ตอนที่
3 การโหมโรงของการปฏิวัติชนชั้นนายทุน
ขบวนการปฏิรูปศาสนา
คู่ขนานไปกับที่อิทธิพลและผลสะเทือนของชนชั้นนายทุนแผ่ขยายกว้างออกไปทุกวัน พวกเขาไม่อาจนิ่งเฉยในฐานะที่ไร้สิทธิไร้เสียงของตนดังแต่ก่อนอีกแล้วในวิถีของการสะสมทุนปฐมกาลและฟื้นฟูศิลปวัฒน- ธรรม
ชนชั้นนายทุนเริ่มใช้ปฏิบัติการทางการเมือง
ปฏิบัติการนี้เริ่มต้นที่การเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาในยุโรปและสงครามชาวนาขนาดใหญ่ในเยอรมัน
นับแต่ศตวรรษที่
14 ฝ่ายค้านในศาสนจักรโรมันคาทอลิคที่สะท้อนความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนาย
ทุนอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมที่เจริญขึ้นใหม่
เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก
ที่อังกฤษในครึ่งหลังศตวรรษที่ 14 มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้สถาปนา
“ศาสนจักรประจำชาติ” ของจอห์น ไวคลิฟฟ์ (John Wycliffe ประมาณ
1320-1384) ที่เชคโกสโลวาเกียในต้นศตวรรษที่
15 ก็มีการต่อสู้ปฏิรูปศาสนาที่ประสานกับการช่วงชิงการปลดปล่อยประชาชาติที่ก่อการโดย
จาน ฮุส (Jan Hus หรือ จอห์น ฮุส) การเคลื่อนไหวดังกล่าวข้างต้นได้แบ่งแยกออกเป็นกลุ่มปฏิวัติที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชาวนาและชาวเมือง,ได้ฟักตัวกลายเป็นการลุกขึ้นสู้ของชาวนาที่ดุเดือดรุนแรง จนถึงศตวรรษที่
16
การปฏิรูปศาสนาได้รวมตัวเป็นกระแสคลื่นอันเชี่ยวกรากซัดกระหน่ำไปทั่วยุโรป ประเทศเยอรมันที่ความขัดแย้งทางชนชั้นรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นจุดปะทุของขบวนการนี้ มาร์ติน
ลูเธอร์ เป็นผู้ก่อการรุกโจมตีเป็นคนแรก
มาร์ติน ลูเธอร์(Martin 1483-1546)เป็นศาสตราจารย์ด้านเทววิทยาของมหาวิทยาลัยในเมืองวิทเทนแบร์ก (Wittenberg หรือ ลูเธอร์ชตัดท์/ Lutherstadt)ของเยอรมัน มีความไม่พอใจอย่างหนักต่อความเหลวแหลกและไร้เหตุผลขององค์สันตะปาปาและศาสนจักร เขา..ในฐานะตัวแทนผลประโยชน์และความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่ ก่อนอื่นจึงได้เสนอแนวคิดให้ปฏิรูปศาสนจักรโรมันคาทอลิค
หลักการขั้นมูลฐานข้อหนึ่งในคำสอนใหม่ของลูเธอร์คือ “ความศรัทธานำมาซึ่งการปลดเปลื้อง” เขาเห็นว่าการได้รับการปลดเปลื้องทางวิญญาณของมนุษย์ เพียงพึ่งพาความเคร่งในศรัทธาก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องผ่านพวกพระเป็นสื่อกลางและไม่ต้องพึ่งการถวายปัจจัยต่อศาสนจักรและพิธีกรรมอันจุกจิกหยุมหยิม ดังนั้นเขาจึงมีความเห็นให้ยกเลิกระบอบแบ่งชั้นศักดินาทางศาสนาและพิธีกรรมจุกจิกหยุมหยิมทุกชนิด ยกเลิกกิจกรรมทั้งหมดที่เป็นการเผาผลาญทรัพย์สินเงินทองของศาสนจักร สร้าง“ศาสนจักรราคาถูก”
ที่สอด คล้องกับความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุน ลูเธอร์ยังโจมตีลัทธิตัดกิเลสของศาสนจักรโรมันคาทอลิคว่า
ฝืน “มนุษยภาพ” เขาเห็นว่า “การได้มาซึ่งทรัพย์สินและพิทักษ์รักษาทรัพย์สิน”
เป็น “หน้าที่อันพึง ของคริสต์ศาสนิกชนทุกคน”
เช่นนี้แล้ว เขาได้ยืนยันว่า การขูดรีดจนสามารถสร้างฐานะร่ำรวยของชนชั้นนายทุนเป็นสิ่งถูกต้องและชอบด้วยเหตุผล ข้อคิดเห็นในการปฏิรูปศาสนจักรของ ลูเธอร์
ที่สำคัญได้สะท้อนความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่ ขณะเดียวกันก็ได้รับการสนับสนุนจากพวกอัศวินและเจ้าผู้ครองนครส่วนหนึ่ง
เพราะว่าพวกเขาจ้องจะเขมือบที่ดินผืนใหญ่และทรัพย์สินของศาสนจักรมาเป็นเวลานานแล้วนั่นเอง
ปี
1517 ภายใต้คำอ้างเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม องค์สันตะปาปาได้จัดจำหน่ายบัตรไถ่บาปชนิดหนึ่งในประเทศที่เป็นโรมันคาทอลิคทั้งหลาย ทั้งนี้เพื่อกอบโกยเงินทองเข้ากระเป๋านั่นเอง ทูตพิเศษขององค์สันตะปาปาโฆษณาว่าเพียงแค่นำเงินที่ซื้อบัตรไถ่บาปไปเคาะตู้เงิน วิญญาณของคนที่มีบาปก็สามารถไปสู่สรวงสวรรค์ได้ กลลวงอันไร้ยางอายนี้ทำให้ความไม่พอใจของมวลชนชั้นชนต่างๆในเยอรมันที่มีต่อองค์สันตปาปาและศาสนจักรซึ่งสะสมและเก็บกดมาเป็นเวลานานถึงจุดระเบิดทันที ยามนั้น ลูเธอร์ได้จัดการปิดประกาศ “หลักธรรม 95 ข้อ” (Ninety-five Theses)
ของเขาไว้ที่ประตูใหญ่ของวิหาร วิทเทนแบร์ก
ทำการประณามองค์สันตปาปาอย่างสาดเสียเทเสีย
ปี 1520
เขายังจัดการเผาราชโองการขององค์สันตะปาปาที่คัดชื่อเขาออกจากศาสนิกภาพต่อหน้าสาธารณชน ทั้งเสนอให้สถาปนาศาสนจักรประจำชาติที่สลัดพ้นจากการควบคุมขององค์สันตะ ปาปา ปฏิบัติการและคำเรียกร้องอันห้าวหาญนี้ ได้กลายเป็นสัญญาณสู้รบที่คัดค้านศาสนจักรโรมันคาทอลิคในทันที
แต่ทว่า พอไฟถูกจุดขึ้นแล้วก็ได้ไหม้ลามออกนอกขอบเขตที่ชนชั้นนายทุนจะควบคุมได้ ชาวนาและชาวเมืองอันกว้างใหญ่ไพศาลได้พกพาความเรียกร้องต้องการของตนโถมตัวเข้าสู่การเคลื่อนไหวโดยมี
โธมัส มึนเซอร์ (Thomas Müntzer )เป็นผู้นำ
พวกเขามีความคิดเห็นให้ใช้ความรุนแรงไปโค่นล้มระ
บอบสังคมในปัจจุบัน
สถาปนารัฐแบบเมืองแมนแดนสวรรค์ที่ไม่มีทรัพย์สินเอกชน ไม่มีการขูดรีดและกการกดขี่ทางชนชั้นขึ้นรัฐหนึ่ง โธมัส
มึนเซอร์
เคยเป็นหมอสอนศาสนาโรมันคาทอลิคในเมืองสวิคเคาน์( Zwickau)ของเยอรมัน เริ่มแรกสนับสนุนข้อคิดเห็นของลูเธอร์ไปพร้อมกับการขยายตัวของการเคลื่อนไหว เขาได้ดูดซับพลังในหมู่มวลชนมิได้ขาด ในที่สุดก็แยกทางเดินกับลูเธอร์อย่างเด็ดเดี่ยว
เขาได้โจมตีคัมภีร์อันเน่าเฟะของศาสนจักรโรมันคาทอลิคอย่างเผ็ดร้อน ปฏิเสธคำสอนที่ว่ามีแต่คัมภีร์ไบเบิลเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ให้ความเห็นแจ้งอย่างไม่พลาดผิด กระทั่งเห็นว่าพระเยซูคริสต์ก็เป็นคนเหมือนกัน เขาได้ลอกคราบความศักดิ์สิทธิ์และความลึกลับของศาสนาคริสต์ออกจนหมดสิ้น เอาการหลอกลวงด้วยสวรรค์และขู่ด้วยนรกออกมาตีแผ่ให้เห็นอย่างล่อนจ้อนเช่นเดียวกับทัศนะเกี่ยวกับศาสนาที่ใกล้เคียงกับอเทวนิยม
ความคิดทางการ
เมืองของเขาก็สะท้อนผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพที่เพิ่งจะพัฒนา
เขาเรียกร้องประชาชนลุกขึ้นใช้ความรุนแรงฟาดกระหน่ำใส่ “โอ่งเก่าใบผุๆ”
ของสังคมปัจจุบันใบนี้ ภาระหน้าที่ของผู้เป็นสาวกก็คือสร้างแดนสวรรค์ขึ้นในโลกปัจจุบัน มึนเซอร์ไม่เพียงแต่คัดค้านศาสนจักรโรมันคาทอลิคและเจ้าครองนครศักดินาและขุนนางในเมืองเท่านั้น หากยังประณามคำสอนที่สันตินุ่มนวลของลูเธอร์ด้วย เขาเรียกศาสตราจารย์ลูเธอร์ว่า ดอกเตอร์
“ลุคน่า” หมายถึงบรมครูผู้โป้ปด เขาเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อโฆษณาเหตุผลของการปฏิวัติ..หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ
ติดต่อประสานงานกับกลุ่มปฏิวัติในท้องที่ต่างๆ การเคลื่อนไหวของมึนเซอร์
ได้เกิดบทบาทอย่างใหญ่หลวงต่อการกระตุ้นสงครามชาวนาในเยอรมัน
ปี
1524-1525
ในเยอรมันได้เกิดสงครามชาวนาที่คัดค้านระบอบศักดินาและคัดค้านศาสนจักรโรมันคาทอลิค
สงครามครั้งนี้ได้ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเยอรมัน ทั่วประเทศมีชาวนาประมาณ 2 ใน 3 เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ โดยเฉพาะในแคว้น ชวาเบน ฟรานโกเนีย
และแซกโซนี การลุกขึ้นสู้ของสามแคว้นนี้ยิ่งมีขนาดใหญ่ และผู้นำโดยตรงในแคว้นแซกโซนีก็คือตัวมึนเซอร์เอง
การเคลื่อน ไหวปฏิวัติครั้งนี้ได้กระทบกระเทือนศาสนจักรโรมันคาทอลิคและขุนนางศักดินา ทั้งเพศบรรพชิตและฆราวาสมาก การเคลื่อนไหวปฏิวัติที่ถั่งโถมทำให้ชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่ตกอกตกใจยิ่งนัก ดังนั้นพวกเขาจึงโอนเอนเข้าหาและยืนอยู่กับพวกขุนนางและเจ้าครองนคร ร่วมมือกันก่อการรุกโจมตีต่อชาวนาที่ปฏิวัติ
ลูเธอร์
ก็ได้ออกมาป่าวร้องให้ทำการปราบปรามชาวนาที่ลุกขึ้นสู้อย่างไม่ต้องปรานีปราศรัย “ใครก็ตามขอเพียงให้มีกำลังทำได้ไม่ว่าจะในที่ลับที่แจ้งก็ดี ล้วนจะต้องบดขยี้ รัดคอให้ตาย
และทิ่มแทงพวกเขาให้แหลกเหลวเหมือนตีสุนัขบ้าให้ตายฉันนั้น”
ลูเธอร์ได้ตกต่ำลงกลายเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์และผู้สมรู้ร่วมคิดของชนชั้นปกครองไปโดยสิ้นเชิง ในที่นี้หน้ากากตัวแทน “ปวงชน”
ของชนชั้นนายทุนได้ถูกพวกเขากระชากขาดรุ่งริ่ง
เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาอย่างล่อนจ้อน
เนื่องจากชาวนาในขณะนั้นยังขาดการชี้นำจากชนชั้นที่ก้าวหน้า โดยเฉพาะคือการทรยศหักหลังของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่ ทำให้สงครามชาวนาพ่ายแพ้ไปในที่สุด ตัวมึนเซอร์เองก็ถูกจับในการสู้รบที่เมือง
ฟรังเกนเฮ้าเซ่น(Frankenhausen) ถูกทรมานอย่างทารุณ และถูกประหารชีวิตในที่สุด
ศีรษะของเขาถูกตั้งแสดงไว้นอกกำแพงเมืองนานเป็นปีเพื่อเป็นการตักเตือนผู้ที่คิดจะลุกขึ้นสู้อีก
ภายหลังสงครามชาวนาพ่ายแพ้
พวกเจ้าศักดินาได้ดำเนินการตีโต้กลับอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ชาวนาที่เคยได้รับอิสรภาพทางร่างกายบ้างแล้วกลับถูกกดลงเป็นทาสกสิกรอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันประเทศเยอรมันก็ตกอยู่ในภาวะแตกแยกทางการเมืองมากยิ่งขึ้น ผลต่อเนื่องอีกประการหนึ่งก็คือพวกขุน นางศักดินาจำนวนมากได้ฉวยโอกาสแย่งยึดที่ดินของศาสนจักรโรมันคาทอลิค จากนั้นพวกเขาก็ เปลี่ยนมานับถือศาสนานิกายลูเธอรัล ทั้งจัดให้นิกายลูเธอรัลมีสถานภาพอยู่ในอาณาจักรของตน เพื่อให้มันมารับใช้ผลประโยชน์ทางชนชั้นของตน
ในเยอรมัน..ถึงแม้ว่านิกายลูเธอรัล
จะเปลี่ยนสีแปรธาตุกลายเป็นเครื่องมือที่ว่านอนสอนง่ายของเจ้าศักดินาแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังคงสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของชนชั้นนายทุน ดังนั้นในยุคสะสมทุนปฐมกาลในยุโรปจึงมีเนื้อดินอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการขยายตัวของมัน และได้ค่อยๆแผ่ขยายเข้าไปในประเทศต่างๆในยุโรปตอนเหนือเช่น
นอรเวย์ สวีเดน เดนมาร์ก เป็นต้น ในอัง กฤษ ฝรั่งเศส
โป แลนด์ ฮังการี ก็มีสาวกของนิกายลูเธอรัลอยู่ส่วนหนึ่งเช่นกัน
แหล่งกำเนิดการปฏิรูปศาสนาอีกแห่งหนึ่งคือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเศรษฐกิจทุนนิยมค่อนข้างพัฒนา ณ ที่นั้นได้เกิดการปฏิรูปศาสนาของคัลแวง ซึ่งถือกรุงเจนีวาเป็นศูนย์กลาง จัง คัลแวง (Jean Calvin
1509-1564) เกิดในฝรั่งเศส ได้รับผลสะเทือนทางความคิดจากศาสนานิกายลูเธอรัลในขณะศึกษาอยู่ในกรุงปารีส เนื่องจากที่ฝรั่งเศสมีการปองร้ายสาวกนิกายใหม่* (เป็นคริสต์ศาสนานิกายใหม่ที่แยกตัวจากนิกายโรมันคาธอลิค เป็นนิกายใหญ่หนึ่งในสามนิกาย
คือโรมันคาทอลิค โปรแตสแตนท์ และกรีกออร์ธอร์ดอกซ์ คำว่าโปร แตสแตนท์ ยังเป็นชื่อรวมของนิกายต่างๆ
ที่แยกตัวออกจากโรมันคาทอลิค ในคราวเคลื่อนไหวปฏิรูปศาสนาในยุโรปในศตวรรษที่ 16
เนื่องจากมีท่าทีต่อต้านโรมันคาทอลิคซึ่งเป็นศาสนาทางการที่กรุงโรม ฉะนั้น
ในยุโรปโดยทั่วไปจึงเรียกว่า “นิกายต่อต้านโรม” หรือนิกายประท้วง (โปรแตสแตนท์) คำว่า “นิกายประท้วง” มาจากภาษาเยอรมันคือ
โปรแตสแตนท์
เดิมหมายถึงการประท้วงต่อญัตติฟื้นฟูอภิสิทธิ์ของโรมันคาทอลิคของผู้แทนเจ้าครองนครและชาวเมืองในที่ประชุมสภาแห่งจักรวรรดิเยอรมันในปี
1529
ต่อมาจึงเป็นชื่อเรียกขานนิกายต่างๆที่ไม่ขึ้นต่อนิกายโรมันคาทอลิคในกรุงโรม) เขาจึงหนีไปอยู่กรุงบรัสเซลส์ ต่อมาไปอยู่เจนีวาเพื่อสร้างทฤษฎีทางศาสนาของตนเองเช่นเดียวกับลูเธอร์
คัลแวงก็ยึดถือข้อคิดเห็น
“ความศรัทธานำมาซึ่งการปลดเปลื้อง” และให้ก่อตั้ง “ศาสนจักรราคาถูก” แต่เขาก้าวหน้ากว่าลูเธอร์ตรงที่เขาเสนอสิ่งที่เรียกว่า
“ทฤษฎีว่าด้วยลิขิตก่อนกำเนิด” เห็นว่าชะตาชีวิตของคนเรานั้นได้ถูกกำหนดแน่นอนแล้วโดยพระผู้เป็นเจ้า ความมั่งมีหรือยากจนก็คือตราของ “ผู้ที่เลือกสรร” และ “ผู้ที่ถูกทอดทิ้ง” ของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ทฤษฎีว่าด้วยชะตาลิขิตของเขาชนิดนี้
ทั้งได้ปลุกเร้าให้ชนชั้นนายทุนมานะบากบั่นสร้างฐานะมั่งมีศรีสุขเพื่อพิสูจน์ว่าตนคือ
“ราษฎรเลือกสรร” ของพระผู้เป็นเจ้า และทั้งใช้มันมาอำพรางธาตุแท้การขูดรีดของชนชั้นนายทุน แปรพฤติกรรมในการขูดรีดและหลอกลวงทั้งปวงของชนชั้นนายทุนให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้
“ทฤษฎีว่าด้วยลิขิตก่อนกำเนิด”
ของคัลแวงก็ยังสะท้อนความจริงข้อหนึ่งคือ
ในการแข่งขันทางการค้า....สิ่งที่ชี้ขาดความสำเร็จหรือความล้มเหลวนั้น ไม่ใช่เจตนารมณ์หรือปฏิบัติการของบุคคล หากคือพลังทางเศรษฐกิจที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เป็นตัวกำหนด
คัลแวงได้ปรับปรุงศาสนจักรตามหลักการระบอบสาธารณรัฐ โดยให้สา วกทำการเลือกผู้อาวุโส (โดยทั่วไปจะเป็นชาวเมืองที่ร่ำรวยที่สุด) และบาทหลวงมาควบคุมดูแลศาสนกิจ
นับแต่ปี
1541เป็นต้นมา คัลแวงได้เป็นผู้นำของศาสนจักรในเจนีวา ภายใต้การนำของเขา ในช่วงเวลา 20
กว่าปีให้หลัง โดยความจริงเจนีวาได้กลายเป็นสาธารณรัฐที่รวมการเมืองและศาสนาเป็นองค์เดียวกัน กระทั่งมีผู้เรียกขานเขาว่า
“สันตะปาปาแห่งกรุงเจนีวา”
การปฏิบัติของคัลแวงต่อ “ความคิดนอกรีต” ทั้งปวงโดยเฉพาะต่อ “กลุ่มล้างบาปใหม่”* (กลุ่มล้างบาปใหม่ เห็นว่า การล้างบาปของเด็กๆที่ถูกบังคับให้กระทำโดยศาสนจักรนั้นเป็นโมฆะ
ควรต้องล้างบาปใหม่อีกครั้งเมื่อเติบโตขึ้นแล้ว จึงได้ชื่อว่า “ล้างบาปใหม่” มวลชนที่เป็นฐานรองรับของกลุ่มนี้ก็คือชาวนาและช่างฝีมือ
พวกเขาเรียกร้องให้ทำทรัพย์สินเป็นของสาธารณะ
คัดค้านระบอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินของขุนนางเจ้าที่ดินและศาสนจักร ) ซึ่งเป็นกลุ่มที่สะท้อนความเรียกร้องต้องการของชาวนาและชาวเมือง จึงได้ถูกปองร้ายอย่างโหดเหี้ยม เพื่อเป็นหลักประกันในการปกครองของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่
ศาสนานิกายคัลแวงนิสม์ได้รับการเผยแพร่อย่างรวดเร็วในอังกฤษ ฝรั่งเศส
ภาคตะวันตกและภาคใต้ที่เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองของเยอรมันและเนเธอร์แลนด์เป็นต้นเป็นที่เด่นชัดว่า การปฏิรูปศาสนาที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 ครั้งนี้ ไม่ใช่การโต้แย้งอภิปรายทางเทววิทยาเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในสรวงสวรรค์ล้วนๆอย่างแน่นอน หากเป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่ชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่คัดค้านชนชั้นปกครองศักดินาที่มีศาสนจักรโรมันคาทอลิคเป็นตัวแทนภายใต้การอำพรางด้วยเสื้อคลุมของศาสนานั่นเอง ถึงแม้ว่าศาสนจักรโรมันคาทอลิคได้ดำเนินการต่อสู้ดิ้นรนและตีโต้กลับอย่างดื้อรั้นเป็นเวลานาน เช่นจัดตั้ง “สมาคมเยซูคริสต์” ขึ้นมาต่อต้าน
ตัวการปฏิรูปศาสนาเองก็เคยถูกยึดกุมโดยขุนนางศักดินาหรืออำนาจกษัตริย์ในบางประเทศ จนเกิดการเปลี่ยนสีแปรธาตุก็ตาม แต่ผลโดยรวมแล้วก็คือศาสนจักรโรมันคาทอลิคได้รับความพ่ายแพ้อย่างหนักหน่วง นิกายใหม่ของลูเธอร์และคัลแวงกลับได้รับผลสำเร็จอย่างใหญ่หลวง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวเติบใหญ่ของชนชั้นนายทุนที่เจริญขึ้นใหม่ การปฏิรูปศาสนาได้บุกเบิกหนทางช่วงชิงอำนาจรัฐให้กับชนชั้นนายทุน มันได้สนองอาวุธทางความคิดแก่การปฏิวัติชนชั้นนายทุนในยุคแรก การปฏิวัติชนชั้นนายทุนในเนเธอร์แลนด์ในปี 1566-1609
และการปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษในเวลาต่อมา
ล้วนดำเนินไปภายใต้ธงนำของศาสนานิกายคัลแวงนิสม์ทั้งสิ้น ……..
การปฏิวัติชนชั้นนายทุนในเนเธอร์แลนด์
กลางศตวรรษที่
16
ในเนเธอร์แลนด์ได้เกิดการปฏิวัติชนชั้นนายทุน การปฏิวัติครั้งนี้สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของชนชั้นนายทุน คำว่า “เนเธอร์แลนด์” มีความหมายมาจากคำว่า “ที่ลุ่ม” หมายถึงดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำไรน์ แม่น้ำมาส
ตอนล่างของแม่น้ำสเคลต์และชายฝั่งทะเลเหนือ ซึ่งก็คือฮอล แลนด์ เบลเยี่ยม
ลักเซมเบอร์ก และส่วนหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสในปัจจุบันนั่นเอง เนเธอร์แลนด์ในศตวรรษที่ 16 เป็นดินแดนซึ่งเศรษฐกิจทุนนิยมเจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป
ขณะเดียวกันเนเธอร์แลนด์ก็เป็นเมืองขึ้นของราชอาณาจักรสเปน ถูกกดขี่บีฑาจากการปกครองของสเปน เริ่มแต่ปี 1556 กษัตริย์แห่งสเปน ฟิลิปป์ที่ 2 (Philip 2 ครองราชย์
1556-1598)
ก็ได้เสริมการปกครองแบบเผด็จการต่อเนเธอร์แลนด์หนักมือยิ่งขึ้น การยึดครองทางทหาร การกดขี่ทางประชาชาติ การปองร้ายทางศาสนาและมาตรการรีดนาทาเร้นทางเศรษฐกิจเป็นอันมาก เป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมในเนเธอร์แลนด์ เป็นเหตุให้ความขัดแย้งทางชนชั้นและความขัดแย้งทางประชาชาติแหลมคมขึ้นอย่างรวดเร็ว การปฏิวัติกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว โดยเฉพาะในทศวรรษที่ 1550-1560
ความคิดต่อต้านของชนชั้นปฏิวัติต่างๆในเนเธอร์แลนด์นับวันมีแต่จะสูงขึ้น
ในหมู่ชนชั้นนายทุนนั้น นับว่าพวกเจ้าของสถานประกอบการหัตถกรรม พ่อค้าขนาดกลางและขนาดเล็กค่อนข้างก้าวหน้า
พวกเขาเรียกร้องให้โค่นการปกครองเผด็จการศักดินาของสเปน สร้างรัฐประ ชาชาติที่เป็นอิสระ ผลักดันเศรษฐกิจทุนนิยมให้พัฒนาก้าวหน้าไป
พวกเขาชูธงศาสนานิกายคัลแวงนิสม์ในการปฏิวัติคัดค้านการปกครองของสเปน พวกเขาได้ประสานตนเองเข้ากับการต่อสู้ของมวลชนในระยะเวลาที่แน่นอน เกิดบทบาทที่เป็นคุณไม่น้อย แต่ว่า
ชนชั้นนายทุนพาณิชยกรรมขนาดใหญ่ซึ่งมีฐานะนำในหมู่ชนชั้นนายทุนโน้มเอียงไปทางอนุรักษ์ พวกเขาถึงแม้ว่าคัดค้านมาตรการบางประการของระบอบเผด็จการ แต่ว่าใช้ท่าทีประนีประนอมกับอิทธิพลขุนนางและผู้ปกครองสเปน โดยเฉพาะพวกพ่อค้ามหาเศรษฐีทางตอนใต้ซึ่งมีติดต่อทางการค้ากับสเปนและอาณานิคมของมันก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ส่วน
ชาวนาและชาวเมืองซึ่งได้รับการกดขี่ทางชนชั้นและทางประชาชาติถึงสองชั้นนั้น มีความเรียกร้องต้องการปฝกิวัติอย่างแรงกล้า พวกเขาเรียกร้องให้ใช้กำลังโค่นล้มระเบียบปัจจุบัน ทำลายพวกขุน นางและพวกพระ พวกเขาใฝ่ฝันสังคมระบอบกรรมสิทธิ์สาธารณะพวกนี้เป็นกำลังพื้นฐานของการปฏิวัติ
นอกจากนี้
ในหมู่ขุนนางศักดินาก็มีการแยกตัวของกลุ่มฝ่ายค้านที่นำโดยเชื้อพระวงศ์วิลเลี่ยม(1533-1584) พวกเขาบ้างเป็นขุนนางใหม่ที่เป็นแบบชนชั้นนายทุน มีความเรียกร้องต้องการพัฒนาทุนนิยม บ้างไม่พอใจที่ขุนนางสเปนกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ
จึงคิดฉกฉวยโอกาสแย่งยึดที่ดินของศาสนจักรโรมันคาทอลิค พวกเขาได้จัดตั้งกลุ่มการเมืองของตนเองเรียกว่า
“พันธมิตรขุนนาง”
ดำเนินการเคลื่อนไหวคัดค้านสเปน และได้ยึดอำนาจการนำของฝ่ายปฏิวัติภายใต้การหนุนหลังของชนชั้นนายทุนใหญ่พาณิชยกรรม ซึ่งมีผลทำให้การปฏิวัติในเนเธอร์แลนด์กลายเป็นการปฏิวัติที่ไม่ถึงที่สุด
การปฏิวัติเริ่มต้นด้วยการต่อสู้ของมวลชนที่มีขนาดใหญ่โต เดือนสิงหาคมปี 1566 เมืองหัตถกรรมบางแห่งทางภาคใต้ได้เกิดเหตุการณ์
“ขบวนการทำลายเทวรูป”
มวลชนชาวนาและชาวเมืองได้ลุกขึ้นรื้อทำลายโบสถ์วิหารโรมันคาทอลิค เผาทำลายพันธบัตรและโฉนดที่ดิน ริบทรัพย์สินของศาสนจักร เดือนตุลาคม
ขบวนการได้แผ่ขยายไปถึง12 มณฑลในจำนวน 17 มณฑลของเนเธอร์แลนด์
ผู้เข้าร่วมมีจำนวนหลายหมื่นคน
การเคลื่อนไหวของมวลชนที่เป็นไปประดุจพายุบุแคมนี้ ทำให้พันธมิตรขุนนางและฝ่ายคัลแวงนิสม์ซึ่งเป็นกลุ่มนำตกอกตกใจยิ่งนัก ขุนนางส่วนหนึ่งจึงหันไปช่วยเหลือกองกำลังของรัฐบาลปราบปรามผู้ก่อการลุกขึ้นสู้
บรรดาผู้นำในคณะอาวุโสหรือเพรสไบเทอร์เรียนของฝ่ายคัลแวงนิสต์พากันถอนตัวออกจากการเคลื่อน ไหวอย่างตาลีตาลาน ชนชั้นปกครองสเปนจึงจัดตั้งกำลังตีโต้กลับทันที เดือนสิงหาคม 1567 ดยุค อัลวา
( Dukำ Alva of 1508-1583) ข้าหลวงใหญ่คนใหม่ได้นำกำลังทหาร 18,000
คนเข้าตั้งประจำในเนเธอร์แลนด์
ดำเนินการปกครองแบบสยองขวัญ
ตรวจค้นจับกุมและเข่นฆ่าผู้ลุกขึ้นสู้ขนานใหญ่ ทั้งดำเนินระบอบภาษีใหม่อันเป็นการทำลายเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ อัลวาประกาศอย่างโอหังว่า เก็บเนเธอร์แลนด์ที่ยากจนไว้ให้พระผู้เป็นเจ้าดีกว่าทิ้งเนเธอร์แลนด์ที่ร่ำรวยให้ปีศาจ มวล
ชนใช้การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธไปตอบโต้การปกครองที่สยดสยองและนโยบายปล้นชิงของอัลวา
ในภาคใต้ มีลูกจ้าง หัตถกร
และชาวนาหลบเข้าสู่ป่าเขา
จัดตั้งองค์กร “ขอทานป่าเขา”*(ปี1566
ขณะที่พันธมิตรขุนนางยื่นหนังสือประท้วงต่อข้าหลวงใหญ่นั้น บรรดาขุนนางใหญ่สเปนด่าพวกเขาว่า
“ไอ้ขอทาน”
พันธมิตรขุนนางจึงใช้คำว่าขอทานเป็นชื่อจัดตั้งของตนเอง ทั้งได้ออกแบบภาพ
ถุงย่ามและกะลาขอทานเป็นตราของกลุ่ม
ต่อมา มวลชนปฏิวัติก็นิยมใช้ชื่อนี้
ในขบวนทัพของฝ่ายลุกขึ้นสู้มักได้ยินคำขวัญ “ขอทานจงเจริญ” เป็นประจำ)ดำเนินสงครามกองโจรทางภาคเหนือ
เช่น มณฑลฮอลแลนด์ และซีแลนด์ เป็นต้น
พวกชาวประมง
กะลาสีเรือและกรรมกรท่าเรือก็โยกย้ายกำลังไปอยู่ในลำเรือ จัดตั้งกองจรยุทธ “ขอทานทะเล” ขึ้นทำการโจมตีกองเรือและที่มั่นตามชายฝั่งทะเลของสเปนจนได้รับผลสำเร็จอย่างงดงาม พวกชนชั้นนายทุนขุนนางส่วนหนึ่งก็เข้าร่วมกองจรยุทธ์ชนิดนี้ด้วยเช่นกัน การต่อสู้ด้วยอาวุธของมวลชนได้โจมตีต่อชนชั้นปกครองสเปนอย่างหนัก
ทั้งเป็นการตระเตรียมให้กับกระแสสูงของการปฏิวัติที่จะติดตามมา
เดือนเมษายน 1572 กองจรยุทธทะเลกองหนึ่งได้โจมตีและยึดได้เมืองบริลส์บนเกาะซีแลนด์ ชัยชนะในครั้งนี้ได้ผลักดันการปฏิวัติขึ้นสู่กระแสสูงใหม่ หลายสัปดาห์ต่อมาการลุกขึ้นสู้ได้ขยายตัวไปทั่วทุกมณฑลทางภาคเหนือ ชาวนาลุกขึ้นมาทำลายโบสถ์วิหารและเรือกสวนของขุนนาง ปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามพันธะศักดินา มวลชนที่ลุกขึ้นสู้ในเมืองภายใต้การนำของพวกหัวรุนแรงชนชั้นนายทุนได้จัดตั้งกองทัพปฏิวัติ ก่อตั้งอำนาจรัฐในเมือง ทำการปราบปรามต่อพวกพระ พวกทรยศและพวกสปายสายลับที่นิยมสเปน ตีโต้การบุกโจมตีของกองทัพสเปนล่าถอยไป ปลายปี 1573 มณฑลทางภาคเหนือได้ทยอยปลดแอกจากการยึดครองของสเปนและประกาศเอกราช
ในกระบวนการต่อสู้ของประชาชนที่พัฒนาไปอย่างครึกโครม ชนชั้นนายทุนใหญ่พาณิชยกรรมได้สมคบกับขุนนางทำการช่วงชิงอำนาจรัฐ ปี 1572
พวกเขาได้รับตัวเชื้อพระวงศ์วิลเลี่ยมซึ่งลี้ภัยอยู่ต่างประเทศกลับมาที่ภาคเหนือ ทั้งได้สนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นข้าหลวงใหญ่ในที่ประชุม
7 มณฑลภาคเหนือซึ่งจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม พวกเขามุ่งหวังจะพึ่งพากำลังของพวกขุนนางหยุดยั้งการปฏิวัติไม่ให้พัฒนาสืบต่อไป
เดือนกันยายน
1576
ที่บรัสเซลส์เกิดการลุกขึ้นสู้
โค่นล้มสถาบันการปกครองสูงสุดของสเปนที่มีต่อเนเธอร์แลนด์ จากนั้นมา สนามการต่อสู้ที่สำคัญก็ได้เคลื่อนย้ายไปในมณฑลต่างๆทางภาคใต้ แต่ว่า พวกขุนนางและพ่อค้ามหาเศรษฐีทั้งหลายของภาคใต้ที่ได้แย่งยึดอำนาจรัฐของมณฑลต่างๆทางภาคใต้ไว้ในมือ กลับพยายามอย่างสุดกำลังที่จะประนีประนอมกับสเปน ส่วนขุนนางและพ่อค้ามหาเศรษฐีในภาคเหนือซึ่งมีเชื้อพระวงศ์วิลเลี่ยมเป็นผู้นำก็จดจ้องคอยแต่จะประนีประนอมกับขุนนางทางภาคใต้ เดือนตุลาคม
ได้เปิดประชุม 3
ฐานันดรของเนเธอร์แลนด์ที่เมืองเกนต์
“ข้อตกลงประนีประนอมเกนต์”
ซึ่งบรรลุในที่ประชุมก็คือผลิตผลของการประนีประนอมดังกล่าว ข้อตกลงนี้แม้ว่าได้ยกเลิกประกาศและคำสั่งต่างๆของอัลวา
เน้นความจำเป็นที่เหนือใต้จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ตาม
แต่ในข้อตกลงไม่เพียงแต่ไม่แตะต้องปัญหาการทำลายระบอบที่ดินแบบศักดินาเท่านั้น
กระทั่งปัญหาเอกราชของเนเธอร์แลนด์ก็ไม่ได้กล่าวถึงเลย
ภายหลังจากการลงนามในข้อตกลงแล้ว ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1577
ประชาชนในเมืองต่างๆของภาคใต้ก็ได้ก่อการลุกขึ้นสู้ครั้งใหม่ ได้ก่อตั้งองค์กรอำนาจรัฐปฏิวัติ ใช้มาตรการประชาธิปไตยบางประการ การลุกขึ้นสู้ของชาวนาก็แผ่ขยายไปในมณฑลต่างๆอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าการต่อสู้ของประชาชนกลับถูกปราบปรามโดยกองทหารของสภาสามฐานันดร และถูกบ่อนทำลายโดยพวกสนับสนุนวิลเลี่ยม
ทำให้กำลังปฏิวัติในภาคใต้ถูกบั่นทอนให้อ่อนแอลง เป็นการหนุนส่งให้กับการก่อเหตุวุ่นวายของขุนนางในภาคใต้และการตีโต้กลับของกองทัพสเปนปี
1578
กองทัพสเปนได้ตีกองทัพของสภาสามฐานันดรพ่ายแพ้ไปที่เมืองเกมโบล ขุนนางทางภาคใต้ฉวยโอกาสก่อการกบฏ
เดือนมกราคม ปีต่อมา
ขุนนางที่เป็นกบฏในเมืองอาร์ตตอยส์และเมืองไฮนัทได้ก่อตั้ง
“สหพันธ์อาร์ราส” สมคบกับกองทัพสเปนดำเนินการเคลื่อนไหวกบฏที่ปฏิปักษ์ปฏิวัติอย่างเปิดเผย เช่นนี้แล้ว
ความฝันของมณฑลต่างๆทางภาคเหนือที่จะประนีประนอมกับขุนนางในภาคใต้ได้ดับวูบลง ดังนั้นจึงได้ก่อตั้งองค์กร
“พันธมิตรยูเตรคต์” ขึ้นต่อต้าน พันธมิตรประกาศว่า
มณฑลต่างๆในภาคเหนือจะไม่มีการแบ่งแยกตลอดกาล พิทักษ์เอกราช ปี 1581 สภาสามฐานันดรในภาคเหนือประกาศปลดพระเจ้าฟิลิปป์ที่
2 สถาปนา
“สาธารณรัฐรวมมณฑล” วิลเลี่ยมเป็นกงสุล
ดำเนินการปกครองแบบคณาธิป ไตยที่มีชนชั้นนายทุนใหญ่พาณิชยกรรมและขุนนางเป็นพันธมิตรกัน
กองทัพสเปนได้สมคบคิดกับสหพันธ์อาร์ราส ทำการตีโต้กลับต่อกำลังฝ่ายปฏิวัติ ได้ยึดครองเมืองบางส่วน ปี1585 ยึดได้เมืองบรัสเซลส์และเมืองแอนต์เวอร์ป ฟื้นการปกครองของสเปนในภาคใต้ ทั้งได้หันเป้าไปโจมตีทางภาคเหนือ
กองทัพสาธารณรัฐรวมมณฑลได้ตีโต้การบุกโจมตีของกองทัพสเปนพ่ายแพ้ไปครั้งแล้วครั้งเล่า พิทักษ์รักษาเอกราชของตนไว้ได้ ปี 1609
สเปนซึ่งตกอยู่ในฐานะยากลำบากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่มีกำลังที่จะทำลายการปฏิวัติในเนเธอร์แลนด์อีกต่อไป จึงถูกบีบให้ยอมเซ็นต์ “สัญญาสันติภาพ 12ปี” ความจริงก็คือ รับรองความเป็นเอกราชของสาธารณรัฐรวมมณฑลนั่นเอง สาธารณรัฐรวมมณฑลมีมณฑลฮอลแลนด์ใหญ่ที่สุดและร่ำรวยที่สุด ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า สาธารณรัฐฮอลแลนด์ด้วย การปฏิวัติของเนเธอร์แลนด์ก็ได้รับชัยชนะทางภาคเหนือ
การปฏิวัติเนเธอร์แลนด์เป็นการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนที่ได้รับความสำเร็จเป็นครั้งแรก มันได้บุกเบิกทางการพัฒนาของทุนนิยมในภาคเหนือของเนเธอร์แลนด์ ชนชั้นนายทุนที่พัฒนายังไม่สุกงอม หวาดกลัวมวลชนเป็นที่สุด มักจะพึ่งพาเป็นพันธมิตรกับขุนนางตลอดเวลา พยายามทำให้การปฏิวัติเลิกล้มกลางคัน การปฏิวัติเนเธอร์แลนด์เป็นการปฏิวัติที่ไม่ถึงที่สุดครั้งหนึ่งของชนชั้นนายทุน
ไม่เพียงแต่ไม่สามารถดำเนินการต่อสู้คัดค้านศักดินาภายในประเทศให้ถึงที่สุดเท่านั้น
กระทั่งการต่อสู้คัดค้านการปกครองของสเปนก็เพียงได้รับชัยชนะเฉพาะส่วนในดินแดนทางภาคเหนือเท่านั้นอีกด้วย
มาร์กซชี้ว่า “การปฏิวัติปี 1789 ถือเอาการปฏิวัติปี 1648 เป็นต้นแบบของมัน
(อย่างน้อยก็ในยุโรป) และการปฏิวัติปี 1648
ก็มีแต่ถือเอาการลุกขึ้นสู้คัดค้านสเปนของชาวเนเธอร์แลนด์เป็นต้นแบบของมัน การปฏิวัติแต่ละครั้งในสองครั้งนี้ ล้วนก้าวหน้ากว่าต้นแบบของตนนับด้วยศตวรรษ ไม่เพียงแต่ในด้านกาลเวลาเป็นเช่นนี้ ทั้งในด้านเนื้อหาก็เช่นกัน” (มาร์กซ
“การปฏิวัติของชนชั้นนายทุน”)
จะเห็นได้ว่าการปฏิวัติชนชั้นนายทุนของเนเธอร์แลนด์ก็คือการซ้อมรบใหญ่ครั้งหนึ่งของการปฏิวัติชนชั้นนายทุนอังกฤษ
ขณะที่ทั่วทั้งยุโรปยังอยู่ในยุคการปกครองเผด็จการศักดินาโดยทั่วไป ผลสำเร็จอันมีขอบเขตจำกัดของมันแสดงว่า
ชนชั้นนายทุนในยุโรปได้พกพาความเรียกร้องต้องการที่จะแย่งยึดอำนาจรัฐก้าวขึ้นสู่เวทีประวัติศาสตร์แล้ว จบตอนที่3 ตอนต่อไปคือ ยุคการปฏิวัติชนชั้นนายทุนมาถึงแล้ว
No comments:
Post a Comment