Thursday, October 15, 2015

บทเรียนจากชิลี 10

10. การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของมวลชน
การบ่มเพาะในแวดวงของนักศึกษา     ได้เปิดฉากจากการเคลื่อนไหวในด้านสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะครอบครัวของ ”ผู้ที่สูญหาย” ไป      ทำให้ช่องว่างระหว่างกลุ่มเผด็จการและโบสถ์คริสตจักรถ่างกว้าง มากขึ้นอีก.....เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในหมู่มวลชนโดยทั่วๆไป   ความหวาดกลัวจากผลของการปราบปรามทวีขึ้นทุกๆวัน        ถึงแม้ว่ามวลชนยังมีความกลัวอยู่..แต่ก็ยังไม่เท่ากับเมื่อก่อนหน้านี้     แต่สิ่งที่ยังดำรงอยู่คือความเฉยเนือยของมวลชนที่ถูกกดทับจากวิกฤตการทางเศรษฐกิจ..ความหิว และความปวดร้าวขมขื่น    แต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยความเศร้าเสียใจ...ในความเป็นจริงมันเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า  แแสำหรับเวลาเช่นนี้แล้วไม่มีสิ่งใดๆจะดีไปกว่าการเปลี่ยนแปลงโดยรากฐาน

ระบอบเอกบุรุษของปิโนเช..ที่พื้นฐานสำคัญของมันมาจากเครื่องมือของรัฐ    ที่พยายามแสวงหาเป้า หมายของดุลยภาพทางชนชั้น      ด้วยวิธีนี้..ปิโนเช คิดว่าจะสามารถทำได้โดยได้รับการสนับสนุนจากมวลชนด้วยการพึ่งพิงบริการจากบรรดา นักสหภาพแรงงานขุนนาง ทั้งหลาย     หลังจากกองทัพยึดอำนาจ..  องค์กรสหภาพแรงงานของชนชั้นกรรมกรส่วนใหญ่ที่มีอยู่แต่เดิมได้ถูกยกเลิก  ในฐานะที่เป็นองค์กรผิดกฎหมาย    บรรดาผู้นำกรรมกรของสหภาพฯเหล่านี้ถูกกวาดล้าง  จับกุม  และไล่ล่าสังหาร    กระนั้นการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานก็ยังดำเนินต่อไปภายใต้ระบอบปกครองของกลุ่มเผด็จการ ทหาร     แต่ในความเป็นจริงสหภาพแรงงานเหล่านั้นสามารถดำรงอยู่ได้ก็ด้วยการดำเนินการโดยผู้นำกรรมกรที่บรรดานายพลทั้งหลายขุนเลี้ยงไว้     นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของระบบอบปกครองแบบลัทธิเอกบุรุษ

ปิโนเช มีแนวคิดที่จะกำหนดการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานให้เป็นแบบ ”เชื่องเชื่อ” แต่ในสถาน การณ์ของประเทศที่กำลังบอบช้ำกับการเผชิญกับวิกฤติทางเศรษฐกิจ     ทำให้ความพยายามนี้กลับเป็นผลเสียต่อตนเอง      สหภาพแรงงานขุนนางต่างไม่สามารถแสดงบทบาทในการเป็นเครื่องมือของกลุ่มปกครองต่อไปได้อีกภายใต้การเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง       ซึ่งแตกต่างไปจากความต้องการของกลุ่มเผด็จการ    ในสภาวะวิกฤตทำให้เกิดแรงกดดันจากบรรดาสมาชิก จากปัจจัยเหล่านี้     เริ่มจากการเป็น ”สื่อกลาง” หรือ “ผู้ไกล่เกลี่ย” ของรัฐบาล นายจ้าง และกรรมกร (กรรมการไตรภาคี)   สามารถทำได้แค่สถานะ กึ่งค้าน หรือ คัดค้าน เท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของชิลีก็คือการจัดตั้งสหภาพแรงงานอยู่ในระดับที่ค่อนข้างมั่น คง    ซึ่งพอจะทดแทนหลายสิ่งหลายอย่างได้และยังคงดำรงอยู่อย่างเป็นรูปเป็นร่าง        หน้าร้อนปี 1978     มีกรรมกรมากกว่าล้านคนเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน7,047แห่งที่มีการจัดตั้งขึ้น(สหภาพ ด้านอุตสาหกรรม 819 แห่ง..สหภาพฯด้านเกษตรกรรม 877 แห่ง    สหภาพวิชาชีพต่างๆ4,144 แห่ง และในในกลุ่มแรงงานภาคเกษตรกรรม and 207 แห่ง) ซึ่งแยกออกเป็นจำนวนดังต่อไปนี้   สหภาพฯด้านอุตสาหกรรม 235,000 คน   เกษตรกรรม 283,000 คน    สาขาอาชีพ 495,000 คน   ลูกจ้างในภาคเกษตรกรรม 13,000 คน

สมาพันธ์แรงงานกลาง (CUT/Confederación Unitaria de Trabajadores) ซึ่งเป็นองค์กรระดับชาติของกรรมกร ถูกปิดลงในวันที่เกิดรัฐประหารยกเว้นสหภาพฯที่เป็นเครื่องมือของกลุ่มขุนนาง    ระบอบเผด็จการทหารได้แต่งตั้งกลุ่มผู้นำกรรมกรปีกขวาที่เป็นผู้แก้ต่างกลุ่มเผด็จการฯและประกาศนโยบายของตน   ก่อนที่องค์กรกรรมกรสากลและกลุ่มสหภาพแรงงานทั่วโลกจะเคลื่อนไหวคัดค้าน     แต่สหภาพแรงงานขุนนางที่พรรค คริสเตียน เดโมแครต  ควบคุมอยู่สามารถดำรงอยู่ในระดับแถวหน้า   กลุ่มปก ครองเผด็จการไม่สามารถทำลายองค์กรของกรรมกรในระดับท้องถิ่นได้     และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่      สำคัญคือจำนวนของสมาชิกสหภาพฯไม่ได้ลดลง  ก่อนการรัฐประหาร..สมาพันธ์กรรมกรกลาง(CUT)มีสมาชิกอยู่1,800,000 คน       ถ้าจะประเมินคร่าวๆในเวลานี้(1978)บรรดาสหภาพแรงงานทั้งหลายมีสมาชิกรวมกันถึง 1,200.000 คน    อันตรายที่ใหญ่หลวงคือความจริงที่กลุ่มปกครองเผด็จการทหารได้รับรายงานในช่วงระยะเวลาดังกล่าว    นาย นิคานอร์ รัฐมนตรีแรงงานคนก่อนที่ได้แสดงความเห็นว่า “กรรมกรแทบจะไม่มีอะไรกิน  ซึ่งก็คือสมาชิกสหภาพแรงงานทั้งหลายทั้งหลาย”
ความไม่พอใจของกรรมกร
สิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงการฟื้นตัวของจิตวิญญาณทางชนชั้นได้แก่   การเคลื่อนไหวที่เกิด ขึ้นครั้งแรกสุดในปี 1987   บรรดาสหภาพแรงงานได้รวบรวมกรรมกรกว่า30,000คนใน ซานติอาโก โดยฝ่าฝืนคำสั่งของรัฐบาล       และจัดให้มีการชุมนุมในโรงงานต่างๆและในส่วนอื่นๆของประเทศ  

เนื่องจากการเคลื่อนไหวนัดหยุดงานเป็นไปได้ยากมากในชิลีขณะนั้น    จึงทำได้แค่การปลุกระดมในโรงงาน   สามารถกดกันนายจ้างได้เพียง  5 ถึง 10 นาที เท่านั้น    จากการกระทำทีละเล็กทีละน้อยทำให้ความกลัวหมดสิ้นไปกรรมกรเริ่มมีความกล้ามากขึ้น    วิธีการต่อสู้ประท้วงแบบใหม่ๆได้ถูกคิดค้นขึ้น     เหมืองแร่  ชิชิเกอมาตา ในภาคเหนือ ได้มีการนัดหยุดงานเพื่อประท้วง ”ความหิวโหย”เหล่ากรรมกรเหมืองปฏิเสธการกินในโรงอาหารของสถานประกอบการ        การประท้วง รูปแบบนี้ได้ขยายไปยังเหมือง เอล เทียเน้นเต     การประท้วงแบบนี้ยืดเยื้อออกไปนับเดือนและนั่นคือการบ่มเพาะ ในมวลหมู่กรรมกร   ตามที่นิตยสาร ฮอย ได้เขียนไว้ว่า...”มันเกี่ยวข้องกับเรื่องเศรษฐกิจใน เอล เทียเน้นเต     เพราะว่าเราได้ใช้เวลาห้าถึงหกเดือนโดยไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องค่าจ้าง”...”วันพฤหัสที่ 2  เดือนพฤศจิกายน 1977  กรรมกร 1200  จาก 4000 คน ของเหมืองทองแดง เอล เทียเน้นเต ไม่ยอมกลับเข้าทำงาน

มีการแจกจ่ายแผ่นปลิวเป็นเวลาหลายวัน และที่เห็นติดอยู่บนกำแพงได้เรียกร้องให้กรรมกรหยุดงานในวันที่ 2 พฤศจิกายน        ทำให้นายจ้างจำต้องทำความตกลงว่าจะจ่ายเงินโบนัสให้ในเดือนธันวาคม   ในเวลาเดียวกันกรรมกร 49 คนถูกเลิกจ้าง... “โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆแม้แต่น้อยจากสหพันธ์กรรมกรเหมืองแร่ทองแดง”    แหล่งข่าวเดียวกันได้รายงานอีกว่า “ในการชุมนุมของมวลชนกรรมกร 3000 คนของสหภาพฯที่เซเวล อี มินาส   ในกลางเดือนพฤศจิกายน...สมาชิกได้เรียกร้องให้ประธานสหภาพฯลาออกเนื่องจากแสดงตนประกาศสนับสนุนเข้าข้างนายจ้าง “

ความจริงเหล่านี้ได้บ่งชี้ถึงกระบวนการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานที่ได้เริ่มต้นขึ้นอีกอย่างมีชีวิตชี วา     ชนชั้นกรรมกรไม่อาจยอมรับสภาพการณ์ที่อัตราเงินเฟ้อที่เป็นทางการพุ่งสูงขึ้นถึง 60% ในปี 1978     เป็นเหตุให้สหภาพแรงงานขุนนางตกอยู่ในสถานะที่ง่อนแง่นมากยิ่งขึ้น      ครอบครัวของกรรมกรส่วนใหญ่มีอาหารกินกันแค่วันละมื้อเดียวเท่านั้น     กรรมกรและครอบครัวมีเพียงขนมปังและชาสำหรับบริโภค     จากความเป็นอยู่ในสภาพที่สิ้นหวังได้แปรเปลี่ยนไปเป็นการจลาจล อย่างในกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นใน เอล เทเนียนเต้       

เรื่องที่ไร้สาระเรื่องหนึ่งก็คือสหภาพแรงงานทองแดงขุนนาง(ที่มี กุยเลอโม เมดินา ที่เป็นสมาชิกสภาแห่งชาติเป็นผู้นำ)   ไม่เห็นด้วยกับการหยุดกิจการได้กล่าวหาว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 นั้นเป็นผลมาจากแรงจูงใจทางการเมืองของกลุ่มคนที่ใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจของคนงานเหมือง"   ได้มีการตอบโต้ผู้นำกรรมกรในบางแห่งด้วยการไล่ออกและเนรเทศไปยังชนบทที่ห่างไกล  ความไม่พอใจของกรรมกรได้แผ่ขยายไปยังภาคส่วนต่างๆเช่นกรรมกรท่าเรือ    ซึ่งในเวลาเดียวกันได้ทำการเคลื่อนไหว “เฉื่อยงาน” จนทำให้การขนส่งที่ท่าเรือวาลปาไรโซ ลดลงถึง 50 %.

ความไม่พอใจของบรรดากรรมกรได้เริ่มส่งผลสะท้อนกลับไปยังผู้นำกรรมกรขุนนางเอง  ในการชุมนุม ที่โรงละคร โคปูลิกัน ในนครซานติอาโกในพิธีเฉลิมฉลองอาคาร    สหพันธ์กรรมกรก่อสร้างและช่างไม้ได้แสดงความไม่พอใจออกมาว่า  “ด้วยเงิน 1,411 เปโซ ซึ่งเป็นอัตราค้าแรงขั้นต่ำ  ทำให้เรามีเงินพอแค่จะจ่ายค่าขนมปังเพียง 2 กิโลกรัมต่อวันเท่านั้น     สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 5-7 คน  ค่าจ้างขั้นต่ำจะซื้อได้แค่ขนมปังเท่านั้น” (Revista de America Contemporarea, p. 21)
อีกด้านหนึ่งสภาวะที่ย่ำแย่ของกรรมกรที่แสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่า     10%ของการเสียชีวิตของประเทศมาจากการประสบอุบัติเหตุในการทำงาน     ซึ่งเป็นระดับอัตราสูงที่สุดในลาตินอเมริกา   ความไม่พอใจของมวลชนกรรมกร..บางครั้งจะสะท้อนออกบนหน้าหนังสือพิมพ์ของชนชั้นนายทุน   เช่นใน วันที่ 17 กรกฎาคม 1978  หนังสือพิมพ์ขนาดเล็ก(tabloid) ลา เทเซรา  ได้ประณามการข่มเหงกรรม กรเหมืองแร่ เอล ซัลวาดอร์ ในตอนเหนือของประเทศ    ตามที่ บาร์ดาดิโน  คาสติลโย ประธานสมา พันธ์กรรมกรเหมืองแร่ทองแดงได้กล่าวว่า...”ไม่เพียงแต่จะมีการจัดการที่ย่ำแย่เท่านั้น    แต่ผู้จัดการอาวุโสยังกลั่นแกล้งข่มเหงกรรมกรอย่างเป็นระบบ...เหยียดหยามศักดิ์ศรีของพวกเขา    เลิกจ้างโดยไร้เหตุผล   ละเมิดกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย.....ปฏิเสธหลักการที่ถูกกฎหมายและไม่ยอมรับข้อเรียกร้องใดๆในด้านสิทธิแรงงาน”
ความกลัวของชนชั้นนายทุนน้อย
คาสติลโย ได้กล่าวเสริมว่า “...เขาได้ตัดสินใจที่จะปกป้องสิทธิประโยชน์ของบรรดาสมาชิกสหพันธ์ฯและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะตามมา    ผมไม่สนใจต่อมาตรการต่างๆที่ต่อต้านผม   ในขณะนั้นบรรดากรรมกรต่างอยู่ในความสงบ    แต่ในแต่ละวันก็มีการเดินขบวนประท้วงอันเนื่องมาจากความทุกข์ยากและไม่พอใจ”
จากถ้อยคำเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันทั้งมวลที่มีต่อชนชั้นกรรมกร    ซึ่งมาจากผู้นำกรรมกรขุนนางโดยพื้นฐาน.....ในขณะเดียวกันก็เป็นการผลักดันให้เกิดช่องว่างระหว่างพวกเขากับกลุ่มปกครองเผด็จการและบรรดานายจ้างเพิ่มมากขึ้น  ทำให้เกิดการบอกเตือนถึงสถานการณ์ในอนาคต    เช่นในเหมือง เอล เทเนียนเต  และเช่นเดียวกันกับที่ เอล ซัลวาดอร์ (ซึ่งเป็นเหมืองทองแดงที่มีความสำคัญเป็นอันดับสามของประเทศที่มีกรรมกรถึง 5,634 คน) ที่ทำการนัดหยุดงานในเดือนพฤศจิกายน 1977 ภายใต้ยุทธวิธี  “ลา” แทนปัญหาการเรียกร้องค่าแรงและได้รับการปฏิบัติที่เลวจากหัวหน้างาน   หนัง   สือพิมพ์ ลา เทเซรา แสดงความ  “เห็นอกเห็นใจ”  และเข้าข้างกรรมกร    โดยกล่าวถึงประเด็นที่พวกหัวหน้างานใช้ตำแหน่งและอำนาจ ”ทำตัวเป็นปฏิปักษ์” ต่อกรรมกร      ด้วยทัศนะคติที่ย่ำแย่เช่นนี้ได้กลายเป็นการสนับสนุนให้เกิดความไม่สงบขึ้นทั่วไปในสังคม
การเอื้อประโยชน์ในปัญหาของกรรมกรเหมืองแร่เช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความกลัวที่เพิ่มขึ้นของบรรดาชนชั้นนายทุนในระดับต่างๆต่อความเป็นไปได้การฟื้นตัวของการเคลื่อนไหวในหมู่กรรมกร    ทุกสิ่งดูเลวร้ายไปหมด..ในกรณีที่ผลิตผลทองแดงที่มีมูลค่าถึง 60% ของเงินตราต่างประเทศที่ใช้เป็นเงินงบ ประมาณของประเทศ     เรื่องนี้คือสาเหตุสำคัญที่บรรดานายทุนใช้กดดันรัฐบาลให้  ”เอาใจใส่ดูแลข้อ เรียกร้อง”  ทางด้านแรงงานเพื่อความเป็นไปได้ในการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งต่างๆ 

ความตื่นกลัวของชนชั้นนายทุนได้พุ่งเป้าไปยังกลุ่มปกครองเผด็จการ   ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ ลีห์ กุซ มาน รวมศูนย์การวิจารณ์ของเขาไปยังรัฐบาลที่เริ่มจากปัญหาด้านนโยบายทางเศรษฐกิจ      ต้นเดือนสิงหาคม 1975   ลีห์ได้กล่าวหาว่านโยบายเศรษฐกิจของกลุ่มปกครองนั้นเป็นสาเหตุ “ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างมากในการลิดรอนสิทธิ์ของชนชั้นต่างๆ    ค่าใช้จ่ายทางสังคมของนโยบายนี้ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเกินกว่าที่ได้คาดหมายไว้    การว่างงานพุ่งสูงขึ้นถึงระดับสูงสุดมากกว่าที่เคยเป็นมา  และชนชั้นที่ยากไร้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส”

แน่นอนปฏิบัติการ ”น้ำตาจระเข้”ของพวกปฏิกิริยานี้โดยทั่วไปแล้วไม่ได้ส่งผลให้เกิดความหวาดหวั่น  ที่จะรับผิดชอบในการเคลื่อนไหวใดๆ      แต่ความกลัวต่อผลกระทบทางสังคมที่จะตามมาก็คือการลุกขึ้นสู้ของชนชั้นกรรมกร     สำหรับตัวปิโนเชเอง..เขาพยายามที่จะจัดประชุมกับบรรดาสหภาพแรงงานขุนนางทั้งหลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในปีเช่นนี้    เพื่อจะค้นหาความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นและพยายามจะหาทางออก

ในส่วนของสหภาพแรงงานขุนนาง  ต่างมีความชื่นชมยินดีที่สามารถบรรลุข้อลงระหว่างรัฐบาลและ นายจ้าง         แต่สถานะที่ล้มเหลวของระบอบทุนนิยมในชิลีไม่อนุญาตให้พวกเขาสร้างอัตรากำไรที่เพียงพอสำหรับการยักย้ายถ่ายเท   นายจ้างยังไม่พร้อมที่จะยอมรับเงื่อนไข     สำหรับกรรมกรและครอบครัวก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร     มันเป็นสูตรสำเร็จที่ความไม่พอใจจะประทุขึ้นในสังคม

ผู้นำสหภาพแรงงานพนักงานของรัฐได้ให้คำอธิบายว่า   การปรับค่าจ้างขึ้นเพียง10% นั้นไม่เพียงพอและยืนกรานในข้อเรียกร้องของตน โดยให้พิจารณาจากปัจจัยต่างๆอย่างเร่งด่วน   เนื่องจาก  ”สภาพความเป็นอยู่ของพนักงานรัฐตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบากมาก”    ประธานของ เฟนเมตา (สหพันธ์แรง งานลูกจ้างอุตสาหกรรมรถยนต์ ช่างไฟฟ้า และช่างโลหะ) ได้มีจดหมายไปถึง นสพ.ลา เทอร์เซรา ฉบับวันที่  10/7/78    โดยให้เหตุผลถึงกำลังซื้อที่ลดลงในการเจรจาต่อรองกับนายจ้างและหลักประ กันสำหรับผู้ที่ถูกเลิกจ้าง       ในจดหมายฉบับนี้  คาสโตร ได้อธิบายอย่างชัดเจนต่อผลกระทบของนโยบาย ”เปิดประตู”  ของสำนักเศรษฐศาสตร์ชิคาโก  เมื่อเขาได้ชี้ชัดออกมาว่า

“การนำสินค้าเข้าจำนวนมหาศาลได้สร้างความเสียหายให้แก่อุตสาหกรรมและกำลังซื้อของชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการว่างงานและการถดถอยทางเศรษฐกิจ    สหพันธ์แรงงาน เฟนเตมา  เป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก     จากที่เคยมีสมาชิกถึง 12,000 คน ในปี 1973   กลับเหลือสมาชิกอยู่เพียง 7,000 คนในเดือนมิถุนายน 1978       การว่างงานในธุรกิจการค้าเนื่องมาจากการปิดกิจการ  และเพราะว่าจากการเก็บภาษีศุลกากรขาเข้าในระดับต่ำของสินค้าประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้า”

ข้อตกลงที่ไม่อาจเป็นไปไม่ได้

วันที่ 28  มิถุนายน  สหพันธ์แรงงานพาณิชยกรรมแห่งชาติ (Fenatrobeco)ได้มีจดหมายถึง ปิโนเช เรียกร้องให้มีการเผยแพร่  “กำไรที่เกิดโดยแรงงานหลังจากการต่อสู้มานานปี” ขึ้นใหม่   โดยยกเลิก  คำสั่งที่ได้ตีพิมพ์ไปเมื่อเร็วๆนี้      ในจดหมายได้ชี้แจงอย่างไร้เดียงสาว่า "ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ท่านได้ยืนยันแทบทุกครั้งในโอกาสต่างๆว่าสิทธิทั้งหมดของกรรมกรจะได้รับการเคารพ."

ปัญหาของสหภาพแรงงานขุนนางทั้งหลายคือไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆกับรัฐบาลและบรรดานายทุนได้เลยในสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นในขณะนั้น     ผู้นำสหภาพฯถูกบีบให้ไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลเผด็จการ ภายใต้แรงกดดันของชนชั้นกรรมกรที่กำลังมีความตื่นตัวในการต่อสู้เพื่อปกป้องผล ประโยชน์ของตน     ตัวอย่าง..เช่นการประกาศใช้กฎหมายควบคุมสหภาพฯ      ทำให้เห็นสิ่งลวงตา ว่า  ไม่มีความจำเป็นใดๆต่อการดำรงอยู่ของสหภาพแรงงานขุนนาง...มันเป็นการกีดกันพวกเขาไม่ให้แสดงออกถึงบทบาทของการเป็นคนกลางได้

นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งของคลื่นการประท้วงที่สื่อตรงไปยังปิโนเชโดยผู้นำสหภาพแรงงาน  ซึ่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้   “คณะกรรมการสมานฉันท์สหภาพแรงงานแห่งชาติ”   มีความสัมพันธ์อย่างสนิทแน่นแฟ้นเป็นพิเศษกับกลุ่มปกครองเผด็จการ    และได้แสดงตนว่าเป็น”ตัวแทน”ระดับชาติของบรรดาสมาชิกสหภาพแรงงานนับล้านคน       พวกเขาถูกบีบให้ปฏิเสธการแก้ไขกฎหมายฉบับที่ 2200 ของวันที่ 15 มิถุนายนที่พวกเขามีส่วนร่วมในการลงนาม     โดยประธานสหภาพแรงงานสิ่งพิมพ์  สหภาพช่างทาสี   สมาพันธ์กรรมกร-ชาวนาสามัคคี     กรรมกรโลหะและเหมืองแร่  โดยเขียนไว้ในต้นฉบับว่า...   ”เราขอปฏิเสธรูปแบบเหล่านี้โดยสิ้นเชิง       เมื่อได้ตรวจสอบแล้วว่ามีการผิดสัญญาตั้งแต่แรกเกี่ยวกับเรื่องการยอมรับสิทธิประโยชน์ของกรรมกรที่เคยมีมาแต่เดิม         เราไม่ยอมรับการจ้างงานแบบชั่วคราว    ตั้งแต่มีกฎหมายฉบับนี้..กรรมกรถูกมัดมือมัดเท้าให้ยอมรับการแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการกดขี่อย่างหน้าด้านๆหรือถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม....

“แผนการเลิกจ้างของเคลลี่เป็นอันว่าถูกเลื่อนออกไปโดยรัฐบาลมีความประสงค์ให้กลับไปพิจารณาทบทวนใหม่ก่อนที่จะนำมาใช้       เนื่องจากถูกเคลื่อนไหวคัดค้านจากสหภาพแรงงานทั้งมวลแม้แต่สหภาพฯที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล

อนึ่ง...พวกเขายังแสดงทัศนะที่ว่าด้วยการยกเลิกข้อตกลงในการรวมตัวของแรงงานที่มีลักษณะคล้าย คลึงกัน...”เราได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีมานานเป็นๆปี”    และนั่นก็เพื่อจะทำให้สหภาพแรงงานทั้งหลายอ่อนแอลง   “สิทธิตามกฎหมายของบรรดาผู้นำกรรมกรถูกจำกัด    โดยทำให้พวกเขาเข้าใจสับสนไปว่าเหมือนกับสิทธิในการลาคลอด”  ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบกับการขึ้นค่าจ้าง10% .ในเดือนมิถุนายาดังที่กล่าวมาแล้ว...      เราขอย้ำว่าการปรับค่าจ้างนั้นไม่สามารถชดเชยกับค่าครองชีพจริงที่สูงขึ้น   และชนชั้นผู้ใช้แรงงานไม่สามารถหลุดพ้นจากการมีชีวิตอยู่บนความอดอยากกับค่าจ้างที่ได้รับ        มันเป็นการบ่อนเซาะทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของเรา”
 และท้ายที่สุด
“เนื่องเพราะสถานการณ์เริ่มจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทนต่อไปได้แล้ว...ในเวลาไม่นานนี้เราจะเสนอเอกสารต่อรัฐบาลให้รับข้อเรียกร้อง   ซึ่งเราพิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชนชั้นผู้ใช้แรงงานที่จะมีชีวิตรอดได้ท่ามกลางชนชั้นอื่นในสังคม    ถึงเนื้อหาสาระในการขึ้นค่าแรงให้แก่กรรมกร ลูกจ้าง  และผู้ประกอบอาชีพอื่นๆที่เราเป็นตัวแทน”
สิ่งที่เกิดขึ้นได้เกิดช่องว่างขึ้นระหว่างปิโนเชและผู้นำที่”น่านับถือ”ของสหภาพแรงงานคริสเตียน เดโมแครท  ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ได้ให้ความร่วมมือสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารอย่างชัดเจน    ได้แสดงอาการถอยห่างออกจากกลุ่มปกครองเผด็จการ    วิกฤตเศรษฐกิจ  การว่างงาน  ความอดอยากหิวโหย  ความทุกข์ยาก       ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีกด้วยการประยุกต์ใช้แนวคิดที่บ้าบอของ Milton Friedman  อย่างเข้มงวด  โดยการแยกขั้วกันอย่างชัดเจนระหว่างชนชั้นกรรมกร   ชาวนาและส่วนใหญ่ของคนชั้นกลางที่ต่อต้านรัฐบาล    ปิโนเช สามารถอยู่ได้ก็เพราะความเฉื่อยเนือยของมวลชนในชั่วระยะเวลาหนึ่ง        แต่มันค่อนข้างชัดเจนว่ากระบวนการพัฒนาจิตสำนึกของชนชั้นกรรม กรนั้นได้ก้าวไปสู่ระดับโมเลกุล     มันเป็นการสะสมกำลังภายใต้ปรากฎการณ์ที่ดูเหมือนว่าสงบสันติ 

No comments:

Post a Comment