พัฒนาการของทุนนิยมในยุโรป 1.
บทที่ 1.ตอนที่ 1. การสะสมทุนปฐมกาล
ธาตุแท้ของการสะสมปฐมกาล
รูปแบบการผลิตทุนนิยมได้ปฏิสนธิในครรภ์มารดาของสังคมศักดินา
2-300 ปีก่อนเข้าช่วงชิงอำนาจรัฐ
ชนชั้นนายทุนก็ได้ใช้วิธีการอันป่าเถื่อนไร้ยางอายภายใต้แรงกระตุ้นจากความละโมบ
ด้วยการสูบเลือดกินเนื้อของประชาชนผู้ใช้แรงงานเรือนร้อยล้านไปหล่อเลี้ยงตนเองให้เติบใหญ่ขึ้น เห็นได้ชัดว่า ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดาของสังคมศักดินา
ชนชั้นนายทุนก็ได้เผยธาตุแท้ออกมาให้เห็นอย่างล่อนจ้อนแล้ว
ทวีปยุโรปในคริสศตวรรษที่
14-15 พร้อมๆกับการพัฒนาก้าวหน้าของเทคนิคการผลิต การขยายตัวของการแบ่งงานทางสังคม
การเพิ่มทวีของการผลิตสินค้าและการก่อรูปของตลาดการค้าทั้งภายในและภาย นอกประเทศ ก็เริ่มปรากฏหน่ออ่อนของรูปแบบการผลิตทุนนิยมขั้นต้นขึ้นตามเมืองต่างๆแถบชายฝั่งทะ
เลเมดิเตอร์เรเนียน (เช่นอิตาลี) ก่อน
ต่อจากนั้นดินแดนแถบภาคใต้ฝรั่งเศส
ฝั่งแม่น้ำไรน์
และบางเมืองในสหพันธรัฐเยอรมนีก็มีปัจจัยทุนนิยมก่อรูปขึ้นเช่นกัน
จากทาสกสิกรสมัยกลาง ก่อเกิดชาวเมืองยุคต้น
และจากหมู่ชาวเมืองเหล่านี้ได้ก่อเกิดชนชั้นนายทุนยุคแรกๆขึ้น ผู้ผลิตน้อยได้เกิดการแยกตัวเนื่องจากการแข่งขัน พวกสมาคมอาชีพช่างฝีมือส่วนหนึ่งค่อยๆร่ำรวยขึ้นกลายเป็นเจ้าของสถานประกอบการ
พวกลูกมือและผู้ฝึกงานส่วนใหญ่ที่สุดกลับนับวันยากจน ตกต่ำลงกลายเป็นคนงานรับจ้างที่ถูกขูดรีด พวกพ่อค้าเงินกู้ดอกเบี้ยสูงส่วนหนึ่งก็ได้ให้กู้เงินสด เครื่องมือการผลิต และวัตถุดิบแก่พวกผู้ผลิตน้อย โดยเอาการรับซื้อผลผลิตของพวกเขาในราคาถูกเป็นเงื่อนไขทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาทุนการค้า จากนั้นก็ก้าวสู่การเข้ายึดกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตของพวกเขา
พวกพ่อค้าเงินกู้ดอกเบี้ยสูงเหล่านี้ก็จะกลายเป็นพ่อค้าเหมาซื้อและเจ้าของสถานประกอบ
การหัตถกรรมที่กระจัดกระจาย พวกช่างฝีมืออิสระเดิมก็จะตกต่ำลงกลายเป็นผู้ใช้แรงงานรับจ้างไป สถานประกอบการหัตถกรรมทุนนิยมก็เกิดขึ้นและพัฒนาไปภายใต้สภาพดังกล่าว
ในชนบท...เนื่องจากการพัฒนาของเศรษฐกิจสินค้า พวกเจ้าที่ดินศักดินาก็เริ่มดำเนินกิจการแบบทุนนิยมในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเอง ในขณะเดียวกันบรรดาชาวนาก็มีการแยกตัวออกมาและพวกนักเกษตรกรรมที่เช่าที่ดินดำเนินการผลิตทางการเกษตรแบบทุนนิยมขนาดเล็กจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้วย เช่นนี้แล้วพื้นฐานเศรษฐกิจธรรมชาติของสังคมศักดินาก็ค่อยๆสลายตัว ความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบทุนนิยมก็ค่อยๆพัฒนาขยายตัวขึ้นทีละก้าวๆ
การพัฒนาการผลิตแบบทุนนิยม จะต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 2 ประการคือ 1) จะต้องสะสมและรวมศูนย์เงินตราจำนวนมากอย่างฉับพลันไว้ในมือคนส่วนน้อยและแปรเปลี่ยนเป็นทุนสำหรับขูดรีดการใช้แรงงานของผู้อื่น 2)
ผู้ใช้แรงงานเรือนแสนเรือนล้านแยกตัวออกจากปัจจัยการผลิต กลายเป็นผู้ใช้แรงงานอิสระที่ขายพลังแรงงานอันไร้ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง
กระบวนการในการสร้างเงื่อนไขสองประการนี้ก็คือกระบวนการสะสมทุนแบบปฐมกาลนั่นเอง
ในบรรดารูปแบบสะสมทุนปฐมกาลรูปแบบต่างๆนั้น การแย่งยึดที่ดินของชาวนาเป็นรูปแบบพื้นฐานของทั้งกระบวนการ ส่วนการปล้นชิงแบบอาณานิคมต่อประชาชนในเอเชีย อัฟริกาและลาตินอเมริกานั้นก็เป็นปัจจัยหลักของการสะสมทุนปฐมกาล
ทั้งหมดนี้ล้วนต้องผ่านการใช้ความรุนแรงที่โหดเหี้ยมทารุณที่สุดไปทำให้ปรากฏเป็นจริงขึ้นทั้งสิ้นมาร์กซได้ชี้ให้เห็นในว่าด้วยทุนว่า “สิ่งที่เรียกว่าการสะสมทุนแบบปฐมกาลนั้นก็เป็นเพียงกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ผู้ผลิตแยกตัวจากปัจจัยการผลิตเท่านั้น
และประวัติศาสตร์แห่งการแย่งยึดชนิดนี้
ถูกจารึกด้วยตัวอักษรของเลือดและไฟ” (มาร์กซ
“ว่าด้วยทุน”)
การแย่งยึดที่ดินของชาวนา
มาร์กซได้ถือเอา
“ขบวนการกว้านที่ดิน”
ในอังกฤษเป็นแบบฉบับไปสังเกตวิถีดำเนินทางประวัติศาสตร์ในการทำให้ผู้ผลิตแยกตัวจากปัจจัยการผลิตอย่างละเอียด ในช่วงปลายจองคริสต์ศตวรรษที่ 15 เนื่อง จากการพัฒนาขยายตัวของสถานประกอบการหัตถกรรมผ้าสักหลาดและผ้ากำมะหยี่ของทุนนิยมอังกฤษ ทำให้ความต้องการขนแกะเพิ่มทวีขึ้น เพื่อผลกำไรก้อนงามพวกขุนนางเจ้าที่ดิน
จึงเข้ากว้านยึดที่ดินทำกินของชาวนาด้วยวิธีการรุนแรง ทำให้ที่ดินกลายเป็นที่ดินผืนใหญ่ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อถึงกันเพื่อทำเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถูกทำลายราบเรียบ ชาวนาเป็นจำนวนมากถูกขับไล่ออกจากที่ดินทำกินสูญเสียซึ่งปัจจัยในการดำรงชีวิตทุกชนิด ต้องซัดเซพเนจร ระเหเร่ร่อน
จากนั้นพวกชนชั้นปกครองอังกฤษก็ยังถือเอาพวกเขาเป็นขอทาน เป็นโจรผู้ร้ายและพวกจรจัด โดยตรากฏหมายที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจำนวนมากออกมาเป็นเครื่องมือทำร้ายพวกเขา
เสือกไสพวกเขาให้ยอมรับระบอบแรงงานรับจ้างภายใต้เงื่อนไขที่โหดเหี้ยมทารุณที่สุด
ภายหลังการปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษแล้ว ชนชั้นนายทุนและพวกขุนนางใหม่ก็ยังใช้อำนาจรัฐที่กุมอยู่ในมือของพวกเขา ประกาศกฎหมาย
คำสั่งเกี่ยวกับการกว้านที่ดินหลายฉบับ
ทวีการแย่งยึดที่ดินของชาวนาหนักมือยิ่งขึ้น
กระบวนการแย่งยึดและปองร้ายชาวนาด้วยวิธีการรุนแรงชนิดนี้ ประเทศต่างๆในยุโรปในยุคสังคมศักดินาสลายตัวล้วนได้ดำเนินการในระดับที่แตกต่างกันทั้งสิ้น แต่ที่เป็นแบบฉบับที่สุดรุนแรงที่สุดและถึงแก่นที่สุดนั้นก็เห็นจะมีที่อังกฤษเท่านั้น
การที่ชาวนาถูกแย่งยึดที่ดิน
ทำให้ที่ดินซึ่งแต่เดิมชาวนาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และใช้สอยอย่างกระจัดกระจายอยู่ถูกรวมศูนย์อยู่ในมือของขุนนางใหม่และพ่อค้าจำนวนน้อย
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนใหญ่เหล่านี้
บ้างเอาที่ดินให้เช่าแก่เจ้าของฟาร์มเกษตร
บ้างดำเนินกิจการฟาร์มเกษตรแบบทุนนิยมด้วยตนเอง เมื่อชนชั้นนายทุนยึดที่มั่นในชนบทได้แล้วก็เท่ากับได้สร้างเงื่อนไขให้กับการพัฒนาทุนอุตสาหกรรมในเมืองพร้อมกันไปด้วย คู่ขนานไปกับการถูกทำลายของชาวนาปัจเจกภาพและหัตถ
กรรมครัวเรือน
ทุนอุตสาหกรรมในเมืองก็มีพลังแรงงานอิสระราคาถูกอย่างล้นหลามและตลาดภายใน ประเทศที่พึ่งพาได้
นับแต่วันแรกที่ชนชั้นนายทุนถือกำเนิดขึ้น ก็ถือเอาทรัพย์สินเอกชนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้ และประกาศเป็นปฏิญญาข้อแรกของตน แต่ว่า
“ผลงานชิ้นโบว์แดงชิ้นแรกของชนชั้นนายทุนก็คือการล่วงละเมิดและเหยียบย่ำทำลายทรัพย์สินอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้อื่นและการใช้กำลังประทุษร้ายต่อร่าง
กายมนุษย์อย่างหยาบช้าสามานย์”
(มาร์กซ “ว่าด้วยทุน”)
การ
“ค้นพบทางภูมิศาสตร์ครั้งมโหฬาร”
และเริ่มยุคการปล้นชิงแบบอาณานิคม
คริสต์ศตวรรษที่
15
ความสัมพันธ์ทางเงินตราได้บ่อนเซาะระบอบศักดินาในยุโรปอย่างหนักหน่วง ทำให้พวกพ่อค้า
และเจ้าศักดินาในยุโรปมีความกระหายต่อโภคทรัพย์ โดยเฉพาะคือทองคำในดินแดนตะ วันออกอย่างรุนแรง คริสโตเฟอร์
โคลัมบัส ได้กล่าวไว้ในฎีกาที่ถวายต่อองค์กษัตริย์และราชินีแห่งสเปนว่า “ทองคำคือสิ่งซึ่งสามารถทำให้คนเราตื่นตะลึง ผู้ใดมีมันไว้ในครอบครอง ผู้นั้นจักสามารถบงการทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อมีทองคำแล้ว จะส่งวิญญาณไปอยู่ในสรวงสวรรค์ก็เป็นสิ่งซึ่งสามารถกระทำได้”
ความกระหายอยากทองคำที่ละโมบที่สุดชนิดนี้ สะท้อนให้เห็นความเรียกร้องต้องการอันรีบด่วนของทุนนิยมที่เจริญขึ้นใหม่ในยุโรปในอันที่จะเข้าปล้นสะดมโภคทรัพย์อย่างใหม่ เพื่อเร่งฝีก้าวให้กับการสะสมทุน และกลายเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการแสวงหาเส้นทางเดินเรือใหม่สู่ตะวันออก ขณะเดียว กัน เนื่องจากการแผ่ขยายอำนาจในแถบเอเชียตะวันตกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของกลุ่มชนชั้นปกครองตุรกีในศตวรรษที่ 15
ได้ควบคุมด่านการค้ากับตะวันออก ขวางกั้นเส้นทางการค้าดั้งเดิมของประเทศต่างๆในยุโรปที่ทะลุสู่ตะวันออก ฉะนั้นการแสวงหาเส้นทางเดินเรือใหม่จึงกลายเป็นบทใหม่ที่มีความเร่งด่วนยิ่งบทหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่า “การค้นพบทางภูมิศาสตร์ครั้งมโหฬาร” ก็เริ่มจากจุดมุ่งหมายดังกล่าวโดยการแล่นเรือเป็นระยะทางไกลแบบผจญภัยอันลือชื่อ
3 ครั้งติดต่อกัน พวกนักผจญภัยแห่งสเปนและโปรตุเกสได้สวมบทบาทนักล่าอาณานิคมชุดแรกด้วยประการฉะนี้
เริ่มแต่ต้นศตวรรษที่
15 ชาวโปรตุเกสก็ได้ค้นหาเส้นทางเดินเรือสู่อินเดีย โดยมุ่งลงทางใต้เลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกของทวีปอาฟริกาอยู่ไม่ขาดสาย ปี
1497วาสโก ดา กามา (Vasco Da Gama 1469 -1524) ได้แล่นเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปที่อยู่ทางตอนใต้สุดของทวีปอาฟริกา ไปถึงฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียในปีถัดมา ต่อจากนั้นเขาก็ได้นำกองเรือติดอาวุธแล่นสู่ตะวันออกอีกครั้งหนึ่ง
ทำการเข่นฆ่าผู้คนตามรายทางไม่ต่างอะไรกับโจรสลัด ทั้งได้ยึดดินแดนชายฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย ใช้เป็นฐานที่มั่น ส่วนชาวสเปนนั้นได้บุกเบิกเส้นทางใหม่ แล่นเรือไปทางตะวันตก โดยคาดหมายว่าจะสามารถไปถึงประเทศจีนและอินเดีย “ดินแดนซึ่งเกลื่อนไปด้วยทองคำ” ซึ่งเป็นการเดินเรือระยะไกลที่ท้าทายมากครั้งหนึ่งภายใต้กี้นำของทฤษฎี
“โลกกลม”
ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้วในขณะนั้น
ปี 1492
ชาวเจนัวชื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ( Christopher Columbus 1451-1506)ได้รับราชโองการจากกษัตริย์ แห่งสเปนแล่นเรือผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก ได้พบเกาะแก่งต่างๆในทะเลคาริบเบียน หลังจากนั้น เขายังแล่นเรือสู่ตะวันตกอีก 3 ครั้ง
เหยียบย่างสู่ดินแดนบางส่วนของแผ่นดินใหญ่อเมริกากลาง โดยสำคัญผิดคิดว่าที่นี่ก็คืออินเดีย ดังนั้น
ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนั้นจึงถูกเรียกว่า “ชาวอินเดียนแดง” ต่อมาเมื่อชาวสเปนทราบว่าที่นี่ไม่ใช่อินเดีย หากแต่เป็นแผ่นดินใหญ่ที่ค้นพบใหม่แล้วจึงได้แล่นเรือต่อไป ปี 1519
กองเรือสเปนที่นำโดย เฟอร์ดินันด์ แมคเจลแลน(Ferdinand Magellan 1480-1521) แล่นเรืออ้อมแผ่นดินทางตอนใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้
ผ่านช่องแคบแมคเจลแลนในปัจจุบันไปถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ในการปะทะกับชาวพื้นเมือง ครั้งหนึ่งแมคเจลแลนถูกฆ่าตาย พรรคพวกของเขาได้กลับถึงสเปนในปี 1522 โดยผ่านเกาะมาดากัสกาและใช้เส้นทางเดินเรือที่ชาวโปรตุเกสเคยใช้มาแล้ว
การเดินเรือของโคลัมบัสและแมคเจลแลนเป็นการพิสูจน์ว่าโลกนั้นกลมจริง
การบุกเบิกเส้นทางเดินเรือใหม่จากยุโรปสู่ตะวันออก การค้นพบแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกา ตลอดจนผลสำเร็จในการเดินเรือรอบโลก ได้บุกเบิกสนามรบใหม่ให้กับชนชั้นนายทุนในยุโรปที่เจริญขึ้น
พวกนักล่าอาณานิคม ขุนนาง
พ่อค้า นักสอนศาสสนา และโจรผู้ร้ายของประเทศต่างๆในยุโรป ต่างก็เฮโลไปสู่ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อุดมสมบูรณ์ของทวีปเอเซีย อาฟริกา
และลาตินอเมริกาโดยอาศัยเส้นทางที่นักผจญภัยได้บุกเบิกไว้แล้ว ทำการกดขี่เข่นฆ่าประชาชนชาวพื้นเมือง หลอกลวงและปล้นชิงโภคทรัพย์ของพวกเขา
เริ่มภารกิจในการปล้นชิงแบบอาณานิคมที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
พวกนักล่าอาณานิคมโปรตุเกสได้ครองความเป็นเจ้าในการล่าอาณานิคมต่อทวีปอาฟริกาและการค้ากับตะวันออก
พวกเขาได้สร้างที่มั่นอาณานิคมในดินแดนแถบตะวันตกของอาฟริกา เช่น กินี
กานา ไอวอรี่โคสต์ แองโกล่า และทางแถบตะวันออกของอาฟริกา เช่น โมซัมบิก เป็นต้น โดยอาศัยที่มั่นเหล่า นี้แล้วกระจายออกปล้นสะดมอย่างป่าเถื่อน พวกเขาใช้ ลูกแก้วมีรู กระจก
และเข็มกลัดซึ่งเป็นผลผลิตหัตถกรรมคุณภาพต่ำไปหลอกแลกกับงาช้าง เพชร
พลอย เครื่องเทศจากชนผิวดำ
หรือไม่ก็ใช้วิธีเข่นฆ่าอย่างสยองขวัญไปปล้นชิงเอาวัตถุมีค่าประเภททองคำอย่างดื้อๆ ในช่วงระยะ
100 ปีนับแต่ปลายศตวรรษที่ 15 ถึงปลายศตวรรษที่ 16
ชาวโปรตุเกสได้ปล้นชิงทรัพยากรจากอาฟริกาเฉพาะทองคำอย่างเดียวก็มีมูลค่าคิดเป็นน้ำหนัก
276,000 กิโลกรัม
ส่วนนักล่าอาณานิคมสเปนก็ดำเนินการล่าอาณานิคมในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ กลางศตวรรษที่ 16 อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ยกเว้นบราซิลซึ่งถูกยึดครองโดยโปรตุเกสแล้ว
นอกนั้นล้วนตกเป็นอาณานิคมของสเปนทั้งสิ้น พวกนักล่าอาณานิคมได้ทำลายวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของประชาชนในท้อง
ถิ่นจนหมดสิ้น
ใช้วิธีการอันป่าเถื่อน
เช่นลงทัณฑ์ทรมาน ฝังทั้งเป็น ล่าสังหารไปบีบบังคับชาวพื้น เมืองยอมตนลงเป็นทาส เป็นเหตุให้ประชากรของชาวพื้นเมืองลดลงอย่างฮวบฮาบ ถึงปี 1548 ชาวพื้นเมืองใน ไฮติ คิวบา
จาเมก้า เป็นต้นแทบจะสูญสิ้น
ตามการคาดคะเน ในช่วงระยะที่ปกครองโดยนักล่าอาณานิคมสเปน ชาวอินเดียนพื้นเมืองที่ถูกฆ่าและถูกทรมานจนตายก็มีจำนวนถึง
12-15 ล้านคน กองกระดูกที่กองเป็นพะเนินกลายเป็นทองคำเหลืองอร่ามในมือของนักล่าอาณานิคมสเปน
ช่วงระยะ
40 ปี นับแต่ปี 1521-1560
นักล่าอาณานิคมสเปนก็ปล้นเอาทองคำมีมูลค่าคิดเป็นน้ำหนักถึง 157,000 กิโลกรัม เงินขาว 4,670,000 กิโลกรัม ดังนั้นมาร์กซจึงชี้ว่า
"เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดหัตถกรรมสถานประกอบการก็คือ การค้นพบทวีปอเมริกาและการสะสมทุนโดยการนำ เข้าโลหะมีค่าจากทวีปอเมริกา” (มาร์กซ “ความอับจนของปรัชญา”) โลหะมีค่าจำนวนมากที่ปล้นชิงจากอาณานิคมโดยเฉพาะจากอเมริกาได้หลั่งไหลเข้าสู่ยุโรปไม่ขาดสาย ได้ขยายขอบเขตของวิธีการแลกเปลี่ยน ทั้งนำมาซึ่ง “การปฏิวัติราคา”*
(ทองคำและเงินจำนวนมหาศาลที่ปล้นชิงจากดินแดนอาณานิคม ต้นทุนการผลิตต่ำ หลังจากอัดฉีดเข้าสู่ปริมณฑลปริวรรตเงินตราแล้ว ก็ทำให้ราคาของทองคำและเงินลดต่ำลง ราคาสินค้าถีบตัวสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายศตวรรษที่16 ราคาสินค้าของประเทศต่างๆเช่นสเปน ฝรั่งเศส
อังกฤษ เยอรมัน ล้วนถีบตัวสูงขึ้นหลายเท่าตัว ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “การปฏิวัติราคา” )
ในศตวรรษที่
16 ราคาสินค้าที่แต่เดิมมีเสถียรภาพเป็นเวลาหลายร้อยปีของยุโรปบัดนี้ได้พุ่งทะยานขึ้นเป็นแนวดิ่ง
ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้ใช้แรงงานทั้งในเมืองและชนบทยิ่งยากจนลง พวกเจ้าที่ดินศักดินาที่อาศัยค่าเช่าเป็นเงินตราในอัตราที่แน่นอนก็มีรายได้ไม่พอรายจ่าย
มีแต่ชนชั้นนายทุนเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากการนี้และได้เร่งความ เร็วในการสะสมทุนปฐมกาล
เสริมฐานะของชนชั้นนายทุนให้มั่นคงยิ่งขึ้น “ชนชั้นเจ้าที่ดินและชนชั้นผู้ใช้แรงงานซึ่งก็คือเจ้าศักดินาและประชาชนเสื่อมโทรมลง ชนชั้นผู้มีทุนชนชั้นนายทุนเจริญขึ้น”
(มาร์กซ “ความอับจนของปรัชญา”)
ต่อจากสเปน โปรตุเกส
นักล่าอาณานิคมอังกฤษ
ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส ก็ทยอยกันมุ่งสู่เอเชีย อาฟริกาและอเมริกา ดำเนินการปล้นชิง
พวกเขาได้รับสัมปทานจากรัฐบาลของประเทศตน ทำการก่อตั้งบริษัทผูกขาดแบบอาณานิคมชนิดต่างๆ บริษัทเหล่านี้
ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่กระตุ้นการสะสมทุนปฐมกาล บริษัทอีสต์อินเดียของฮอลแลนด์ที่ก่อตั้งในปี 1602
ได้ค่อยๆสร้างฐานะการปก ครองแบบอาณานิคมต่อเกาะต่างๆในอินโดนีเซีย ส่วนบริษัทอีสต์อินเดียของอังกฤษที่ก่อตั้งในปี
1600 ไม่เพียง แต่ได้ผูกขาดการค้ากับอนุทวีปเอเชียใต้และประเทศจีนเท่านั้น หากยังได้ค่อยๆก้าวไปสู่การพิชิตอนุทวีปเอเชียใต้ปล้นชิงโภคทรัพย์มูลค่ามหาศาลอีกด้วย โภคทรัพย์มูลค่ามหาศาลเหล่านี้ได้ผลักดันให้หัตถกรรมสถานประกอบการพัฒนาไป ทั้งกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมตามมาอีกด้วย แต่ประชาชนผู้ใช้แรงงานในอนุทวีปเอเซียใต้กลับต้องพบกับภัยพิบัติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตกอยู่ในห้วงเหวของความยากจนล้มละลาย จากการเกิดทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในปี 1770
เฉพาะที่เขตเบงกอลก็มีผู้เสียชีวิตถึง 10 ล้านคน
พร้อมๆกับที่ชาวเอเซียกำลังพบกับภัยพิบัติอย่างไม่เคยมีมาก่อนนั้น ชาวอินเดียนในทวีปอเมริกาก็ถูกเข่นฆ่าเป็นจำนวนมาก และนักล่าอาณานิคมของยุโรปดำเนินการซื้อขายทาสอย่างชั่วร้ายในทวีปอาฟริกา ก่อนอื่นคือ
ชาวโปรตุเกส
ชาวสเปนและชาวเจนัว ถึงศตวรรษที่ 18 ชาวอังกฤษก็กลายเป็นนักค้ามนุษย์ตัวยง ชนผิวดำก็ถูกจับมาจากทวีปอาฟริกาไปทวีปอเมริกานั้น ตามสถิติมีถึง 900,000
คนในศตวรรษที่16 ในศตวรรษที่ 17 2,750,000 คน
ถึงศตวรรษที่18 ก็เพิ่มเป็น 7
ล้านคน
การค้าทาสได้นำผลกำไรมหาศาลมาสู่นักล่าอาณานิคมยุโรป กลายเป็นแหล่งที่มาแหล่งหนึ่งของการสะสมทุนปฐมกาลในยุโรป ในการขายทาสชนผิวดำสู่ทวีปอเมริกาแต่ละคน ก็จะต้องมีชนผิวดำ 4-5คนถูกฆ่าหรือถูกทรมานจนตายในระหว่างทางขนส่งลำเลียง ทำให้ทวีปอาฟริกาสูญเสียประชากรไปถึง 100 ล้านคนในชั่วระยะ 400 ปี ไร่เพาะปลูกแบบทาสกลายเป็นรูปแบบเศรษฐกิจหลักของอาณานิคมในทวีปอเมริกา ฝ้ายที่ปลูกโดยแรงงานทาสในทวีปอเมริกาก็กลายเป็นเสาค้ำอุตสา หกรรมของอังกฤษ “รวมความแล้วก็คือ
ระบอบทาสที่แฝงเร้นในรูปของแรงงานรับจ้างในยุโรป จำเป็นต้องอาศัยระบอบทาสที่ล่อนจ้อนของโลกใหม่เป็นฐานรองรับ”
(มาร์กซ “ว่าด้วย ทุน”)....จบตอน 1
No comments:
Post a Comment