Thursday, November 24, 2016

พัฒนาการของทุนนิยมในยุโรป 1.

พัฒนาการของทุนนิยมในยุโรป   1.
บทที่ 1.ตอนที่ 1.  การสะสมทุนปฐมกาล

ธาตุแท้ของการสะสมปฐมกาล
รูปแบบการผลิตทุนนิยมได้ปฏิสนธิในครรภ์มารดาของสังคมศักดินา 2-300 ปีก่อนเข้าช่วงชิงอำนาจรัฐ   ชนชั้นนายทุนก็ได้ใช้วิธีการอันป่าเถื่อนไร้ยางอายภายใต้แรงกระตุ้นจากความละโมบ   ด้วยการสูบเลือดกินเนื้อของประชาชนผู้ใช้แรงงานเรือนร้อยล้านไปหล่อเลี้ยงตนเองให้เติบใหญ่ขึ้น    เห็นได้ชัดว่า  ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดาของสังคมศักดินา    ชนชั้นนายทุนก็ได้เผยธาตุแท้ออกมาให้เห็นอย่างล่อนจ้อนแล้ว

ทวีปยุโรปในคริสศตวรรษที่ 14-15 พร้อมๆกับการพัฒนาก้าวหน้าของเทคนิคการผลิต    การขยายตัวของการแบ่งงานทางสังคม   การเพิ่มทวีของการผลิตสินค้าและการก่อรูปของตลาดการค้าทั้งภายในและภาย นอกประเทศ    ก็เริ่มปรากฏหน่ออ่อนของรูปแบบการผลิตทุนนิยมขั้นต้นขึ้นตามเมืองต่างๆแถบชายฝั่งทะ เลเมดิเตอร์เรเนียน (เช่นอิตาลี) ก่อน      ต่อจากนั้นดินแดนแถบภาคใต้ฝรั่งเศส   ฝั่งแม่น้ำไรน์  และบางเมืองในสหพันธรัฐเยอรมนีก็มีปัจจัยทุนนิยมก่อรูปขึ้นเช่นกัน

จากทาสกสิกรสมัยกลาง   ก่อเกิดชาวเมืองยุคต้น   และจากหมู่ชาวเมืองเหล่านี้ได้ก่อเกิดชนชั้นนายทุนยุคแรกๆขึ้น   ผู้ผลิตน้อยได้เกิดการแยกตัวเนื่องจากการแข่งขัน    พวกสมาคมอาชีพช่างฝีมือส่วนหนึ่งค่อยๆร่ำรวยขึ้นกลายเป็นเจ้าของสถานประกอบการ    พวกลูกมือและผู้ฝึกงานส่วนใหญ่ที่สุดกลับนับวันยากจน   ตกต่ำลงกลายเป็นคนงานรับจ้างที่ถูกขูดรีด    พวกพ่อค้าเงินกู้ดอกเบี้ยสูงส่วนหนึ่งก็ได้ให้กู้เงินสด  เครื่องมือการผลิต   และวัตถุดิบแก่พวกผู้ผลิตน้อย    โดยเอาการรับซื้อผลผลิตของพวกเขาในราคาถูกเป็นเงื่อนไขทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาทุนการค้า   จากนั้นก็ก้าวสู่การเข้ายึดกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตของพวกเขา    

พวกพ่อค้าเงินกู้ดอกเบี้ยสูงเหล่านี้ก็จะกลายเป็นพ่อค้าเหมาซื้อและเจ้าของสถานประกอบ การหัตถกรรมที่กระจัดกระจาย    พวกช่างฝีมืออิสระเดิมก็จะตกต่ำลงกลายเป็นผู้ใช้แรงงานรับจ้างไป    สถานประกอบการหัตถกรรมทุนนิยมก็เกิดขึ้นและพัฒนาไปภายใต้สภาพดังกล่าว
ในชนบท...เนื่องจากการพัฒนาของเศรษฐกิจสินค้า   พวกเจ้าที่ดินศักดินาก็เริ่มดำเนินกิจการแบบทุนนิยมในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเอง       ในขณะเดียวกันบรรดาชาวนาก็มีการแยกตัวออกมาและพวกนักเกษตรกรรมที่เช่าที่ดินดำเนินการผลิตทางการเกษตรแบบทุนนิยมขนาดเล็กจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้วย     เช่นนี้แล้วพื้นฐานเศรษฐกิจธรรมชาติของสังคมศักดินาก็ค่อยๆสลายตัว   ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบทุนนิยมก็ค่อยๆพัฒนาขยายตัวขึ้นทีละก้าวๆ

การพัฒนาการผลิตแบบทุนนิยม   จะต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 2 ประการคือ  1)  จะต้องสะสมและรวมศูนย์เงินตราจำนวนมากอย่างฉับพลันไว้ในมือคนส่วนน้อยและแปรเปลี่ยนเป็นทุนสำหรับขูดรีดการใช้แรงงานของผู้อื่น    2)  ผู้ใช้แรงงานเรือนแสนเรือนล้านแยกตัวออกจากปัจจัยการผลิต  กลายเป็นผู้ใช้แรงงานอิสระที่ขายพลังแรงงานอันไร้ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง   กระบวนการในการสร้างเงื่อนไขสองประการนี้ก็คือกระบวนการสะสมทุนแบบปฐมกาลนั่นเอง

ในบรรดารูปแบบสะสมทุนปฐมกาลรูปแบบต่างๆนั้น     การแย่งยึดที่ดินของชาวนาเป็นรูปแบบพื้นฐานของทั้งกระบวนการ    ส่วนการปล้นชิงแบบอาณานิคมต่อประชาชนในเอเชีย  อัฟริกาและลาตินอเมริกานั้นก็เป็นปัจจัยหลักของการสะสมทุนปฐมกาล    ทั้งหมดนี้ล้วนต้องผ่านการใช้ความรุนแรงที่โหดเหี้ยมทารุณที่สุดไปทำให้ปรากฏเป็นจริงขึ้นทั้งสิ้นมาร์กซได้ชี้ให้เห็นในว่าด้วยทุนว่า    “สิ่งที่เรียกว่าการสะสมทุนแบบปฐมกาลนั้นก็เป็นเพียงกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ผู้ผลิตแยกตัวจากปัจจัยการผลิตเท่านั้น      และประวัติศาสตร์แห่งการแย่งยึดชนิดนี้   ถูกจารึกด้วยตัวอักษรของเลือดและไฟ”  (มาร์กซ  “ว่าด้วยทุน”)

การแย่งยึดที่ดินของชาวนา
มาร์กซได้ถือเอา “ขบวนการกว้านที่ดิน”  ในอังกฤษเป็นแบบฉบับไปสังเกตวิถีดำเนินทางประวัติศาสตร์ในการทำให้ผู้ผลิตแยกตัวจากปัจจัยการผลิตอย่างละเอียด      ในช่วงปลายจองคริสต์ศตวรรษที่ 15 เนื่อง   จากการพัฒนาขยายตัวของสถานประกอบการหัตถกรรมผ้าสักหลาดและผ้ากำมะหยี่ของทุนนิยมอังกฤษ   ทำให้ความต้องการขนแกะเพิ่มทวีขึ้น     เพื่อผลกำไรก้อนงามพวกขุนนางเจ้าที่ดิน  จึงเข้ากว้านยึดที่ดินทำกินของชาวนาด้วยวิธีการรุนแรง   ทำให้ที่ดินกลายเป็นที่ดินผืนใหญ่ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อถึงกันเพื่อทำเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ   หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถูกทำลายราบเรียบ    ชาวนาเป็นจำนวนมากถูกขับไล่ออกจากที่ดินทำกินสูญเสียซึ่งปัจจัยในการดำรงชีวิตทุกชนิด   ต้องซัดเซพเนจร  ระเหเร่ร่อน  จากนั้นพวกชนชั้นปกครองอังกฤษก็ยังถือเอาพวกเขาเป็นขอทาน  เป็นโจรผู้ร้ายและพวกจรจัด    โดยตรากฏหมายที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจำนวนมากออกมาเป็นเครื่องมือทำร้ายพวกเขา   เสือกไสพวกเขาให้ยอมรับระบอบแรงงานรับจ้างภายใต้เงื่อนไขที่โหดเหี้ยมทารุณที่สุด   

ภายหลังการปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษแล้ว   ชนชั้นนายทุนและพวกขุนนางใหม่ก็ยังใช้อำนาจรัฐที่กุมอยู่ในมือของพวกเขา   ประกาศกฎหมาย  คำสั่งเกี่ยวกับการกว้านที่ดินหลายฉบับ   ทวีการแย่งยึดที่ดินของชาวนาหนักมือยิ่งขึ้น    กระบวนการแย่งยึดและปองร้ายชาวนาด้วยวิธีการรุนแรงชนิดนี้   ประเทศต่างๆในยุโรปในยุคสังคมศักดินาสลายตัวล้วนได้ดำเนินการในระดับที่แตกต่างกันทั้งสิ้น   แต่ที่เป็นแบบฉบับที่สุดรุนแรงที่สุดและถึงแก่นที่สุดนั้นก็เห็นจะมีที่อังกฤษเท่านั้น

การที่ชาวนาถูกแย่งยึดที่ดิน    ทำให้ที่ดินซึ่งแต่เดิมชาวนาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และใช้สอยอย่างกระจัดกระจายอยู่ถูกรวมศูนย์อยู่ในมือของขุนนางใหม่และพ่อค้าจำนวนน้อย    ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนใหญ่เหล่านี้   บ้างเอาที่ดินให้เช่าแก่เจ้าของฟาร์มเกษตร    บ้างดำเนินกิจการฟาร์มเกษตรแบบทุนนิยมด้วยตนเอง      เมื่อชนชั้นนายทุนยึดที่มั่นในชนบทได้แล้วก็เท่ากับได้สร้างเงื่อนไขให้กับการพัฒนาทุนอุตสาหกรรมในเมืองพร้อมกันไปด้วย     คู่ขนานไปกับการถูกทำลายของชาวนาปัจเจกภาพและหัตถ กรรมครัวเรือน    ทุนอุตสาหกรรมในเมืองก็มีพลังแรงงานอิสระราคาถูกอย่างล้นหลามและตลาดภายใน ประเทศที่พึ่งพาได้

นับแต่วันแรกที่ชนชั้นนายทุนถือกำเนิดขึ้น   ก็ถือเอาทรัพย์สินเอกชนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้  และประกาศเป็นปฏิญญาข้อแรกของตน   แต่ว่า   “ผลงานชิ้นโบว์แดงชิ้นแรกของชนชั้นนายทุนก็คือการล่วงละเมิดและเหยียบย่ำทำลายทรัพย์สินอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้อื่นและการใช้กำลังประทุษร้ายต่อร่าง กายมนุษย์อย่างหยาบช้าสามานย์”  (มาร์กซ  “ว่าด้วยทุน”)

การ “ค้นพบทางภูมิศาสตร์ครั้งมโหฬาร”  และเริ่มยุคการปล้นชิงแบบอาณานิคม
คริสต์ศตวรรษที่ 15    ความสัมพันธ์ทางเงินตราได้บ่อนเซาะระบอบศักดินาในยุโรปอย่างหนักหน่วง   ทำให้พวกพ่อค้า  และเจ้าศักดินาในยุโรปมีความกระหายต่อโภคทรัพย์  โดยเฉพาะคือทองคำในดินแดนตะ วันออกอย่างรุนแรง   คริสโตเฟอร์   โคลัมบัส  ได้กล่าวไว้ในฎีกาที่ถวายต่อองค์กษัตริย์และราชินีแห่งสเปนว่า  “ทองคำคือสิ่งซึ่งสามารถทำให้คนเราตื่นตะลึง    ผู้ใดมีมันไว้ในครอบครอง   ผู้นั้นจักสามารถบงการทุกสิ่งทุกอย่าง    เมื่อมีทองคำแล้ว จะส่งวิญญาณไปอยู่ในสรวงสวรรค์ก็เป็นสิ่งซึ่งสามารถกระทำได้”    

ความกระหายอยากทองคำที่ละโมบที่สุดชนิดนี้    สะท้อนให้เห็นความเรียกร้องต้องการอันรีบด่วนของทุนนิยมที่เจริญขึ้นใหม่ในยุโรปในอันที่จะเข้าปล้นสะดมโภคทรัพย์อย่างใหม่  เพื่อเร่งฝีก้าวให้กับการสะสมทุน  และกลายเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการแสวงหาเส้นทางเดินเรือใหม่สู่ตะวันออก   ขณะเดียว กัน   เนื่องจากการแผ่ขยายอำนาจในแถบเอเชียตะวันตกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของกลุ่มชนชั้นปกครองตุรกีในศตวรรษที่ 15  ได้ควบคุมด่านการค้ากับตะวันออก       ขวางกั้นเส้นทางการค้าดั้งเดิมของประเทศต่างๆในยุโรปที่ทะลุสู่ตะวันออก   ฉะนั้นการแสวงหาเส้นทางเดินเรือใหม่จึงกลายเป็นบทใหม่ที่มีความเร่งด่วนยิ่งบทหนึ่ง  สิ่งที่เรียกว่า  “การค้นพบทางภูมิศาสตร์ครั้งมโหฬาร”   ก็เริ่มจากจุดมุ่งหมายดังกล่าวโดยการแล่นเรือเป็นระยะทางไกลแบบผจญภัยอันลือชื่อ 3 ครั้งติดต่อกัน       พวกนักผจญภัยแห่งสเปนและโปรตุเกสได้สวมบทบาทนักล่าอาณานิคมชุดแรกด้วยประการฉะนี้

เริ่มแต่ต้นศตวรรษที่ 15  ชาวโปรตุเกสก็ได้ค้นหาเส้นทางเดินเรือสู่อินเดีย  โดยมุ่งลงทางใต้เลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกของทวีปอาฟริกาอยู่ไม่ขาดสาย     ปี 1497วาสโก ดา กามา (Vasco Da Gama 1469 -1524)   ได้แล่นเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปที่อยู่ทางตอนใต้สุดของทวีปอาฟริกา   ไปถึงฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียในปีถัดมา       ต่อจากนั้นเขาก็ได้นำกองเรือติดอาวุธแล่นสู่ตะวันออกอีกครั้งหนึ่ง    ทำการเข่นฆ่าผู้คนตามรายทางไม่ต่างอะไรกับโจรสลัด    ทั้งได้ยึดดินแดนชายฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย   ใช้เป็นฐานที่มั่น    ส่วนชาวสเปนนั้นได้บุกเบิกเส้นทางใหม่   แล่นเรือไปทางตะวันตก   โดยคาดหมายว่าจะสามารถไปถึงประเทศจีนและอินเดีย  “ดินแดนซึ่งเกลื่อนไปด้วยทองคำ”   ซึ่งเป็นการเดินเรือระยะไกลที่ท้าทายมากครั้งหนึ่งภายใต้กี้นำของทฤษฎี “โลกกลม”  ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้วในขณะนั้น     

ปี 1492  ชาวเจนัวชื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ( Christopher Columbus 1451-1506)ได้รับราชโองการจากกษัตริย์ แห่งสเปนแล่นเรือผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก    ได้พบเกาะแก่งต่างๆในทะเลคาริบเบียน     หลังจากนั้น เขายังแล่นเรือสู่ตะวันตกอีก 3 ครั้ง   เหยียบย่างสู่ดินแดนบางส่วนของแผ่นดินใหญ่อเมริกากลาง   โดยสำคัญผิดคิดว่าที่นี่ก็คืออินเดีย     ดังนั้น ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนั้นจึงถูกเรียกว่า “ชาวอินเดียนแดง”   ต่อมาเมื่อชาวสเปนทราบว่าที่นี่ไม่ใช่อินเดีย   หากแต่เป็นแผ่นดินใหญ่ที่ค้นพบใหม่แล้วจึงได้แล่นเรือต่อไป    ปี 1519 กองเรือสเปนที่นำโดย เฟอร์ดินันด์ แมคเจลแลน(Ferdinand  Magellan 1480-1521)  แล่นเรืออ้อมแผ่นดินทางตอนใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้    ผ่านช่องแคบแมคเจลแลนในปัจจุบันไปถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์    ในการปะทะกับชาวพื้นเมือง  ครั้งหนึ่งแมคเจลแลนถูกฆ่าตาย   พรรคพวกของเขาได้กลับถึงสเปนในปี 1522  โดยผ่านเกาะมาดากัสกาและใช้เส้นทางเดินเรือที่ชาวโปรตุเกสเคยใช้มาแล้ว    การเดินเรือของโคลัมบัสและแมคเจลแลนเป็นการพิสูจน์ว่าโลกนั้นกลมจริง

การบุกเบิกเส้นทางเดินเรือใหม่จากยุโรปสู่ตะวันออก   การค้นพบแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกา   ตลอดจนผลสำเร็จในการเดินเรือรอบโลก   ได้บุกเบิกสนามรบใหม่ให้กับชนชั้นนายทุนในยุโรปที่เจริญขึ้น   พวกนักล่าอาณานิคม  ขุนนาง  พ่อค้า นักสอนศาสสนา   และโจรผู้ร้ายของประเทศต่างๆในยุโรป   ต่างก็เฮโลไปสู่ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อุดมสมบูรณ์ของทวีปเอเซีย  อาฟริกา  และลาตินอเมริกาโดยอาศัยเส้นทางที่นักผจญภัยได้บุกเบิกไว้แล้ว   ทำการกดขี่เข่นฆ่าประชาชนชาวพื้นเมือง   หลอกลวงและปล้นชิงโภคทรัพย์ของพวกเขา   เริ่มภารกิจในการปล้นชิงแบบอาณานิคมที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

พวกนักล่าอาณานิคมโปรตุเกสได้ครองความเป็นเจ้าในการล่าอาณานิคมต่อทวีปอาฟริกาและการค้ากับตะวันออก     พวกเขาได้สร้างที่มั่นอาณานิคมในดินแดนแถบตะวันตกของอาฟริกา   เช่น กินี  กานา  ไอวอรี่โคสต์ แองโกล่า  และทางแถบตะวันออกของอาฟริกา  เช่น โมซัมบิก เป็นต้น   โดยอาศัยที่มั่นเหล่า นี้แล้วกระจายออกปล้นสะดมอย่างป่าเถื่อน   พวกเขาใช้ ลูกแก้วมีรู   กระจก และเข็มกลัดซึ่งเป็นผลผลิตหัตถกรรมคุณภาพต่ำไปหลอกแลกกับงาช้าง  เพชร  พลอย  เครื่องเทศจากชนผิวดำ   หรือไม่ก็ใช้วิธีเข่นฆ่าอย่างสยองขวัญไปปล้นชิงเอาวัตถุมีค่าประเภททองคำอย่างดื้อๆ      ในช่วงระยะ 100 ปีนับแต่ปลายศตวรรษที่ 15 ถึงปลายศตวรรษที่ 16  ชาวโปรตุเกสได้ปล้นชิงทรัพยากรจากอาฟริกาเฉพาะทองคำอย่างเดียวก็มีมูลค่าคิดเป็นน้ำหนัก 276,000 กิโลกรัม

ส่วนนักล่าอาณานิคมสเปนก็ดำเนินการล่าอาณานิคมในอเมริกากลางและอเมริกาใต้    กลางศตวรรษที่ 16  อเมริกากลางและอเมริกาใต้  ยกเว้นบราซิลซึ่งถูกยึดครองโดยโปรตุเกสแล้ว    นอกนั้นล้วนตกเป็นอาณานิคมของสเปนทั้งสิ้น     พวกนักล่าอาณานิคมได้ทำลายวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของประชาชนในท้อง ถิ่นจนหมดสิ้น   ใช้วิธีการอันป่าเถื่อน  เช่นลงทัณฑ์ทรมาน  ฝังทั้งเป็น  ล่าสังหารไปบีบบังคับชาวพื้น เมืองยอมตนลงเป็นทาส   เป็นเหตุให้ประชากรของชาวพื้นเมืองลดลงอย่างฮวบฮาบ    ถึงปี 1548  ชาวพื้นเมืองใน ไฮติ  คิวบา  จาเมก้า เป็นต้นแทบจะสูญสิ้น   ตามการคาดคะเน   ในช่วงระยะที่ปกครองโดยนักล่าอาณานิคมสเปน   ชาวอินเดียนพื้นเมืองที่ถูกฆ่าและถูกทรมานจนตายก็มีจำนวนถึง 12-15 ล้านคน    กองกระดูกที่กองเป็นพะเนินกลายเป็นทองคำเหลืองอร่ามในมือของนักล่าอาณานิคมสเปน   

ช่วงระยะ 40 ปี นับแต่ปี 1521-1560  นักล่าอาณานิคมสเปนก็ปล้นเอาทองคำมีมูลค่าคิดเป็นน้ำหนักถึง 157,000 กิโลกรัม  เงินขาว 4,670,000 กิโลกรัม    ดังนั้นมาร์กซจึงชี้ว่า   "เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดหัตถกรรมสถานประกอบการก็คือ    การค้นพบทวีปอเมริกาและการสะสมทุนโดยการนำ เข้าโลหะมีค่าจากทวีปอเมริกา”  (มาร์กซ “ความอับจนของปรัชญา”)    โลหะมีค่าจำนวนมากที่ปล้นชิงจากอาณานิคมโดยเฉพาะจากอเมริกาได้หลั่งไหลเข้าสู่ยุโรปไม่ขาดสาย    ได้ขยายขอบเขตของวิธีการแลกเปลี่ยน   ทั้งนำมาซึ่ง “การปฏิวัติราคา* (ทองคำและเงินจำนวนมหาศาลที่ปล้นชิงจากดินแดนอาณานิคม  ต้นทุนการผลิตต่ำ  หลังจากอัดฉีดเข้าสู่ปริมณฑลปริวรรตเงินตราแล้ว    ก็ทำให้ราคาของทองคำและเงินลดต่ำลง   ราคาสินค้าถีบตัวสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว    ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายศตวรรษที่16   ราคาสินค้าของประเทศต่างๆเช่นสเปน  ฝรั่งเศส  อังกฤษ  เยอรมัน   ล้วนถีบตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัว    ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า  “การปฏิวัติราคา” )

ในศตวรรษที่ 16  ราคาสินค้าที่แต่เดิมมีเสถียรภาพเป็นเวลาหลายร้อยปีของยุโรปบัดนี้ได้พุ่งทะยานขึ้นเป็นแนวดิ่ง    ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้ใช้แรงงานทั้งในเมืองและชนบทยิ่งยากจนลง    พวกเจ้าที่ดินศักดินาที่อาศัยค่าเช่าเป็นเงินตราในอัตราที่แน่นอนก็มีรายได้ไม่พอรายจ่าย    มีแต่ชนชั้นนายทุนเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากการนี้และได้เร่งความ เร็วในการสะสมทุนปฐมกาล   เสริมฐานะของชนชั้นนายทุนให้มั่นคงยิ่งขึ้น    “ชนชั้นเจ้าที่ดินและชนชั้นผู้ใช้แรงงานซึ่งก็คือเจ้าศักดินาและประชาชนเสื่อมโทรมลง   ชนชั้นผู้มีทุนชนชั้นนายทุนเจริญขึ้น” (มาร์กซ  “ความอับจนของปรัชญา”)

ต่อจากสเปน  โปรตุเกส   นักล่าอาณานิคมอังกฤษ  ฮอลแลนด์  ฝรั่งเศส  ก็ทยอยกันมุ่งสู่เอเชีย  อาฟริกาและอเมริกา  ดำเนินการปล้นชิง    พวกเขาได้รับสัมปทานจากรัฐบาลของประเทศตน    ทำการก่อตั้งบริษัทผูกขาดแบบอาณานิคมชนิดต่างๆ   บริษัทเหล่านี้ ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่กระตุ้นการสะสมทุนปฐมกาล   บริษัทอีสต์อินเดียของฮอลแลนด์ที่ก่อตั้งในปี 1602  ได้ค่อยๆสร้างฐานะการปก ครองแบบอาณานิคมต่อเกาะต่างๆในอินโดนีเซีย    ส่วนบริษัทอีสต์อินเดียของอังกฤษที่ก่อตั้งในปี 1600 ไม่เพียง  แต่ได้ผูกขาดการค้ากับอนุทวีปเอเชียใต้และประเทศจีนเท่านั้น      หากยังได้ค่อยๆก้าวไปสู่การพิชิตอนุทวีปเอเชียใต้ปล้นชิงโภคทรัพย์มูลค่ามหาศาลอีกด้วย    โภคทรัพย์มูลค่ามหาศาลเหล่านี้ได้ผลักดันให้หัตถกรรมสถานประกอบการพัฒนาไป    ทั้งกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมตามมาอีกด้วย    แต่ประชาชนผู้ใช้แรงงานในอนุทวีปเอเซียใต้กลับต้องพบกับภัยพิบัติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน    ตกอยู่ในห้วงเหวของความยากจนล้มละลาย    จากการเกิดทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในปี 1770   เฉพาะที่เขตเบงกอลก็มีผู้เสียชีวิตถึง 10 ล้านคน

พร้อมๆกับที่ชาวเอเซียกำลังพบกับภัยพิบัติอย่างไม่เคยมีมาก่อนนั้น   ชาวอินเดียนในทวีปอเมริกาก็ถูกเข่นฆ่าเป็นจำนวนมาก   และนักล่าอาณานิคมของยุโรปดำเนินการซื้อขายทาสอย่างชั่วร้ายในทวีปอาฟริกา    ก่อนอื่นคือ  ชาวโปรตุเกส  ชาวสเปนและชาวเจนัว   ถึงศตวรรษที่ 18  ชาวอังกฤษก็กลายเป็นนักค้ามนุษย์ตัวยง     ชนผิวดำก็ถูกจับมาจากทวีปอาฟริกาไปทวีปอเมริกานั้น   ตามสถิติมีถึง 900,000 คนในศตวรรษที่16   ในศตวรรษที่ 17   2,750,000 คน ถึงศตวรรษที่18 ก็เพิ่มเป็น 7 ล้านคน     การค้าทาสได้นำผลกำไรมหาศาลมาสู่นักล่าอาณานิคมยุโรป    กลายเป็นแหล่งที่มาแหล่งหนึ่งของการสะสมทุนปฐมกาลในยุโรป  ในการขายทาสชนผิวดำสู่ทวีปอเมริกาแต่ละคน    ก็จะต้องมีชนผิวดำ 4-5คนถูกฆ่าหรือถูกทรมานจนตายในระหว่างทางขนส่งลำเลียง    ทำให้ทวีปอาฟริกาสูญเสียประชากรไปถึง 100 ล้านคนในชั่วระยะ 400 ปี   ไร่เพาะปลูกแบบทาสกลายเป็นรูปแบบเศรษฐกิจหลักของอาณานิคมในทวีปอเมริกา    ฝ้ายที่ปลูกโดยแรงงานทาสในทวีปอเมริกาก็กลายเป็นเสาค้ำอุตสา หกรรมของอังกฤษ   “รวมความแล้วก็คือ   ระบอบทาสที่แฝงเร้นในรูปของแรงงานรับจ้างในยุโรป   จำเป็นต้องอาศัยระบอบทาสที่ล่อนจ้อนของโลกใหม่เป็นฐานรองรับ” (มาร์กซ “ว่าด้วย ทุน”)....จบตอน 1

No comments:

Post a Comment