสนับสนุนข้อคิดเห็นของลูเธอร์ไปพร้อมกับการขยายตัวของการเคลื่อนไหว        เขาได้ดูดซับพลังในหมู่มวลชนมิได้ขาด   ในที่สุดก็แยกทางเดินกับลูเธอร์อย่างเด็ดเดี่ยว    เขาได้โจมตีคัมภีร์อันเน่าเฟะของศาสนจักรโรมันคาทอลิคอย่างเผ็ดร้อน      ปฏิเสธคำสอนที่ว่ามีแต่คัมภีร์ไบเบิลเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ให้ความเห็นแจ้งอย่างไม่พลาดผิด    กระทั่งเห็นว่าพระเยซูคริสต์ก็เป็นคนเหมือนกัน   เขาได้ลอกคราบความศักดิ์สิทธิ์และความลึกลับของศาสนาคริสต์ออกจนหมดสิ้น    เอาการหลอกลวงด้วยสวรรค์และขู่ด้วยนรกออกมาตีแผ่ให้เห็นอย่างล่อนจ้อนเช่นเดียวกับทัศนะเกี่ยวกับศาสนาที่ใกล้เคียงกับอเทวนิยม      

ความคิดทางการ เมืองของเขาก็สะท้อนผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพที่เพิ่งจะพัฒนา     เขาเรียกร้องประชาชนลุกขึ้นใช้ความรุนแรงฟาดกระหน่ำใส่ “โอ่งเก่าใบผุๆ” ของสังคมปัจจุบันใบนี้    ภาระหน้าที่ของผู้เป็นสาวกก็คือสร้างแดนสวรรค์ขึ้นในโลกปัจจุบัน     มึนเซอร์ไม่เพียงแต่คัดค้านศาสนจักรโรมันคาทอลิคและเจ้าครองนครศักดินาและขุนนางในเมืองเท่านั้น    หากยังประณามคำสอนที่สันตินุ่มนวลของลูเธอร์ด้วย    เขาเรียกศาสตราจารย์ลูเธอร์ว่า ดอกเตอร์ “ลุคน่า” หมายถึงบรมครูผู้โป้ปด    เขาเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อโฆษณาเหตุผลของการปฏิวัติ..หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ   ติดต่อประสานงานกับกลุ่มปฏิวัติในท้องที่ต่างๆ      การเคลื่อนไหวของมึนเซอร์   ได้เกิดบทบาทอย่างใหญ่หลวงต่อการกระตุ้นสงครามชาวนาในเยอรมัน

ปี 1524-1525   ในเยอรมันได้เกิดสงครามชาวนาที่คัดค้านระบอบศักดินาและคัดค้านศาสนจักรโรมันคาทอลิค   สงครามครั้งนี้ได้ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเยอรมัน    ทั่วประเทศมีชาวนาประมาณ 2 ใน 3 เข้าร่วมสงครามครั้งนี้    โดยเฉพาะในแคว้น ชวาเบน  ฟรานโกเนีย  และแซกโซนี    การลุกขึ้นสู้ของสามแคว้นนี้ยิ่งมีขนาดใหญ่   และผู้นำโดยตรงในแคว้นแซกโซนีก็คือตัวมึนเซอร์เอง    การเคลื่อน ไหวปฏิวัติครั้งนี้ได้กระทบกระเทือนศาสนจักรโรมันคาทอลิคและขุนนางศักดินา      ทั้งเพศบรรพชิตและฆราวาสมาก   การเคลื่อนไหวปฏิวัติที่ถั่งโถมทำให้ชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่ตกอกตกใจยิ่งนัก     ดังนั้นพวกเขาจึงโอนเอนเข้าหาและยืนอยู่กับพวกขุนนางและเจ้าครองนคร     ร่วมมือกันก่อการรุกโจมตีต่อชาวนาที่ปฏิวัติ  

ลูเธอร์ ก็ได้ออกมาป่าวร้องให้ทำการปราบปรามชาวนาที่ลุกขึ้นสู้อย่างไม่ต้องปรานีปราศรัย  “ใครก็ตามขอเพียงให้มีกำลังทำได้ไม่ว่าจะในที่ลับที่แจ้งก็ดี   ล้วนจะต้องบดขยี้  รัดคอให้ตาย  และทิ่มแทงพวกเขาให้แหลกเหลวเหมือนตีสุนัขบ้าให้ตายฉันนั้น”   ลูเธอร์ได้ตกต่ำลงกลายเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์และผู้สมรู้ร่วมคิดของชนชั้นปกครองไปโดยสิ้นเชิง   ในที่นี้หน้ากากตัวแทน “ปวงชน” ของชนชั้นนายทุนได้ถูกพวกเขากระชากขาดรุ่งริ่ง    เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาอย่างล่อนจ้อน    เนื่องจากชาวนาในขณะนั้นยังขาดการชี้นำจากชนชั้นที่ก้าวหน้า      โดยเฉพาะคือการทรยศหักหลังของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่    ทำให้สงครามชาวนาพ่ายแพ้ไปในที่สุด         ตัวมึนเซอร์เองก็ถูกจับในการสู้รบที่เมือง ฟรังเกนเฮ้าเซ่น(Frankenhausen)  ถูกทรมานอย่างทารุณ และถูกประหารชีวิตในที่สุด ศีรษะของเขาถูกตั้งแสดงไว้นอกกำแพงเมืองนานเป็นปีเพื่อเป็นการตักเตือนผู้ที่คิดจะลุกขึ้นสู้อีก  

ภายหลังสงครามชาวนาพ่ายแพ้   พวกเจ้าศักดินาได้ดำเนินการตีโต้กลับอย่างบ้าคลั่ง    ทำให้ชาวนาที่เคยได้รับอิสรภาพทางร่างกายบ้างแล้วกลับถูกกดลงเป็นทาสกสิกรอีกครั้งหนึ่ง    ขณะเดียวกันประเทศเยอรมันก็ตกอยู่ในภาวะแตกแยกทางการเมืองมากยิ่งขึ้น       ผลต่อเนื่องอีกประการหนึ่งก็คือพวกขุน นางศักดินาจำนวนมากได้ฉวยโอกาสแย่งยึดที่ดินของศาสนจักรโรมันคาทอลิค       จากนั้นพวกเขาก็   เปลี่ยนมานับถือศาสนานิกายลูเธอรัล        ทั้งจัดให้นิกายลูเธอรัลมีสถานภาพอยู่ในอาณาจักรของตน    เพื่อให้มันมารับใช้ผลประโยชน์ทางชนชั้นของตน

ในเยอรมัน..ถึงแม้ว่านิกายลูเธอรัล จะเปลี่ยนสีแปรธาตุกลายเป็นเครื่องมือที่ว่านอนสอนง่ายของเจ้าศักดินาแล้วก็ตาม     แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังคงสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุน   ดังนั้นในยุคสะสมทุนปฐมกาลในยุโรปจึงมีเนื้อดินอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการขยายตัวของมัน      และได้ค่อยๆแผ่ขยายเข้าไปในประเทศต่างๆในยุโรปตอนเหนือเช่น นอรเวย์ สวีเดน เดนมาร์ก เป็นต้น  ในอัง กฤษ  ฝรั่งเศส  โป แลนด์  ฮังการี  ก็มีสาวกของนิกายลูเธอรัลอยู่ส่วนหนึ่งเช่นกัน

แหล่งกำเนิดการปฏิรูปศาสนาอีกแห่งหนึ่งคือ   ประเทศสวิตเซอร์แลนด์   ซึ่งเศรษฐกิจทุนนิยมค่อนข้างพัฒนา   ณ ที่นั้นได้เกิดการปฏิรูปศาสนาของคัลแวง ซึ่งถือกรุงเจนีวาเป็นศูนย์กลาง  จัง คัลแวง (Jean Calvin 1509-1564)  เกิดในฝรั่งเศส   ได้รับผลสะเทือนทางความคิดจากศาสนานิกายลูเธอรัลในขณะศึกษาอยู่ในกรุงปารีส    เนื่องจากที่ฝรั่งเศสมีการปองร้ายสาวกนิกายใหม่* (เป็นคริสต์ศาสนานิกายใหม่ที่แยกตัวจากนิกายโรมันคาธอลิค เป็นนิกายใหญ่หนึ่งในสามนิกาย คือโรมันคาทอลิค  โปรแตสแตนท์  และกรีกออร์ธอร์ดอกซ์  คำว่าโปร แตสแตนท์ ยังเป็นชื่อรวมของนิกายต่างๆ ที่แยกตัวออกจากโรมันคาทอลิค ในคราวเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาในยุโรปในศตวรรษที่ 16   เนื่องจากมีท่าทีต่อต้านโรมันคาทอลิคซึ่งเป็นศาสนาทางการที่กรุงโรม   ฉะนั้น  ในยุโรปโดยทั่วไปจึงเรียกว่า “นิกายต่อต้านโรม”  หรือนิกายประท้วง (โปรแตสแตนท์)  คำว่า “นิกายประท้วง” มาจากภาษาเยอรมันคือ โปรแตสแตนท์   เดิมหมายถึงการประท้วงต่อญัตติฟื้นฟูอภิสิทธิ์ของโรมันคาทอลิคของผู้แทนเจ้าครองนครและชาวเมืองในที่ประชุมสภาแห่งจักรวรรดิเยอรมันในปี 1529   ต่อมาจึงเป็นชื่อเรียกขานนิกายต่างๆที่ไม่ขึ้นต่อนิกายโรมันคาทอลิคในกรุงโรม)  เขาจึงหนีไปอยู่กรุงบรัสเซลส์  ต่อมาไปอยู่เจนีวาเพื่อสร้างทฤษฎีทางศาสนาของตนเองเช่นเดียวกับลูเธอร์   

คัลแวงก็ยึดถือข้อคิดเห็น “ความศรัทธานำมาซึ่งการปลดเปลื้อง” และให้ก่อตั้ง “ศาสนจักรราคาถูก”   แต่เขาก้าวหน้ากว่าลูเธอร์ตรงที่เขาเสนอสิ่งที่เรียกว่า “ทฤษฎีว่าด้วยลิขิตก่อนกำเนิด”  เห็นว่าชะตาชีวิตของคนเรานั้นได้ถูกกำหนดแน่นอนแล้วโดยพระผู้เป็นเจ้า    ความมั่งมีหรือยากจนก็คือตราของ “ผู้ที่เลือกสรร”  และ  “ผู้ที่ถูกทอดทิ้ง” ของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง     ทฤษฎีว่าด้วยชะตาลิขิตของเขาชนิดนี้   ทั้งได้ปลุกเร้าให้ชนชั้นนายทุนมานะบากบั่นสร้างฐานะมั่งมีศรีสุขเพื่อพิสูจน์ว่าตนคือ “ราษฎรเลือกสรร” ของพระผู้เป็นเจ้า     และทั้งใช้มันมาอำพรางธาตุแท้การขูดรีดของชนชั้นนายทุน   แปรพฤติกรรมในการขูดรีดและหลอกลวงทั้งปวงของชนชั้นนายทุนให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์    นอกจากนี้  “ทฤษฎีว่าด้วยลิขิตก่อนกำเนิด”  ของคัลแวงก็ยังสะท้อนความจริงข้อหนึ่งคือ  ในการแข่งขันทางการค้า....สิ่งที่ชี้ขาดความสำเร็จหรือความล้มเหลวนั้น ไม่ใช่เจตนารมณ์หรือปฏิบัติการของบุคคล   หากคือพลังทางเศรษฐกิจที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เป็นตัวกำหนด   คัลแวงได้ปรับปรุงศาสนจักรตามหลักการระบอบสาธารณรัฐ    โดยให้สา วกทำการเลือกผู้อาวุโส  (โดยทั่วไปจะเป็นชาวเมืองที่ร่ำรวยที่สุด)   และบาทหลวงมาควบคุมดูแลศาสนกิจ  

นับแต่ปี 1541เป็นต้นมา   คัลแวงได้เป็นผู้นำของศาสนจักรในเจนีวา   ภายใต้การนำของเขา   ในช่วงเวลา 20 กว่าปีให้หลัง   โดยความจริงเจนีวาได้กลายเป็นสาธารณรัฐที่รวมการเมืองและศาสนาเป็นองค์เดียวกัน    กระทั่งมีผู้เรียกขานเขาว่า “สันตะปาปาแห่งกรุงเจนีวา”  การปฏิบัติของคัลแวงต่อ “ความคิดนอกรีต” ทั้งปวงโดยเฉพาะต่อ “กลุ่มล้างบาปใหม่”*  (กลุ่มล้างบาปใหม่ เห็นว่า การล้างบาปของเด็กๆที่ถูกบังคับให้กระทำโดยศาสนจักรนั้นเป็นโมฆะ   ควรต้องล้างบาปใหม่อีกครั้งเมื่อเติบโตขึ้นแล้ว   จึงได้ชื่อว่า “ล้างบาปใหม่”   มวลชนที่เป็นฐานรองรับของกลุ่มนี้ก็คือชาวนาและช่างฝีมือ   พวกเขาเรียกร้องให้ทำทรัพย์สินเป็นของสาธารณะ   คัดค้านระบอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินของขุนนางเจ้าที่ดินและศาสนจักร ) ซึ่งเป็นกลุ่มที่สะท้อนความเรียกร้องต้องการของชาวนาและชาวเมือง    จึงได้ถูกปองร้ายอย่างโหดเหี้ยม    เพื่อเป็นหลักประกันในการปกครองของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่   

ศาสนานิกายคัลแวงนิสม์ได้รับการเผยแพร่อย่างรวดเร็วในอังกฤษ  ฝรั่งเศส  ภาคตะวันตกและภาคใต้ที่เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองของเยอรมันและเนเธอร์แลนด์เป็นต้นเป็นที่เด่นชัดว่า  การปฏิรูปศาสนาที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 ครั้งนี้   ไม่ใช่การโต้แย้งอภิปรายทางเทววิทยาเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในสรวงสวรรค์ล้วนๆอย่างแน่นอน      หากเป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่ชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่คัดค้านชนชั้นปกครองศักดินาที่มีศาสนจักรโรมันคาทอลิคเป็นตัวแทนภายใต้การอำพรางด้วยเสื้อคลุมของศาสนานั่นเอง    ถึงแม้ว่าศาสนจักรโรมันคาทอลิคได้ดำเนินการต่อสู้ดิ้นรนและตีโต้กลับอย่างดื้อรั้นเป็นเวลานาน    เช่นจัดตั้ง “สมาคมเยซูคริสต์”  ขึ้นมาต่อต้าน   

ตัวการปฏิรูปศาสนาเองก็เคยถูกยึดกุมโดยขุนนางศักดินาหรืออำนาจกษัตริย์ในบางประเทศ    จนเกิดการเปลี่ยนสีแปรธาตุก็ตาม    แต่ผลโดยรวมแล้วก็คือศาสนจักรโรมันคาทอลิคได้รับความพ่ายแพ้อย่างหนักหน่วง   นิกายใหม่ของลูเธอร์และคัลแวงกลับได้รับผลสำเร็จอย่างใหญ่หลวง    เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวเติบใหญ่ของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่    การปฏิรูปศาสนาได้บุกเบิกหนทางช่วงชิงอำนาจรัฐให้กับชนชั้นนายทุน   มันได้สนองอาวุธทางความคิดแก่การปฏิวัติชนชั้นนายทุนในยุคแรก    การปฏิวัติชนชั้นนายทุนในเนเธอร์แลนด์ในปี 1566-1609   และการปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษในเวลาต่อมา   ล้วนดำเนินไปภายใต้ธงนำของศาสนานิกายคัลแวงนิสม์ทั้งสิ้น ……..

การปฏิวัติชนชั้นนายทุนในเนเธอร์แลนด์
กลางศตวรรษที่ 16  ในเนเธอร์แลนด์ได้เกิดการปฏิวัติชนชั้นนายทุน       การปฏิวัติครั้งนี้สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของชนชั้นนายทุน       คำว่า “เนเธอร์แลนด์”  มีความหมายมาจากคำว่า “ที่ลุ่ม”  หมายถึงดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำไรน์  แม่น้ำมาส  ตอนล่างของแม่น้ำสเคลต์และชายฝั่งทะเลเหนือ       ซึ่งก็คือฮอล  แลนด์  เบลเยี่ยม  ลักเซมเบอร์ก     และส่วนหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสในปัจจุบันนั่นเอง    เนเธอร์แลนด์ในศตวรรษที่ 16 เป็นดินแดนซึ่งเศรษฐกิจทุนนิยมเจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป   ขณะเดียวกันเนเธอร์แลนด์ก็เป็นเมืองขึ้นของราชอาณาจักรสเปน   ถูกกดขี่บีฑาจากการปกครองของสเปน   เริ่มแต่ปี 1556  กษัตริย์แห่งสเปน  ฟิลิปป์ที่ 2  (Philip 2 ครองราชย์ 1556-1598)  ก็ได้เสริมการปกครองแบบเผด็จการต่อเนเธอร์แลนด์หนักมือยิ่งขึ้น    การยึดครองทางทหาร  การกดขี่ทางประชาชาติ   การปองร้ายทางศาสนาและมาตรการรีดนาทาเร้นทางเศรษฐกิจเป็นอันมาก   เป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมในเนเธอร์แลนด์  เป็นเหตุให้ความขัดแย้งทางชนชั้นและความขัดแย้งทางประชาชาติแหลมคมขึ้นอย่างรวดเร็ว   การปฏิวัติกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว       โดยเฉพาะในทศวรรษที่ 1550-1560   ความคิดต่อต้านของชนชั้นปฏิวัติต่างๆในเนเธอร์แลนด์นับวันมีแต่จะสูงขึ้น

ในหมู่ชนชั้นนายทุนนั้น    นับว่าพวกเจ้าของสถานประกอบการหัตถกรรม  พ่อค้าขนาดกลางและขนาดเล็กค่อนข้างก้าวหน้า    พวกเขาเรียกร้องให้โค่นการปกครองเผด็จการศักดินาของสเปน   สร้างรัฐประ ชาชาติที่เป็นอิสระ   ผลักดันเศรษฐกิจทุนนิยมให้พัฒนาก้าวหน้าไป   พวกเขาชูธงศาสนานิกายคัลแวงนิสม์ในการปฏิวัติคัดค้านการปกครองของสเปน   พวกเขาได้ประสานตนเองเข้ากับการต่อสู้ของมวลชนในระยะเวลาที่แน่นอน   เกิดบทบาทที่เป็นคุณไม่น้อย   แต่ว่า  ชนชั้นนายทุนพาณิชยกรรมขนาดใหญ่ซึ่งมีฐานะนำในหมู่ชนชั้นนายทุนโน้มเอียงไปทางอนุรักษ์   พวกเขาถึงแม้ว่าคัดค้านมาตรการบางประการของระบอบเผด็จการ     แต่ว่าใช้ท่าทีประนีประนอมกับอิทธิพลขุนนางและผู้ปกครองสเปน   โดยเฉพาะพวกพ่อค้ามหาเศรษฐีทางตอนใต้ซึ่งมีติดต่อทางการค้ากับสเปนและอาณานิคมของมันก็ยิ่งเป็นเช่นนี้  ส่วน
 ชาวนาและชาวเมืองซึ่งได้รับการกดขี่ทางชนชั้นและทางประชาชาติถึงสองชั้นนั้น      มีความเรียกร้องต้องการปฝกิวัติอย่างแรงกล้า    พวกเขาเรียกร้องให้ใช้กำลังโค่นล้มระเบียบปัจจุบัน    ทำลายพวกขุน นางและพวกพระ   พวกเขาใฝ่ฝันสังคมระบอบกรรมสิทธิ์สาธารณะพวกนี้เป็นกำลังพื้นฐานของการปฏิวัติ

นอกจากนี้   ในหมู่ขุนนางศักดินาก็มีการแยกตัวของกลุ่มฝ่ายค้านที่นำโดยเชื้อพระวงศ์วิลเลี่ยม(1533-1584) พวกเขาบ้างเป็นขุนนางใหม่ที่เป็นแบบชนชั้นนายทุน   มีความเรียกร้องต้องการพัฒนาทุนนิยม   บ้างไม่พอใจที่ขุนนางสเปนกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ   จึงคิดฉกฉวยโอกาสแย่งยึดที่ดินของศาสนจักรโรมันคาทอลิค     พวกเขาได้จัดตั้งกลุ่มการเมืองของตนเองเรียกว่า “พันธมิตรขุนนาง”   ดำเนินการเคลื่อนไหวคัดค้านสเปน        และได้ยึดอำนาจการนำของฝ่ายปฏิวัติภายใต้การหนุนหลังของชนชั้นนายทุนใหญ่พาณิชยกรรม  ซึ่งมีผลทำให้การปฏิวัติในเนเธอร์แลนด์กลายเป็นการปฏิวัติที่ไม่ถึงที่สุด

การปฏิวัติเริ่มต้นด้วยการต่อสู้ของมวลชนที่มีขนาดใหญ่โต   เดือนสิงหาคมปี 1566   เมืองหัตถกรรมบางแห่งทางภาคใต้ได้เกิดเหตุการณ์ “ขบวนการทำลายเทวรูป”   มวลชนชาวนาและชาวเมืองได้ลุกขึ้นรื้อทำลายโบสถ์วิหารโรมันคาทอลิค   เผาทำลายพันธบัตรและโฉนดที่ดิน   ริบทรัพย์สินของศาสนจักร   เดือนตุลาคม  ขบวนการได้แผ่ขยายไปถึง12 มณฑลในจำนวน 17 มณฑลของเนเธอร์แลนด์     ผู้เข้าร่วมมีจำนวนหลายหมื่นคน   การเคลื่อนไหวของมวลชนที่เป็นไปประดุจพายุบุแคมนี้   ทำให้พันธมิตรขุนนางและฝ่ายคัลแวงนิสม์ซึ่งเป็นกลุ่มนำตกอกตกใจยิ่งนัก  ขุนนางส่วนหนึ่งจึงหันไปช่วยเหลือกองกำลังของรัฐบาลปราบปรามผู้ก่อการลุกขึ้นสู้     

บรรดาผู้นำในคณะอาวุโสหรือเพรสไบเทอร์เรียนของฝ่ายคัลแวงนิสต์พากันถอนตัวออกจากการเคลื่อน ไหวอย่างตาลีตาลาน       ชนชั้นปกครองสเปนจึงจัดตั้งกำลังตีโต้กลับทันที     เดือนสิงหาคม 1567 ดยุค อัลวา ( Dukำ Alva  of 1508-1583)   ข้าหลวงใหญ่คนใหม่ได้นำกำลังทหาร 18,000 คนเข้าตั้งประจำในเนเธอร์แลนด์   ดำเนินการปกครองแบบสยองขวัญ   ตรวจค้นจับกุมและเข่นฆ่าผู้ลุกขึ้นสู้ขนานใหญ่   ทั้งดำเนินระบอบภาษีใหม่อันเป็นการทำลายเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์    อัลวาประกาศอย่างโอหังว่า  เก็บเนเธอร์แลนด์ที่ยากจนไว้ให้พระผู้เป็นเจ้าดีกว่าทิ้งเนเธอร์แลนด์ที่ร่ำรวยให้ปีศาจ    มวล

 ชนใช้การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธไปตอบโต้การปกครองที่สยดสยองและนโยบายปล้นชิงของอัลวา   

ในภาคใต้ มีลูกจ้าง  หัตถกร  และชาวนาหลบเข้าสู่ป่าเขา   จัดตั้งองค์กร “ขอทานป่าเขา”*(ปี1566   ขณะที่พันธมิตรขุนนางยื่นหนังสือประท้วงต่อข้าหลวงใหญ่นั้น   บรรดาขุนนางใหญ่สเปนด่าพวกเขาว่า “ไอ้ขอทาน”  พันธมิตรขุนนางจึงใช้คำว่าขอทานเป็นชื่อจัดตั้งของตนเอง   ทั้งได้ออกแบบภาพ ถุงย่ามและกะลาขอทานเป็นตราของกลุ่ม     ต่อมา มวลชนปฏิวัติก็นิยมใช้ชื่อนี้   ในขบวนทัพของฝ่ายลุกขึ้นสู้มักได้ยินคำขวัญ “ขอทานจงเจริญ” เป็นประจำ)ดำเนินสงครามกองโจรทางภาคเหนือ เช่น มณฑลฮอลแลนด์  และซีแลนด์  เป็นต้น   พวกชาวประมง  กะลาสีเรือและกรรมกรท่าเรือก็โยกย้ายกำลังไปอยู่ในลำเรือ   จัดตั้งกองจรยุทธ “ขอทานทะเล” ขึ้นทำการโจมตีกองเรือและที่มั่นตามชายฝั่งทะเลของสเปนจนได้รับผลสำเร็จอย่างงดงาม   พวกชนชั้นนายทุนขุนนางส่วนหนึ่งก็เข้าร่วมกองจรยุทธ์ชนิดนี้ด้วยเช่นกัน    การต่อสู้ด้วยอาวุธของมวลชนได้โจมตีต่อชนชั้นปกครองสเปนอย่างหนัก   ทั้งเป็นการตระเตรียมให้กับกระแสสูงของการปฏิวัติที่จะติดตามมา

เดือนเมษายน 1572  กองจรยุทธทะเลกองหนึ่งได้โจมตีและยึดได้เมืองบริลส์บนเกาะซีแลนด์   ชัยชนะในครั้งนี้ได้ผลักดันการปฏิวัติขึ้นสู่กระแสสูงใหม่     หลายสัปดาห์ต่อมาการลุกขึ้นสู้ได้ขยายตัวไปทั่วทุกมณฑลทางภาคเหนือ     ชาวนาลุกขึ้นมาทำลายโบสถ์วิหารและเรือกสวนของขุนนาง   ปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามพันธะศักดินา     มวลชนที่ลุกขึ้นสู้ในเมืองภายใต้การนำของพวกหัวรุนแรงชนชั้นนายทุนได้จัดตั้งกองทัพปฏิวัติ   ก่อตั้งอำนาจรัฐในเมือง   ทำการปราบปรามต่อพวกพระ    พวกทรยศและพวกสปายสายลับที่นิยมสเปน   ตีโต้การบุกโจมตีของกองทัพสเปนล่าถอยไป     ปลายปี 1573 มณฑลทางภาคเหนือได้ทยอยปลดแอกจากการยึดครองของสเปนและประกาศเอกราช

ในกระบวนการต่อสู้ของประชาชนที่พัฒนาไปอย่างครึกโครม      ชนชั้นนายทุนใหญ่พาณิชยกรรมได้สมคบกับขุนนางทำการช่วงชิงอำนาจรัฐ   ปี 1572 พวกเขาได้รับตัวเชื้อพระวงศ์วิลเลี่ยมซึ่งลี้ภัยอยู่ต่างประเทศกลับมาที่ภาคเหนือ     ทั้งได้สนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นข้าหลวงใหญ่ในที่ประชุม 7 มณฑลภาคเหนือซึ่งจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม   พวกเขามุ่งหวังจะพึ่งพากำลังของพวกขุนนางหยุดยั้งการปฏิวัติไม่ให้พัฒนาสืบต่อไป

เดือนกันยายน 1576  ที่บรัสเซลส์เกิดการลุกขึ้นสู้   โค่นล้มสถาบันการปกครองสูงสุดของสเปนที่มีต่อเนเธอร์แลนด์   จากนั้นมา สนามการต่อสู้ที่สำคัญก็ได้เคลื่อนย้ายไปในมณฑลต่างๆทางภาคใต้    แต่ว่า พวกขุนนางและพ่อค้ามหาเศรษฐีทั้งหลายของภาคใต้ที่ได้แย่งยึดอำนาจรัฐของมณฑลต่างๆทางภาคใต้ไว้ในมือ  กลับพยายามอย่างสุดกำลังที่จะประนีประนอมกับสเปน    ส่วนขุนนางและพ่อค้ามหาเศรษฐีในภาคเหนือซึ่งมีเชื้อพระวงศ์วิลเลี่ยมเป็นผู้นำก็จดจ้องคอยแต่จะประนีประนอมกับขุนนางทางภาคใต้    เดือนตุลาคม  ได้เปิดประชุม 3 ฐานันดรของเนเธอร์แลนด์ที่เมืองเกนต์   “ข้อตกลงประนีประนอมเกนต์”  ซึ่งบรรลุในที่ประชุมก็คือผลิตผลของการประนีประนอมดังกล่าว   ข้อตกลงนี้แม้ว่าได้ยกเลิกประกาศและคำสั่งต่างๆของอัลวา   เน้นความจำเป็นที่เหนือใต้จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ตาม   แต่ในข้อตกลงไม่เพียงแต่ไม่แตะต้องปัญหาการทำลายระบอบที่ดินแบบศักดินาเท่านั้น    กระทั่งปัญหาเอกราชของเนเธอร์แลนด์ก็ไม่ได้กล่าวถึงเลย

ภายหลังจากการลงนามในข้อตกลงแล้ว   ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1577  ประชาชนในเมืองต่างๆของภาคใต้ก็ได้ก่อการลุกขึ้นสู้ครั้งใหม่    ได้ก่อตั้งองค์กรอำนาจรัฐปฏิวัติ   ใช้มาตรการประชาธิปไตยบางประการ   การลุกขึ้นสู้ของชาวนาก็แผ่ขยายไปในมณฑลต่างๆอีกครั้งหนึ่ง   แต่ว่าการต่อสู้ของประชาชนกลับถูกปราบปรามโดยกองทหารของสภาสามฐานันดร        และถูกบ่อนทำลายโดยพวกสนับสนุนวิลเลี่ยม   ทำให้กำลังปฏิวัติในภาคใต้ถูกบั่นทอนให้อ่อนแอลง       เป็นการหนุนส่งให้กับการก่อเหตุวุ่นวายของขุนนางในภาคใต้และการตีโต้กลับของกองทัพสเปนปี 1578  กองทัพสเปนได้ตีกองทัพของสภาสามฐานันดรพ่ายแพ้ไปที่เมืองเกมโบล   ขุนนางทางภาคใต้ฉวยโอกาสก่อการกบฏ   

เดือนมกราคม ปีต่อมา    ขุนนางที่เป็นกบฏในเมืองอาร์ตตอยส์และเมืองไฮนัทได้ก่อตั้ง “สหพันธ์อาร์ราส”   สมคบกับกองทัพสเปนดำเนินการเคลื่อนไหวกบฏที่ปฏิปักษ์ปฏิวัติอย่างเปิดเผย       เช่นนี้แล้ว   ความฝันของมณฑลต่างๆทางภาคเหนือที่จะประนีประนอมกับขุนนางในภาคใต้ได้ดับวูบลง   ดังนั้นจึงได้ก่อตั้งองค์กร “พันธมิตรยูเตรคต์”  ขึ้นต่อต้าน    พันธมิตรประกาศว่า   มณฑลต่างๆในภาคเหนือจะไม่มีการแบ่งแยกตลอดกาล   พิทักษ์เอกราช   ปี 1581  สภาสามฐานันดรในภาคเหนือประกาศปลดพระเจ้าฟิลิปป์ที่ 2   สถาปนา “สาธารณรัฐรวมมณฑล”  วิลเลี่ยมเป็นกงสุล   ดำเนินการปกครองแบบคณาธิป ไตยที่มีชนชั้นนายทุนใหญ่พาณิชยกรรมและขุนนางเป็นพันธมิตรกัน

กองทัพสเปนได้สมคบคิดกับสหพันธ์อาร์ราส     ทำการตีโต้กลับต่อกำลังฝ่ายปฏิวัติ   ได้ยึดครองเมืองบางส่วน   ปี1585  ยึดได้เมืองบรัสเซลส์และเมืองแอนต์เวอร์ป    ฟื้นการปกครองของสเปนในภาคใต้   ทั้งได้หันเป้าไปโจมตีทางภาคเหนือ    กองทัพสาธารณรัฐรวมมณฑลได้ตีโต้การบุกโจมตีของกองทัพสเปนพ่ายแพ้ไปครั้งแล้วครั้งเล่า   พิทักษ์รักษาเอกราชของตนไว้ได้   ปี 1609 สเปนซึ่งตกอยู่ในฐานะยากลำบากทั้งภายในและภายนอกประเทศ      ไม่มีกำลังที่จะทำลายการปฏิวัติในเนเธอร์แลนด์อีกต่อไป    จึงถูกบีบให้ยอมเซ็นต์ “สัญญาสันติภาพ 12ปี”   ความจริงก็คือ  รับรองความเป็นเอกราชของสาธารณรัฐรวมมณฑลนั่นเอง  สาธารณรัฐรวมมณฑลมีมณฑลฮอลแลนด์ใหญ่ที่สุดและร่ำรวยที่สุด    ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า  สาธารณรัฐฮอลแลนด์ด้วย    การปฏิวัติของเนเธอร์แลนด์ก็ได้รับชัยชนะทางภาคเหนือ

การปฏิวัติเนเธอร์แลนด์เป็นการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนที่ได้รับความสำเร็จเป็นครั้งแรก   มันได้บุกเบิกทางการพัฒนาของทุนนิยมในภาคเหนือของเนเธอร์แลนด์   ชนชั้นนายทุนที่พัฒนายังไม่สุกงอม  หวาดกลัวมวลชนเป็นที่สุด   มักจะพึ่งพาเป็นพันธมิตรกับขุนนางตลอดเวลา    พยายามทำให้การปฏิวัติเลิกล้มกลางคัน   การปฏิวัติเนเธอร์แลนด์เป็นการปฏิวัติที่ไม่ถึงที่สุดครั้งหนึ่งของชนชั้นนายทุน   ไม่เพียงแต่ไม่สามารถดำเนินการต่อสู้คัดค้านศักดินาภายในประเทศให้ถึงที่สุดเท่านั้น   กระทั่งการต่อสู้คัดค้านการปกครองของสเปนก็เพียงได้รับชัยชนะเฉพาะส่วนในดินแดนทางภาคเหนือเท่านั้นอีกด้วย    

มาร์กซชี้ว่า “การปฏิวัติปี 1789 ถือเอาการปฏิวัติปี 1648 เป็นต้นแบบของมัน (อย่างน้อยก็ในยุโรป)   และการปฏิวัติปี 1648  ก็มีแต่ถือเอาการลุกขึ้นสู้คัดค้านสเปนของชาวเนเธอร์แลนด์เป็นต้นแบบของมัน    การปฏิวัติแต่ละครั้งในสองครั้งนี้  ล้วนก้าวหน้ากว่าต้นแบบของตนนับด้วยศตวรรษ  ไม่เพียงแต่ในด้านกาลเวลาเป็นเช่นนี้  ทั้งในด้านเนื้อหาก็เช่นกัน”  (มาร์กซ  “การปฏิวัติของชนชั้นนายทุน”)     จะเห็นได้ว่าการปฏิวัติชนชั้นนายทุนของเนเธอร์แลนด์ก็คือการซ้อมรบใหญ่ครั้งหนึ่งของการปฏิวัติชนชั้นนายทุนอังกฤษ   ขณะที่ทั่วทั้งยุโรปยังอยู่ในยุคการปกครองเผด็จการศักดินาโดยทั่วไป   ผลสำเร็จอันมีขอบเขตจำกัดของมันแสดงว่า   ชนชั้นนายทุนในยุโรปได้พกพาความเรียกร้องต้องการที่จะแย่งยึดอำนาจรัฐก้าวขึ้นสู่เวทีประวัติศาสตร์แล้ว   จบตอนที่3   ตอนต่อไปคือ  ยุคการปฏิวัติชนชั้นนายทุนมาถึงแล้ว    

No comments:

Post a Comment