Sunday, November 6, 2016

บอลเชวิค.. เส้นทางสู่การปฏิวัติ 1

บอลเชวิค.. เส้นทางสู่การปฏิวัติ   
ภาคแรก    ตอนที่ 1.กำเนิดลัทธิมาร์กซรัสเซีย   
   
 1...ความตายของมหาอำมาตย์

วันที่ 1 มีนาคม 1881 รถม้าพระที่นั่งของพระเจ้าซาร์ อเล๊กซานเดอร์ที่สอง กำลังวิ่งผ่านถนนเลียบคลอง คัธรินในกรุงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก    ทันใดนั้นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งได้ขว้างบางสิ่งคล้ายก้อนหิมะไปยังรถม้าพระที่นั่ง....เมื่อสิ้นเสียงระเบิดปรากฏว่าพลาดเป้า, พระเจ้าซาร์เสด็จลงจากรถโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใดและทรงมีพระราชดำรัสกับทหารองครักษ์ชาวคอสแซคที่ได้รับบาดเจ็บบางคน       ในขณะนั้นกรินเน เวทสกี ผู้ก่อการคนที่สองก็วิ่งถลันเข้าไปพร้อมกับกล่าวว่า     “ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวขอบคุณพระเจ้า” พร้อมกับขว้างระเบิดลูกที่สองไปยังที่พระเจ้าซาร์ประทับอยู่…..  อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิรัสเซียก็เสด็จสวรรคต     ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกจดจำกันได้เป็นอย่างดีในช่วงระยะประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติรัสเซีย      ในยุคที่เต็มไปด้วยการร่วมมือกันปฏิบัติการของคนหนุ่มสาวผู้กล้าหาญในรัฐซาร์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนั้น ถือได้ว่ามันเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งของผู้ก่อ การที่เป็นสมาชิกองค์กรการเมืองที่มีชื่อว่า นารอดนายา โวลยา หรือ      ”ความปรารถนาของประชาชน ” (People’s Will) ในการทำลายยอดบนสุดของระบอบเอกาธิปไตยที่น่าขยะแขยงลงไป..ด้วยความตาย

ปรากฏการณ์ของชาวรัสเซีย กลุ่มนารอดนิก (พวกป๊อปปูลิสต์,คนของประชาชน) คือผลพวงแห่งความล้าหลังสุดกู่ของระบอบทุนนิยมรัสเซีย      ความผุพังของสังคมศักดินารัสเซียนั้นดูเหมือนว่าจะรวดเร็วเสียยิ่งกว่าการก่อตัวของชนชั้นนายทุน        ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้..ในส่วนของปัญญาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาวได้แยกตัวออกจากนชั้นผู้ดี  ข้าราชการและนักบวช  เริ่มแสวงหาทางออกให้แก่สัง คมที่กำ ลังอยู่ในภาวะตีบตัน     อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขามองไปรอบๆตัวเพื่อแสวงหาการหนุนช่วยจากภายในสังคม..   กลับไม่ได้รับความสนใจจากบรรดาชนชั้นนายทุนที่ เห็นแก่ตัว,ล้าหลังและด้อยพัฒนาเหล่านั้นเลยในขณะที่ขบวนของชนชั้นกรรมมาชีพเองก็ยังคงอยู่ในสภาพประหนึ่งทารกที่ไร้เดียงสา, ไร้การจัดตั้ง,ไม่สนใจการเมือง และยังมีจำนวนน้อยหากจะเปรียบกับชาวนาผู้สงบเสงี่ยม  ผู้ถูกกดขี่ ย่ำยี จำนวนหลายล้านคนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมรัสเซีย     

ดังนั้น.. จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า...ทำไมปัญญา ชนปฏิวัติรัสเซียจึงได้มุ่งเป้าไปยังชาวนาซึ่งเป็นประชาชนส่วนข้างมากในสังคม…ว่าน่าจะมีศักยภาพที่จะเป็นพลังหลักในการปฏิวัติสังคม    การเคลื่อนไหวแนว ทางนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนในระดับพื้นฐานทางประ วัติศาสตร์ของรัสเซีย   ในปี 1861กฤษฎีกา”ปลดปล่อยไพร่ติดที่ดิน” (serf) ก็ได้อุบัติขึ้นในปีนั้นเอง... มันเป็นเพียงแค่รูปแบบวิธีการที่ทำไปตามข้อเสนอแนะของขุนนางฝ่ายปฏิรูปกลุ่มหนึ่งเท่านั้นซึ่งก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก       เพียงต้องการแสดงให้(ผู้คน)เห็นว่ามันมาจาก ”พระเมตตา” ของพระเจ้าซาร์อเล๊กซานเดอร์ที่ 2 เท่านั้น   เรื่องนี้...มันเกิดขึ้นเพราะความกลัวต่อความไม่สงบที่จะประทุขึ้นในสังคม หลังจากรัสเซียต้องเสียเกียรติภูมิจากการพ่ายแพ้ในสงครามไครเมียอย่างย่อยยับเมื่อปี 1853 -56,ซึ่งก็คล้ายกับการแพ้สงครามกับญี่ปุ่นในเวลาต่อมา ทำให้เกิดการต่อต้านระบบการปกครองพระเจ้าซาร์อย่างรุนแรง      

การแพ้สงครามไม่ว่าครั้งก่อนหรือครั้งหลังเผยให้เห็นถึงภาวะล้มละลายของระบอบปกครองแบบอัตตา ธิปไตยซึ่งเป็นแรงกระตุ้นอย่างรุน แรงต่อการเปลี่ยนแปลงสังคม      แม้แต่พระราชกฤษฎีกาปลดปล่อย (ไพร่ติดที่ดิน) ก็ไม่สามารถคลี่คลายปัญหานี้ได้..   และในความเป็นจริงยิ่งทำให้สถานภาพของชาวนากลับย่ำแย่ลงไปอีก      เพราะธรรมชาติของเจ้าที่ดินย่อมสงวนพื้นที่ๆดีที่สุดเอาไว้สำหรับตนเองเหลือแต่ผืนดินที่แห้งแล้งไว้ให้แก่ชาวนา   ส่วนที่สำคัญเช่นแหล่งน้ำและโรงสี(สีลม)ส่วนมากมักจะอยู่ในมือของเจ้าที่ดินและชาวนาจะถูกบังคับให้ต้องจ่ายค่าผ่านทาง       ที่แย่ยิ่งกว่านั้นชาวนาอิสระก็ถูกผูกมัดโดยกฎหมายว่าต้องเข้าร่วมใน สหคาม (คอมมูนหรือมีร์/mir)  ต้องรับผิดชอบในการเก็บรวบรวมภาษีให้แก่ทางการอีกด้วย    ไม่มีชาวนาคนใดจะออกจากมีร์ได้โดยไม่ได้รับอนุญาต       อิสรภาพในการเคลื่อนไหวถูกจำกัดด้วยระบบใบผ่านทางโดยความหมายแล้วระบบการควบคุมคอมมูนถูกโอนการดูแลไปยัง  ”ตำรวจบ้านที่เป็นกลไกในระดับต่ำสุดของระบบซาร์”

สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ..การปฏิรูปยังอนุญาตให้เจ้าที่ดินสามารถตัดแบ่งและจัดสรรที่ดินซึ่งก่อนหน้านี้เป็นผืนดินที่ชาวนาใช้เพาะปลูกได้ถึง 1 ใน 5 (ในบางกรณีได้ถึง 2 ใน 5) ซึ่งเจ้าที่ดินจะเลือกส่วนที่ดีที่ สุด,ที่สร้างผลประโยชน์ให้ตนมากที่สุด    เช่นส่วนที่เป็นป่าไม้  ทุ่งหญ้า แหล่งน้ำ แหล่งหญ้าสำหรับปศุสัตว์และโรงสีเป็นต้น         ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องพื้นฐานฐานเพื่อใช้ควบคุมชาวนาที่ถูก”ปลดปล่อย”  ในแต่ละปีครอบครัวชาวนาส่วนใหญ่ต้องจมดิ่งไปสู่ความสิ้นหวัง  ภาระหนี้สินที่ต้องชดใช้อย่างไม่มีวันหมดสิ้นและมีคุณภาพชีวิตที่เลวร้ายจากผลพวงของความฉ้อฉลนี้

การปลดปล่อยไพร่ติดที่ดินเป็นความพยายามในการนำไปสู่การปฏิรูปโดยผ่านลงมาจากส่วนบนเพื่อยับ ยั้งการก่อจลาจลของชาวนา   ในระยะสิบปีสุดท้ายแห่งการปกครองของซาร์นิโคลัสที่ 1 ชาวนาก่อความไม่สงบถึง 400 ครั้ง   และมีจำนวนเท่าๆกับอีก 6 ปีต่อมา(1855-60)      ในช่วงระยะเวลา 20 ปี(1835 - 1854) เจ้าที่ดินและเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ 230 คนถูกสังหารและไปจนถึงปี 1861ก็ถูกสังหารไปอีก 53 คน     พระราชกฤษฎีกาปลดปล่อยไพร่ติดที่ดินต้องเผชิญกับคลื่นแห่งความสับสนอลหม่าน,การลุกขึ้นสู้  และการกดขี่ที่ทารุณโหดร้ายยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง    ความหวังของนักคิดหัวก้าวหน้าที่ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางการปฏิรูปต่างรู้สึกว่าถูกทรยศโดยผลพวงของกฤษฎีกา ”การปลดปล่อย” นี้มันได้กลายเป็นการหลอกลวงชิ้นมหึมาเลยที่เดียว   

ชาวนาซึ่งเชื่อว่าที่ดินต้องเป็นของตนโดยชอบธรรมต่างก็ถูกหลอกลวงทั้งสิ้น   พวกเขายอมรับเพียงการจัดสรรที่ถูกกฎหมาย(ตามข้อตกลงกับเจ้าที่ดิน)และยอมรับค่าธรรมเนียมในการไถ่ถอนในระยะเวลา 49 ปีที่อัตราดอกเบี้ย 6 เปอร์เซ็นต์ต่อปี       ผลก็คือเจ้าที่ดินยังถือครองที่ดินประมาณ 71,500,000 เดสยาติน(487 ล้านไร่) ส่วนชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมถือครองที่ดินเพียง  33,700,000(230 ล้านไร่) เดสยาติน*เท่านั้น(เดสยาตินคือมาตราวัดของรัสเซียซึ่งใช้ในสมัยซาร์    1 เดสยาติน เทียบเท่า 2.702 เอเคอร์  หรือ 10,900  ตารางเมตร หรือ 6.813 ไร่)
หลังจากปี 1861 เกษตรกรถูกปิดกั้นโดยการออกกฎหมาย”กลุ่มความยากจน” ที่กดขี่    โดยวัดระดับความยากจนจากภาระหนี้สินเพื่อแก้ปัญหาการลุกขึ้นสู้ในชนบท      สำหรับชาวนาซึ่งตลอดช่วงเวลาของประวัติศาสตร์,ไม่ได้แสดงบทบาทอย่างเป็นตัวของตัวเองเลยในสังคม, หรือแสดงศักยภาพที่ยิ่ง ใหญ่ กล้าหาญ และเสียสละในการเคลื่อนไหวปฏิวัติ     หรือมีความพยายามที่จะสลัดหลุดจากการปก ครองของเผด็จการ,     การที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องมีผู้นำขบวนที่มีความเข้มแข็งและต้องมีความสามัคคีเป็นเนื้อเดียวกัน,และมีจิตสำนึกทางชนชั้นอย่างเช่นกรรมกรในเมือง      การขาดปัจจัยเหล่านี้ทำให้การลุกขึ้นสู้ของชาวนา “จ๊าคเกอรี่”(jacqueries * จ๊าคเกอรี่”หมายถึงกบฏในปลายยุคกลางของยุโรปโดยการลุกขึ้นสู้ของชาวนา    เกิดขึ้นในตอนเหนือของฝรั่งเศสในฤดูร้อนปี 1358  และได้ถูกปราบลงภายในไม่กี่สัปดาห์  การลุกขึ้นสู้นี้ต่อมารู้จักกันในนาม“จ๊าคเกอรี่ " เพราะว่าชนชั้นผู้ดีเรียกชาวนาแบบเหยียดๆว่า จ๊าค ที่หมายถึงรอยปุปะบนเสื้อผ้า   ต่อมาคำว่า จ๊าคเกอรี่ ได้กลายมาเป็นฉายานามทั่วไปของการลุกขึ้นสู้โดยชาวนาทั้งในฝรั่งเศสและอังกฤษ)  ต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินจากการปราบปรามที่เหี้ยมโหด   

โดยธรรมชาตินั้นชาวนามักอยู่กันอย่างกระจัดกระจายทำให้ขาดความสัมพันธ์กับสังคมอื่นๆและขาดจิต สำนึกทางชนชั้น    ในรัสเซียขณะนั้นระบอบทุนนิยมยังอยู่ในระหว่างการถือกำเนิดและยังไม่ปรากฏว่ามีชนชั้นปฏิวัติในเขตเมือง     ที่แน่นอนก็คือ..มีแต่นักศึกษาและปัญญาชนที่ไม่มีตำแหน่งงานในราชการหรือ  ”ปัญญาชนชนชั้นกรรมาชีพ”  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่พอใจซ่อนลึกอยู่ในในซอกหลืบของการดำรงชีวิตในสังคมรัสเซีย         ปีต่อมาผู้ก่อการ มีชกิน(Myshkin) ได้ประ  กาศในขณะที่ถูกดำเนินคดีในศาลว่า   “การเคลื่อนไหวของปัญญาชนไม่ใช่สิ่งจอมปลอม  แต่เป็นเสียงสะท้อนของความวุ่นวายที่เกิดขึ้น”  และก็เช่นเคย..บรรดาปัญญาชนก็ไม่สามารถแสดงบทบาททางสังคมได้มากไปกว่าชาวนา        ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นสิ่งที่แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกและความตึงเครียดที่ได้พัฒนาขึ้นในสังคมแล้ว  

ปี 1861 ที่เป็นปีแห่งการประกาศกฤษฎีกาปลดปล่อยอเล็กซานเดอร์  แฮร์ซเซ่น (Alexander Herzen)  นักเขียนฝ่ายประชาธิปไตยผู้ยิ่งใหญ่ของรัสเซียได้เขียนบทความในนิตยสาร”โคโลคอล”(ระฆัง)ในขณะ  ลี้ภัยอยู่ในกรุงลอนดอน..เรียกร้องให้เยาวชนรัสเซีย ”ลงสู่ประชาชน”  การจับกุม เชอร์นีเชฟกี* (ข้อเขียนของเขาได้รับอิทธิพลมาจากมาร์กซ และเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เลนินและมิตรสหายเป็นอย่างมาก) และดิมิตรี ปิซาเรฟ  นักหนังสือพิมพ์ผู้โด่งดังที่ได้เสนอความเป็นไปได้ของแนวทางปฏิรูปอย่างสันติแบบเสรีนิยมในปลายทศวรรษที่ 1860  รากฐานมวลชนในการเคลื่อนไหวปฏิวัติของเยาวชนเสรีนิยมจึงได้ถือกำเนิดขึ้น
สถานการณ์น่าตระหนกที่เกิดขึ้นกับมวลชนในการปฏิรูปที่ผ่านมาได้สร้างความเดือดดาลโกรธแค้นให้ แก่ปัญญาชนชั้นแนวหน้าเป็นอย่างมาก   การจับกุมตัวแทนฝ่ายประชาธิปไตยอย่าง ปิซาเรฟ และ เชอร์นีเชฟสกี ไม่เพียงแต่จะสร้างความแปลกแยกขึ้นในหมู่ปัญญาชนเท่านั้น    ยังผลักพวกให้เข้าไปใกล้ชิดกับกลุ่มฝ่ายซ้ายอีกด้วย    ในขณะที่พวกเสรีนิยมรุ่นเก่าก็มีปฏิกิริยาต่อต้าน   เยาวชนเสรีนิยมสายเลือดใหม่ได้ปรากฎตัวขึ้นตามมหาวิทยาลัยต่างๆด้วยแรงดลใจที่มีต่อรูปลักษณ์อันเป็นอมตะของ บาซารอฟ  ตัวเอกในนวนิยายของ ทูร์เกนีเยฟ เรื่อง“พ่อและลูกชาย”  ลักษณะเด่นของคนรุ่นใหม่นี้คือขาดความอด ทนกับนักเสรีนิยมที่เชื่องช้างุ่มง่ามและปฏิบัติต่อคนพวกนี้อย่างหมิ่นแคลน    พวกเขาศรัทธาในแนวคิดปฏิวัติที่สุดขั้วและการฟื้นฟูสังคมขึ้นใหม่ด้วยวิธีจากบนลงสู่ล่าง

หนึ่งปีของการประกาศปลดปล่อยโดยซาร์ ”กษัตริย์นักปฏิรูป” ได้ดำเนินงานต่อไปโดยไม่สนใจกับปฏิกิริ  ยาคัดค้าน   นั่นเป็นการบีบให้ปัญญาชนตามมหาวิทยาลัยตกอยู่ภายใต้การระแวดระวังของพวกปฏิกิริยา     เค้าท์ ดิมิตรี ตอลสตอย    รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาเป็นผู้กำหนดและออกแบบการศึกษาที่ทำลายจิตวิญ ญาณของเสรีภาพและปิดกั้นจินตนาการและการสร้างสรรค์ลงอย่างสิ้นเชิง     โรงเรียนต่างๆถูกบังคับให้สอนภาษาลาติน 47 ชั่วโมงและกรีก 36 ชั่วโมงในหนึ่งสัปดาห์โดยเน้นไวยากรณ์เป็นด้านหลัก   วิทยา ศาสตร์ธรรมชาติและประวัติศาสตร์ถูกกันออกนอกหลักสูตรกลายเป็นวิชาที่ถูกลบเลือนไป     ใช้ระบบตรวจสอบปฏิบัติการที่เข้มงวดภายใต้การจับตาของผู้ตรวจการโรงเรียน        ช่วงเวลาที่มืดมนของการปฏิรูปเป็นปีที่ต้องระแวดระวังและปรับตัวกับการจับตามองของตำรวจ       การเคลื่อนไหวที่ปฏิกิริยาเพิ่มความเข้มข้นขึ้น.....หลังจากการลุกขึ้นสู้ของชาวโปลซึ่งเป็นการปฏิวัติที่นองเลือดล้มเหลวลงในปี 1863  ชาวโปลหลายพันคนสละชีวิตในสงคราม     หลังการปราบปรามหลายร้อยคนถูกแขวนคอ  ลำพังเฉพาะ เค๊าท์ มูราฟยอฟ ผู้โหดเหี้ยมได้สั่งแขวนคอชาวโปลไปถึง 128 คน     หญิงชายจำนวน 9,423 คนถูกเนรเทศ(ไปไซบีเรีย)     จำนวนผู้ลี้ภัยในรัสเซียเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัวของจำนวนผู้ถูกเนรเทศ  

เปทร์ หรือ ปยอร์ท  โครปอทกิ้น*(เจ้าชาย ปยอร์ท อเล็กซีเยวิช โครพอทกิ้น (1842 1921) (Пётр Алексе́евич Кропо́ткин; นักสำรวจ นักเศรษฐศาสตร์ นักปรัชญา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักสัตว์วิทยา นักทฤษฎีด้านวิวัฒนาการ นักเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักอนาธิปไตยที่โดดเด่น ชาวรัสเซีย)หนุ่มผู้ซึ่งในภายหน้าได้กลายเป็นนักทฤษฎีของลัทธิอนาธิปไตย   เป็นพยานยืนยันที่ได้เห็นกับตาถึงความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวโปลผู้ถูกเนรเทศในไซบีเรียขณะที่เข้าประจำการในหน่วยทหารในหน่วยพิทักษ์จักรวรรดิ์ยศร้อยเอก      เขาได้บันทึกไว้ว่า “...ผมพบพวกเขาบางคนในเมืองลีนายืนครึ่งเปลือยอยู่ในกระท่อมโกโรโกโส..รายล้อมไปด้วยหม้อต้มน้ำขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำเค็มไว้จนเต็ม,กำลังเคี่ยวน้ำเกลือด้วยพลั่วด้ามยาวภายใต้อุณหภูมิที่ร้อนปานนรก    ในขณะที่ประตูกระท่อมเปิดอ้าออกเพื่อรับไอเย็นจากหิมะ   หลังจากทำงานเช่นนั้นได้สองปีนักสู้เพื่ออุดมการณ์เหล่านี้คงต้องเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างไม่ต้องสงสัย”  แต่ภายใต้พื้นผิวน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกนี้...เมล็ดพันธุ์ของนักปฏิวัติรุ่นใหม่ได้ฟื้นคืนชีพและเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว      

กรณีของเจ้าชาย โครปอทกิน เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดว่า...ทำไมลมถึงพัดยอดไม้ก่อน  เขาเกิดในครอบครัวขุนนางชั้นสูง,บิดาของเขา เจ้าชาย อเล๊กไซ เปโตรวิช โครปอทกิ้นสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ รูริค ที่ครอง รัสเซียมาก่อนราชวงศ์ โรมานอฟ    เป็นเจ้าที่ดินถึง 3 จังหวัด มีไพร่ติดที่ดิน 1,200 คน    เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยชั้นประถม (ซึ่งเป็นสถาบันที่ตั้งขึ้นโดยราชสำนักเป็นสถานที่ใช้อบรมบ่มเพาะบุตรหลานของชนชั้นสูงเท่านั้น) เช่นเดียวกับบรรดาเด็กชายที่สังกัดชนชั้นสูงร่วมสมัยกัน         เขาได้รับอิทธิพลจากความทุกข์ทรมานที่แสนสลดหดหู่ของมวลชนผู้เข้าร่วมขับเคลื่อนการปฏิวัติ         

โครปอทกิ้น,นักวิทยาศาสตร์ผู้หลักแหลมได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนในบันทึกความทรงจำของเขาเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองในชั่วคนหนึ่ง     เขาถามตัวเองว่า  ”สิ่งเหล่านี้(การใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย )ทำให้ฉันมีความสุขมากขึ้นนักหรือ  ในเมื่อรอบๆตัวฉันนั้นไม่มีอะไรเลยนอกเสียจากความขมขื่นและการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเศษขนมปังที่สกปรก   เมื่อใดก็ตาม..ที่ฉันควรจ่ายเพื่อช่วยให้ฉันมีชีวิตอยู่ในโลกของอารมณ์ความรู้สึกที่เหนือกว่า     มันรู้สึกคล้ายกับว่าจำต้องแย่งยื้ออาหารจากปากของคนปลูกข้าวสาลีที่ไม่มีแม้แต่ขนมปังพอจะเลี้ยงดูลูกๆของพวกเขา?”

ความโหดร้ายที่กระทำต่อชาวโปลนั้นได้เปิดหน้ากากอีกด้านหนึ่งของกษัตริย์ ”ซาร์นักปฏิรูป” ชายผู้ที่โครปอทกิน ได้บรรยายถึงว่า    “เป็นผู้ลงนามในคำประกาศที่ปฏิกิริยาที่สุดด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง  หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความสลดหดหู่”     การคอร์รัปชั่นและความผุพังของระบบการปกครองแบบเอกาธิปไตย,ระบบราชการแบบขุนนางที่ล้าสมัย.....การแพร่สะพัดของลัทธิลี้ลับทางศาสนา  ได้ซึมซ่านไปทั่วทั้งสังคม    และความคลุมเครือไม่โปร่งใสได้ปลุกเร้าให้สรรพกำลังที่มีชีวิตในสังคมก้าวไปสู่การปฏิวัติ  จินตกวี เนกราซอฟ ได้จารไว้ในบทกวี ”ความขื่นขม” ของเขาว่า  “ขนมปังเหล่านั้น  ล้วนทำขึ้นจากมือของเหล่าทาส”      การประท้วงต่อต้านความเป็นทาสกระตุ้นให้เยาวชนปฏิวัติแสวงหาทางออก     มันได้สะท้อนคำพูดที่  แฮร์ซเซ่น รอคอยมานานแล้วคือการ..”ลงสู่มวลชน” (วี นารอด /V Narod) คำ     พูดที่เปล่งออกมาของแฮร์ซเซ่นแสดงถึงความหาญกล้าและทุ่มเทเหล่านี้ได้สร้างความประทับใจที่ไม่อาจลบเลือนไปได้.. จงลงไปสู่ประชาชน...ที่นั่นคือพื้นที่ของเรา... ประท้วง...พวกเธอจงลุกขึ้น มาในฐานะที่ไม่ใช่พวกอำมาตย์ศักดินา    หากแต่เป็นทหารกล้าของประชาชนรัสเซีย


No comments:

Post a Comment