โดย
คลอดิโอ วิลยาส แปลโดย แก้ว กรรมกร
ปลายปี
๑๙๗๐ ประชาชนนิคารากัวได้ลุกขึ้นมาโค่นล้ม อนาสซิโอ โซโมซ่า หนึ่งในจอมเผด็จการทรราชที่มีคนเกลียดชังมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง มันเป็นการปฏิวัติที่สร้างความหวังให้กับบรรดาชนชั้นกรรมกรและคนหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าไปทั่วโลก ปัจจุบันเวเนซูเอลล่าก็ได้สร้างความหวังที่คล้าย
คลึงกัน ในขณะที่การปฏิวัติของนิคารากัวถูกพิชิตไปแล้ว
เราจะสามารถเรียนรู้บทเรียนอะไรได้บ้างในวันนี้?
บทนำ
น้อยคนนักที่ยังพอจะจดจำถึงความเร้าใจของการปฎิวัติในทศวรรษ
๑๙๘๐ ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการปฏิวัติของกลุ่มแซนดินิสต้า ปลายปี ๑๙๗๐
ประชาขนชองประเทศที่ยากจนที่สุดอันดับสองของทวีปอเมริกา ได้ลุกขึ้นมาโค่นล้ม
อนาสซิโอ โซโมซ่า หนึ่งในจอมเผด็จการทรราชที่มีคนเกลียดชังมากมากที่สุดในโลก
ความสำเร็จของการเคลื่อนไหวครั้งนั้นได้กลายเป็นแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ให้แก่คนหนุ่มสาวและกรรมกรทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่การปฏิวัติของคิวบา ที่ดินหนึ่งล้านห้าแสนเฮกตาร์ได้ถูกจัดสรรให้แก่คนจนสองแสนครอบครัวถือครองกรรมสิทธิ์โดยสหกรณ์การผลิต อัตราการไม่รู้หนังสือที่สูงถึง
๖๐%ลดลงเหลือ๑๔% ภายในสองปีโดยการส่งทั้งครูหนุ่มสาวและนักเรียนอาสาสมัครออกรณณรงค์เพื่อขจัดความไม่รู้หนังสือและความล้าหลังของประชาชนชาวนิคารากัว สาธารณสุขพื้นฐานได้รับการยกยกระดับให้ดีขึ้น
นอกเหนือจากนั้นชาวนิคารากัวยังแสดงให้เห็นว่า เมื่อชนชั้นกรรมกรและชาวนาจนได้ร่วมมือสามัคคีกันต่อสู้ แม้แต่จักรพรรดินิยมที่ทรงพลังอย่างอเมริกาก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ แต่แล้วโศกนาฎกรรมก็เกิดขึ้นเมื่อความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของมวลชนชาวนิคารากัวไม่อาจเอาชนะการบ่อนทำลาย การก่อกวน วินาศ กรรมทั้งภายในและภายนอกที่ดำเนินมาเป็นเวลายาวนานถึงสิบเอ็ดปี และการชี้นำที่ไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจแตกหักให้เด็ดขาดลงไปกับระบอบทุนนิยมที่ต่อต้านการปฏิวัติ
ซึ่งหนุนหลังโดยโดยสหรัฐฯ เกือบสิบแปดปีตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไป กลุ่มแซนดินิสต้าต้องพ่ายแพ้ต่อนาง ไวโอเลตต้า คาโมโร [อดีตประธานาธิบดีนิคารากัว (1990-1997) ภรรยาหม้ายของโจอาควิน
ชาโมโร นายทุนใหญ่เจ้าของหนังสือพิมพ์เสรีนิยม La Prensa
ที่ถูกเผด็จการโซโมซ่าลอบสังหาร ]
คู่แข่งจากกลุ่มคณาธิปไตยเดิม การกลับมาดำรงตำแหน่งของนางทำให้นิคารากัวต้องกลับมาเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกอีกครั้งหนึ่ง
กรรมกรได้ค่าแรงต่ำ มีคนตกงานเป็นจำนวนมาก ประเทศเป็นหนี้ภายนอกมหาศาล เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกระจายรายได้แตกต่างกันมากที่สุดในโลก อัตราการเสียชีวิตของทารกเฉลี่ย 29.11 : 1000 คน
อัตราการไม่รู้หนังสือพุ่งทะ ยานขึ้นสูงถึง 32.5 %ของพลเมือง(CIA World Fact Book) นี่คือสิ่งที่ประชาชนนิคารากัวต้องจ่ายต่อการขาดวิสัยทัศน์ของฝ่ายนำ FSLN (ขบวนการแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติซานดินิสต้า
Frente Sandinista de Liberación Nacional) ที่เผชิญหน้ากับจักรวรรดิ์นิยมอเมริกา
อย่างไรก็ตามแม้จะตกอยู่ในความพ่ายแพ้ที่ขมขื่น แต่สิบแปดปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรหยุดอยู่กับที่ นิคารากัวได้เปลี่ยนแปลงไป ซานดินิสต้ากลับมาครองอำนาจได้อีก กระแสซ้ายได้หวลกลับมาคึกคักขึ้นอีกในลาตินอเมริกา ในอาร์เจนตินา เราได้เห็นการลุกฮือของมวลชนในการขับไล่ประธา นาธิบดีในช่วงปลายปี
2001 ในโบลิเวียประชาชนรากหญ้าร่วมกับสหภาพแรงงานเคลื่อนไหวต่อ
ต้านการแปรรูปวิสาหกิจพลังงานและนำ โมลาเรส ก้าวขึ้นสู่อำนาจ เราได้เห็นมวลชนชาวอุรุกวัยให้ฉันทานุมัติแก่รัฐบาลฝ่ายซ้ายขึ้นครองอำนาจเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ ในอีเคว
ดอร์เราได้เห็นการเคลื่อนไหวของมวลชนอันไพศาลที่ส่งผลให้ โรซาเลส
ก้าวขึ้นสู่อำนาจ และแน่นอนประชาชนชาวเวเนซูเอลาได้เคลื่อนไหวมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบสิบปีมานี้ กรรมกร
ชาวนา และคนจนในชนบท
ได้ร่วมมือกันเซาะทำลายระบอบทุนนิยมไปทั่วทั้งทวีป
คำประกาศของประธานาธิบดี ชาเวซ (เวเนซูเอลา) ที่เน้นย้ำสนับสนุนแนวทางสังคมนิยมได้สะท้อนความจริงว่า ความพยายามใดๆในการปฏิรูปภายใต้ระบอบทุนนิยมนั้นจะนำไปสู่ความขัดแย้งโดย
ตรงในตัวของมันเอง การปฏิวัติในเวเนซูเอลล่าเริ่มที่การเคลื่อนไหวแบบปฏิรูปและจบลงด้วยการต่อต้านทุนนิยมและจักรพรรดินิยม ระบอบทุนนิยมไม่เคยให้ทางออกและให้อำนาจแก่ประชาชน ไม่ว่ากรรมกร ชาวนา
และคนจนในชนบท การปฏิรูปจึงเป็นเพียงกลอุบายที่จะทำลายการปฏิวัติเพื่อหมุนเวลากลับเท่านั้น
ประวัติศาสตร์ได้สอนเราว่า ไม่มีชนชั้นปกครองคนใดที่จะยินยอมสละอำนาจของตนโดยไม่ดิ้นรนต่อสู้ เช่นในกรณีของนิคารากัวที่ผู้นำการปฏิวัติดำเนินการค่อนไปในแนวทางปฏิรูป
ซึ่งเป็นการรักษาขอบข่ายของทุนนิยมเอาไว้
พวกเขาพยายามประนีประนอมการปฏิวัติเข้ากับระบอบทุนนิยม นี่เป็นสาเหตุที่ขบวนการแซนดินิสต้าต้องพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด พวกเขาจึงต้องหยุดการปฏิวัติไว้แค่ครึ่งทาง
ซึ่งใครๆก็รู้ดีว่าไม่อาจปฏิวัติเพียงครึ่งเดียวได้
คุณจะก้าวเดินไปสู่การทำลายอำนาจการปกครองของพวกคณาธิปไตยแล้วสถาปนาอำนาจของชนชั้นกรรมกรขึ้นมา
หรือจะมอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่ชนชั้นปกครองเพื่อให้พวกเขาบ่อนทำลายเศรษฐกิจ ก่อความโกลาหล และสร้างโอกาสในการต่อต้านการปฏิวัติขึ้นมาอีก
มีข้อแตกต่างกันมากมายระหว่างการปฏิวัติของแซนดินิสต้าและชาวเวเนซูเอลล่า ในนิคารากัว
สถานะและกลไกเก่าของระบอบทุนนิยมได้พังทลายไปแล้ว อำนาจและโอกาสตกอยู่ในมือของขบวนการซานดินิสต้า ในเวเนซูเอลล่าสถานะของทุนนิยมยังดำรงอยู่ แต่ในทั้งสองกรณีเราได้เห็นความพยายามในการดำเนินการปฏิรูปที่ไม่มีการจัดการกับปัจจัยการผลิตที่เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล
การศึกษาบทเรียนของการปฏิวัตินิคารากัวจะช่วยให้เราเข้าใจกระบวนการที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในเวเนซูเอลล่าในปัจจุบันนี้
ตอนที่หนึ่ง
เดือนกรกฎา 1979
การปฏิวัตินิคารากัวได้โค่นล้มการกดขี่ที่ป่าเถื่อนของเผด็จการ โซโมซ่า
ที่ดำเนินมาเป็นเวลาสี่สิบปี นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ จักรวรรดิ์นิยมอเมริกาไม่อยู่ในฐานะที่จะเข้าแทรกแซงด้วยกำลังทหารได้ หลังจากรัฐบาลสหรัฐได้สนับสนุนเงินทุน อาวุธให้แก่
กลุ่มเผด็จการมาเป็นเวลากว่าสิบปี
คาร์เตอร์ และเรแกน ได้แต่อดกลั้นอยู่ ไม่อาจเคลื่อนไหวต่อ ต้านการปฏิวัตินิคารากัวโดยตรง แต่ในขณะเดียวกันก็ได้พยายามก่อกวนทำลายและให้การสนับ
สนุนแก่กองกำลังติดอาวุธปฏิกิริยากึ่งพลเรือน-
ทหาร
(ขบวนการติดอาวุธฝ่ายขวา
CONTRAS ที่สหรัฐอยู่เบื้องหลัง) ที่จัดตั้งขึ้นไม่ต่ำกว่า
100 ล้านดอลล่าร์
การปฏิวัติเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันยุ่งยาก เพราะพึ่งจะถูกขับออกจากเวียดนาม และในบ้านยังต้องเผชิญกับคนหนุ่มสาว
กรรมกร และทหารนับล้านๆคน พวกเขาไม่อาจยอมรับคิวบาแต่ก็ไม่สามารถพิชิตลงได้ด้วยแสนยานุภาพ พวกเผด็จการฆาตรกรในเอลซัลวา ดอร์
ฮอนดูรัส กัวเตมาลา และอาร์เจนตินา
มีแนวโน้มที่จะล่มสลายภายใต้การกระหน่ำตีของการต่อสู้ทางชนชั้น ความกดดันของชนชั้นกรรมกรและคนหนุ่มสาวในคอสตาริกา
ปานามา เม๊กซิโก เวเนซูเลลา ตลอดจนโคลอมเบีย
ได้มัดมือจักรวรรดิ์นิยมทั้งในลาตินอเมริกาและคาริบเบียน
รัฐบาลนายทุน ของ เฮอร์เรร่า แคมปินส์ (
ประธานาธิบดีเวเนซูเอลา 1979-1984)และอดีตประธา
ธิบดี คาร์ลอส อันเดรส เปเรซ ( 1974-1979 และ 1989-1994),
คาราโซ
แห่งคอสตาริกา , ทรูจิลโย
แห่งปานามาและพรรค PRI (Revolutionary Institutional Party)
ต่างก็สวดภาวนาขออย่าให้นิคารากัวเป็นอย่างคิวบาเลย นักศึกษาในคอสตาริกาได้เดินขบวนต่อต้านขับไล่การขยายฐานทัพของอเมริกาลุกลามไปถึงในอเมริกาใต้ ชนชั้นคนงานใน ซานเปาโล บราซิล ได้จัดตั้งสหพันธ์แรงงานของตนขึ้น พัฒนาไปสู่วิกฤติของพวกเผด็จการทหาร
ในเปรูก็เกิดเหตุการณ์ในทำนองเดียวกับบราซิล ในขณะนั้นประชาชนคิวบากำลังรณณรงค์ต่อต้านการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐใช้อิทธิพลกดดันมากว่าหลายสิบปี จนได้กลายมาเป็นสัญสัญลักษณ์ในการต่อต้านทุนนิยมไปทั่วโลก
ไม่เพียงแต่เท่านี้จักรพรรดินิยมต้องตื่นตะลึงต่อการคลี่คลายของการปฏิวัติอิหร่าน
รัฐบาลปีกซ้ายได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจในอัฟกานิสถาน และสัญญานการพังทลายของมาร์คอสในฟิลิปปินส์ การควบคุมเอเชียของพวกเขา (จักรพรรดิ์นิยม)
อยู่ในภาวะที่เสี่ยงยิ่ง
ยุโรปก็ได้เห็นการพังทลายของระบอบฟรังโกในเสปน
ตามมาด้วยการล่มสลายของเผด็จการในกรีซและโปรตุเกส และการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองมาตลอดปี 1970 ขณะที่ภาวะเช่นนี้ได้มีการพัฒนา
ไปทั่วโลก
จักรพรรดินิยมอเมริกาเองก็กำลังจับตามองสถานการณ์ในนิคารากัวสนามหลังบ้านซึ่งเป็นประดุจที่เป็นหัวใจของตน และได้ตระหนักถึงภาวะอันตรายจากจุดอ่อนนี้
ซึ่งจะเห็นได้จากข้อสรุปของรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศแผนกอเมริกากลาง ไวรอน พี
เวกกี้ ที่ว่า
“ปัญหาที่แท้จริงของสหรัฐในด้านนโยบายต่างประเทศ ไม่ใช่พยายามที่จะคงไว้ซึ่งความแข็งกร้าวในการต่อต้านการปฏิวัติ แต่ต้องพยายามดึงความมั่นคงออกจากการปฏิวัติ
(Report to the US Congress, September 11, 1979). อีกด้านหนึ่งเราไม่อาจหลีก เลี่ยงการปฏิวัติได้
แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงผลลัพธ์เช่นที่จะเกิดเช่นในคิวบา”
การโค่นล้ม อนาสตาซิโอ โซโมซ่า
ในนิคารากัว
เป็นการประกาศถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นมูลฐานของชีวิตกรรมกรและชาวนาในประเทศโดยผ่านการปฏิวัติ ฝันร้ายและความเจ็บปวดขมขื่นของพวกเขากำลังจะสิ้นสุดลง
ภายใต้เผด็จการโซโมซ่าการรักษาพยาบาลอย่างขอไปที่คร่าชีวิตเด็กๆในชนบทไปกว่า
30 %
ภายหลังการปฎิวัติอัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือเพียง 8 % ประชาชนกว่าล้านคนได้ รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ปริมาณการผลิตมวลรวมของข้าวสาลีเพิ่มขึ้น
33 %
ข้าว 30%
ถั่ว40 % ในช่วงสุดท้ายของเผด็จการแพทย์
1000 ตรวจรักษาคนไข้ 200’000 คนในทุกๆปี แต่ภายใต้รัฐบาลซานดินิสต้าทุกปีจะผลิตแพทย์ได้
500 คน
และการสาธารณสุขพื้นฐานรับประกันได้ว่าแพทย์จะดูแลคนไข้มากกว่า 6’000’000
คนขึ้นไป
ที่อยู่อาศัยได้มีการวางแผนไว้มากกว่า 300’000 หน่วยพร้อมที่ประชาชนจะเข้าอยู่อาศัย
ก่อนหน้าการปฏิวัติ 75 %ของประชาชนไม่เคยแม้แต่จะเปิดหนังสือ อัตราผู้ไม่รู้หนังสือสูงถึง 60 % ในปี 1987 ลดลงเหลือ 14 %
ต้องขอบคุณโรงเรียน 1200
แห่งที่สร้างขึ้นใหม่
ในเดือนมีนาคม 1980 อาสาสมัครหนุ่มสาวและบรรดาครูได้ถูกส่งออกไปตามป่าเขาและเขตชนบทเพื่อรณณรงค์ต่อ
ต้านการไม่รู้หนังสือ หลังจากการรณณรงค์ผ่านไป 150 วัน ชาวนิคารากัว 406’000 คนสามารถอ่านออกเขียนได้ ชาวนา กรรมกรและกลุ่มสตรี ได้ก่อตั้งองค์กรของตนขึ้นมาโดยมุ่งเป้าไปที่การขจัดความไม่รู้หนังสือ
ในแถบป่าเขาภาคเหนือของประเทศที่ทอดยาวไปตามฝั่งแปซิฟิค ครูและนักศึกษาอาสาสมัคร 56 คนถูกฆ่าตาย ต่อมาอีก 7 คนก็ถูกลอบ
สังหารโดยกองกำลังฝ่ายขวาต่อต้านการปฏิวัติ
การปฏิรูปดำเนินต่อไปด้วยคุณูปการของการปฏิวัติ ได้เกื้อหนุนและดึงดูดความสนใจจากคนหนุ่มสาวและกรรมกรทั่วโลก
ทั้งๆที่ทำมาถึงขนาดนี้ในปัจจุบันนิคารากัวก็ยังไม่หลุดพ้นไปจากความยากจนเหมือนๆกับทุกประเทศในอเมริกากลาง เป็นไปได้อย่างไร..ที่ประชาชนนิตารากัวผู้ได้โยนความขมขื่นทิ้งไปแล้วหลังจากได้ดำเนินการปฏิวัติมา?
เป็นไปได้อย่างไรที่อำนาจรัฐบาลปฏิกิริยาของพวกคณาธิปไตยยังคงควบคุมนิคารากัว?
เพื่อตอบปัญหานี้ เราสามารถสืบรับบทเรียนที่สำคัญเรื่องหนึ่งจากประวัติศาสตร์กล่าวคือ
เวเนซูเอลาที่เคยเป็นศูนย์กลางของการปฏิวัติก็ได้ประสบกับจุดเปลี่ยนที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อนแล้ว กุญ แจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จกำลังได้รับการสืบทอดจากอุดมการณ์โบลิวาร์ [
ซีโมน โบลิวาร์ ( Simon Bolivar , 1783 – 1830) นักปฏิวัติชนชั้นผู้ดี ชาวเวเนซูเอลาผู้จุดประกายการต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวอาณานิคมสเปนในอเมริกาใต้ เริ่มต้นที่
เวเนซูเอลลา โบลิเวีย โคลอมเบีย
ปานามา ไปตลอดจนถึงเปรู อุดมการณ์ของท่านได้แผ่ขยายไปทั่วลาตินอเมริกา] และการปฏิวัติสังคมนิยมในเวเนซูเอลลาจะต้องไม่เกิดความผิดพลาดซ้ำรอยการปฏิวัติเช่นในอดีตอีก
บทความนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นทั้งความสำเร็จและล้มเหลวของการปฏิวัตินิคารากัว
เพื่อสืบรับบทเรียนอันจะนำไปสู่ชัยชนะของการปฏิวัติในอเมริกาใต้ที่กำลังดำเนินอยู่และคืบหน้าไปในขณะนี้ โดยเริ่มต้นที่เวเนซูเอลา
ซานดิโน แม่ทัพแห่งเสรีชน
นิคารากัวก็เป็นเช่นเดียวกับประเทศต่างๆในลาตินอเมริกาและคาริเบียนที่ถูกรุกรานปล้นชิง
และแสวงหาผลประโยชน์จากพวกจักรพรรดินิยม
นายทุนอเมริกันโดยปกติแล้วมีความปรารถนาที่จะควบคุมนิคารากัว เพราะเป็นจุดสำคัญในยุทธศาสตร์ทางการค้า เนื่องจากที่ตั้งของประเทศเชื่อมโยงสองฝั่งมหาสมุทรทั้งแอตแลนติคและแปซิฟิค เอากุสโต เซซาร์ ซานดิโน บุตรชายของตระกูลชาวนายากจน
เป็นคนแรกที่ได้ดิ้นรนต่อสู้กับจักรวรรดิ์นิยมในนิคารากัว และนำการต่อสู้แบบสงครามกองโจรเป็นเวลาหกถึงเจ็ดปีระหว่าง
คศ.1927-1932
การสู้รบแบบกองโจรของซานดิโน ก่อตั้งขึ้นจากกลุ่มนักรบเพียง
29 คนที่เป็นคนงานเหมืองและใน ที่สุดสามารถสร้างนักรบกองโจรขึ้นมาเป็นจำนวนถึง
3000 คน จากมวลชนชาวนา คนจนในชนบท และนักสากลนิยมหนุ่มสาวในภาคพื้นทวีป(อเมริกาใต้)
การดิ้นรนต่อสู้ของพวกเขาได้รับการสนับสนุนสนับสนุนไปทั่วโลก กระทั่งใบปลิว ”ซานดิโน จงเจริญ” ยังไปปรากฏขึ้นในสถานที่ห่างไกลเช่นที่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ในปี
1927 นักรบกองโจร
ซานดิโน ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังนาวิกโยธินและกำลังพลที่แข็งแกร่งของอเมริดา
กลุ่มอำนาจรัฐเผด็จการไม่สามารถปราบปรามทำลายขบวนการต่อสู้ให้พ่ายแพ้โดยตรงได้
จึงมุ่งใช้วิธีสยดสยองต่อชาวนาด้วยการฆ่าหมู่ ใช้การทรมานอย่างเป็นระบบต่อพลเรือนโดยหน่วย National
Guardที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีโดยอเมริกา
เหมือนเช่นกองทัพ อากาศที่เจ็ดของสหรัฐได้กระทำในเวียดนามในอีกสี่สิบปีต่อมา
น่าเสียดาย..ที่ในปี
1932 ซานดิโน
ได้ตกลงยอมจำนนโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า สหรัฐจะต้องถอนทหารออกไปและต้องให้สัญญาว่าพลพรรคนักรบกองโจรของเขาจะต้องได้รับอภัยโทษ เอากุสโต เซซ่าร์ ซานดิโน จึงต้องจ่ายค่าความไร้เดียงสาของตนที่แสนแพงด้วยชีวิตของตนและของกองกำลังทั้งหมดของเขา วันที่
21 กุมภาพันธ์ 1934 เขาถูกลอบสังหารหลังจากที่ได้รับเชิญร่วมรับรับประทานอาหารเย็นร่วมกับประธานาธิบดี
เบาติสตา สากาซา
“นักเสรีนิยม” ( Bautista Sacasa the "liberal") ที่เป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลวอชิงตัน อนาสตาซิโอ โซโมซ่า การ์เซีย เผด็จการก่อนหน้า
อนาสตาซิโอ โซโมซ่า กล่าวภายหลังว่า “ผมไปสถานทูตสหรัฐได้พบปะสนทนากับท่านทูต
อาร์เธอร์ บลิส ที่ยืนยันว่ารัฐบาลวอชิงตันเสนอให้ขจัด เอากุสโต ซานดิโนเสีย เพราะเห็นว่าเขาจะเป็นภัยต่อสันติภาพในประเทศ”
ซานดิโนได้นำลัทธิวีรบุรุษมาใชัในการต่อสู้ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ ในความ คิดของเขาโดยพื้นฐานแล้วมีจุดบกพร่อง
ซึ่งได้เกิดซ้ำขึ้นอีกในกระบวนความคิดของผู้นำขบวนการปลด ปล่อยแห่งชาติแซนดินิสต้า(FSLN) ซานดิโนเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปลดปล่อยประเทศจากการครอบงำของกำลังต่างชาติด้วยการร่วมมือกับบรรดานายทุนอาณานิคมในชาติ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีความจำเป็นต้องเดินแนวทางปฏิวัติต่อไปอีกจากคำพูดของเขาที่กล่าวว่า
“ไม่ขวาสุดโต่ง หรือซ้ายสุดโต่ง คำขวัญของเราคือแนวร่วมแห่งชาติ ที่กล่าวเช่นนี้ก็มิ ใช่ว่าจะไร้เหตุผลทางตรรกะไปเสียทั้งหมด
การต่อสู้ของเรายอมรับความร่วมมือของทุกชนชั้นในสังคมโดยปราศจากคำนิยามหรือลัทธิใดๆ”
พรรคสังคมนิยมนิคารากัว(PSN พรรคแบบสตาลินในยุคนั้น)
ได้ยอมรับเอาวิธีการที่ถูกต้องของการเคลื่อนไหวของซานดิโนจริงหรือ? ทุกสิ่งมันกลับตาลปัตรไปหมด นโยบายแบบลัทธิพรรคพวกของผู้นิยมสตาลินในนิคารากัวได้ช่วยผลักซานดิโนให้เข้าไปอยู่ในมือของชนชั้นนายทุน และการลอบสังหารเขาก็คือการตระเตรียมการทำรัฐประหารโดยกำลังของพวก National
Guard ติดตามมาด้วยระบอบเผด็จการของตระกูลโซโมซ่า และจบลงเมื่อปี 1973 เป็นเวลายาวนานติดต่อกันถึง 42 ปี
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการตรวจสอบรับรองจากมอสโคว์และบรรดา”คอมมิวนิสต์”
ในพรรคสังคมนิยมนิคารากัว(PSN)
ทั้งๆที่มีการปราบปรามแต่ก็ไม่ใช่ว่าอะไรๆจะถูกทำลายไปเสียทั้งหมด สันนิบาติกรรมกรแห่งมา นากัว(the Managuan
Workers'Confederation CTM)ได้ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเร่งด่วน กรรมกร 3000 คนหลบลงใต้ดิน ตระกูลโซโมซ่าได้สะสมความร่ำรวยในมานากัวอย่างมหาศาล จากการประเมินเมื่อปี 1979 ทรัพย์สินของตระกูลมีมากกว่า 150 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ พวกเขาเป็นเจ้าของโรงงาน 150 แห่ง(25 %ของโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมด) และครอบครองที่ดินคิดเป็น
10%ของที่ดินทั้งหมดในขอบเขตทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังเป็นเจ้าของกิจการสายการบินแห่งชาติ
สถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เอเย่นต์จำหน่ายรถยนต์ Mercedes
Benz อีกด้วย ครั้งหนึ่งประธานาธิบดี
แฟรงกลิน รูสเวลท์กล่าวถึงโซโมซ่าว่า “ แม้โซโมซ่าจะเป็นแค่ไอ้ลูกหมา แต่ก็เป็นไอ้ลูกหมาของเรา” ("Somoza
may be a son of a bitch, but he's our son of a bitch.")
กองทัพสหรัฐตั้งขึ้นมาเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของพวกจักรพรรดิ์นิยมและการลงทุนในอเมริกากลางที่มีมูลค่าถึง80เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนทั้งหมดในภูมิภาคนี้ ระหว่างปี 1950 และ
1979 ทหารและนายทหารของนิคารากัว
4900 นายถูกส่งไปฝึกอบรมที่สหรัฐ นิคารากัวกลายเป็นฐานทางยุทธศาสตร์ของจักรพรรดินิยมในอเมริกากลาง ปฏิบัติการยกพลขึ้นบกที่อ่าวหมู(ตะวันออกเฉียงใต้ของคิวบา)
เพื่อต่อต้านการปฏิวัติคิวบา กำลังพลเหล่านี้ก็ไปจากฐานทัพในนิคารากัว
การพัฒนาอุตสาหกรรมของปี
1950 และ 1960
การพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมทำให้เกิดชนชั้นคนงานในเมือง ในปี1970จำนวนอุตสาหกรรมเบามีจำนวน
24% ของระบบเศรษฐกิจ
ในขณะที่เกษตรกรรมลดลง 23
% จำนวนเกษตรกรลดลงจาก 60%ในปี 1960 เหลือ 44% ในปี 1977 ปี 1975 กรรมกรมีจำนวน
18% ของแรงงานทุกชนิดยอดเฉลี่ยสูงกว่ารัสเซียในปี1917 เจ้าที่ดินใหญ่ไม่กี่รายเป็นเจ้าของที่ดินถึงหนึ่งเท่า การรวมศูนย์ที่ดินและความร่ำรวยเข้าไปอยู่ในครอบครองของคนส่วนน้อยเพิ่มมากขึ้น
เจ้าที่ดินใหญ่ไม่กี่รายถือครองที่ดินเพาะปลูกชั้นดีถึง 45% ขณะที่เจ้าที่ดินรายย่อยจำนวน 20%ครอบ ครองที่ดินเพียง
40% ชาวนาจนจำนวน 78%
ที่เป็นประชากรในชนบทรวมถึงกรรมกร 310,000คน มีที่ดินแค่
14% ของที่ดินทั้งประเทศ
มวลชนถูกขูดรีดได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากจากเศรษฐกิจขาขึ้นในระหว่างปี 1950 และ 1960 อีกทั้งในปี
1969 และ 1974
เกิดภาวะซบเซาขึ้นอีก แผ่นดินไหวปี 1972 (เสียชีวิต 5,000 คน , บาดเจ็บกว่า 20,000 คน 250,000 คนไม่มีที่อยู่อาศัย
)ได้ทำลายเมืองหลวงมานากัวอย่างยับเยินเกิดผลกระทบไปทั้งประเทศ โรงงานอุตสาหกรรมประมาณ37%
ต้องปิดตัวลงชั่วคราว เป็นการทำลายความหวังของกรรมกรซึ่งปรารถนาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ปี 1973ชนชั้นกรรมกรได้เข้าร่วมการหยุดงานเป็นระลอกๆ เป็นพลังผลักดันให้พรรคสังคมนิยมนิคารากัวต้องแตกหักกับกลุ่มเผด็จการมาร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูล
คาโมโร่ ที่เป็นตระกูลนายทุนธนาคาร,ธุรกิจส่งออกและเจ้าที่ดินใหญ่ ซึ่งก็เป็นศัตรูของชนชั้นกรรมกรแม้ว่าจะเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับโซโมซ่าก็ตาม
ตระกูล คาโมโร่ และพรรคสังคมนิยมนิคารากัวได้ร่วมกันก่อตั้งขบวนการ
”ประชาธิปไตยสามัคคีเพื่อการปลดปล่อย” นี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความจริงในส่วนของนายทุนส่งออกของยุคอาณานิคมที่ต้องการบ่อนทำลายฐานเศรษฐกิจที่อยู่ในมือของพวกโซโมซ่า เพื่อบีบให้แบ่งอำนาจทางการเมืองให้แก่ชนชั้นนายทุนธนาคาร เจ้าที่ดิน และบรรดานายทุนอุตสาหกรรมแห่งชาติบ้างเท่านั้น
พื้นฐานโดยธรรมชาติของขบวนการ FSLN
จาก 1973 กระแสคลื่นของการต่อสู้ด้วยอาวุธในหมู่กรรมกรได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตระหนก พวก
เผด็จการเองก็ไม่สามารถยับยั้งได้ กรรมกรก่อสร้างเป็นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้มากที่สุด ได้ทำการหยุดงานในปี 1977 ในขณะเดียวกันแซนดินิสต้า
กำลังเริ่มทำสงครามกองโจรเชิงรุกในเขตชนบทและเมืองเล็กๆ แม้ในระยะเริ่มต้นของการต่อสู้ด้วยอาวุธแนวร่วมซานดินิสต้ายังไม่ได้ก่อร่างสร้างฐานในมวลหมู่กรรมกรเลย
ขบวนการซานดินิสต้า...เริ่มจากนักศึกษาบางส่วนที่แยกตัวออกจากพรรคสังคมนิยมนิคารากัวด้วยความขยะแขยง ที่พรรคไม่ยอมพิจารณาเรื่องที่สมาชิก(ระดับนำ)บางคนของพรรคไปทำข้อตกลงกับกลุ่มโซโมซ่า การเกิดขึ้นของ FSLN
เป็นผลโดยตรงจากภาวะล้มละลายของระบอบสตาลินในอเมริกากลาง สิ่งที่คล้ายคลึงกันนี้ได้เกิดขึ้นในคิวบาเมื่อพรรคสังคมนิยมได้แสดงตนคัดค้านการยกระดับการปฏิวัติในปี1930 หลังจากนั้นก็สนับสนุนรัฐบาล เผด็จการบาติสต้า มาตลอดจนถึงปี 1943
ต้นปี 1960
ชายหนุ่มชื่อ คาร์ลอส ฟอนเซกา อมาดอร์ สมาชิกพรรคสังคมนิยมปีกซ้ายได้รวบรวมนักศึกษาบางส่วนเข้าเป็นกลุ่มก้อน ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นแกนนำแรกในการทำสงครามกองโจรของซานดินิสต้า การปฏิวัติของคิวบาที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องมีอิทธิพลต่อการก่อตั้งแนวร่วมซานดินิสต้าเป็นอย่างมาก แต่นโยบายทางการเมืองนั้นมีลักษณะค่อนไปในแนวทางปฏิรูปซึ่ง พอจะชี้ให้เห็นได้จากเนื้อหานโยบายดังต่อไปนี้
1
ต่อต้านระบอบเผด็จการโซโมซ่าอย่างถึงที่สุดเพื่อสร้างสังคมทุนนิยมและสถาปนาระบอบประชา
ธิปไตยที่ทันสมัยขึ้นในนิคารากัว
2
ร่วมมือกับมวลชนผู้ถูกกดขี่ทั้งมวล
และนายทุนชาติทั้งก่อนและหลังการโค่นระบอบโซโมซ่า
ปีกซ้ายส่วนใหญ่ในขบวนการซานดินิสต้ายังเชื่อมั่นในระบอบสตาลินและทฤษฎีปฎิรูป
แบบการปฏิวัติสองขั้นตอน หนึ่งคือขั้นตอนปฏิวัติประชาธิปไตยเพื่อนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาทุนนิยมที่ยอมรับได้ระดับหนึ่ง หลังจากนั้นในอนาคตที่ไม่แน่นอนค่อยต่อสู้เพื่อสถาปนาสังคมนิยมต่อไป ทฤษฎีนี้
เป็นทฤษฎีที่ต่อต้านลัทธิมาร์กซโดยสมบูรณ์แบบและค่อนไปในเชิงอุดมคติ(ยูโธเปีย) เพราะมันไม่มีความสอดคล้องในการวิเคราะห์อย่างเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์
ด้านหนึ่งมันสะท้อนถึงความปรารถนาของลัทธิสตาลินที่จะควบคุมการปฏิวัติเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบอบขุนนาง อีกด้านหนึ่งมันได้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมประชาธิปไตยและชนชั้นนายทุนน้อยจำแนกผลประโยชน์ของนายทุนอาณานิคมอย่างไร พวกเขาเป็นได้แค่หางเครื่องของจักรพรรดิ์นิยมเท่านั้น
ลัทธิปฏิรูปในแนวเดียวกันนี้ มาร์กซ
เองเกลส์ เลนิน ทร้อตสกี้
โรซา ลุกเซ็มบวร์กและเช เกอวารา
ได้ต่อสู้มาตลอดชีวิตของพวกเขา
คำถามก็คือ :
ทำไมเราจึงเห็นว่าทฤษฎีปฏิรูปใช้ไม่ได้ในนิคารา กัวในอดีต
และทำไมเราจึงต้องมาพิจารณาต่อไปถึงข้อผิดพลาดในวันนี้ของเวเนซูเอลลาและในที่อื่นๆ? คำตอบนั้นอยู่ในประสบการณ์ของประวัติศาสตร์ในรอบร้อยปีที่ผ่านมา และนั่นมันแสดง
ออกถึงนัยทางทฤษฎีการปฏิวัติถาวร ซึ่ง
ลีออน ทร้อตสกี้ ได้พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของวัตถุนิยมวิภาษด้วยการวิเคราะห์สังคมทุนนิยม
ในเวเนซูเอลลา
มีสุภาษิตบทหนึ่งที่มีความสอดคล้องที่สุดกับทฤษฎีและความเป็นจริงของการปฏิวัติตลอดกาลคือ ” ห้องหับของคนรวยนั้นเต็มอยู่เสมอ” ภายใต้ระบอบทุนนิยมในปัจจุบันไม่มีประเทศใดในโลกสามารถพัฒนาตนเองไปในทิศทางเดียวและดีได้เท่ากับประเทศทุนนิยมทั้งหลายได้ทำมาในอดีต ทั้งนี้ก็เพราะว่าชนชั้นนายทุนในประเทศที่ได้เปรียบเหล่านี้เป็นเจ้าของกิจการและบริษัทข้ามชาติมากมาย แม้กระทั่งองค์กรการเงินระหว่างประเทศและร่างทรงของจักรพรรดิ์นิยมเช่น
IMF
ธนาคารโลก และอื่นๆเป็นต้น นี่จึงเป็นสาเหตุทั้งหมดที่ครอบงำนายทุนชาติของประเทศที่เคยเป็น
เมืองขึ้นที่อ่อนแอและขลาดกลัวในลาตินอเมริกา เอเชีย และอัฟริกา บริษัทข้ามชาติเหล่านี้ร่ำรวยขึ้นโดยผ่านการสูบวัตถุดิบและการจ้างแรงงานราคาถูก ราคาผลกาแฟหนึ่งปอนด์หรือผลิตผลทางเกษตรอื่นๆในหลายประเทศยังคงยืนราคาอยู่ที่เดิมเหมือนเช่นในยุคสมัยที่เคยเป็นอาณานิคมเมื่อห้าสิบปีที่แล้วบรรดาพวกที่เรียกว่านายทุนชาติในนิคารากัวที่ฝ่ายนำของขบวนการแซนดินิสต้าให้ความเชื่อมั่นอย่างมากได้บรรลุถึงขั้นตอนประวัติศาสตร์ที่ล้าหลังของพวกเขาแล้ว สถานการณ์ทั้ง หมดถูกกำหนดโดยประเทศทุนนิยมที่เหนือกว่า พวกจักรวรรดินิยมได้สร้างกฏเกณฑ์ต่างๆสำหรับ ประชาชนในทวีปเอเซีย
อาฟริกาและลาตินอเมริกา
พวกเขาเป็นแค่ตัวแทนของจักรพรรดิ์นิยม
นายทุนชาติแห่งยุคอาณานิคมต่างร่ำรวยขึ้น
ซึ่งต้องขอบคุณสำหรับสถานะคนกลางระหว่างระบอบจักรพรรดิ์นิยมของประเทศทุนนิยมที่ก้าวหน้ากับประชาชนผู้ยากไร้ มวลชนคนงานและประชาชนคนพื้นถิ่นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ตั้งแต่ยุคสงครามประกาศอิสรภาพบรรดานายทุนชาติในลาตินและอเม
ริกากลางไม่ได้พยายามดำเนินการปฏิรูปที่ดินและโค่นเจ้าที่ดินใหญ่หรือพัฒนาอธิปไตยทางเศรษฐ กิจ-สังคมที่เป็นอิสระจากการควบคุมของจักรพรรดิ์นิยมตามแบบอย่าง
ซีโมน โบลิวาร์ นั่นเป็นบทสุดท้ายที่ขมขื่นของสังคม การยกเลิกระบอบทุนนิยมในรัสเซียในปี 1917
และในจีนเมื่อปี
1949 และ 1960ในคิวบา เป็นการแสดงให้เห็นว่า
การพัฒนาสังคม-เศรษฐกิจในประเทศด้อยพัฒนาสามารถบรรลุผลได้โดยไม่ต้องมีพื้นฐานของเศรษฐกิจทุนนิยม อาจกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจสังคมนิยมและการเข้าครอบครองปัจจัยการผลิตและทุนได้ทำลายระบอบกรรมสิทธิ์ไปแล้วโดยพื้นฐานอย่างไม่มีข้อยกเว้น จะอย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า..การวางแผนเศรษฐกิจแบบกรรมสิทธิ์สาธารณะและรวมศูนย์จะสามารถพัฒนาไปได้ในระยะยาว
ถ้าทั้งหมดถูกควบคุมและผ่านการมีส่วนร่วมที่เป็นประชาธิปไตยของกรรมกรในเมืองและชนบท ถ้ามีการขยายการปฏิวัติไปสู่ความเป็นสากล
ระบอบสังคมนิยมเป็นระบอบที่ก้าวหน้าที่สุดที่จะก้าวเข้ามาทดแทนระบอบทุนนิยม
แต่ไม่สามารถจะกระทำได้ในประเทศเดียวหรือประเทศที่ถูกปิดล้อมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ใหญ่แค่ไหนก็ตาม(จีน
รัสเซีย) สังคมนิยมต้องการความสามัคคี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และองค์ประกอบต่างๆไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมและแหล่งเทคโนโลยีของประเทศเหล่านั้นที่การปฏิวัติได้ประทุขึ้น ด้วยประชา ธิปไตยของคนงานอันไพศาลและเครื่องมือของรัฐที่ชนชั้นกรรมาชีพเป็นเจ้าของอำนาจ
ระบอบสังคมนิยมไม่อาจบรรลุในรัสเซีย
เพราะการปฏิวัติในทางสากลได้รับความพ่ายแพ้ ไม่ว่าจะในฮังการีและเยอรมันนี (1918-19 และ 1923), อิตาลี (1921), จีน (1925-27) และเสปน
(1931-1937).
รัฐโซเวียตที่เกิดใหม่จึงถูกปิดกั้นด้วยการโอบล้อมทางทหารมานานกว่าสามสิบปี นี่แสดงให้เห็นว่าทำไมมันจึงเสื่อมถอยกลับไปสู่ระบอบเผด็จการขุนนาง เมื่อการปฏิวัติในจีนและคิวบาประ สบความสำเร็จตามลำดับ ผู้นำการปฏิวัติเหล่านั้นไม่เคยพบเห็นรูปแบบใดๆมากไปกว่าการสร้างลัทธิขุนนางขึ้นและเปลี่ยนรัฐโซเวียตของกรรมกรชาวนาให้เป็นรัฐตำรวจโดยกลุ่มอำนาจสตาลิน สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากการปฏิวัติใหญ่ปี
1917
คือแผนเศรษฐกิจ
ระบอบขุนนางโซเวียตได้ถูกนำมาใชัโดยพรรคคอมมิวนิสต์นิคารากัว
เพราะในสายตาของผู้คน
พวกเขาคือตัวแทนของขบวนแถวการปฏิวัติเดือนตุลาคม1917 แม้ว่าแนวร่วมปลดแอกซานดินิสต้า(FSLN)จะแยกตัวออกมาจากพรรคสังคมนิยมนิคารากัว(PSN)แล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังนำนโยบายปฏิรูปติดตัวมาด้วย ระหว่างสิบห้าปีแรกการต่อสู้ดิ้นรนของซานดินิสต้าจึงจำกัดขอบเขตอยู่เพียงในระดับท้องถิ่นโดยไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับชนชั้นคนงาน มีเพียงกลางปี 1970 เท่านั้นที่พวกเขาได้ปลุกระดมและให้ความเห็นอกเห็นใจต่อชนชั้นกรรมาชีพที่เข้าร่วมต่อต้านเผด็จการ
ชนชั้นกรรมาชีพมาถึงจุดจำกัดของตน และการปฏิวัติเริ่มต้น
การเข้าร่วมของชนชั้นกรรมาชีพในเหตุการณ์
”ไม่เอาระบอบโซโมซ่า” กับชนชั้นนายทุนชาติ
พวกนายทุนปีกนี้คือพวกที่สนับสนุนพรรคสังคมนิยมและแนวร่วมประชาธิปไตยเพื่อการปลดปล่อย(UDEL)
ของพวกนิยมสตาลิน ซึ่งนำโดย โจอาควิน ชาโมโร
พวกเขาเป็นตัวแทนที่พยายามเสนอความคิดอุดมการณ์ ”นายทุนชาติ”
ให้เป็นทางเลือกต่อขบวนการซานดินิสต้าเพื่อต่อต้านโซโมซ่า โดยไม่ยอมสูญเสียอภิสิทธิ์ใดๆที่ได้รับการประกันจากเผด็จการ
ด้วยการสนับสนุนของสหรัฐ โจอาควิน ชาโมโร
ถูกลอบสังหารโดยอันธพาลรับจ้างของโซโมซ่าในวันที่ 10 มกราคม 1978 สหภาพแรงงานละ UDELขานรับการหยุดงานทั่วไป วันที่
24 มกราคม คนงานและชนชั้นกลางระดับล่างมากกว่า 120’000 คนเข้าร่วมพิธีงานศพของ โจอาควิน ชาโมโร
ในมานากัว
เหตุการณ์นี้ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่พวกชนชั้นกลางเสรีนิยม
ผู้ซึ่งมีหวาดกลัวต่อชนชั้นกรรมาชีพยิ่งกว่าระบอบเผด็จการ พวกเขาพูดถึงสงครามกลางเมือง
เมื่อการประทะกันด้วยกำลังอาวุธกำลังจะเกิดขึ้นในเมือง ลียง , เอสเตลี , ชิรันเดกา อี
มาซาย่า ระหว่างนักปฏิวัติและกองกำลังพิ้ทักษ์ชาติ (National Guard) พวก National
Guard ได้ทิ้งระเบิดเมืองดังกล่าว
เข่นฆ่าประ ชาชนไปกว่า 5’000
คนภายในสัปดาห์เดียว ความจริงที่ได้รับการเปิดเผย
จากการสำรวจประเมินพบว่าในระยะสองปีของสงครามกลางเมือง พวกเผด็จการได้ฆ่าฟันประชาชนไปเป็นจำนวนถึง
50’000 คน
เป็นครั้งแรกที่บรรดากรรมกรในเมืองได้รวมตัวกันเคลื่อนไหวอย่างเป็นขบวนการและเป็นอิสระด้วยคำขวัญของตนเอง
เป็นการเคลื่อนไหวที่ปราศจากการนำของนักปฏิวัติ ทำให้ขบวนการปลดปล่อยซานดินิสต้าเริ่มจับตามองให้ความสนใจและยอมรับในความเป็นจริงขบวนการซานดินิสต้าซึ่งมีนักรบกองโจรที่ติดอาวุธเพียงห้าร้อยคนเท่านั้น
ซานดินิสต้าที่นำโดย ฮุมแบร์โต้ และแดเนียล
ออร์เตก้า ไจเม วีลล๊อค และโธมัส บอร์เก้ ได้เรียก ร้องให้เคลื่อนกำลังในต้นเดือนมิถุนายน
และเริ่มต้นรุกครั้งสุดท้ายจากฐานที่มั่นในคอสตาริก้า มวลชนในมานากัวและเมืองสำคัญต่างๆได้เคลื่อนไหวมาตั้งแต่พฤษภาคม
เป็นการเริ่มต้นการโจมตีขั้นแตกหักของการปฏิวัติ
กองกำลังติดอาวุธของชนชั้นคนงานได้สู้รบเป็นเวลา 11 สัปดาห์ ดังนั้น
การเคลื่อนไหวทางการทหารได้บีบให้พวกผู้นำผู้นิยมสตาลินในสหภาพแรงงานต่างๆต้องยอมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
ในความเป็นจริงที่หน่วยนักรบกองโจรสามารถเข้าปลดปล่อยมานากัวจนสำเร็จก็เนื่องมาจากมวลชนได้ประทะและสลายพวก
National Guard ลงไปเรียบร้อยแล้ว
โซโมซ่าได้หลบหนีไปก่อนหน้าสองวันก่อนที่ซานดินิสต้าจะเข้ายึดเมืองภายใต้การช่วยเหลือคุ้มครองของจิมมี่
คาร์เตอร์
ยุคเผด็จการสิ้นสุดลงแล้วกองกำลังปฏิกิริยา National
Guard
ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากสหรัฐจน ถึงนาทีสุดท้าย แตกหนีกระจัดกระจายไปยังเขตชนบทป่าเขา แล้วจัดตั้งกันขึ้นมาใหม่ในนามของขบวนการ "Contra” (คำว่า "Contra" มาจากภาษาเสปนหมายถึงการต่อต้าน แต่ในกรณีนี้ย่อมาจากคำว่า la contrarrevolucion, คือการต่อต้านการปฏิวัติ ) การเคลื่อนไหวต่อสู้ร่วมกันของชนชั้นกรรมกร
ชาวนา
และนายทุนน้อยเป็นสิ่งชี้ขาดในการนำมาซึ่งชัยการล่มสลายของรัฐเผด็จการโซโมซ่า
จบตอนที่ 1
No comments:
Post a Comment