Tuesday, November 8, 2016

บอลเชวิค..เส้นทางสู่การปฏิวัติ ตอนที่ 2.

บอลเชวิค..เส้นทางสู่การปฏิวัติ
ภาคแรก  ตอนที่ 2.
2....การลงสู่มวลชน
การเคลื่อนไหวของเยาวชนซึ่งส่วนมากเป็นคนระดับบนที่ยังไร้เดียงสาและสับสนแต่กล้าหาญและไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน  เป็นผู้ที่ได้ทิ้งมรดกอันล้ำค่าไว้สำหรับอนาคต     เมื่อเลนินวิจารณ์นโยบายที่ค่อนข้างจะมีลักษณะอุดมคติ(utopia)ของพวกเขา   ท่านได้ยกย่องชื่นชมความกล้าหาญของนักปฏิวัติชาวนารอดนิคอยู่เสมอๆ    เพราะเลนินเข้าใจดีว่า.การเคลื่อนไหวของนักลัทธิมาร์กซรัสเซียนั้นเกิดขึ้นจากเลือดเนื้อของผู้เสียสละเหล่านี้ทั้งสิ้นที่ได้สลัดความเป็นอยู่ที่มั่งคั่งและละทิ้งความสะดวกสบายบรรดามีใน 
โลกอย่างไม่รั้งรอ    มาเผชิญหน้ากับความตาย,คุกตะราง..และการหลบหนีลี้ภัยเพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งโลกที่ดีกว่าความสับสนในทางทฤษฎีนั้นถือเสียว่าการเคลื่อน ไหวที่เพิ่งจะอยู่ในขั้นเริ่มต้น      การขาดพลังที่เข้มแข็งของชนชั้นกรรมกร,ขาดแผนปฏิบัติหรือรูปแบบวิธีการที่ชัดเจนใดๆของอดีตที่พอจะเป็นแสงสว่างส่องทางให้ในคืนที่มืดมิดและการสกัดกั้นมิให้พวกเขาเข้าถึงงานส่วนใหญ่ของมาร์กซ      ทั้งหมดนี้ทำให้เยาวชนปฏิวัติรัสเซียต้องสูญเสียโอกาสในการเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของกระบวนการทำงานในสังคม

เยาวชนส่วนใหญ่รู้จักมาร์กซในฐานะที่เป็นแค่นักเศรษฐศาสตร์เท่านั้นในขณะที่คำสอนของบาคูนิน*(มิคคาอิล  อเล็กซานโดรวิช  บาคูนิน 1814 – 1876 นักลัทธิอนาธิปไตยที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย ) เรื่อง”ทำลายมันให้สิ้นซาก ”และข้อเรียกร้องของเขาในการเผชิญหน้ากันโดยตรง      ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงเพรียกที่เข้าถึงจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยที่ผู้คนกำลังเหนื่อยหน่ายต่อถ้อยคำที่แสดงออกถึงผลลัพธ์อันล่าช้าไม่ทันใจ    ในบันทึกของ พาเวล  อัคเซลรอด* (อดีตนักปฏิวัติของลัทธินารอด  ที่เห็นว่าชาวนาเป็นกองหน้าของการปฏิวัติ  ภายหลังความล้มเหลวของลัทธินารอดนิค จึงเบนเข็มมาเป็นนักลัทธิมาร์กซ เป็นหนึ่งในห้าของกลุ่มบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ อิสครา ของพรรคสังคมประ ชาธิปไตยรัสเซียร่วมกับเลนิน) ทำให้คิดได้ว่า....ทำไมทฤษฎีของบาคูนินถึงได้จับใจคนหนุ่มสาวหัวรุนแรงด้วยคำพูดที่แสนจะเรียบง่าย   สำหรับบาคูนินคำว่า “ประชาชน” นั้นหมายถึงนักปฏิวัติและนักสังคมนิยมโดยสัญชาติญาณ.....เมื่อหันกลับไปมองในยุคกลาง...ที่ได้แสดงออกโดยกบฏชาวนาเช่นการลุกขึ้นสู้ของ ”ปูกาเชฟ”(Pugachev *ชาวนาชาวคอสแซกผู้นำกบฏที่นำชาวนาลุกขึ้นสู้ในสมัยจักรพรรดินีคัธรีนที่ 2  ในปี คศ. 1773-74) แม้แต่กลุ่มโจรก็นำไปเป็นแบบอย่างที่ดีในการต่อสู้   ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการจุดประกายให้แก่การปฏิวัติ

การต่อสู้ที่ผ่านมา    ทรอทสกี ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงจิตวิญญาณของเยาวชนผู้บุกเบิกเหล่านี้ว่า “คนหนุ่มสาว….ส่วนใหญ่แล้วเป็นอดีตนักศึกษาจำนวนหลายพันคนได้ทำการโฆษณาแนวทางสังคมนิยมให้แผ่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่งของประเทศ...อย่างน้อยที่สุดก็แพร่ไปถึงแถบลุ่มแม่น้ำโวลก้า ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของ ปูกาเชฟ และ ราซิน(เพราะเป็นพื้นที่ของการลุกขึ้นสู้)    การเคลื่อนไหวได้แสดงออกถึงอุดมการณ์ที่น่าชื่นชมของเยาวชนเหล่านี้    ถือได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดของการปฎิวัติรัสเซียซึ่งถูกกล่าวขานอย่างไร้เดียงสาว่าเป็นความสำเร็จ นักโฆษณาไม่มีแม้กระทั่งองค์กรนำและการวางนโยบายที่แน่นอนมาก่อน   พวกเขาไม่มีแม้แต่ผู้ร่วมงานที่มีประสบการณ์  และทำไมจะต้องมีล่ะ?   เยาวชนเหล่านี้ได้ตัดขาดจากครอบครัวและสถานศึกษา  ไม่มีอาชีพ  ไม่มีห่วง  หรือภาระหน้าที่ใดๆ  ทั้งไม่มีความหวาดกลัวไม่ว่าจะเป็นอำนาจของฟ้าและดิน  เสมือนกับว่าการลุกขึ้นสู้นั้นเป็นผลึกแห่งชีวิต    เพื่อรัฐธรรมนูญหรือ? เพื่อระบอบรัฐสภาหรือ? เสรีภาพทางการเมืองหรือ? ไม่เลย..พวกเขาจะไม่ยอมเปลี่ยนทิศหลงทางจากการล่อหลอกของฝ่ายตะวันตกอย่างเด็ดขาด      เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการคือการปฏิวัติที่สมบูรณ์แบบโดยไม่มีการหยุดชะงักลงกลางคัน”

ฤดูร้อนปี 1874 เยาวชนหลายร้อยคนที่มีพื้นฐานจากครอบครัวระดับกลางขึ้นไปต่างพากันลงสู่ชนบทอย่างเร่าร้อนพร้อมกับความคิดที่จะปลุกเร้าชาวนาให้เข้าร่วมการปฏิวัติ   พาเวล อัคเซลรอด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้วางรากฐานลัทธิมาร์กของรัสเซียในอนาคต     ได้เรียกร้องอย่างสุดจิตสุดใจต่อเยาวชนปฏิวัติให้หยุดเรียนโดยสิ้นเชิงว่า     "ใครที่ต้องการทำงานเพื่อประชาชนควรก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยละทิ้งความมีอภิสิทธิ์และครอบครัว..หันหลังให้กับทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะทั้งหลาย      ตัดขาดจากภาระผูกพันทั้งมวลที่เป็นเครื่องมือในการยกระดับฐานะต่อการก้าวไปสู่ชนชั้นที่สูงขึ้น, เผาสะพานนั้นทิ้งเสีย  กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเขาต้องสมัครใจที่จะลืมทางถอยทั้งหมดเท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับการพูดของเหล่านักโฆษณาชวนเชื่อจำต้องเปลี่ยนแปลงธาตุแท้ของตนโดยสิ้นเชิง,ดังนั้นจึงต้องมีความรู้ สึกว่าตนเองมีสถานะที่ต่ำต้อยเช่นเดียวกับชาวนา......นี่ไม่เพียงแต่ในด้านอุดมการณ์เท่านั้นยังต้องรวมไปถึงท่วงทำนองในทางปฏิบัติอีกด้วย

เยาวชนคนหนุ่มสาวผู้กล้าหาญเหล่านี้ไม่มีนโยบายอะไรที่ชัดเจนมากไปกว่า     การลงสู่ “มวลชน”  พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าปอนๆเยี่ยงชนชั้นกรรมกรที่ซื้อหามาจากร้านขายสินค้ามือสอง  ปลอมแปลงใบผ่านทาง..เดินไปสู่ชนบทด้วยความหวังว่าพวกเขาสามารถดำรงชีวิตและทำงานได้โดยไม่ต้องถูกตรวจสอบ      การแต่งกายแบบชาวนากับกิริยาท่าทางมันได้แสดงพิรุธตั้งแต่แรกเห็นแล้ว     โครพอทกินได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “ช่องว่างระหว่างชาวนาและคนที่มีการศีกษานั้นห่างกันมากในรัสเซีย   และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ปรากฏให้เห็นได้ง่ายนักในชนบท     คนที่แต่งกายแบบคนเมืองจะเป็นที่สนใจสำหรับคนทั่วไป...แม้แต่ในเมืองเอง..ถ้าใครคนหนึ่งที่พูดจาและแต่งกายต่างไปจากคนงานแต่เดินไปกับกรรมกรก็จะกระกระตุ้นความสงสัยของตำรวจทันที

โชคไม่ดีที่จิตใจปฏิวัติอันน่ายกย่องนี้ได้สร้างรากฐานทางทฤษฎีที่ไม่มั่นคงขึ้น       ความคิดที่ลี้ลับของ ”เส้นทางพิเศษในการก้าวไปสู่สังคมนิยมของรัสเซีย”  ซึ่งเป็นการก้าวข้ามสังคมศักดินาที่ป่าเถื่อนไปสู่สังคมที่ปราศจากชนชั้นนั้น      เป็นการข้ามขั้นตอนของสังคมทุนนิยมอันเป็นสาเหตุให้เกิดข้อผิดพลาด   และโศกนาฏกรรมขึ้นอย่างไม่รู้จบสิ้น..ทฤษฎีที่ผิดจะนำไปสู่หายนะในทางปฏิบัติ       พวกนารอดนิคมีแรงดลใจจากทฤษฎีของความปักใจในการปฏิวัติ       แนวคิดที่ว่าความสำเร็จของการปฏิวัติสามารถรับ ประกันได้ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทของคนกลุ่มเล็ก ๆของทั้งหญิงและชาย......นั่นเป็นเงื่อนไขทางอัตวิสัยแน่นอนมันมีลักษณะชี้ขาดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ     คาร์ล มาร์กซ  ได้ให้คำอธิบายว่า หญิงและชายเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ของตนขึ้นมา    แต่ไม่สามารถทำได้นอกเหนือไปจากบริบทแห่งความสัม  พันธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจตามที่ตนปรารถนา

ความพยายามของนักทฤษฎีชาวนารอดนิคในการสร้าง ”หนทางพิเศษทางประวัติศาสตร์” สำหรับรัสเซียที่มีความแตกต่างจากยุโรปตะวันตก  ได้นำพวกเขาเข้าสู่วิถีทางของแนวปรัชญาจิตนิยมและมีจินตนาการต่อพลังอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนเร้นของชาวนาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้   ความไม่ชัดเจนทางทฤษฎีของบาคูนินเป็นภาพสะท้อนของความด้อยพัฒนาและความสัมพันธ์ทางชนชั้นที่กระพร่องกระแพร่งในรัสเซียอย่างถึงที่สุดมันได้วางรากฐาน(ทางทฤษฎี)ให้แก่บรรดาชาวนารอดนิคทั้งหลายที่กำลังแสวงหาข้อเท็จจริงทางอุดมการณ์เพื่อยืนยันถึงความมั่นใจในการปฏิวัติที่คลุมเครือของพวกเขา

ในความคิดของบาคูนินได้พร่ำพรรณนาถึง มีร์(mir/คอมมูนหรือชุมชนชาวนา) ที่เป็นหน่วยพื้นฐานทางสังคมของชาวนาเพื่อการควบคุมหมู่บ้านในระบอบปกครองของซาร์......ว่าเป็นศัตรูของรัฐเพื่อให้เห็นถึงความจำเป็นที่นักปฏิวัติต้องลงสู่หมู่บ้านเพื่อปลุกเร้า” จิตสำนึกปฏิวัติ” ของชาวนารัสเซียให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐจึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัย”การเมือง”หรือการจัดตั้งพรรคการเมืองแบบใดๆขึ้นมา     ภาระหน้าที่ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย(เนื่องจากประชาธิปไตยเป็นตัวแทนรูปแบบหนึ่งของรัฐ..ดังนั้นมันจึงแสดงถึงความเป็นทรราชชนิดหนึ่งตามแนวคิดทางทฤษฎีของลัทธิอนาธิปไตย)   ที่ต้องโค่นรัฐลงในทุกๆมิติและแทนที่ด้วยสหพันธ์ชุมชนท้องถิ่นด้วยความสมัครใจบนพื้นฐานของ มีร์(คอมมูน) และขจัดองค์กรปฏิกิริยาทุกรูปแบบออกไป

ปัจจัยที่ขัดแย้งกันทางทฤษฎีนี้เกิดขึ้นอย่างทันตาเห็น..เมื่อเยาวชนนารอดนิคพยายามแปรคำสอนไปสู่การปฏิบัติคำเสนอแนะของบรรดานักศึกษา ทำให้พวกเขาต้องประสบกับความมึนชาสงสัยจากชาวนา เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์และถูกต่อต้านจากชาวนา  บ่อยครั้งที่มีการแจ้งเบาะแสของเยาวชนผู้มาเยือนให้แก่ทางการเซลียาบ๊อฟหนึ่งในผู้นำของพรรค นารอดนายา โวลยา (Narodnaya volya/ความปราถนาของประชาชน)ในอนาคต.....ได้เขียนบรรยายถึงความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของบรรดาเยาวชนนารอดนิคในการที่จะได้รับการสนับสนุนจากชาวนา.....โดยชูประเด็นของความทุกข์ยากจากการบีบบังคับและกดขี่....แต่ชาวนารัสเซียยังยึดมั่นต่อความศรัทธาที่ว่า   “ร่างกายขอถวายเป็นราชพลีแก่กษัตริย์,จิต  วิญญานถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า,ส่วนหลังไหล่(แรงงาน)นั้นอุทิศแด่ผู้เป็นเจ้านาย” ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ามันไม่สอดคล้องกับแนวคิดปฏิวัติของนารอดนิคเลย   ความสะเทือนใจและผิดหวังของปัญญาชนได้สะท้อนออกมาจากคำพูดของผู้ที่เข้าร่วม ”พวกเราเองค่อนข้างจะมืดบอดที่มั่นใจว่าการปฏิวัติจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  สังเกตว่าชาวนาไม่ได้มีจิตใจที่มุ่งมั่นในการปฏิวัติเทียบเท่านักปฏิวัติอย่างเช่นที่พวกเราอยากให้พวกเขามี    เรากลับพบว่าในหมู่ชาวนาต้องการเพียงที่ดินทำกินเท่านั้น     พวกเขามีความคาดหวังต่อองค์จักรพรรดิว่าจะมีพระราชโองการจัดสรรแบ่งปันที่ดินให้และส่วนมากคิดไปเองว่าพระองค์จะทำตั้งนานแล้วแต่ถูกคัดค้านจากเจ้าที่ดินใหญ่และพวกข้าราชการ...ทั้งสองพวกนี้แหละที่เป็นศัตรูของทั้งองค์จักรพรรดิ์และชาวนา”

ความมุ่งมั่นอย่างไร้เดียงสาในการส่งผ่านภารกิจปฏิวัติให้แก่ชาวนานั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันปนสมเพช เดโบกอรี  โมครีวิช (Debogori-Mokrievich) ผู้ร่วมเคลื่อนไหวคนหนึ่งกล่าวระลึกถึงความหลังว่า “พวกชาวนาไม่ให้พวกเราค้างคืนในกระท่อมของพวกเขาที่ชัดเจนคือพวกเขาไม่ชอบที่เห็นเราดูสกปรก  ,สวมใส่เสื้อผ้าที่มอมแมมนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เราคาดคิดไว้แล้วตั้งแต่แรก... เมื่อเราแต่งตัวเหมือนคนทำงาน ต้องนอนกลางแจ้งทั้งหิวทั้งหนาวและเหน็ดเหนื่อย เท้าแตกระแหงจากการเดินทางด้วยรองเท้าบู๊ทราคาถูก”   จิตวิญญาณของชาวนารอดนิคต้องภินฑ์พังลงจากแรงต่อต้านของกำแพงแห่งความแตกต่างของชาวนา    ความมุ่งมั่นได้สูญสลายไปที่ละน้อย...พวกที่ยังไม่ถูกจับต่างถอนตัว ..ขจัดภาพลวงตาและกลับสู่เมืองด้วยความอ่อนล้า    การเคลื่อนไหว “ลงสู่ประชาชน” ได้พังทลายลงอย่างรวดเร็วจากการกวาดล้างจับกุมของทางการเฉพาะในปี 1874 เพียงปีเดียวนักเคลื่อนไหวกว่า 700 คนถูกจับ...นับได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ที่ต้องจ่ายด้วยราคาที่แสนแพง     ความวีระอาจหาญและจิตวิญ ญาณของพวกเขาได้รับการกล่าวขานในสุนทรพจน์ของการต่อสู้ที่อู่ต่อเรือโดยนักปฏิวัติที่ถูกจับเป็นการจุดประกายการเคลื่อน ไหวครั้งใหม่ขึ้นอีกครั้ง

ชาวนารอดนิคมีความเชื่อมั่นใน”ประชาชน” ในทุกๆกรณี   แต่พวกเขายังคงถูกโดดเดี่ยวอย่างเบ็ดเสร็จจากชาวนาที่พวกเขายกย่องเลื่อมใส ในความเป็นจริงการเคลื่อนไหวทั้งมวลนั้นรวมศูนย์อยู่ในมือของปัญญาชน ทรอทสกีเขียนไว้ว่า“พวกป๊อปปูลิสต์”(ประชานิยม) มีความศรัทธาเชื่อมั่นต่อชาวนาและระบบคอมมูนซึ่งเป็นเสมือนภาพเงาในกระจกเท่านั้น”. “ความยิ่งใหญ่สง่างามของปัญญาชนชนชั้นกรร  มาชีพเป็นเครื่องมือเพียงสิ่งเดียวที่จะก้าวไปสู่บทบาทของผู้นำ”   ประวัติศาสตร์ทั้งมวลของชนชั้นปัญญาชนรัสเซียได้พัฒนาขึ้นระหว่างสองขั้วระหว่าง”ความภาคภูมิ”และ”การเสียสละตัวเอง”  อันเป็นเสมือนเงาทั้งสั้นและยาวที่ทาบทาอยู่บนความอ่อนแอของสังคม

ความอ่อนแอทางสังคมของปัญญาชน..เป็นการสะท้อนถึงของความสัมพันธ์ทางชนชั้นในสังคมที่ด้อยพัฒนาของรัสเซีย  การพัฒนาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมที่รับเข้ามาอย่างขนานใหญ่จากกระแสของทุนนิยมต่างชาติในทศวรรษที่ 1890 และการถือกำเนิดของพลังกรรมกรในเมืองที่เข้มแข็งยังคงเป็นเพียงบทเพลงที่พึ่งจะปรากฏขึ้น..ซึ่งจะทอดต่อไปในอนาคตที่ยาวไกล     แรงสะท้อนกลับไปสู่รากเหง้าเดิมของตน..ทำให้ปัญญาชนปฏิวัติได้แสวงหาทางรอดด้วยทฤษฎี ”แนวทางเฉพาะของรัส เซียในการก้าวสู่สังคมนิยม” บนพื้นฐานของปัจจัยในกรรมสิทธิ์ร่วมที่ดำรงอยู่ของมีร์

ทฤษฎีการต่อสู้แบบลอบโจมตีและการก่อภัยร้ายต่อตัวบุคคลของชาวนารอดนิครัสเซียและกลุ่มก่อความรุนแรง..ที่เคยนิยมใช้กันในกลุ่มนักเคลื่อนไหวกลุ่มเล็กๆนั้น..ในปัจจุบัน(ของสังคมรัสเซียในยุคนั้น)ได้กลายเป็นรูปแบบแนวคิดที่ตลกและล้าสมัยไปแล้ว...ซึ่งในเวลาต่อมาพวกเขาพยายามค้นหา  คนจำพวกที่สาม.....ที่มีรากฐานของชาวนาจากกลุ่มกรรมาชีพหรือในหมู่กรรมาชีพเร่ร่อน (lumpen proletariat) ซึ่งตามความจริงก็ในทุกชนชั้นยกเว้นชนชั้นกรรมาชีพ แนวคิดดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับลัทธิมาร์กซเลย  มาร์กซและเองเกลส์ได้อธิบายแล้วว่า...มีเพียงชนชั้นเดียวเท่านั้นที่สามารถนำการปฏิวัติไปสู่สังคมนิยมและสถาปนารัฐของผู้ใช้แรงงานที่มีความมั่นคงซึ่งเป็นรัฐปราศจากชนชั้นได้     มีเพียงชนชั้นผู้ใช้แรงงานเท่านั้น   เนื่องจากว่ามีคุณสมบัติและบทบาทที่โดดเด่นในสังคมและในทาง การผลิตโดยเฉพาะขอบเขตที่กว้างใหญ่ของการผลิตในด้านอุตสาหกรรมและเปี่ยมไปด้วยสัญชาติญาณและจิตสำนึกทางชนชั้น...ซึ่งมันไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน     รูปแบบของการต่อสู้ดิ้นรนของชนชั้นกรรมาชีพมีรากฐานอยู่บนการเคลื่อนไหวมวลชนที่เป็นหนึ่งเดียว ด้วยการหยุดงาน,ประท้วง, ยืนหยัด, ในการนัดหยุดงานทั่วไป.

ด้วยความแตกต่างกันทางผลประโยชน์......หลักการแรกสุดในสังคมที่มีชนชั้นคือลัทธิปัจเจกชนนิยมของเจ้าของทรัพย์สินทั้งใหญ่และเล็กที่หาประโยชน์จากแรงงานนอกเหนือไปจากชนชั้นนายทุนผู้ซึ่งเป็นศัตรูกับสังคมนิยมเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของการดำรงอยู่ของมัน     เรายังมีชนชั้นกลางรวมไปถึงชาวนา  ซึ่งกลุ่มหลังนี้เป็นชนชั้นในสังคมที่อย่างน้อยยังสามารถรับจิตสำนึกสังคมนิยมได้ ถ้าจะพูดถึงชั้นชนที่เหนือขึ้นไปเช่น,ชาวนารวย  นักกฎหมาย  แพทย์ สมาชิกรัฐสภา   คนพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีความใกล้ชิดกับชนชั้นนายทุน  ดังนั้น..ชาวนาไร้ที่ดินในรัสเซีย,ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของชนชั้นกรรมาชีพในชนบท,แต่ว่าจิตสำนึกของพวกเขาก็ยังห่างจากบรรดาพี่น้องในเมืองของตนมาก    ความปรารถนาแรกสุดของชาวนาไร้ที่ดินก็คือการได้เป็นเจ้าของที่ดินสักแปลงหนึ่ง    นั่นก็หมายถึงว่าพวกเขาย่อมจะกลายไปเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เล็กๆไป

ลัทธิก่อภัยร้ายต่อตัวบุคคลและ ”ลัทธิลอบโจมตี” หรือรูปแบบที่หลากหลายของมันนั้น...เป็นวิธีการของชนชั้นนายทุนน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนารวมถึงนักศึกษาปัญญาชนและชนชั้นกรรมาชีพร่อนเร่ไร้ หลักแหล่งอีกด้วย  ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นจริงเช่นนี้โดยเฉพาะในยุคสมัยของพวกเขา กลุ่มชาวนาจนสามารถเอาชนะได้โดยอาศัยกรรมสิทธิ์ส่วนรวมอย่างเช่นที่เราได้เห็นในเสปนในปี 1936   ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่พัฒนามาก่อนของการเคลื่อนไหวปฏิวัติของชนชั้นกรรมกรในเมือง   สำหรับในรัสเซีย..ชนชั้นกรรมาชีพจะก้าวขึ้นสู่อำนาจได้ก็ด้วยการปลุกระดมชาวนาจนเข้าร่วมการปฏิวัติไม่ใช่อยู่ที่การชูคำขวัญของสังคม
นิยมหากแต่อยู่บนพื้นฐานของ “ที่ดินเป็นของผู้ไถหว่าน!” ที่จริงแล้ว,โดยตัวมันเองแสดงให้เห็นว่าชนชั้นชาวนารัสเซียยังยืนห่างจากจิตสำนึกสังคมนิยมอยู่มากแม้ในปี 1917 ก็ตาม

สำหรับชาวนารอดนิคที่ขาดพื้นฐานทางทฤษฎีจะเริ่มต้นด้วยความงุนงงสับสนและไม่มีมโนภาพของความสัมพันธ์ทางชนชั้นนักลัทธิมาร์กซได้ถกเถียงโต้แย้งกันเกี่ยวกับบทบาทการนำของชนชั้นกรรมา รัสเซียที่ค่อนข้างจะไม่เป็นเอกภาพ   อะไรที่ชนชั้นกรรมกรควรจะต้องทำ?  แน่นอนมาร์กซและเองเกลส์เองคงไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ที่มีลักษณะพิเศษของรัสเซียได้!ตราบเท่าที่พวกนารอดนิคยังพิจารณาและประเมินบทบาทของกรรมกรในเมืองแบบเบี่ยงเบนว่า เป็นแค่”ชาวนาในโรงงาน”จะมีบท บาทได้ก็แค่ช่วยสนับสนุนชาวนาในการปฏิวัติเท่านั้น แน่นอน..นั่นเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับความสัมพันธ์ที่แท้จริงต่อพลังของชนชั้นที่ปฏิวัติ

นับเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง.   เนื่องมาจากอคติของนักทฤษฎีชาวนารอดนิค...ซึ่งเกือบจะทั้งหมดในปริมณฑลของการปฏิวัติ.....เมื่อพวกเขากล่าวถึงกรรมกรในโรงงานจะมีแต่เสียงสะท้อนที่แสดงถึงอาการหมิ่นแคลนว่าเป็นพวก “ชาวนาในเมือง”  เช่นเดียวกับพวกที่นิยมก่อความรุนแรงซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนคำขวัญ  “เซ็มลียา อี โวลยา”(ที่ดินและเสรีภาพ) ที่รับเอานโยบาย ”นำกรรมกรออกจากโรงงานและส่งพวกเขาไปสู่ชนบท”   เพลคานอฟเองก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นนักลัทธิมาร์กซก็เคยมีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้    ซึ่งภายหลังก็สามารถมองเห็นว่า “กรรมกรในโรงงานล้วนแล้วแต่ทำงานในเมืองกันมาคนละหลายๆปี..รู้สึกไม่ค่อยยินดีและไม่สู้จะเต็มใจนักต่อการกลับไปสู่ชนบท ธรรมเนียมปฏิบัติและสถาบัน(ทางสัง คม)ในชนบทได้กลายมาเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่ไม่คุ้นชิน...อย่างน้อยก็สำหรับคนที่บคลิก ภาพเปลี่ยนไป...”

“คนพวกนี้มีประสบการณ์,เต็มใจที่จะอุทิศตนเพื่อส่วนรวม  แต่ความพยายามของพวกเขาที่จะยกระดับตนเองในชนบท,กลับไม่ประสบผลอะไรเลย  หลังจากร่อนเร่ไปตามหมู่บ้านต่างๆด้วยความตั้งใจที่จะปักหลักในที่ไหนสักแห่งหนึ่ง(ซึ่งหลายคนถูกมองว่าเป็นคนต่างเชื้อชาติ) ในที่สุดก็ต้องเลิกล้มกิจกรรมทุกอย่างและกลับสู่ซาราตอฟ  เมืองที่พวกเขาเคยสร้างความสัมพันธ์กับกรรมกรท้องถิ่นและ  ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างความประหลาดใจและแปลกแยกต่อ”ประชาชน”และเด็กๆในชนบทอยู่บ้างเมื่อความจริงเริ่มกระจ่าง   พวกเราจำต้องเลิกล้มความคิดเรื่องที่จะรวมเอากรรมกรและชาวนาเข้าด้วยกัน”

ตามแนวทางทฤษฎีของนารอดนิค เห็นว่ากรรมกรในเมืองนั้นยังห่างจากลัทธิสังคมนิยมมากกว่าชาว นา      ดังนั้นนักจัดตั้งของนารอดนิคจึงเปลี่ยนแนวทางการทำงานกรรมกรใน โอเดสซา และกล่าวหาว่า “พวกที่ทำงานในโรงงานนั้นได้สูญเสียรากเหง้าของการใช้ชีวิตแบบชนบทไปแล้ว..ไม่อาจทำความสัม  พันธ์กับชาวนาได้    อย่างน้อยที่สุดก็ในการโฆษณาแนวทางสังคมนิยม”    กระนั้นก็ดีชาวนารอดนิคก็ได้ดำเนินงานในมวลหมู่กรรมกรและได้มาซึ่งผลตอบแทนที่สำคัญ    ผู้ที่เริ่มบุกเบิกงานในส่วนนี้คือ นิโคลัย วาซิเลวิช ไชคอฟสกี     กลุ่มของเขาเริ่มก่อตั้งหน่วยโฆษณาขึ้นในหมู่กรรมกรในเขตเซนปีเตอร์สเบิร์กซึ่งโครพอทกิน ก็เป็นหนึ่งในนักโฆษณาของเขา   ในสภาพที่เป็นจริงได้บีบให้หน่วย งานของนารอดนิค.....แรกสุดจำต้องเผชิญกับ ”ปัญหาของกรรมกร”  ซึ่งพึ่งจะถูกขับออกจากกลุ่มโดยนักทฤษฎีที่นิยมบาคูนิน     ชนชั้นกรรมกรรัสเซียแม้ว่าจะเป็นเพียงยุคเริ่มต้น..และมีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็ได้ประทับรูปรอยของตนไว้บนพื้นที่ของการเคลื่อนไหวปฏิวัติ

ทัศนะคติของกรรมกรที่มีต่อพวก ”สุภาพบุรุษหนุ่ม” คือการชอบสั่งสอน  ไอ.เอ บาสกิน กรรมกรแห่งปีเตอร์สเบิร์กได้ชี้แนะเพื่อนกรรมกรของตนว่า “พวกเราต้องเรียนรู้จากนักศึกษาแต่ถ้าพวกเขาเริ่มสอนเราในเรื่องเหลวไหล เราต้องเหวี่ยงเขาทิ้งไป”   มีความเป็นไปได้อย่างเช่น บาสกิน ที่เพลคานอฟได้เข้าใจถึงความรู้สึกของกรรมกรที่ไม่อยากลงไปในชนบท   บาสกินถูกจับเมื่อเดือนกันยายน 1874 และพ้นโทษออกมาในปี 1876 ได้กล่าวต่อเพลคานอฟว่าเขา “พร้อมแล้วเช่นแต่ก่อนที่จะทำงานโฆษณา การปฏิวัติ..แต่เฉพาะในหมู่กรรมกรด้วยกันเท่านั้น...ผมไม่ต้องการไปทำงานในชนบทเพราะเขาเห็นว่า “ชาวนานั้นเหมือนพวกแพะแกะ”  ที่ไม่ยอมเข้าใจเรื่องการปฏิวัติเอาเสียเลย

ในขณะที่ปัญญาชนนารอดนิคปลุกปล้ำอยู่กับปัญหาทฤษฎีการปฏิวัติสำหรับอนาคต   สิ่งกระตุ้นจิตสำนึกทางชนชั้นขั้นแรกสุดได้ปรากฏขึ้นในใจกลางเมือง  การปลดปล่อยไพร่ติดที่ดินได้กลายเป็นศูนย์รวมของความรุนแรง การพัฒนาระบอบเกษตรกรรมแบบทุนนิยมได้กลับกลายไปเป็นการบั่นทอนผลประโยชน์ของชาวนา  ผลก็คือเจ้าที่ดินได้ตระเตรียมพื้นที่ของตนสำหรับการผลิตแบบทุนนิยมดังที่ เลนินได้อธิบายไว้ว่า.... ก่อให้เกิดกระบวนความขัดแย้งขึ้นในหมู่ชาวนาการตกผลึกทางชนชั้นของชาวนารวยคูลัคส์( /kulaks) ที่อยู่ในโครงสร้างชั้นบนสุดของชนชั้นชาวนาที่กำลังจะล้มละลายกับชาวนาจนอยู่ในชั้นล่างสุด     เพื่อจะให้หลุดพ้นจากชีวิตชนบทที่ถูกบดขยี้จากความยากจน    ทำให้ชาวนาจนจำนวนมากต้องหลั่งไหลเข้าเมืองเพื่อหางานทำ      ในช่วงปี 1865–90 กรรมกรในโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นถึง 65 เปอร์เซ็นต์  ในจำนวนนี้กรรมกรเหมืองแร่เพิ่มขึ้น106 เปอร์เซ็นต์   เอ.จี.ราชิน ได้ให้ตัวเลขของกรรมกรในเขตยุโรปของรัสเซียไว้ดังนี้(จักรวรรดิรัสเซียส่วนหนึ่งอยู่ในทวีปยุโรป  อีกส่วนหนึ่งอยู่ในทวีปเอเซีย )
ปี
โรงงานและ สถานประกอบการ
    เหมืองแร่
      รวม
1865
509
165
674,000
1890
840
340
1,180,000
การพัฒนาอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญระหว่างศตวรรษที่ 1870  ประชากร    ของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กเพิ่มจาก 668,000 คน ในปี 1869 ไปเป็น 928,000 คนในปี 1881.   การแยก ตัวออกจากภูมิหลังแบบชาวนาและถูกเหวี่ยงเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในโรงงานที่ร้อนระอุของหม้อไอน้ำและต้อว    ตรากตรำอยู่กับสิ่งเหล่านี้เป็นเวลานาน.....ทำให้จิตสำนึกของกรรมกรแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วรายงานฉบับหนึ่งของตำรวจกล่าวถึงความไม่พอใจและแข็งกระด้างของผู้ใช้แรงงานในตอนหนึ่งระบุว่า  “พฤติกรรมที่หยาบช้าต่ำทรามของเจ้าของโรงงานในการจ้างแรงงานเป็นเรื่องที่กรรมกรสุดแสนที่จะทน ทานได้”    และยังกล่าวต่อไปอีกว่า “พวกเขามีความตระหนักอย่างชัดแจ้งว่า  โรงงานจะอยู่ไม่ได้หาก ไม่มีแรงงานของพวกเขา”   ซาร์ อเล็กซานเดอร์ ได้อ่านรายงานและใช้ดินสอเขียนคำว่า “แย่มาก” ไว้ที่ขอบหนังสือ สืบเนื่องจากการเติบใหญ่ของกรรมกรและความโกลาหลวุ่นวายที่เกิดขึ้น     กรรมกรจึงได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งกลุ่มแรงงานได้    

สหบาลกรรมกรภาคใต้ได้ก่อตั้งขึ้นโดย  อี. ซาสลาฟสกี(E. Zaslavsky /1844-78)บุตรชายของครอบครัวผู้ดีตกยาก,  เขา“ลงสู่ประชาชน” เมื่อปี 1872-73 ทำให้รู้ว่ายุทธวิธีแบบเดิมนั้นเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์และเริ่มทำการโฆษณา(การปฏิวัติ)ในมวลหมู่กรรมกรของโอเดสซา   จากหน่วยเล็กๆของกรรมกรที่พบปะกันสัปดาห์ละครั้งและการเข้าร่วมลงนามทำให้สหบาลกรรมกรถือกำเนิดขึ้นมา    นโยบายของสหบาลฯเริ่มต้นจากความเป็นจริงที่ว่า  “กรรมกรทั้ง หลายจะได้รับสิทธิของตนเองและการยอมรับก็ด้วยการปฏิวัติที่รุนแรงเท่านั้นจึงจะสามารถโค่นล้มทำลายอภิสิทธิ์ทั้งมวลและความไม่เท่าเทียมกันลงไปได้....บนพื้นฐานของการให้สวัสดิการทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม” อิทธิพลของสหบาลฯได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว .จนกระทั่งถูกทำลายลงด้วยการจับกุมในเดือนมีนาคม 1875   ผู้นำสหบาลทั้งหมดถูกพิพากษาให้ทำงานหนัก,ซาสลาฟสกี เองโดน 10 ปี    สุขภาพของเขาถูกกัดกร่อนจากสภาพการคุมขังที่ย่ำแย่ทำให้มีอาการคุ้มคลั่งและเสียชีวิตลงในคุกด้วยวัณโรค

ในเวลาต่อมาสหบาลกรรมกรที่ได้มีการพัฒนาอย่างมีเนื้อหาสาระได้แก่.....สหบาลกรรมกรแห่งรัสเซียเหนือ..ที่ก่อ ตั้งขึ้นอย่างผิดกฎหมายในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1877  ภายใต้การนำของ คาลทูริน*(สเตพาน  นิโคลาเยวิช  คาลทูริน  1857-1882 นักปฏิวัติรัสเซีย เป็นสมาชิกของพรรค นารอดนายา โวลยา รับผิดชอบในการลอบสังหารพระเจ้าซาร์อเลกซานเดอร์ที่สองของรัสเซีย ) และออปนอร์สกี (Obnorsky)...วิคเตอร์  ออปนอร์สกี ที่เป็นทั้งช่างเหล็ก และช่างเครื่อง...บุตรชายของข้าราชการปลดเกษียณ  ในขณะที่ทำงานตามโรงงานต่างๆในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้น  เขาได้เข้าร่วมกลุ่มศึกษาของกรรมกรกระทั่งต้องหลบไปยังโอเดสสาเพื่อหนีการจับกุม     และที่นั่นเขาได้เริ่มเข้าไปมีความสัมพันธ์ในสหบาลที่ซาสลาฟสกีตั้งขึ้น จากนั้นได้เดินทางไปต่างประ เทศในฐานะกลาสีเรือ     และที่นั่นทำให้เขาได้รับอิทธิพลความคิดของพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมัน เมื่อกลับมายังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้พบปะกับ พี.แอล.ลาฟรอฟ และ พี. อักเซลรอด ผู้นำที่ปราดเปรื่องของขบวนการเคลื่อนไหวนารอดนิค   

สเตพาน คาลทูริน คือภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ของการเคลื่อนไหวปฏิวัติในช่วงปลายทศวรรษที่ 1870     เช่นเดียวกับช่างเครื่อง ออปนอร์สกี เขาเริ่มต้นกิจกรรมการเคลื่อนไหวในกลุ่มของ ไชค๊อฟสกี  ในฐานะของนักโฆษณา  เพลคานอฟได้เขียนบรรยายถึงภาพอมตะของเขาในขบวนนักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพรัสเซียไว้ดังนี้ :“เมื่อเขา ( สเตพาน) ต้องเคลื่อนไหวในฐานะที่ถูกกฎหมาย      เขามีความกระตือรือล้นอย่างยิ่งในการพบปะและพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดานักศึกษา,รับฟังข่าวสารทุกชนิดจากพวกเขา และหยิบยืมหนังสือ  มีอยู่บ่อยครั้งที่อยู่พูดคุยกันถึงดึกดื่นเที่ยงคืนโดยตัวเองมีการนำเสนอน้อยมาก แขกของเขาจะตื่นเต้นยินดียิ่งที่ได้มีโอกาสสร้างความกระจ่างให้แก่กรรมกรที่ไม่มีความรู้ใดๆ,และมักจะบรรยายเสียยืดยาวเกี่ยวกับทฤษฎีที่กำลังเป็นที่นิยมกันเท่าที่จะเป็นไปได้      

สเตพาน จะจับจ้องมองผู้พูดอย่างระมัดระวังและสนใจ     ในขณะแววตาที่เฉลียวฉลาดจะสะท้อนออกถึงความขบขันและมีเมตตาอยู่ตลอดเวลา และมักจะมีเรื่องตลกร้ายอยู่เสมอๆในความสัมพันธ์ของเขากับนักศึกษา....แต่สำหรับกรรมกร,เขาจะปฏิบัติในวิถีทางที่แตกต่างออกไป..เขาจะจ้องมองด้วยสายตาที่เอาจริงเอาจังและใช้คำพูดในแบบอย่างของนักปฏิวัติและดูแลพวกเขาประหนึ่งพยาบาลผู้เต็มไปด้วยความห่วงใยเขาอบรมสั่งสอน หาหนังสือให้อ่าน..มอบหมายงาน..ไกล่เกลี่ยพวกเขาเมื่อเวลาทะเลาะกันและตำหนิผู้กระทำผิดบรรดาสหายต่างรักเขาซึ่งเขาเองก็รู้และตอบแทนด้วยความรักที่ระอุอุ่น     เมื่อเวลาผ่านไปเขาพูดน้อยมากและดูไม่ค่อยจะจริงจัง, ท่ามกลางกรรมกรแห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีบุคคลที่มีการศึกษาและความสามารถพอๆกับเขาอยู่มากมายหมายถึงผู้ที่เคยผ่านโลกกว้าง,เคยอาศัยอยู่ต่างประเทศ”

ความลับที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีอิทธิพลต่อสิ่งที่เรียกว่า “เผด็จการของสเตพานนั้น”   อยู่ที่ความใส่ใจอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยซึ่งเขาได้อุทิศให้แก่ทุกเรื่องราวแม้แต่ก่อนการประชุมก็ยังบอกทุกๆคนให้ตรวจสอบสภาวะความพร้อมของจิตใจ.....ซึ่งเขาจะพินิจพิจารณาในทุกๆด้านของปัญหาและโดยธรรมชาติเขาได้ตระเตรียมงานมาแล้วเป็นอย่างดี....... คาลทูรินไม่ใช่แบบอย่างของนักโฆษณาที่โดดเด่นนักในแวดวงการเคลื่อนไหวของกรรมกรรัสเซียในช่วงแรกๆ     ในเวลาต่อมาเขาได้ก้าวไปสู่การเคลื่อนไหวที่ก่อภัยร้ายต่อตัวบุคคลและเป็นผู้วางแผนปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ อเล๊กซานเดอร์ที่สอง


No comments:

Post a Comment