Saturday, February 21, 2015

นิคารากัว...บทเรียนของประเทศที่การปฏิวัติยังไม่จบ

 นิคารากัว...บทเรียนของประเทศที่การปฏิวัติยังไม่จบ
โดย  คลอดิโอ  วิลยาส    แปลโดย   แก้ว  กรรมกร
ปลายปี ๑๙๗๐ ประชาชนนิคารากัวได้ลุกขึ้นมาโค่นล้ม อนาสซิโอ โซโมซ่า  หนึ่งในจอมเผด็จการทรราชที่มีคนเกลียดชังมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง    มันเป็นการปฏิวัติที่สร้างความหวังให้กับบรรดาชนชั้นกรรมกรและคนหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าไปทั่วโลก    ปัจจุบันเวเนซูเอลล่าก็ได้สร้างความหวังที่คล้าย คลึงกัน   ในขณะที่การปฏิวัติของนิคารากัวถูกพิชิตไปแล้ว  เราจะสามารถเรียนรู้บทเรียนอะไรได้บ้างในวันนี้?
บทนำ
น้อยคนนักที่ยังพอจะจดจำถึงความเร้าใจของการปฎิวัติในทศวรรษ ๑๙๘๐ ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการปฏิวัติของกลุ่มแซนดินิสต้า    ปลายปี ๑๙๗๐ ประชาขนชองประเทศที่ยากจนที่สุดอันดับสองของทวีปอเมริกา       ได้ลุกขึ้นมาโค่นล้ม อนาสซิโอ โซโมซ่า  หนึ่งในจอมเผด็จการทรราชที่มีคนเกลียดชังมากมากที่สุดในโลก

ความสำเร็จของการเคลื่อนไหวครั้งนั้นได้กลายเป็นแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ให้แก่คนหนุ่มสาวและกรรมกรทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่การปฏิวัติของคิวบา       ที่ดินหนึ่งล้านห้าแสนเฮกตาร์ได้ถูกจัดสรรให้แก่คนจนสองแสนครอบครัวถือครองกรรมสิทธิ์โดยสหกรณ์การผลิต    อัตราการไม่รู้หนังสือที่สูงถึง ๖๐%ลดลงเหลือ๑๔% ภายในสองปีโดยการส่งทั้งครูหนุ่มสาวและนักเรียนอาสาสมัครออกรณณรงค์เพื่อขจัดความไม่รู้หนังสือและความล้าหลังของประชาชนชาวนิคารากัว      สาธารณสุขพื้นฐานได้รับการยกยกระดับให้ดีขึ้น

นอกเหนือจากนั้นชาวนิคารากัวยังแสดงให้เห็นว่า เมื่อชนชั้นกรรมกรและชาวนาจนได้ร่วมมือสามัคคีกันต่อสู้   แม้แต่จักรพรรดินิยมที่ทรงพลังอย่างอเมริกาก็ไม่อาจหยุดยั้งได้   แต่แล้วโศกนาฎกรรมก็เกิดขึ้นเมื่อความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของมวลชนชาวนิคารากัวไม่อาจเอาชนะการบ่อนทำลาย  การก่อกวน  วินาศ  กรรมทั้งภายในและภายนอกที่ดำเนินมาเป็นเวลายาวนานถึงสิบเอ็ดปี     และการชี้นำที่ไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจแตกหักให้เด็ดขาดลงไปกับระบอบทุนนิยมที่ต่อต้านการปฏิวัติ ซึ่งหนุนหลังโดยโดยสหรัฐฯ   เกือบสิบแปดปีตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไป    กลุ่มแซนดินิสต้าต้องพ่ายแพ้ต่อนาง  ไวโอเลตต้า คาโมโร   [อดีตประธานาธิบดีนิคารากัว (1990-1997) ภรรยาหม้ายของโจอาควิน ชาโมโร นายทุนใหญ่เจ้าของหนังสือพิมพ์เสรีนิยม La Prensa ที่ถูกเผด็จการโซโมซ่าลอบสังหาร ] คู่แข่งจากกลุ่มคณาธิปไตยเดิม    การกลับมาดำรงตำแหน่งของนางทำให้นิคารากัวต้องกลับมาเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกอีกครั้งหนึ่ง กรรมกรได้ค่าแรงต่ำ    มีคนตกงานเป็นจำนวนมาก  ประเทศเป็นหนี้ภายนอกมหาศาล   เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกระจายรายได้แตกต่างกันมากที่สุดในโลก   อัตราการเสียชีวิตของทารกเฉลี่ย  29.11 : 1000 คน  อัตราการไม่รู้หนังสือพุ่งทะ ยานขึ้นสูงถึง 32.5 %ของพลเมือง(CIA World Fact Book)  นี่คือสิ่งที่ประชาชนนิคารากัวต้องจ่ายต่อการขาดวิสัยทัศน์ของฝ่ายนำ FSLN  (ขบวนการแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติซานดินิสต้า  Frente Sandinista de Liberación Nacional)  ที่เผชิญหน้ากับจักรวรรดิ์นิยมอเมริกา

อย่างไรก็ตามแม้จะตกอยู่ในความพ่ายแพ้ที่ขมขื่น   แต่สิบแปดปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรหยุดอยู่กับที่    นิคารากัวได้เปลี่ยนแปลงไป  ซานดินิสต้ากลับมาครองอำนาจได้อีก     กระแสซ้ายได้หวลกลับมาคึกคักขึ้นอีกในลาตินอเมริกา   ในอาร์เจนตินา  เราได้เห็นการลุกฮือของมวลชนในการขับไล่ประธา นาธิบดีในช่วงปลายปี 2001    ในโบลิเวียประชาชนรากหญ้าร่วมกับสหภาพแรงงานเคลื่อนไหวต่อ ต้านการแปรรูปวิสาหกิจพลังงานและนำ โมลาเรส ก้าวขึ้นสู่อำนาจ  เราได้เห็นมวลชนชาวอุรุกวัยให้ฉันทานุมัติแก่รัฐบาลฝ่ายซ้ายขึ้นครองอำนาจเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ   ในอีเคว ดอร์เราได้เห็นการเคลื่อนไหวของมวลชนอันไพศาลที่ส่งผลให้ โรซาเลส ก้าวขึ้นสู่อำนาจ     และแน่นอนประชาชนชาวเวเนซูเอลาได้เคลื่อนไหวมาก่อนหน้านี้แล้ว    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบสิบปีมานี้ กรรมกร ชาวนา และคนจนในชนบท  ได้ร่วมมือกันเซาะทำลายระบอบทุนนิยมไปทั่วทั้งทวีป
คำประกาศของประธานาธิบดี  ชาเวซ (เวเนซูเอลา)  ที่เน้นย้ำสนับสนุนแนวทางสังคมนิยมได้สะท้อนความจริงว่า      ความพยายามใดๆในการปฏิรูปภายใต้ระบอบทุนนิยมนั้นจะนำไปสู่ความขัดแย้งโดย ตรงในตัวของมันเอง     การปฏิวัติในเวเนซูเอลล่าเริ่มที่การเคลื่อนไหวแบบปฏิรูปและจบลงด้วยการต่อต้านทุนนิยมและจักรพรรดินิยม       ระบอบทุนนิยมไม่เคยให้ทางออกและให้อำนาจแก่ประชาชน    ไม่ว่ากรรมกร  ชาวนา  และคนจนในชนบท     การปฏิรูปจึงเป็นเพียงกลอุบายที่จะทำลายการปฏิวัติเพื่อหมุนเวลากลับเท่านั้น
ประวัติศาสตร์ได้สอนเราว่า    ไม่มีชนชั้นปกครองคนใดที่จะยินยอมสละอำนาจของตนโดยไม่ดิ้นรนต่อสู้     เช่นในกรณีของนิคารากัวที่ผู้นำการปฏิวัติดำเนินการค่อนไปในแนวทางปฏิรูป    ซึ่งเป็นการรักษาขอบข่ายของทุนนิยมเอาไว้     พวกเขาพยายามประนีประนอมการปฏิวัติเข้ากับระบอบทุนนิยม    นี่เป็นสาเหตุที่ขบวนการแซนดินิสต้าต้องพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด    พวกเขาจึงต้องหยุดการปฏิวัติไว้แค่ครึ่งทาง  ซึ่งใครๆก็รู้ดีว่าไม่อาจปฏิวัติเพียงครึ่งเดียวได้    คุณจะก้าวเดินไปสู่การทำลายอำนาจการปกครองของพวกคณาธิปไตยแล้วสถาปนาอำนาจของชนชั้นกรรมกรขึ้นมา   หรือจะมอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่ชนชั้นปกครองเพื่อให้พวกเขาบ่อนทำลายเศรษฐกิจ   ก่อความโกลาหล   และสร้างโอกาสในการต่อต้านการปฏิวัติขึ้นมาอีก
มีข้อแตกต่างกันมากมายระหว่างการปฏิวัติของแซนดินิสต้าและชาวเวเนซูเอลล่า  ในนิคารากัว   สถานะและกลไกเก่าของระบอบทุนนิยมได้พังทลายไปแล้ว   อำนาจและโอกาสตกอยู่ในมือของขบวนการซานดินิสต้า   ในเวเนซูเอลล่าสถานะของทุนนิยมยังดำรงอยู่    แต่ในทั้งสองกรณีเราได้เห็นความพยายามในการดำเนินการปฏิรูปที่ไม่มีการจัดการกับปัจจัยการผลิตที่เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล
การศึกษาบทเรียนของการปฏิวัตินิคารากัวจะช่วยให้เราเข้าใจกระบวนการที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในเวเนซูเอลล่าในปัจจุบันนี้
ตอนที่หนึ่ง
เดือนกรกฎา 1979 การปฏิวัตินิคารากัวได้โค่นล้มการกดขี่ที่ป่าเถื่อนของเผด็จการ โซโมซ่า ที่ดำเนินมาเป็นเวลาสี่สิบปี     นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ    จักรวรรดิ์นิยมอเมริกาไม่อยู่ในฐานะที่จะเข้าแทรกแซงด้วยกำลังทหารได้   หลังจากรัฐบาลสหรัฐได้สนับสนุนเงินทุน  อาวุธให้แก่  กลุ่มเผด็จการมาเป็นเวลากว่าสิบปี   คาร์เตอร์  และเรแกน ได้แต่อดกลั้นอยู่    ไม่อาจเคลื่อนไหวต่อ ต้านการปฏิวัตินิคารากัวโดยตรง     แต่ในขณะเดียวกันก็ได้พยายามก่อกวนทำลายและให้การสนับ สนุนแก่กองกำลังติดอาวุธปฏิกิริยากึ่งพลเรือน- ทหาร  (ขบวนการติดอาวุธฝ่ายขวา  CONTRAS ที่สหรัฐอยู่เบื้องหลัง) ที่จัดตั้งขึ้นไม่ต่ำกว่า 100  ล้านดอลล่าร์

การปฏิวัติเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันยุ่งยาก   เพราะพึ่งจะถูกขับออกจากเวียดนาม     และในบ้านยังต้องเผชิญกับคนหนุ่มสาว กรรมกร และทหารนับล้านๆคน    พวกเขาไม่อาจยอมรับคิวบาแต่ก็ไม่สามารถพิชิตลงได้ด้วยแสนยานุภาพ     พวกเผด็จการฆาตรกรในเอลซัลวา  ดอร์  ฮอนดูรัส กัวเตมาลา และอาร์เจนตินา  มีแนวโน้มที่จะล่มสลายภายใต้การกระหน่ำตีของการต่อสู้ทางชนชั้น       ความกดดันของชนชั้นกรรมกรและคนหนุ่มสาวในคอสตาริกา ปานามา เม๊กซิโก เวเนซูเลลา ตลอดจนโคลอมเบีย ได้มัดมือจักรวรรดิ์นิยมทั้งในลาตินอเมริกาและคาริบเบียน 
รัฐบาลนายทุน ของ  เฮอร์เรร่า แคมปินส์ ( ประธานาธิบดีเวเนซูเอลา 1979-1984)และอดีตประธา ธิบดี คาร์ลอส อันเดรส เปเรซ  ( 1974-1979 และ 1989-1994), คาราโซ แห่งคอสตาริกา  , ทรูจิลโย แห่งปานามาและพรรค PRI (Revolutionary Institutional Party)  ต่างก็สวดภาวนาขออย่าให้นิคารากัวเป็นอย่างคิวบาเลย    นักศึกษาในคอสตาริกาได้เดินขบวนต่อต้านขับไล่การขยายฐานทัพของอเมริกาลุกลามไปถึงในอเมริกาใต้     ชนชั้นคนงานใน ซานเปาโล  บราซิล   ได้จัดตั้งสหพันธ์แรงงานของตนขึ้น    พัฒนาไปสู่วิกฤติของพวกเผด็จการทหาร    ในเปรูก็เกิดเหตุการณ์ในทำนองเดียวกับบราซิล      ในขณะนั้นประชาชนคิวบากำลังรณณรงค์ต่อต้านการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐใช้อิทธิพลกดดันมากว่าหลายสิบปี     จนได้กลายมาเป็นสัญสัญลักษณ์ในการต่อต้านทุนนิยมไปทั่วโลก     ไม่เพียงแต่เท่านี้จักรพรรดินิยมต้องตื่นตะลึงต่อการคลี่คลายของการปฏิวัติอิหร่าน    รัฐบาลปีกซ้ายได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจในอัฟกานิสถาน       และสัญญานการพังทลายของมาร์คอสในฟิลิปปินส์    การควบคุมเอเชียของพวกเขา (จักรพรรดิ์นิยม) อยู่ในภาวะที่เสี่ยงยิ่ง
ยุโรปก็ได้เห็นการพังทลายของระบอบฟรังโกในเสปน  ตามมาด้วยการล่มสลายของเผด็จการในกรีซและโปรตุเกส      และการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองมาตลอดปี 1970 ขณะที่ภาวะเช่นนี้ได้มีการพัฒนา ไปทั่วโลก      จักรพรรดินิยมอเมริกาเองก็กำลังจับตามองสถานการณ์ในนิคารากัวสนามหลังบ้านซึ่งเป็นประดุจที่เป็นหัวใจของตน  และได้ตระหนักถึงภาวะอันตรายจากจุดอ่อนนี้      ซึ่งจะเห็นได้จากข้อสรุปของรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศแผนกอเมริกากลาง ไวรอน พี เวกกี้ ที่ว่า
ปัญหาที่แท้จริงของสหรัฐในด้านนโยบายต่างประเทศ  ไม่ใช่พยายามที่จะคงไว้ซึ่งความแข็งกร้าวในการต่อต้านการปฏิวัติ      แต่ต้องพยายามดึงความมั่นคงออกจากการปฏิวัติ (Report to the US Congress, September 11, 1979).    อีกด้านหนึ่งเราไม่อาจหลีก เลี่ยงการปฏิวัติได้  แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงผลลัพธ์เช่นที่จะเกิดเช่นในคิวบา
การโค่นล้ม อนาสตาซิโอ โซโมซ่า ในนิคารากัว     เป็นการประกาศถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นมูลฐานของชีวิตกรรมกรและชาวนาในประเทศโดยผ่านการปฏิวัติ    ฝันร้ายและความเจ็บปวดขมขื่นของพวกเขากำลังจะสิ้นสุดลง      ภายใต้เผด็จการโซโมซ่าการรักษาพยาบาลอย่างขอไปที่คร่าชีวิตเด็กๆในชนบทไปกว่า 30 %    ภายหลังการปฎิวัติอัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือเพียง 8 % ประชาชนกว่าล้านคนได้ รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค   ปริมาณการผลิตมวลรวมของข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 33 %  ข้าว 30%  ถั่ว40 %  ในช่วงสุดท้ายของเผด็จการแพทย์ 1000  ตรวจรักษาคนไข้ 200’000 คนในทุกๆปี     แต่ภายใต้รัฐบาลซานดินิสต้าทุกปีจะผลิตแพทย์ได้ 500 คน    และการสาธารณสุขพื้นฐานรับประกันได้ว่าแพทย์จะดูแลคนไข้มากกว่า 6’000’000 คนขึ้นไป      ที่อยู่อาศัยได้มีการวางแผนไว้มากกว่า 300’000 หน่วยพร้อมที่ประชาชนจะเข้าอยู่อาศัย
ก่อนหน้าการปฏิวัติ 75 %ของประชาชนไม่เคยแม้แต่จะเปิดหนังสือ   อัตราผู้ไม่รู้หนังสือสูงถึง 60 % ในปี 1987 ลดลงเหลือ 14 %  ต้องขอบคุณโรงเรียน 1200 แห่งที่สร้างขึ้นใหม่     ในเดือนมีนาคม 1980 อาสาสมัครหนุ่มสาวและบรรดาครูได้ถูกส่งออกไปตามป่าเขาและเขตชนบทเพื่อรณณรงค์ต่อ ต้านการไม่รู้หนังสือ   หลังจากการรณณรงค์ผ่านไป 150 วัน  ชาวนิคารากัว 406’000 คนสามารถอ่านออกเขียนได้  ชาวนา กรรมกรและกลุ่มสตรี  ได้ก่อตั้งองค์กรของตนขึ้นมาโดยมุ่งเป้าไปที่การขจัดความไม่รู้หนังสือ     ในแถบป่าเขาภาคเหนือของประเทศที่ทอดยาวไปตามฝั่งแปซิฟิค   ครูและนักศึกษาอาสาสมัคร 56 คนถูกฆ่าตาย      ต่อมาอีก 7 คนก็ถูกลอบ สังหารโดยกองกำลังฝ่ายขวาต่อต้านการปฏิวัติ
การปฏิรูปดำเนินต่อไปด้วยคุณูปการของการปฏิวัติ  ได้เกื้อหนุนและดึงดูดความสนใจจากคนหนุ่มสาวและกรรมกรทั่วโลก     ทั้งๆที่ทำมาถึงขนาดนี้ในปัจจุบันนิคารากัวก็ยังไม่หลุดพ้นไปจากความยากจนเหมือนๆกับทุกประเทศในอเมริกากลาง     เป็นไปได้อย่างไร..ที่ประชาชนนิตารากัวผู้ได้โยนความขมขื่นทิ้งไปแล้วหลังจากได้ดำเนินการปฏิวัติมา?    เป็นไปได้อย่างไรที่อำนาจรัฐบาลปฏิกิริยาของพวกคณาธิปไตยยังคงควบคุมนิคารากัว?
เพื่อตอบปัญหานี้     เราสามารถสืบรับบทเรียนที่สำคัญเรื่องหนึ่งจากประวัติศาสตร์กล่าวคือ     เวเนซูเอลาที่เคยเป็นศูนย์กลางของการปฏิวัติก็ได้ประสบกับจุดเปลี่ยนที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อนแล้ว  กุญ   แจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จกำลังได้รับการสืบทอดจากอุดมการณ์โบลิวาร์ [ ซีโมน  โบลิวาร์ ( Simon Bolivar ,  1783 – 1830)  นักปฏิวัติชนชั้นผู้ดี ชาวเวเนซูเอลาผู้จุดประกายการต่อสู้เพื่อเอกราชของชาวอาณานิคมสเปนในอเมริกาใต้    เริ่มต้นที่ เวเนซูเอลลา โบลิเวีย โคลอมเบีย  ปานามา  ไปตลอดจนถึงเปรู  อุดมการณ์ของท่านได้แผ่ขยายไปทั่วลาตินอเมริกา] และการปฏิวัติสังคมนิยมในเวเนซูเอลลาจะต้องไม่เกิดความผิดพลาดซ้ำรอยการปฏิวัติเช่นในอดีตอีก      บทความนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นทั้งความสำเร็จและล้มเหลวของการปฏิวัตินิคารากัว     เพื่อสืบรับบทเรียนอันจะนำไปสู่ชัยชนะของการปฏิวัติในอเมริกาใต้ที่กำลังดำเนินอยู่และคืบหน้าไปในขณะนี้  โดยเริ่มต้นที่เวเนซูเอลา  

ซานดิโน  แม่ทัพแห่งเสรีชน
นิคารากัวก็เป็นเช่นเดียวกับประเทศต่างๆในลาตินอเมริกาและคาริเบียนที่ถูกรุกรานปล้นชิง    และแสวงหาผลประโยชน์จากพวกจักรพรรดินิยม     นายทุนอเมริกันโดยปกติแล้วมีความปรารถนาที่จะควบคุมนิคารากัว เพราะเป็นจุดสำคัญในยุทธศาสตร์ทางการค้า  เนื่องจากที่ตั้งของประเทศเชื่อมโยงสองฝั่งมหาสมุทรทั้งแอตแลนติคและแปซิฟิค    เอากุสโต เซซาร์ ซานดิโน  บุตรชายของตระกูลชาวนายากจน   เป็นคนแรกที่ได้ดิ้นรนต่อสู้กับจักรวรรดิ์นิยมในนิคารากัว      และนำการต่อสู้แบบสงครามกองโจรเป็นเวลาหกถึงเจ็ดปีระหว่าง คศ.1927-1932
การสู้รบแบบกองโจรของซานดิโน   ก่อตั้งขึ้นจากกลุ่มนักรบเพียง 29 คนที่เป็นคนงานเหมืองและใน      ที่สุดสามารถสร้างนักรบกองโจรขึ้นมาเป็นจำนวนถึง 3000 คน  จากมวลชนชาวนา  คนจนในชนบท และนักสากลนิยมหนุ่มสาวในภาคพื้นทวีป(อเมริกาใต้) การดิ้นรนต่อสู้ของพวกเขาได้รับการสนับสนุนสนับสนุนไปทั่วโลก    กระทั่งใบปลิว ”ซานดิโน จงเจริญ”  ยังไปปรากฏขึ้นในสถานที่ห่างไกลเช่นที่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ในปี 1927  นักรบกองโจร ซานดิโน ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังนาวิกโยธินและกำลังพลที่แข็งแกร่งของอเมริดา กลุ่มอำนาจรัฐเผด็จการไม่สามารถปราบปรามทำลายขบวนการต่อสู้ให้พ่ายแพ้โดยตรงได้    จึงมุ่งใช้วิธีสยดสยองต่อชาวนาด้วยการฆ่าหมู่   ใช้การทรมานอย่างเป็นระบบต่อพลเรือนโดยหน่วย National Guardที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีโดยอเมริกา   เหมือนเช่นกองทัพ อากาศที่เจ็ดของสหรัฐได้กระทำในเวียดนามในอีกสี่สิบปีต่อมา
น่าเสียดาย..ที่ในปี 1932 ซานดิโน ได้ตกลงยอมจำนนโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า  สหรัฐจะต้องถอนทหารออกไปและต้องให้สัญญาว่าพลพรรคนักรบกองโจรของเขาจะต้องได้รับอภัยโทษ   เอากุสโต เซซ่าร์  ซานดิโน   จึงต้องจ่ายค่าความไร้เดียงสาของตนที่แสนแพงด้วยชีวิตของตนและของกองกำลังทั้งหมดของเขา      วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1934 เขาถูกลอบสังหารหลังจากที่ได้รับเชิญร่วมรับรับประทานอาหารเย็นร่วมกับประธานาธิบดี เบาติสตา  สากาซา “นักเสรีนิยม” ( Bautista Sacasa the "liberal")  ที่เป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลวอชิงตัน    อนาสตาซิโอ โซโมซ่า การ์เซีย  เผด็จการก่อนหน้า อนาสตาซิโอ โซโมซ่า   กล่าวภายหลังว่า “ผมไปสถานทูตสหรัฐได้พบปะสนทนากับท่านทูต อาร์เธอร์  บลิส  ที่ยืนยันว่ารัฐบาลวอชิงตันเสนอให้ขจัด  เอากุสโต ซานดิโนเสีย  เพราะเห็นว่าเขาจะเป็นภัยต่อสันติภาพในประเทศ”

ซานดิโนได้นำลัทธิวีรบุรุษมาใชัในการต่อสู้ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ    ในความ คิดของเขาโดยพื้นฐานแล้วมีจุดบกพร่อง  ซึ่งได้เกิดซ้ำขึ้นอีกในกระบวนความคิดของผู้นำขบวนการปลด ปล่อยแห่งชาติแซนดินิสต้า(FSLN)    ซานดิโนเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปลดปล่อยประเทศจากการครอบงำของกำลังต่างชาติด้วยการร่วมมือกับบรรดานายทุนอาณานิคมในชาติ       ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีความจำเป็นต้องเดินแนวทางปฏิวัติต่อไปอีกจากคำพูดของเขาที่กล่าวว่า
“ไม่ขวาสุดโต่ง  หรือซ้ายสุดโต่ง  คำขวัญของเราคือแนวร่วมแห่งชาติ     ที่กล่าวเช่นนี้ก็มิ ใช่ว่าจะไร้เหตุผลทางตรรกะไปเสียทั้งหมด     การต่อสู้ของเรายอมรับความร่วมมือของทุกชนชั้นในสังคมโดยปราศจากคำนิยามหรือลัทธิใดๆ”
พรรคสังคมนิยมนิคารากัว(PSN พรรคแบบสตาลินในยุคนั้น)    ได้ยอมรับเอาวิธีการที่ถูกต้องของการเคลื่อนไหวของซานดิโนจริงหรือ?      ทุกสิ่งมันกลับตาลปัตรไปหมด   นโยบายแบบลัทธิพรรคพวกของผู้นิยมสตาลินในนิคารากัวได้ช่วยผลักซานดิโนให้เข้าไปอยู่ในมือของชนชั้นนายทุน     และการลอบสังหารเขาก็คือการตระเตรียมการทำรัฐประหารโดยกำลังของพวก National Guard     ติดตามมาด้วยระบอบเผด็จการของตระกูลโซโมซ่า  และจบลงเมื่อปี 1973 เป็นเวลายาวนานติดต่อกันถึง 42 ปี    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการตรวจสอบรับรองจากมอสโคว์และบรรดา”คอมมิวนิสต์” ในพรรคสังคมนิยมนิคารากัว(PSN)    
ทั้งๆที่มีการปราบปรามแต่ก็ไม่ใช่ว่าอะไรๆจะถูกทำลายไปเสียทั้งหมด       สันนิบาติกรรมกรแห่งมา  นากัว(the Managuan Workers'Confederation CTM)ได้ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเร่งด่วน   กรรมกร 3000 คนหลบลงใต้ดิน    ตระกูลโซโมซ่าได้สะสมความร่ำรวยในมานากัวอย่างมหาศาล   จากการประเมินเมื่อปี 1979  ทรัพย์สินของตระกูลมีมากกว่า 150 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ     พวกเขาเป็นเจ้าของโรงงาน 150 แห่ง(25 %ของโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมด) และครอบครองที่ดินคิดเป็น 10%ของที่ดินทั้งหมดในขอบเขตทั่วประเทศ     นอกจากนั้นยังเป็นเจ้าของกิจการสายการบินแห่งชาติ สถานีโทรทัศน์  หนังสือพิมพ์  เอเย่นต์จำหน่ายรถยนต์ Mercedes Benz อีกด้วย    ครั้งหนึ่งประธานาธิบดี แฟรงกลิน  รูสเวลท์กล่าวถึงโซโมซ่าว่า  “ แม้โซโมซ่าจะเป็นแค่ไอ้ลูกหมา  แต่ก็เป็นไอ้ลูกหมาของเรา” ("Somoza may be a son of a bitch, but he's our son of a bitch.")
กองทัพสหรัฐตั้งขึ้นมาเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของพวกจักรพรรดิ์นิยมและการลงทุนในอเมริกากลางที่มีมูลค่าถึง80เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนทั้งหมดในภูมิภาคนี้      ระหว่างปี 1950 และ 1979  ทหารและนายทหารของนิคารากัว 4900 นายถูกส่งไปฝึกอบรมที่สหรัฐ    นิคารากัวกลายเป็นฐานทางยุทธศาสตร์ของจักรพรรดินิยมในอเมริกากลาง   ปฏิบัติการยกพลขึ้นบกที่อ่าวหมู(ตะวันออกเฉียงใต้ของคิวบา) เพื่อต่อต้านการปฏิวัติคิวบา   กำลังพลเหล่านี้ก็ไปจากฐานทัพในนิคารากัว
การพัฒนาอุตสาหกรรมของปี 1950  และ 1960
การพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมทำให้เกิดชนชั้นคนงานในเมือง     ในปี1970จำนวนอุตสาหกรรมเบามีจำนวน 24% ของระบบเศรษฐกิจ   ในขณะที่เกษตรกรรมลดลง 23 %    จำนวนเกษตรกรลดลงจาก 60%ในปี 1960 เหลือ 44% ในปี 1977    ปี 1975 กรรมกรมีจำนวน 18% ของแรงงานทุกชนิดยอดเฉลี่ยสูงกว่ารัสเซียในปี1917   เจ้าที่ดินใหญ่ไม่กี่รายเป็นเจ้าของที่ดินถึงหนึ่งเท่า     การรวมศูนย์ที่ดินและความร่ำรวยเข้าไปอยู่ในครอบครองของคนส่วนน้อยเพิ่มมากขึ้น   เจ้าที่ดินใหญ่ไม่กี่รายถือครองที่ดินเพาะปลูกชั้นดีถึง 45%  ขณะที่เจ้าที่ดินรายย่อยจำนวน 20%ครอบ ครองที่ดินเพียง 40%      ชาวนาจนจำนวน 78% ที่เป็นประชากรในชนบทรวมถึงกรรมกร 310,000คน มีที่ดินแค่ 14% ของที่ดินทั้งประเทศ       มวลชนถูกขูดรีดได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากจากเศรษฐกิจขาขึ้นในระหว่างปี 1950 และ 1960   อีกทั้งในปี  1969 และ 1974 เกิดภาวะซบเซาขึ้นอีก    แผ่นดินไหวปี 1972 (เสียชีวิต 5,000 คน  , บาดเจ็บกว่า 20,000 คน   250,000 คนไม่มีที่อยู่อาศัย  )ได้ทำลายเมืองหลวงมานากัวอย่างยับเยินเกิดผลกระทบไปทั้งประเทศ     โรงงานอุตสาหกรรมประมาณ37% ต้องปิดตัวลงชั่วคราว     เป็นการทำลายความหวังของกรรมกรซึ่งปรารถนาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ปี 1973ชนชั้นกรรมกรได้เข้าร่วมการหยุดงานเป็นระลอกๆ      เป็นพลังผลักดันให้พรรคสังคมนิยมนิคารากัวต้องแตกหักกับกลุ่มเผด็จการมาร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูล คาโมโร่ ที่เป็นตระกูลนายทุนธนาคาร,ธุรกิจส่งออกและเจ้าที่ดินใหญ่    ซึ่งก็เป็นศัตรูของชนชั้นกรรมกรแม้ว่าจะเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับโซโมซ่าก็ตาม     ตระกูล คาโมโร่ และพรรคสังคมนิยมนิคารากัวได้ร่วมกันก่อตั้งขบวนการ ”ประชาธิปไตยสามัคคีเพื่อการปลดปล่อย”   นี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความจริงในส่วนของนายทุนส่งออกของยุคอาณานิคมที่ต้องการบ่อนทำลายฐานเศรษฐกิจที่อยู่ในมือของพวกโซโมซ่า    เพื่อบีบให้แบ่งอำนาจทางการเมืองให้แก่ชนชั้นนายทุนธนาคาร   เจ้าที่ดิน และบรรดานายทุนอุตสาหกรรมแห่งชาติบ้างเท่านั้น
พื้นฐานโดยธรรมชาติของขบวนการ  FSLN
จาก 1973 กระแสคลื่นของการต่อสู้ด้วยอาวุธในหมู่กรรมกรได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตระหนก      พวก เผด็จการเองก็ไม่สามารถยับยั้งได้     กรรมกรก่อสร้างเป็นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้มากที่สุด   ได้ทำการหยุดงานในปี 1977 ในขณะเดียวกันแซนดินิสต้า กำลังเริ่มทำสงครามกองโจรเชิงรุกในเขตชนบทและเมืองเล็กๆ     แม้ในระยะเริ่มต้นของการต่อสู้ด้วยอาวุธแนวร่วมซานดินิสต้ายังไม่ได้ก่อร่างสร้างฐานในมวลหมู่กรรมกรเลย
ขบวนการซานดินิสต้า...เริ่มจากนักศึกษาบางส่วนที่แยกตัวออกจากพรรคสังคมนิยมนิคารากัวด้วยความขยะแขยง   ที่พรรคไม่ยอมพิจารณาเรื่องที่สมาชิก(ระดับนำ)บางคนของพรรคไปทำข้อตกลงกับกลุ่มโซโมซ่า      การเกิดขึ้นของ FSLN เป็นผลโดยตรงจากภาวะล้มละลายของระบอบสตาลินในอเมริกากลาง       สิ่งที่คล้ายคลึงกันนี้ได้เกิดขึ้นในคิวบาเมื่อพรรคสังคมนิยมได้แสดงตนคัดค้านการยกระดับการปฏิวัติในปี1930      หลังจากนั้นก็สนับสนุนรัฐบาล เผด็จการบาติสต้า  มาตลอดจนถึงปี 1943
ต้นปี 1960 ชายหนุ่มชื่อ คาร์ลอส ฟอนเซกา อมาดอร์  สมาชิกพรรคสังคมนิยมปีกซ้ายได้รวบรวมนักศึกษาบางส่วนเข้าเป็นกลุ่มก้อน   ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นแกนนำแรกในการทำสงครามกองโจรของซานดินิสต้า       การปฏิวัติของคิวบาที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องมีอิทธิพลต่อการก่อตั้งแนวร่วมซานดินิสต้าเป็นอย่างมาก     แต่นโยบายทางการเมืองนั้นมีลักษณะค่อนไปในแนวทางปฏิรูปซึ่ง        พอจะชี้ให้เห็นได้จากเนื้อหานโยบายดังต่อไปนี้
1 ต่อต้านระบอบเผด็จการโซโมซ่าอย่างถึงที่สุดเพื่อสร้างสังคมทุนนิยมและสถาปนาระบอบประชา ธิปไตยที่ทันสมัยขึ้นในนิคารากัว
2  ร่วมมือกับมวลชนผู้ถูกกดขี่ทั้งมวล  และนายทุนชาติทั้งก่อนและหลังการโค่นระบอบโซโมซ่า
ปีกซ้ายส่วนใหญ่ในขบวนการซานดินิสต้ายังเชื่อมั่นในระบอบสตาลินและทฤษฎีปฎิรูป แบบการปฏิวัติสองขั้นตอน   หนึ่งคือขั้นตอนปฏิวัติประชาธิปไตยเพื่อนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาทุนนิยมที่ยอมรับได้ระดับหนึ่ง    หลังจากนั้นในอนาคตที่ไม่แน่นอนค่อยต่อสู้เพื่อสถาปนาสังคมนิยมต่อไป   ทฤษฎีนี้     เป็นทฤษฎีที่ต่อต้านลัทธิมาร์กซโดยสมบูรณ์แบบและค่อนไปในเชิงอุดมคติ(ยูโธเปีย)    เพราะมันไม่มีความสอดคล้องในการวิเคราะห์อย่างเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์    ด้านหนึ่งมันสะท้อนถึงความปรารถนาของลัทธิสตาลินที่จะควบคุมการปฏิวัติเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบอบขุนนาง     อีกด้านหนึ่งมันได้สะท้อนให้เห็นว่า    สังคมประชาธิปไตยและชนชั้นนายทุนน้อยจำแนกผลประโยชน์ของนายทุนอาณานิคมอย่างไร      พวกเขาเป็นได้แค่หางเครื่องของจักรพรรดิ์นิยมเท่านั้น
ลัทธิปฏิรูปในแนวเดียวกันนี้  มาร์กซ  เองเกลส์  เลนิน  ทร้อตสกี้  โรซา ลุกเซ็มบวร์กและเช เกอวารา  ได้ต่อสู้มาตลอดชีวิตของพวกเขา   คำถามก็คื:   ทำไมเราจึงเห็นว่าทฤษฎีปฏิรูปใช้ไม่ได้ในนิคารา กัวในอดีต    และทำไมเราจึงต้องมาพิจารณาต่อไปถึงข้อผิดพลาดในวันนี้ของเวเนซูเอลลาและในที่อื่นๆ?     คำตอบนั้นอยู่ในประสบการณ์ของประวัติศาสตร์ในรอบร้อยปีที่ผ่านมา      และนั่นมันแสดง ออกถึงนัยทางทฤษฎีการปฏิวัติถาวร  ซึ่ง ลีออน ทร้อตสกี้ ได้พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของวัตถุนิยมวิภาษด้วยการวิเคราะห์สังคมทุนนิยม
ในเวเนซูเอลลา  มีสุภาษิตบทหนึ่งที่มีความสอดคล้องที่สุดกับทฤษฎีและความเป็นจริงของการปฏิวัติตลอดกาลคือ  ” ห้องหับของคนรวยนั้นเต็มอยู่เสมอ”   ภายใต้ระบอบทุนนิยมในปัจจุบันไม่มีประเทศใดในโลกสามารถพัฒนาตนเองไปในทิศทางเดียวและดีได้เท่ากับประเทศทุนนิยมทั้งหลายได้ทำมาในอดีต      ทั้งนี้ก็เพราะว่าชนชั้นนายทุนในประเทศที่ได้เปรียบเหล่านี้เป็นเจ้าของกิจการและบริษัทข้ามชาติมากมาย       แม้กระทั่งองค์กรการเงินระหว่างประเทศและร่างทรงของจักรพรรดิ์นิยมเช่น IMF   ธนาคารโลก  และอื่นๆเป็นต้น    นี่จึงเป็นสาเหตุทั้งหมดที่ครอบงำนายทุนชาติของประเทศที่เคยเป็น เมืองขึ้นที่อ่อนแอและขลาดกลัวในลาตินอเมริกา เอเชีย และอัฟริกา     บริษัทข้ามชาติเหล่านี้ร่ำรวยขึ้นโดยผ่านการสูบวัตถุดิบและการจ้างแรงงานราคาถูก         ราคาผลกาแฟหนึ่งปอนด์หรือผลิตผลทางเกษตรอื่นๆในหลายประเทศยังคงยืนราคาอยู่ที่เดิมเหมือนเช่นในยุคสมัยที่เคยเป็นอาณานิคมเมื่อห้าสิบปีที่แล้วบรรดาพวกที่เรียกว่านายทุนชาติในนิคารากัวที่ฝ่ายนำของขบวนการแซนดินิสต้าให้ความเชื่อมั่นอย่างมากได้บรรลุถึงขั้นตอนประวัติศาสตร์ที่ล้าหลังของพวกเขาแล้ว   สถานการณ์ทั้ง หมดถูกกำหนดโดยประเทศทุนนิยมที่เหนือกว่า   พวกจักรวรรดินิยมได้สร้างกฏเกณฑ์ต่างๆสำหรับ ประชาชนในทวีปเอเซีย อาฟริกาและลาตินอเมริกา  พวกเขาเป็นแค่ตัวแทนของจักรพรรดิ์นิยม
นายทุนชาติแห่งยุคอาณานิคมต่างร่ำรวยขึ้น    ซึ่งต้องขอบคุณสำหรับสถานะคนกลางระหว่างระบอบจักรพรรดิ์นิยมของประเทศทุนนิยมที่ก้าวหน้ากับประชาชนผู้ยากไร้   มวลชนคนงานและประชาชนคนพื้นถิ่นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ    ตั้งแต่ยุคสงครามประกาศอิสรภาพบรรดานายทุนชาติในลาตินและอเม ริกากลางไม่ได้พยายามดำเนินการปฏิรูปที่ดินและโค่นเจ้าที่ดินใหญ่หรือพัฒนาอธิปไตยทางเศรษฐ  กิจ-สังคมที่เป็นอิสระจากการควบคุมของจักรพรรดิ์นิยมตามแบบอย่าง ซีโมน โบลิวาร์     นั่นเป็นบทสุดท้ายที่ขมขื่นของสังคม   การยกเลิกระบอบทุนนิยมในรัสเซียในปี 1917 และในจีนเมื่อปี 1949 และ 1960ในคิวบา  เป็นการแสดงให้เห็นว่า  การพัฒนาสังคม-เศรษฐกิจในประเทศด้อยพัฒนาสามารถบรรลุผลได้โดยไม่ต้องมีพื้นฐานของเศรษฐกิจทุนนิยม      อาจกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจสังคมนิยมและการเข้าครอบครองปัจจัยการผลิตและทุนได้ทำลายระบอบกรรมสิทธิ์ไปแล้วโดยพื้นฐานอย่างไม่มีข้อยกเว้น   จะอย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า..การวางแผนเศรษฐกิจแบบกรรมสิทธิ์สาธารณะและรวมศูนย์จะสามารถพัฒนาไปได้ในระยะยาว   ถ้าทั้งหมดถูกควบคุมและผ่านการมีส่วนร่วมที่เป็นประชาธิปไตยของกรรมกรในเมืองและชนบท   ถ้ามีการขยายการปฏิวัติไปสู่ความเป็นสากล
ระบอบสังคมนิยมเป็นระบอบที่ก้าวหน้าที่สุดที่จะก้าวเข้ามาทดแทนระบอบทุนนิยม  แต่ไม่สามารถจะกระทำได้ในประเทศเดียวหรือประเทศที่ถูกปิดล้อมอยู่        ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ใหญ่แค่ไหนก็ตาม(จีน รัสเซีย)  สังคมนิยมต้องการความสามัคคี   ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  และองค์ประกอบต่างๆไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมและแหล่งเทคโนโลยีของประเทศเหล่านั้นที่การปฏิวัติได้ประทุขึ้น  ด้วยประชา ธิปไตยของคนงานอันไพศาลและเครื่องมือของรัฐที่ชนชั้นกรรมาชีพเป็นเจ้าของอำนาจ
ระบอบสังคมนิยมไม่อาจบรรลุในรัสเซีย   เพราะการปฏิวัติในทางสากลได้รับความพ่ายแพ้  ไม่ว่าจะในฮังการีและเยอรมันนี (1918-19 และ 1923),   อิตาลี (1921),  จีน (1925-27)  และเสปน (1931-1937).   รัฐโซเวียตที่เกิดใหม่จึงถูกปิดกั้นด้วยการโอบล้อมทางทหารมานานกว่าสามสิบปี    นี่แสดงให้เห็นว่าทำไมมันจึงเสื่อมถอยกลับไปสู่ระบอบเผด็จการขุนนาง     เมื่อการปฏิวัติในจีนและคิวบาประ สบความสำเร็จตามลำดับ        ผู้นำการปฏิวัติเหล่านั้นไม่เคยพบเห็นรูปแบบใดๆมากไปกว่าการสร้างลัทธิขุนนางขึ้นและเปลี่ยนรัฐโซเวียตของกรรมกรชาวนาให้เป็นรัฐตำรวจโดยกลุ่มอำนาจสตาลิน    สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากการปฏิวัติใหญ่ปี 1917  คือแผนเศรษฐกิจ
ระบอบขุนนางโซเวียตได้ถูกนำมาใชัโดยพรรคคอมมิวนิสต์นิคารากัว       เพราะในสายตาของผู้คน      พวกเขาคือตัวแทนของขบวนแถวการปฏิวัติเดือนตุลาคม1917   แม้ว่าแนวร่วมปลดแอกซานดินิสต้า(FSLN)จะแยกตัวออกมาจากพรรคสังคมนิยมนิคารากัว(PSN)แล้วก็ตาม     พวกเขาก็ยังนำนโยบายปฏิรูปติดตัวมาด้วย     ระหว่างสิบห้าปีแรกการต่อสู้ดิ้นรนของซานดินิสต้าจึงจำกัดขอบเขตอยู่เพียงในระดับท้องถิ่นโดยไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับชนชั้นคนงาน      มีเพียงกลางปี 1970 เท่านั้นที่พวกเขาได้ปลุกระดมและให้ความเห็นอกเห็นใจต่อชนชั้นกรรมาชีพที่เข้าร่วมต่อต้านเผด็จการ
ชนชั้นกรรมาชีพมาถึงจุดจำกัดของตน  และการปฏิวัติเริ่มต้น
การเข้าร่วมของชนชั้นกรรมาชีพในเหตุการณ์ ”ไม่เอาระบอบโซโมซ่า” กับชนชั้นนายทุนชาติ     พวกนายทุนปีกนี้คือพวกที่สนับสนุนพรรคสังคมนิยมและแนวร่วมประชาธิปไตยเพื่อการปลดปล่อย(UDEL) ของพวกนิยมสตาลิน  ซึ่งนำโดย โจอาควิน  ชาโมโร   พวกเขาเป็นตัวแทนที่พยายามเสนอความคิดอุดมการณ์  ”นายทุนชาติ”  ให้เป็นทางเลือกต่อขบวนการซานดินิสต้าเพื่อต่อต้านโซโมซ่า     โดยไม่ยอมสูญเสียอภิสิทธิ์ใดๆที่ได้รับการประกันจากเผด็จการ
ด้วยการสนับสนุนของสหรัฐ  โจอาควิน ชาโมโร ถูกลอบสังหารโดยอันธพาลรับจ้างของโซโมซ่าในวันที่ 10 มกราคม 1978  สหภาพแรงงานละ UDELขานรับการหยุดงานทั่วไป       วันที่  24 มกราคม   คนงานและชนชั้นกลางระดับล่างมากกว่า 120’000  คนเข้าร่วมพิธีงานศพของ โจอาควิน ชาโมโร ในมานากัว   เหตุการณ์นี้ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่พวกชนชั้นกลางเสรีนิยม   ผู้ซึ่งมีหวาดกลัวต่อชนชั้นกรรมาชีพยิ่งกว่าระบอบเผด็จการ     พวกเขาพูดถึงสงครามกลางเมือง    เมื่อการประทะกันด้วยกำลังอาวุธกำลังจะเกิดขึ้นในเมือง  ลียง , เอสเตลี , ชิรันเดกา อี มาซาย่า  ระหว่างนักปฏิวัติและกองกำลังพิ้ทักษ์ชาติ  (National Guard)     พวก National Guard ได้ทิ้งระเบิดเมืองดังกล่าว   เข่นฆ่าประ ชาชนไปกว่า 5’000 คนภายในสัปดาห์เดียว     ความจริงที่ได้รับการเปิดเผย จากการสำรวจประเมินพบว่าในระยะสองปีของสงครามกลางเมือง   พวกเผด็จการได้ฆ่าฟันประชาชนไปเป็นจำนวนถึง 50’000 คน
เป็นครั้งแรกที่บรรดากรรมกรในเมืองได้รวมตัวกันเคลื่อนไหวอย่างเป็นขบวนการและเป็นอิสระด้วยคำขวัญของตนเอง     เป็นการเคลื่อนไหวที่ปราศจากการนำของนักปฏิวัติ  ทำให้ขบวนการปลดปล่อยซานดินิสต้าเริ่มจับตามองให้ความสนใจและยอมรับในความเป็นจริงขบวนการซานดินิสต้าซึ่งมีนักรบกองโจรที่ติดอาวุธเพียงห้าร้อยคนเท่านั้น    ซานดินิสต้าที่นำโดย ฮุมแบร์โต้ และแดเนียล ออร์เตก้า  ไจเม วีลล๊อค  และโธมัส บอร์เก้  ได้เรียก ร้องให้เคลื่อนกำลังในต้นเดือนมิถุนายน    และเริ่มต้นรุกครั้งสุดท้ายจากฐานที่มั่นในคอสตาริก้า   มวลชนในมานากัวและเมืองสำคัญต่างๆได้เคลื่อนไหวมาตั้งแต่พฤษภาคม  เป็นการเริ่มต้นการโจมตีขั้นแตกหักของการปฏิวัติ  กองกำลังติดอาวุธของชนชั้นคนงานได้สู้รบเป็นเวลา 11 สัปดาห์   ดังนั้น    การเคลื่อนไหวทางการทหารได้บีบให้พวกผู้นำผู้นิยมสตาลินในสหภาพแรงงานต่างๆต้องยอมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
ในความเป็นจริงที่หน่วยนักรบกองโจรสามารถเข้าปลดปล่อยมานากัวจนสำเร็จก็เนื่องมาจากมวลชนได้ประทะและสลายพวก National Guard ลงไปเรียบร้อยแล้ว      โซโมซ่าได้หลบหนีไปก่อนหน้าสองวันก่อนที่ซานดินิสต้าจะเข้ายึดเมืองภายใต้การช่วยเหลือคุ้มครองของจิมมี่ คาร์เตอร์    ยุคเผด็จการสิ้นสุดลงแล้วกองกำลังปฏิกิริยา National Guard   ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากสหรัฐจน ถึงนาทีสุดท้าย   แตกหนีกระจัดกระจายไปยังเขตชนบทป่าเขา   แล้วจัดตั้งกันขึ้นมาใหม่ในนามของขบวนการ "Contra”  (คำว่า "Contra" มาจากภาษาเสปนหมายถึงการต่อต้าน     แต่ในกรณีนี้ย่อมาจากคำว่า  la contrarrevolucion, คือการต่อต้านการปฏิวัติ  )   การเคลื่อนไหวต่อสู้ร่วมกันของชนชั้นกรรมกร ชาวนา และนายทุนน้อยเป็นสิ่งชี้ขาดในการนำมาซึ่งชัยการล่มสลายของรัฐเผด็จการโซโมซ่า
 จบตอนที่ 1


No comments:

Post a Comment