Wednesday, August 12, 2015

ประวัติการต่อสู้ของชนชั้นกรรมกรไทย 1 , 2

ประวัติการต่อสู้ของชนชั้นกรรมกรไทย 1

หมายเหตุ:   เรื่องประวัติการต่อสู้ของกรรมกรไทยนี้คัดมาจากจุลสารเรื่อง ”พัฒนาการของขบวนกรรม กรไทย”  ที่พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2523 เนื่องในวันกรรมกรสากล หรือที่ทางการไทยในยุคนั้นเรียกให้เพี้ยนไปว่า “วันแรงงานแห่งชาติ”   โดยคณะผู้ดำเนินงานมูลนิธิ อารมณ์  พงศ์พงัน   เราเห็นว่าบทบาทและจิตวิญญาณในการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความวีระอาจหาญของผู้ใช้แรงงานไทยรุ่นก่อนนั้น..น่าจะได้รับการสืบทอดและพัฒนาให้เข้มแข็ง       เพราะในเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้..พลังของชนชั้นกรรมกรไทยด้านหนึ่ง..ได้ถูกกัดกร่อนบ่อนเซาะทำลายและแยกสลายไปแทบจะหมดสิ้นโดยชนชั้นผู้กดขี่โดยผ่านผู้นำกรรมกรบางคนที่ยอมทรยศต่อพี่น้องของตนเองเพื่อประโยชน์ส่วนตน    จนขบวนกรรมกรไทยกลายเป็นซากร่างทียังมีลมหายใจในการสร้างกำไรและความสุขให้แก่ชนชั้นผู้กดขี่เท่านั้น      อีกด้านหนึ่งก็เนื่องมาจากสาเหตุต่างๆทั้งที่เป็นเงื่อนไขภายในของชนชั้นกรรมกรเองและปัจจัยแวดล้อมของสังคมทุนนิยมที่ได้แปรเปลี่ยนจิตสำนึกทางชนชั้นให้เสื่อมสลายไป     ในขณะนี้จะมีกรรมกรสักกี่คนที่ยังคงระลึกถึงรากเหง้าประวัติการต่อสู้ของชนชั้นตน    รู้ถึงการดิ้นรนต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น     มีแต่จะถูกชักจูงจากผู้นำแรงงานขุนนาง    นักไต่เต้า   และนักฉวยโอกาส  ให้ละทิ้งอุดมการณ์   ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้และจิตสำนึกที่ดีงามไปเสียสิ้น    ดังนั้นเราจึงใคร่ขอนำประวัติการเคลื่อนไหวต่อสู้ของชนชั้นกรรม กรไทยในอดีตมาเสนอ   เพื่อให้กรรมกรไทยในปัจจุบันได้เรียนรู้เรื่องราวของอดีต   เรียนรู้ถึงจิตใจที่วีระอาจหาญของคนรุ่นก่อน......ว่าต้องต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยความเหนื่อยยากเพียงใด      ทั้งเป็นการยกระดับจิตสำนึก และเป็นพลังที่จะสร้างสรรค์และบุกเบิกหนทางไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์ของชนชั้นตน

เกริ่น....กำเนิดและพัฒนาการของพลังกรรมกรไทย

พ.ศ.2365 จักรวรรดินิยมอังกฤษได้ส่งทูต เซอร์ จอห์น เบาริ่ง เข้ามาเจรจาทำสัญญาค้าขายกับไทย  หลังจากนั้นอีก 10 ปี  จักรวรรดินิยมอเมริกาก็ได้ส่ง เอ็ดมัน โรเบิร์ตเข้ามาทำสัญญาค้าขายกับไทยบ้าง  ผู้แทนของจักรวรรดินิยมทั้งสองชาติได้แสดงอำนาจและเอารัดเอาเปรียบไทยด้วยประการต่างๆ   แต่ไทยก็มิได้ยินยอมตาม  แต่จักรวรรดินิยมอังกฤษก็ไม่ได้ลดละความพยายาม   ได้ส่ง เซอร์ จอห์น เบาริ่ง เข้ามาอีกครั้งหนึ่ง   ด้วยเล่ห์เหลี่ยมและอำนาจอิทธิพลทำให้การเจรจาประสบความสำเร็จได้มีการทำสัญญาแห่งความไม่เสมอภาคขึ้นระหว่างไทยกับอังกฤษเรียกว่า “สัญญาเบาริ่ง” ลงนามกันในวันที่ 5 เมษายน 2398    สัญญาฉบับนี้ส่งผลให้ฐานะและสังคมไทยเปลี่ยนไป   กล่าวคือ..ผลของสัญ ญานี้    ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจในการพิพากษาคดีความของคนในบังคับอังกฤษ(British Subjects)ที่กระทำความผิดในดินแดนไทย       คนอังกฤษและคนในบังคับของอังกฤษที่ทำผิดในประเทศไทยจะต้องให้ศาลกงสุลอังกฤษพิจารณาพิพากษา   ไทยจะกำหนดอัตราภาษีเองไม่ได้   และจะต้องเก็บภาษีขาเข้าได้ไม่เกินร้อยละ 3   ไทยต้องยกเลิกพระคลังสินค้าซึ่งเป็นสำนักงานดำเนินการค้าขายกับต่างประเทศ   การทำสัญญาฉบับนี้ไทยจำต้องยอมเพราะจักรวรรดิ์นิยมอังกฤษนำเรือปืน 4 ลำเข้ามาบีบบังคับ

หลังจากเพรี่ยงพล้ำต่ออังกฤษแล้ว  ไทยก็ถูกรุมกินโต๊ะจากประเทศจักรวรรดินิยมอื่นๆเช่น สหรัฐอเมริกา  ในพ.ศ. 2399  ฝรั่งเศส พ.ศ.2400  เด็นมาร์ก พ.ศ.2402  โปรตุเกส 2403 และฮอลันดาเมื่อ 2404 ฯลฯสนธิสัญญาดังกล่าวล้วนแล้วแต่ดำเนินรอยตามสัญญาเบาริ่ง   ประเทศไทยได้กลายไปเป็นตลาดรับสิน ค้าที่ประเทศจักรวรรดินิยมเหล่านั้นระบายเข้ามา    พร้อมกันนี้ก็เป็นแหล่งวัตถุดิบราคาถูกส่งไปป้อนอุต   -สาหกรรมในประเทศของตน     ในขณะเดียวกันก็มีการลงทุนในประเทศไทยด้วยการมาตั้งโรงสี    โรง เลื่อย  และโรงงานอื่นๆอีกหลายสาขา     สังคมไทยแต่เดิมเป็นสังคมเกษตรกรรมต้องเปิดทางให้แก่ วิสาหกิจอุตสาหกรรมไปด้วย   กำลังแรงงานในภาคเกษตรกรรมที่ล้าหลังได้จึงเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่วงจรอุตสาหกรรมของระบอบทุนนิยมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

เมื่อมีโรงงานก็ย่อมมีกรรมกรหรือผู้ใช้แรงงานเกิดขึ้น     ในประวัติศาสตร์แรงงานไทยกรรมกรสมัยใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในราวๆพ.ศ.2401    เป็นกรรมกรโรงสีที่ตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทยโดยนายทุนชาวอเมริกัน      ด้วยสาเหตุนี้จึงสามารถกล่าวได้ว่า...การถือกำเนิดของชนชั้นกรรมกรไทยและประวัติของชนชั้นนี้มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับการคุกคามของประเทศจักรวรรดินิยมตะวันตก  
จำนวนกรรมกรโรงสีรุ่นแรกจึงถือได้ว่าเกิดขึ้นในปีพ.ศ.2401  มีจำนวนเพียงเล็กน้อย  จนอีกประมาณ 31 ปีต่อมาในพ.ศ. 2402 จำนวนกรรมกรโรงสีจึงทวีขึ้นกว่าพันคน   ทั้งนี้เพราะอุตสาหกรรมโรงสีมีวัตถุดิบคือข้าวที่ส่งเป็นจำนวนมากบรรดานายทุนจึงลงทุนด้านโรงสีมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ   กิจการค้าข้าวจึงเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างความร่ำรวยให้แก่นายทุน พ่อค้าข้าว เป็นจำนวนมหาศาล   เฉพาะในช่วงเวลาดังกล่าวนี้..เฉพาะในกรุงเทพมีจำนวนโรงสีถึง 23 โรง

ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาพอจะลำดับการถือกำเนิดของชนชั้นกรรมกรไทยได้ดังต่อไปนี้
พ.ศ. 2401 เริ่มมีอุตสาหกรรมโรงสีข้าว  กรรมกรโรงสีได้ถือกำเนิดขึ้น
พ.ศ. 2415  กรรมกรโรงพิมพ์
พ.ศ. 2427  กรรมกรเหมืองแร่
พ.ศ. 2430  มีการก่อตั้งอุตสาหกรรมไฟฟ้า เกิดกรรมกรไฟฟ้าและรถราง
พ.ศ. 2431  กรรมกรป่าไม้
พ.ศ. 2433  เกิดการรถไฟไทย มีทางรถไฟยาว 264 กม. เกิดกรรมกรรถไฟ
ในช่วงที่กล่าวมานี้กรรมกรในแต่ละกิจการมีไม่มากนัก  อยู่กันกระจัดกระจายจึงตกอยู่ในภาวะถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก    ในระยะต่อมาเริ่มมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่  กรรมกรจึงมีจำนวนมากขึ้นเช่น
พ.ศ. 2456  เกิดกรรมกรโรงงานปูนซีเมนต์
พ.ศ. 2462  เกิดกรรมกรโรงงานยาสูบ
พ.ศ. 2463  เกิดกรรมกรสวนยาง
พ.ศ. 2469  เกิดกรรมกรโรงงานไม้ขีดไฟ
พ.ศ. 2472  เกิดกรรมกรโรงกลั่นสุรา
พ.ศ. 2476  เกิดกรรมกรโรงงานทอผ้า
พ.ศ. 2480  เกิดกรรมกรโรงงานน้ำตาล
พ.ศ. 2493  เกิดกรรมกรโรงงานปั่นด้าย

โรงงานที่เกิดขึ้นช่วงแรกมีไม่มากนักและตั้งอยู่กระจัดกระจาย  ชนชั้นกรรมกรก็ยังมีจำนวนไม่มากนักจึงไม่สามารถรวมตัวกันให้เป็นปึกแผ่นได้ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อชนชั้นกรรมกรเลย

ในระยะต่อมาเป็นที่น่าสังเกตว่าแม้ผลิตผลทางการเกษตรของประเทศจะเพิ่มมากขึ้น   แต่อัตราส่วนแรงแรงงานนอกภาคเกษตรกรรม     โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมก็เพิ่มสูงขึ้นจำนวนโรงงานในภาคอุตสาห- กรรมเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว   จำนวนโรงงานจาก 16,007 โรงในปีพ.ศ. 2503  เพิ่มขึ้นเป็น 44,258 โรงในปีพ.ศ.2511      ซึ่งทางรัฐบาลได้พยายามเร่งส่งเสริมการลงทุนมากขึ้นเท่าใดจำนวนโรงงานก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น   ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนกรรมกรซึ่งเปรียบเสมือนเงาตามตัว   ในขณะเดียวกันก็จะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจของชาติอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้      เมื่อพิจารณาถึงการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกรรมกรในช่วง 20 ปืที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ในปี 2503มีผู้อยู่ในวัยทำงาน 17,310,993 คน เป็นผู้มีงานทำ 13,836,795 คน   เป็นแรงงานในภาคเกษตรกรรม 11,334,383คน  อยู่ในภาคอุตสาห - กรรม 16,32,248 คน   ปี 2520      ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานมีจำนวน  16,180,200 คนเป็นผู้มีงานทำ 15,967,700 คน  เป็นแรงงานที่เป็นลูกจ้างของรัฐและเอกชนจำนวน 4,283,800 คน

จากตัวเลขที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมทำให้กำลังของชนชั้นกรรมกรขยายตัวในอัตราที่สูง  และจะมีบทบาทสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของพลังการผลิตเป็นอย่างมาก   เมื่อพลังของกรรม กรก่อรูปขึ้นท่ามกลางการขยายตัวของเศรษฐกิจแห่งชาติจึงมีความจำเป็นต่อการทำความ เข้าใจถึงประ สบการณ์และบทบาทที่ผ่านมาของชนชั้นกรรมกรไทย

2.  ช่วงก่อน พ.ศ. 2488

แม้ว่ากรรมกรไทยได้ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2401 แล้วก็ตาม  แต่ปรากฏว่ามวลกรรมกรหาได้รับความคุ้มครองหรือได้รับการดูแลจากรัฐแต่อย่างใดไม่        รัฐไม่ได้ออกกฎหมายรับรู้หรือรับรองสิทธิ์หรือให้ความคุ้มครองใดๆต่อกรรมกรเลย      เพียงแต่พยายามเข้ามามีบทบาทในการควบคุมการเกณฑ์แรงงานเท่านั้น   ดังนั้นในปลายปี พ.ศ. 2440 กรรมกรรถรางได้รวมตัวกันก่อตั้งสมาคมแรงงานขึ้นโดยมีสมาชิกราวๆ 300 คน   มีวัตถุประสงค์ที่สมาคมแถลงต่อรัฐบาลคือ  ส่งเสริมการประหยัก  สงเคราะห์ผู้ชราและคนพิการ  ส่งเสริมความสามัคคี ฯลฯ รัฐบาลจึงไม่อาจปฏิเสธการจดทะเบียนสมาคมฯนี้ได้  และพยายามดัดแปลงให้สมาคม จำกัดขอบเขตและบทบาทให้อยู่แต่เพียงด้านสังคมสงเคราะห์เท่านั้น   แต่ไม่สำเร็จ     เพราะกรรมกรรถรางเคยมีปัญหากับฝ่ายเจ้าของคือบริษัทไฟฟ้าสยามมาก่อนหน้านี้   เมื่อกรรมกรก่อตั้งสมาคมขึ้นมา   ทางบริษัทไม่ยอมรับคณะกรรมการของสมาคมในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท   ในที่     สุดรัฐบาลต้องเข้ามาจัดการประนีประนอม       และจากนั้นมาสมาคมกรรมกรรถรางก็ได้มีบทบาททางการเมืองมากขึ้น

ปี 2444 ได้มีกฎหมายเกี่ยวกับคนงานฉบับแรกของประเทศไทยคือ “ข้อบังคับของกรมตำรวจ” เกี่ยวกับการควบคุมคนใช้ที่ทำงานอยู่ในบ้านของชาวต่างชาติ     แต่กฎหมายฉบับนี้ก็มิได้ให้ความคุ้มครองคนของตนแต่อย่างใด   ตรงกันข้ามกลับมีวัตถุประสงค์เป็นการควบคุมลูกจ้างมากกว่าดูแล    และเพื่อคุ้ม ครองหรือเป็นประโยชน์ต่อชาวต่างชาติผู้เป็นนายจ้างโดยตรง    ต่อจากข้อบังคับของกรมตำรวจแล้วก็มีประกาสให้มีการ“จดทะเบียนรถลาก” ประกาศนี้ก็มีวัตถุประสงค์มุ่งคุ้มครองความปลอดภัยของผู้โดยสาร
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไทยเข้าเป็นสมาชิดขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ(ไอ.แอล.โอ) ในพ.ศ. 2462 ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เริ่มต้นขององค์กร     และได้เข้าร่วมประชุมครั้งแรกที่กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา   และถูกสันนิบาติชาติถามเกี่ยวกับกฎหมายแรงงานตัวแทนรัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ตอบไปว่า ประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม อุตสาหกรรมยังมีน้อย  ปัญหากรรมกรยังไม่มีและยังไม่มีความจำเป็นที่จะมีกฎหมายกรรมกร   ดังนั้นกรรมกรไทยจึงยังไม่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐเรื่อยมา     ในปี พ.ศ.2470  รัฐได้มีการตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและคุ้มครองคนงาน   ซึ่งคณะกรรมการเห็นสมควรให้มีกฎหมายดังกล่าวแต่ก็หาได้มีการร่างหรือประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวไม่

ดังนั้นเมื่อสำรวจสภาพการใช้แรงงานของกรรมกรไทยในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเห็นถึงการ เอารัดเอาเปรียบกรรมกรว่ามีระดับความรุนแรงมากเพียงใด   โดยดูจากค่าจ้างแรงงาน   ชั่วโมงการทำ งาน   และสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของบรรดากรรมกร       ประการสำคัญที่สุดก็คือภาพสะท้อนจากการต่อสู้ของกรรมกรเอง        ก็น่าจะชี้ให้เห็นได้ว่ากรรมกรไทยในยุคนั้นมีลักษณะและสภาพความเป็นอยู่อย่างไร    พ.ศ. 2476-2482 กรรมกรกุลีได้รับค่าแรงเฉลี่ยวันละ 75-80 สตางค์สำหรับผู้ชายและ 60 สตางค์สำหรับผู้หญิง     โดยใช้เวลาทำงานวันละ 9-10 ชั่วโมง     สำหรับช่างฝีมือนั้นจะได้รับสูงสุดไม่เกินวันละ 2 .47 สตางค์    ในขณะที่คนเฝ้ายามได้รับค่าจ้างเดือนละ 25.26 บาท    หัวหน้าคนงานได้ รับเดือนละ 71 บาท  สำหรับคนงานไร้ฝีมือนอกเขตเมืองหลวงจะลดลง   กรรมกรชายได้วันละ 65 สตางค์   กรรมกรหญิงได้วันละ 50 สตางค์เท่ากับแรงงานของกรรมกรรถไฟ

เฉลี่ยแล้วประมาณว่ากรรมกรไร้ฝีมือชายจะได้รับค่าจ้างวันละ 21 บาท     ส่วนกรรมกรหญิงได้เดือนละ  16.50 บาท   ในขณะที่รัฐสภายุคแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้กำหนดค่าแรงขั้นต่ำของข้า ราชการไว้ที่ 30 บาทต่อเดือน        ความแตกต่างในรายได้ขั้นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตนำไปสู่การเรียกร้องของกรรมกรรถไฟให้เพิ่มค่าแรงจากวันละ 50 สตางค์ไปเป็น 1 บาทต่อวัน     แต่รัฐบาลปฏิเสธโดยอ้างว่าเพื่อต้องการให้กรรมกรรู้จักประหยัด   และอ้างว่าถ้าเพิ่มค่าแรงให้กรรมกรไทยก็จะเอาไปเล่นการพนันหมดทั้งยังข่มขู่กรรมกรอีกด้วยว่า  รัฐสามารถหาแรงงานได้มากมายหรือไม่ก็ใช้เครื่องจักรแทน
สำหรับชั่วโมงการทำงานนั้น  ในปี พ.ศ.2479-2481กรรมกรกรุงเทพต้องทำงานเฉลี่ยอาทิตย์ละ 50 ชั่ว     เมือโมงและเพิ่มเป็น 54 ชั่วโมงในปี 2482   ระยะการทำงานไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนขึ้นอยู่กับนายจ้างเป็นส่วนใหญ่   ในด้านที่พักอาศัยก็ไม่ได้รับการเหลียวแลไม่ว่าจากรัฐหรือนายจ้าง    กรรมกรส่วนมากจึงเช่าห้องแถวอยู่   ที่พักฟรีเท่าที่มีคือโรงยาฝิ่นนั่นหมายความว่าเขาต้องเป็นผู้ติดฝิ่นด้วยจึงจะไปใช้สถานที่ได้เมื่อห้องแถวที่กรรมกรอาศัยเกิดความแออัดและแปรสภาพไปเป็นสลัมที่ไม่น่าดูในสายตาของรัฐแล้ว  การแก้ไขสภาพดังกล่าวก็คือเกิดเพลิงไหม้ไล่ที่   และการสร้างอาคารขึ้นใหม่เพื่อผลประโยชน์ในกิจการอื่นๆของเจ้าของต่อไป

พ.ศ. 2472 เมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว   ก็ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับคน งานรวมอยู่ด้วย  ในบรรพที่ 3 ลักษณะ 6 อันว่าด้วย “การจ้างแรงงาน” เกี่ยวกับการจ่ายสินจ้าง   หลัก เกณฑ์วิธีการเลิกจ้างแรงงาน  ซึ่งบทบัญญัตินี้มีส่วยในการคุ้มครองลูกจ้างอยู่บ้าง   แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า  บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้  มิใช่กฎหมายที่ออกมาคุ้มครองแรงงานโดยรงแต่เป็นเรื่องที่ว่าด้วยการจ้างแรงงานโดยทั่วไปซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวยังมีผลบังคับใช้อยู่จนทุกวันนี้

ส่วนสิทธิในการรวมตัวกันของกรรมกรไม่มีกฎหมายโดยตรง  หากกรรมกรมีความประสงค์ในการรวมตัวกันก็ทำได้เพียงการตั้ง”สมาคม”เท่านั้น   ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับสมาคมทั่วๆไป   และตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งฯ ลักษณะ 3 เรื่องสมาคมนี้     ในการรวมตัวกันเป็นสมาคมดังกล่าวย่อมไม่เหมาะสำหรับกรรมกร       โดยเฉพาะในการยื่นคำขอและต้องได้รับอนุญาตจากทางการเสียก่อนจึงจะก่อตั้งได้  การยื่นขออนุญาตนั้นก็มีความยุ่งยากมาก   ในทางปฏิบัติ..การให้อนุญาตขึ้นอยู่กับอิทธิพลทางการเมืองหรือนโยบายของฝ่ายปกครองในเวลานั้น   ทำให้กรรมกรต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ นักการเมืองไม่เป็นตัวของตัวเอง

นอกจากกฎหมายแพ่งฯที่กล่าวมาแล้ว  ในการจัดการกับกรรมกรรัฐยังใช้กฎหมายลักษณะอาญามาใช้บังคับอีกด้วย   โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติที่ห้ามกรรมกรนัดหยุดงาน       ฝ่ายปกครองมักจะใช้กฎ หมายว่าด้วย”กบฏ” เข้ามาจัดการกับกรรมกรคือบทบัญญัติในมาตรา 104 (2) (ประมวลกฎหมายอาญาฉบับที่ยังไม่มีการปรับปรุงแก้ไข)  ที่ว่า..”ผู้ใดยุยง เสี้ยมสอน  หรือแนะนำให้เกิดการนัดหยุดงานเพื่อความประสงค์ที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลหรือประเพณีของบ้านเมือง  หรือจะบังคับรัฐบาลหรือจะข่มขู่ประชาชน      ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินกว่า 7 ปี และให้ปรับไม่เกินกว่าสองพันบาทอีกด้วยโสดหนึ่ง

ผู้ใดทราบความประสงค์ดังกล่าวแล้วข้างต้นนี้  และเข้ามีส่วนด้วยในการนัดหยุดงาน...ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินกว่า 5 ปี และปรับไม่เกิดนกว่า หนึ่งพันบาทด้วยอีกโสดหนึ่ง
(3) ผู้ใดบังคับหรือพยายามบังคับด้วยทำให้เกิดความกลัว    หรือขู่ว่าจะทำร้าย หรือใช้กำลังทำร้ายด้วยประการใดๆให้บุคคลผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามีส่วนในการนัดหยุดงาน  ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปีและให้ปรับไม่เกินสองพันบาทด้วยอีกโสดหนึ่ง”

ตามบทบัญญัตินี้ ดร.หยุด แสงอุทัย  นักกฎหมายได้อธิบายว่า  ที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ต้องเป็นการนัดหยุดงานเพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลหรือกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้น      ถ้ามีเจตนาให้ขึ้นค่าจ้าง หรือลดค่าจ้างก็ไม่ผิดตามอนุมาตรานี้     ในปีพ.ศ. 2475 ได้มีการประกาศ้กฎหมายที่เกี่ยวกับแรงงานรวม 2 ฉบับคือ  พรบ.สำนักงานจัดหางาน  และพรบ.จัดหางานประจำท้องถิ่น   สาเหตุที่ทีการตรากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ขึ้นก็เพื่อจัดหางานให้แก่ประชาชน   ซึ่งในระยะเวลานั้นเกิดปัญหาการว่างงานขึ้นเป็นจำนวนมากสืบเนื่องมาจากเศรษฐกิจตกต่ำ

ในปีพ.ศ.2479 รัฐได้ออก”กฎหมายการสอบวนภาวะกรรมกร”  เพื่อสอบสวนและรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของกรรมกรเพื่อนำมาวางนโยบายและตรากฎหมายแรงงาน   ระหว่างพ.ศ.2480-2484ได้มีการเคลื่อนไหวในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐบาลที่จะออกกฎหมายฉบับนี้หลายครั้ง   ปี 2482 ได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติแรงงานเข้าสู่สภาฯซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้กำหนดชั่วโมงการทำงาน  ค่าจ้าง  การคุ้มครองดูแลคนงานหญิงและเด็ก     การจ่ายเงินค่าทดแทนในกรณีประสบอุ บัติเหตุในขณะทำงาน    แต่ปรากฏว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องตกไปโดยสภาไม่รับหลักการ  พ.ศ.2484 ได้มีการเสนอกฎหมายทำนองเดียวกันนี้เข้าสภาฯอีก   แต่ก็ตกไปโดยปริยายเพราะสภาฯถูกยุบไปในปี 2485   อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้ประกาศใช้กฎหมายโรงงานในปี 2482  วางข้อกำหนดเกี่ยวกับการตั้งโรงงาน  ละความปลอดภัยในโรงงาน (กฎหมายได้มีการปรับปรุงแก้ไขหลายครั้ง  ครั้งสุดท้ายประกาศ ใช้พรบ.โรงงานพ.ศ.2512)

การตื่นตัวของชนชั้นกรรมกรไทยในการเรียกร้องให้มีกฎหมายแรงงานที่ครอบคลุมถึงเรื่องที่จำเป็นต่างๆเช่น การปรับปรุงสวัสดิภาพลารทำงาน  โดยเฉพาะสิทธิ์ในการก่อตั้งสหภาพแรงงานได้แพร่กระจายไปในหมู่กรรมกร     การนัดหยุดงานเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในปัญหาค่าจ้าง  สวัสดิการได้เพิ่มมากขึ้น  นับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 เป็นต้นมากล่าวคือ
เริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ.2440   มีการนัดหยุดงานของกรรมกรรถลาก   กรรมกรรถราง หลังจากก่อตั้งเป็นสมาคมแล้ว   เป็นการเรียกร้องเพื่อให้นายจ้างลดค่าเช่าลงจากวันละ 40 สตางค์  ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก    การต่อสู้ครั้งนี้กรรมกรต้องตกเป็นฝ่ายแพ้ด้วยการยอมประนีประนอมตามข้อเสนอของนายทุนเนื่องจากไม่อาจต่อสู้กับความหิวได้      ในปี 2475 การนัดหยุดงานของกรรมกรหญิงโรงงานย้อมผ้าสามารถเอาชนะการตัดค่าแรงจากวันละ 40 สตางค์เป็น 30 สตางค์ได้    และการนัดหยุดงานของกรรมกรรถลากในกรุงเทพฯ 6,000 คน  เมื่อ 4 สิงหาคม 2475 เป็นเวลา 5 วันเพื่อขอลดค่าเช่าจากวันละ 75 สตางค์เป็น 60 สตางค์ ได้รับผลสำเร็จอย่างงดงาม    จากนั้นการนัดหยุดงานได้กระจายไปตามต่างจังหวัด   ในปี 2478  พนักงานขับรถโดยสารสายเชียงราย-ลำปางได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นภายหลังการนัดหยุดงาน
ปี 2477 กรรมกรขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯประท้วงให้เพิ่มค่าแรงและกฎจราจร  

เดือนสิงหาคม 2479กรรมกรเหมืองแร่ที่ยะลากว่า 200 คน นัดหยุดงานประท้วงการตัดค่าแรงที่ลดลงไป 10 เปอร์เซ็นต์   การประท้วงดังที่กล่าวมานี้มีลักษณะที่โดดเดี่ยว  ไม่มีความเป็นเอกภาพ   การประท้วงครั้งสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะเดิมได้แก่การประท้วงของกรรมกรโรงสีเมื่อต้นปี 2477  ซึ่งเคยหยุดงานประท้วงมาก่อนหน้านี้       แต่ครั้งนี้เป็นการประท้วงที่มีขนาดใหญ่โดยมีการร่วมมือจากกรรมกรอื่นๆด้วย      กรรมกรโรงสีประท้วงการงดจ่ายเงินพิเศษในวันตรุษจีน(แต๊ะเอีย)ซึ่งเคยมีการปฏิบัติกันอยู่เป็นประจำ   ทางโรงสีข้าวอ้างว่าปีนี้ราคาข้าวตกต่ำ   จึงไม่อาจจ่ายเงินให้ได้ตามปกติ   แต่กรรมกรอ้างว่าไม่เป็นความจริง   จากนั้นกรรมกรโรงสีได้มีการติดต่อกับสมาคมกรรมกรรถรางซึ่งเป็นสมาคมที่จดทะ เบียนถูกต้องตามกฎหมายให้เป็นตัวแทนในการเจรจาข้อพิพาท     พร้อมกันนั้นได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลเข้ามาทำการไกล่เกลี่ย  และให้รัฐบาลยึดโรงสีเสียเลยหากจำเป็น   จากนั้นกลุ่มกรรมกรได้แถลงต่อประประชาชนว่าการประท้วงครั้งนี้เป็นการต่อสู้เพื่อสวัสดิการลุความอยู่รอดของชาวสยามทั้งมวล    ในที่สุดรัฐบาลก็เข้ามาประนีประนอมหลังจากที่นายจ้างได้ใช้มาตรการขั้นรุนแรงทำร้ายกรรมกร   ทุนส่วนหนึ่งที่ใช้ในการประท้วงมาจากการขายรูปถ่ายของพระยาพหลฯและหลวงประดิษฐ์ฯ

ก่อนที่การประท้วงของกรรมกรโรงสีจะยุติลง      ทางด้านกรรมกรรถไฟก็ได้มีการหยุดงานประท้วงอีกเช่นกัน  กรรมกรได้เข้ายึดขบวนรถและที่ทำงานในกรุงเทพฯพร้อมกับแถลงต่อประชาชนว่า  ผู้บริหารการรถไฟไม่มีความยุติธรรมและขอให้รัฐบาลเปลี่ยนผู้บริหารเสียใหม่   การประท้วงยุติลงได้เมื่อนายก รัฐมนตรีขึ้นมากล่าวยอมรับข้อเสนอดังกล่าว   หลังจากนั้นรัฐบาลได้ตั่งคณะกรรมการชุดหนึ่งเพื่อศึกษาและแก้ไขปัญหาแรงงานซึ่งก็จำกัดอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯเสียเป็นส่วนใหญ่   ในขณะที่ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบแรงงานในต่างจังหวัดก็ทวีมากขึ้นเช่นเดียวกัน   เช่นในปี 2484 มีกรรมกรสามล้อนัดหยุดงานเพื่อยื่นคำร้องต่อข้าหลวงประจำจังหวัดให้ตำรวจเพลามือในการจับกุมในกรณีความผิดเล็กๆน้อยๆ   ข้าหลวงไม่ยอมทำตาม   กรรมกรสามล้อจึงนัดหยุดงาน  จึงถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและยื่นฟ้องศาล   เมื่อคดีถึงศาลฎีกาและถูกยกฟ้องในที่สุด   ต่อิประเด็นนี้จะเห็นได้ว่าในทางปฏิบัติ   ฝ่ายปกครองมักจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้อำนาจไว้อย่างกว้างขวางเข้าจัดการกับกรรมกรที่นัดหยุดงานในข้อหากบฎ

สรุป....จะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวต่อสู้ของกรรมกรไทยในช่วงที่ผ่านมาก่อนพ.ศ. 2488 นั้นกล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีองค์กรจัดตั้งของกรรมกร   การเคลื่อนไหวต่อสู้จึงเป็นไปเองตามธรรมชาติ  เป็นการต่อสู้ที่โดดเดี่ยว   เพื่อเรียกร้องค่าจ้างและความเป็นธรรม   ยังไม่ค่อยจะมีสีสันและการแทรกแซงทางการเมือง   แต่ก็เริ่มมีการพัฒนาในลักษณะที่หนุนเสริมกันอยู่บ้างในบางกรณีที่การอาศัยอำนาจรัฐเข้ามาไกล่เกลี่ย     เมื่อเวลาผ่านไปกรรมกรเริ่มมีความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น   จนกระทั่งมีการรวมตัวกันอย่างเป็นเอกภาพโดยเริ่มมีการจัดตั้งองค์กรของตนขึ้น



No comments:

Post a Comment