Saturday, February 21, 2015

นิคารากัว...ตอนที่ 2

นิคารากัว....ตอนที่สอง

หลังจากได้อำนาจรัฐ ซานดินิสต้าได้เสนอโครงการปฏิรูปที่ก้าวหน้าออกมาหลายอย่าง  แต่ไม่เคยทำอะไรอย่างจริงจังต่อปัญหากรรมสิทธิ์ในเรื่องปัจจัยการผลิต  โดยยอมให้เศรษฐกิจระดับที่สำ คัญยังคงอยู่ในมือของเอกชน       ปล่อยให้พวกอนาธิปไตยท้องถิ่นและจักรพรรดินิยมใช้เป็นเครื่อง มือในการบ่อนทำลายการปฏิวัติจนถูกพิชิตในที่สุด

ปฏิรูปหรือปฏิวัติ: พื้นฐานของรัฐ

ชนชั้นกรรมกรจำนวนหมื่นแสน ทั้งชายและหญิงได้รับโอกาสที่ดีอย่างฉับพลันจากชัยชนะในการปฏิวัตินิคารากัวปี 1979   เรียกร้องการมีรายได้ที่ดีขึ้นเพื่อทดแทนค่าจ้างที่ได้สูญเสียไปในระหว่างการปฏิวัติ ชนชั้นนายทุนก็ตระเตรียมฉวยโอกาสในบรรยากาศใหม่ทางการเมืองที่ซานดินิสต้าเริ่มเข้าบริหารประ เทศหลังจากประชาชนได้ขับไล่โซโมซ่าออกไปแล้ว
ปัญหาอยู่ที่ว่าภววิสัยในนิคารากัว   ไม่เหมือนรัสเซียระหว่างปี 1905-1917    ไม่มีกองกำลังองค์กรอิสระใดๆของชนชั้นกรรมกรที่ได้จัดตั้งขึ้นในเมืองเลยในช่วงของการปฏิวัติ     ดังนั้นหลังชัยชนะจึงได้เกิดสุญญากาศทางอำนาจขึ้น      และถูกเติมให้เต็มด้วยกำลังนักรบกองโจรของ FSLN  และตัวแทนของชนชั้นนายทุนในชนบท

พื้นฐานของอำนาจใหม่   ที่ควรจะเป็นความร่วมมือของตัวแทนกรรมกร ชาวนา(ตัวแทนประชาธิปไตยที่แท้จริงของชนชั้นกรรมาชีพ)      กลับถูกแทนที่ด้วยพื้นฐานโครงสร้างใหม่ของรัฐด้วยการสืบทอดอำนาจของตัวแทนกองทัพเหมือนการปฏิวัติคิวบา   จากมุมมองของนักลัทธิมาร์กซเห็นว่า   ปัญหารูปแบบของการจัดองค์กรที่ไม่อนุญาตให้มวลชนมีส่วนร่วมตัดสินใจในกระบวนการต่างๆเช่น  การเลือกตั้ง  การสรรหาผู้นำและอื่นๆ     หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งคือมันไม่อนุญาตให้มีการควบคุมรัฐและเครื่องมือของรัฐโดยมวลชนนั่นเอง    จุดแข็งของประชาธิปไตยชนชั้นกรรมาชีพที่เปรียบเทียบกับระบอบอื่นได้ถูกขว้างทิ้งไปโดยการปฏิวัติที่ต่างเป้าประสงค์    โดยการไม่ใช้กลไกของประชาธิปไตย  ชนชั้นกรรมาชีพไปต่อต้านการพัฒนาไปสู่ลัทธิขุนนาง

เลนินได้อธิบายว่าในกรณีที่จะรักษาการปฏิวัติไว้  “อำนาจต้องเป็นของประชาชน”   ท่านไม่เคยพูดถึง "อำนาจพื้นฐาน" โดยทั่วไป (ที่ไม่มีการจัดตั้ง)ในงานนิพนธ์ของท่านเช่น  รัฐและการปฏิวัติ,  นิพนธ์เดือนเมษายน(April Thesis)  และ    “ความหายนะที่จะเกิดขึ้นและวิธีต่อสู้กับมันอย่างไร”  (The impending catastrophe and how to fight it,)     ฝ่ายนำบอลเชวิคได้พัฒนาลัทธิมาร์กซขึ้นมาภายใต้ประสบการณ์อันรุ่งโรจน์ของการปฏิวัติ

ชนชั้นกรรมกรไม่อาจใช้กลไกรัฐของชนชั้นนายทุนมาปกครองได้     กองทัพของนายทุน  ระบอบรัฐสภา   สถาบันทางอุดมการณ์ทั้งมวล   มีไว้เพื่อคงความเป็นเผด็จการของชนชั้นนายทุนเอาไว้    เป็นเครื่องมือหลักของชนชั้นนี้ที่ใช้ปกครองชนชั้นกรรมกรและผู้ถูกกดขี่ทั้งมวลในสังคม    รัฐชนชั้นนายทุนไม่เหมาะสำหรับอำนาจทั่วไปเพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นการมีส่วนร่วมที่แท้จริงใดๆของคนส่วนใหญ่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

เราจะอาศัยอะไรไปเอาชนะชนชั้นนายทุนและยุติระบบเศรษฐกิจ,ระบบการปกครองที่หนุนหลังโดยกองทัพของมัน     เพื่อจะสถาปนาโครงสร้างสังคมพื้นฐานที่แท้จริงจากการบริหารจัดการในรูปแบบสามัญที่เกิดขึ้นจากการดิ้นรนต่อสู้ของชั้นกรรมกรจะต้อง
1)  อำนาจทั้งหมดจะต้องอยู่ในมือของคณะกรรมการปฏิวัติ  ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งใน เขตปกครองระดับเมืองและในขอบเขตทั่วประเทศ กล่าวคือ
-   อำนาจ ทั้งหมดในโรงงาน บริษัท สื่อต่างๆต้องถูกควบคุมโดยคณะกรรมการที่มาโดยการเลือกตั้งจากชุมชนกรรมกรที่ปฏิวัติในแต่ละภาคส่วน
-   อำนาจทั้งหมดของรัฐจะต้องขึ้นอยู่ภายใต้การบัญชาขององค์กรปฏิวัติที่มาจากการเลือกตั้ง ชี้แจงได้  และยกเลิกได้โดยคณะกรรมการของกรรมกร  ชาวนา    ที่แยกออกจากชนชั้นนายทุน   ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภานายทุน  รัฐบาลแบบนายทุนและระบบศาลของพวกเขา
-   ตัวแทนและผู้แทนทั้งหลายจะต้องมาจากการเลือกตั้ง    จะถูกปลดหรือยกเลิกตำแหน่งได้จากผู้ลงคะแนนที่เลือกตั้งเขาเข้ามาไม่ใช่จากผู้มีอำนาจเพียงคนเดียว      และต้องไม่ได้รับค่าจ้างมากไปกว่าค่าจ้างเฉลี่ยของคนงาน   นี่คือหนทางที่จะต่อสู้กับระบอบขุนนาง (ในขบวนการปฏิวัติ)
2) กองทัพต้องประกอบด้วยลักษณะประชาชาติ     ประกอบด้วยชนชั้นกรรมกรและชาวนาจนโดยพื้น ฐาน    แทนกองทัพอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่ถูกกีดกันและแยกออกจากประชาชนด้วยกำแพงของป้อมค่าย
-   นายทหารจะต้องมาจากการเลือกตั้ง  และปลดเป็นกองหนุนตามตำแหน่งเดิม   ควบคุมโดยคณะกรรมการปฏิวัติของมวลชนกรรมกรชาวนา   ตามเขตเลือกตั้งทั้งในเมืองและชนบท
-   อาวุธยุทโธปกรณ์ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการปฏิวัติที่มาจากเขตการเลือกตั้งของ  หมู่บ้าน โรงงาน และทหารจะต้องให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการด้วย
3) กิจการอุตสาหกรรม  และบริษัท ที่มีความสำคัญใดๆ  ซึ่งถูกแปรให้เป็นกิจการแห่งชาติต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกรรมกร    และต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่เจ้าของเดิมและบรรดาผู้ร่วมลงทุนตามความจำเป็นที่แท้จริง
-   บรรดาธนาคาร  บริษัทประกันภัย  บริษัทก่อสร้าง  จะต้องรวมบรรดาธนาคารเอกชนและธนาคารต่างชาติเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวในนามธนาคารแห่งชาติ  ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐแห่งชนชั้นกรรมาชีพ
-   ควบคุมสินค้าต่างประเทศและรวมศูนย์ที่ดินจากเจ้าที่ดินรายใหญ่

สถานการณ์ของนิคารากัวภายหลังการปฏิวัติ   
พนักงานของรัฐทั้งที่เป็นสมาชิกและที่ไม่ใช่สมาชิกของแซนดินิสต้า  มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 6-7เท่ามากกว่าคนงานพื้นฐาน   กว่าครึ่งหนึ่งเป็นคนว่างงาน ผู้จัดการอุตสาหกิจเอกชนได้รับค่าจ้างมากกว่าคนงานพื้นฐานกว่า 20 ถึง 25 เท่า    ธนาคารที่ขาดเงินทุนสำรองและกำลังอยู่ในภาวะล้มละลายถูกแปรรูปให้เป็นของรัฐ     รัฐประเมินหนี้สินของบริษัทเอกชนเช่นธนาคารต่างๆ มีหนี้เสียถึง 1800 ล้าน ดอลลาร์ ซึ่งพอๆกับของบริษัทเอกชน    โดยเฉพาะบริษัทในเครือของตระกูลโซโมซ่าที่ถูกแปรรูปให้เป็นของรัฐ (มีถึง25%ในระบบเศรษฐกิจของนิคารากัว)    โรงงานเหล่านี้ถูกทิ้งร้างจนเสื่อมสภาพไปเรียบร้อยแล้ว     

ภาระการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศถ้าไม่ถูกเพิกเฉยหรือไม่ก็ถูกยกเลิกเอาดื้อๆ     คนงานถูกกีดกันออกไปจากการควบคุม และตัดสินใจร่วมในระบบเศรษฐกิจหลักๆ
กลไกของระบบโซโมซ่า และกองกำลังติดอาวุธ(the National Guard) ถูกกวาดล้างไปแล้วจากการปฏิวัติ   สภาวะการนำของ FSLN ได้ก้าวเข้ามาแทนในความว่างเปล่านี้     หลายเดือนก่อนที่จะได้อำ นาจรัฐ    คณะผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดในคณะกรรมการสร้างชาติ  ทำตัวเป็นนายหน้าให้กับนายทุนชาติและต่างชาติจาก คอสตาริกา และเวเนซูเอลา      ที่หลายเดือนก่อนหน้าการปฏิวัติได้แสดงความบ้าคลั่งในข้อตกลงที่เกี่ยวพันกันในการพบปะเจรจาในต่างประเทศระหว่างตัวแทนของฝ่ายนำ FSLN กับนายทุนนิคารากัวและรัฐบาลนายทุนของ คอสตาริก้า ปานามา เวเนซูเอลล่า และเม๊กซิโก

เพื่อบรรลุเป้าหมายหลักของทุกฝ่าย(รวมถึง FSLN ด้วย)   ได้ทำการเจรจากันถึงโฉมหน้าใหม่ของประเทศ  เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เมื่อมวลชนชาวนิคารากัวได้ถอดโซ่ตรวนของทุนนิยมออกหลังจากโค่นโซโมซ่าลงไปแล้ว    นายพล โอมาร์ ทอร์ริโฮ จากปานามาได้ส่งหน่วย ”พิทักษ์ชาติ”มาร่วมเคลื่อนไหวกับ FSLN เป้าหมายก็คือเพื่อให้ความมั่นใจแก่ชนชั้นนายทุนและคงไว้ซึ่งโครงสร้างของข้ารัฐการขุนนางของกองทัพใหม่    ด้วยการช่วยเหลือสนับสนุนด้านการขนส่งลำเลียง  กำลังพล  ในการรุกขั้นสุดท้ายของซานดินิสต้า  กองกำลังที่ตั้งขึ้นในขณะที่ดิ้นรนต่อสู้ถูกยกเลิกจากคำสั่งของส่วนกลาง   ซานดินิสต้าได้เบี่ยงเบนไปตามแรงกดดันของนายทุนชาติและนายทุนต่างชาติ
ชนชั้นปกครองต่างหวาดกลัวต่อกองกำลังปฏิวัติ   เพราะสิ่งนี้จะสร้างความเสียหายและทำลายปัจจัยแห่งการกดขี่ของรัฐของชนชั้นนายทุนจากการปฏิวัติ    การปลดอาวุธประชาชนเป็นเรื่องแรกๆในการสถาปนา ”รัฐประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน”  ของรัฐบาลสร้างชาติที่นำโดยขบวนการซานดินิสต้า
วันที่ 27 กรกฎาคม หลังจากการเข้ายึดครองเมืองหลวงมานากัวของกองกำลังซานดินิสต้า  ประธาน ฮุมแบร์โต้ ออร์เตก้า  ได้ประกาศรวมกองทัพประชาชนเข้ากับกองทหารเดิมของรัฐตามคำแนะนำของหน่วยพิทักษ์ชาติของปานามา   ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้กองทหารของรัฐเก่าได้รับการฝึกฝนจากนายทหาร สหรัฐฯและหน่วยสืบราชการลับ CIA    เขายังได้สร้างกำลังตำรวจของซานดินิสต้ามีหน้าที่ดูแลความสงบจากคณะกรรมการป้องกันซานดินิสต้า

ข่าวความสำเร็จของการปฎิวัติได้ถูกกระจายเผยแพร่ไปทั่วประเทศ   พลังที่ปลุกระดมชาวนายากจนและกรรมกรในชนบทให้ลุกขึ้นมาสนับสนุนการปฏิวัติ   แรกสุดคือความต้องการได้เป็นเจ้าของที่ดินทำกินแต่ก็ถูกคณะผู้นำสูงสุดยับยั้งไว้   กระทั่งใช้กำลังตำรวจซานดินิสต้าที่ตั้งขึ้นใหม่ไปเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวชาวนาให้สละการถือครองที่ดิน     เพื่อทำเรื่องนี้ให้กระจ่างรัฐมนตรีเกษตรและปฏิรูปได้เข้ามาแทรกแซงและออกคำสั่งมิให้ผู้ใดยึดครองที่ดินโดยพละการไม่ว่าจะเป็นที่ดินรกร้างก็ตาม   เพราะรัฐรัฐมนตรีจะได้จัดเตรียมที่ดินให้เมื่อถึงโอกาสเหมาะสม

31 กรกฎาคม วีลล๊อค หนึ่งในผู้นำซานดินิสต้าได้แถลงว่า  “เราไม่ต้องการให้เกิดระบอบเสรีนิยมขึ้น  เราคือผู้ยึดถือความจริง”    ในปี 1981 ซาเวียร์   โกโรสติอากา รัฐมนตรีกระทรวงวางแผนได้ยอมรับว่า “คนส่วนน้อยมากที่จะรู้ความจริงว่า  80%  ของผลผลิตทางเกษตรกรรม   เช่นเดียวกับผลิตผลทางอุต  สาหกรรม 75% อยู่ในมือของเอกชน   เอกชนซึ่งควบคุมผลิตผลฝ้ายถึง 72%  กาแฟ 53%  เนื้อสัตว์ 58%  น้ำตาล  51% ในขณะที่ชาวนา 200,000 คนครอบครองที่ดินเพียง14% เท่านั้น   มันเป็นความจริงที่ว่า      ในขั้นตอนนี้ชาวนาและผู้ใช้แรงงานในภาคเกษตรทั้งหลายได้ตระหนักว่าผู้นำของ FSLN นั่นแหละเป็นผู้ที่ฉุดดึงการปฏิวัติ

ฝ่ายนำของแซนดินิสต้าบริหารประเทศร่วมกับ “ชนชั้นนายทุนชาติผู้ร่ำรวย”มาตั้งแต่เดือนแรกของการปฏิวัติ  อย่างไรก็ตามวิกฤติเศรษฐกิจที่เลวร้ายยังคงดำเนินต่อไปอีก   แต่สำหรับชนชั้นนายทุนซึ่งบัดนี้มีความแน่ใจว่าฝ่ายนำของ FSLN ได้หยุดการปฏิวัติแล้ว    และได้ทิ้งปัญหาทางเศรษฐกิจไว้ให้ซานดินิสต้า เป็นผู้คลี่คลาย     การเคลื่อนไหวเบื้องแรกของFSLNในรัฐบาลฟื้นฟูชาติ( ด้วยจำนวนคนเพียงห้าคน)  ที่เป็นคณะกรรมการแห่งรัฐ   นี่คือรูปลักษณ์ของประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนประกอบขึ้นจากสมาชิก 33 คนได้รับการแต่งตั้งจากทุกภาคส่วนสังคม  กลุ่มการเมือง  และสหภาพแรงงาน  ซึ่งเป็นกลุ่มพลังที่ยอมรับการนำของซานดินิสต้า    ในปี1984 รัฐสภานี้ได้แปลงไปเป็น”สมัชชาแห่งชาตินิคารากัว” ซึ่งเป็นสภาของชนชั้นนายทุนปีกซ้ายที่ครองเสียงส่วนใหญ่

ในรูปแบบเช่นนี้ ฝ่ายนำของ FSLN ได้รักษารูปแบบรัฐสภาและโครงสร้างรัฐบาลของรัฐนายทุนเอาไว้    อำนาจของฝ่ายบริหารถูกรวมศูนย์อยู่ในมือของผู้อำนวยการแห่งชาติซึ่งดำรงตำแหน่งโดยประธานา ธิบดีของสาธารณรัฐ     ในปี 1984 ประชาชนมากกว่า 80%ที่มีอายุเกิน 16 ได้รับสิทธิ์เลือกตั้ง   ผลการเลือกตั้งมวลชนได้ลงคะแนนให้การสนับสนุน FSLN อย่างท่วมท้น
เล่ห์กลการหลอกลวงของจักรพรรดินิยมอเมริกา  ไม่ได้จำกัดแม้แต่จากการสร้างทัศนะประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนเท่านั้น   ยังใช้วิธีเก่าแก่ดั้งเดิมนี้มากล่าวโทษเรื่อง”การกดขี่ในนิคารากัว”อีกด้วย

นิคารากัวคือประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่สุดในอเมริกากลาง

อาร์ทูโร  ครุซ     หัวหน้ากลุ่มสมานฉันท์ประชาธิปไตยแห่งชาติ CDN (National Democratic Coordination) ได้ร่วมกับประชาชนกลุ่มต่างๆเพียงในระยะแรกของรัฐบาลซานดินิสต้าเท่านั้น   สองสามเดือนต่อมาเขากลับเข้าร่วมกับขบวนการ”คอนทรา”ที่ต่อต้านการปฏิวัติและวิพากษ์การเลือกตั้งปี 1984 ว่าเป็นการต่อต้านประชาธิปไตย(ที่เราได้เห็นตัวอย่าง เวเนซูเอลลาในปัจจุบันนี้)  ชนชั้นนายทุนไม่เคยยอมรับรัฐบาลซานดินิสต้าโดยดุษฎีเพราะว่าไม่ใช่รัฐบาลของพวกเขา  และไม่อาจวางใจต่อการ บริหารประเทศว่าจะเป็นไปตามความปรารถนาของพวกเขาหรือไม่      ซานดินิสต้าพยายามที่จะบรรลุข้อตกลงกับชนชั้นนายทุนโดยมิได้คำนึงถึงผลประโยชน์ใดๆ       พยายามเชื่อในคำเล่าขานเกี่ยวกับ    ”ชนชั้นนายทุนที่ก้าวหน้า” ซานดินิสต้าได้ให้ความสำคัญในบทบาทนี้เหนือกว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ไม่เพียงแต่ซานดินิสต้าจะสูญเสียอำนาจในทางการเมืองให้แก่ชนชั้นนายทุนเท่านั้น   ยังให้ดุลอำนาจชี้ขาดทางกำลังอาวุธตกไปอยู่ในมือของพวกนายทุน  ที่จะใช้บ่อนทำลายชัยชนะของการปฏิวัตินิคารา กัวอีกด้วย     ในขณะที่รัฐบาลกำลังให้การอุ้มชูสนับสนุนธุรกิจภาคเอกชน  เกื้อหนุนด้วยการลดภาษีเพื่อแสวงหาความร่วมมือ   พวกนายทุนต่างก็รวมหัวกันคว่ำบาตรต่อต้านและหนุนช่วยขบวนการคอน ทรา ที่เป็นพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ

เมื่อปี 1977  รายได้สาธารณะมีเพียง  14% ของผลผลิตมวลรวมของชาติ   ได้เพิ่มขึ้นเป็น 41% ในปี 1980  หลังจากได้นำมาตรการเวนคืนทรัพย์สินบางอย่างออกมาใช้ โดยเฉพาะทรัพย์สินของตระกูลโซโมซ่า       อย่างไรก็ตามหกปีหลังการปฏิวัติ(ปี 1985) ปริมาณการผลิตในชาติทำได้เต็มที่เพียง 60%เท่านั้น   ในปี 1981 ดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศที่รวมกันแล้วมีถึง 40% ของรายได้จากการส่งออก   จากฐานการผลิตที่แคบอยู่แล้วก็พลอยหดตัวไปตามตามขนาดของนิคารากัว  น้อยกว่าแม้กระทั่ง  คาราคัส  และ ฮาวานา  นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า   ความต้องการที่แท้จริงของการปฏิวัติคืออะไร?      คือต้องขจัดบทบาทของชนชั้นนายทุนให้หมดไป  แล้วยกระดับความสัมพันธ์กับคิวบาให้มากขึ้น   แต่โชคไม่ดีที่มอสโคว์เล่นบทบาทด้านลบต่อเรื่องนี้       มองว่าการปฏิวัตินิคารากัวเป็นเรื่องภายในของซานดินิสต้า    และไม่มีนโยบายช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจแก่ FSLN.ทางฮาวานาเองก็ขึ้นต่อและดำเนินนโยบายตามรัสเซียอย่างสุดขั้ว   

บทบาทของมอสโคว์และฮาวานา
ปัญหาใจกลางที่การปฏิวัติของนิคารากัวถูกทำลายลงก็คือ   การที่ขบวนการแซนดินิสต้าไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของชนชั้นนายทุน   ลัทธิขุนนางมอสโคว์จะต้องรับผิดชอบต่อการเสื่อมถอยการตกต่ำที่น่าเศร้านี้     สหภาพโซเวียตพอใจที่จะปล่อยให้ปัญหานี้ให้เป็นไปตามทางของมันเอง    พวกเขาไม่เคยคำนึงถึงผลพวงที่จะหยุดยั้งกระบวนการทำลายการปฏิวัติในนิคารากัว    แม้กระทั่งการค้ากับนิคารากัวก็อยู่ในปริมาณจำกัด        เพราะมอสโคว์ไม่ต้องการมีปัญหากับผลประโยชน์ของจักพรรดิ์นิยมอเมริกาในภูมิภาคลาตินอเมริกาตามนโยบาย ”อยู่ร่วมกันโดยสันติ”  ซึ่ง เช เกอวาร่า  ก็ได้เคยวิจารณ์เรื่องนี้อย่างขมขื่นมาแล้วในอดีต    พวกเขาไม่เคยให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการเคลื่อนไหวปฏิวัติในลาติน อเมริกาเลย
ทำไมหรือ? ก็เพราะว่าลัทธิขุนนางโซเวียตหวั่นเกรงต่อการปฏิวัติที่กำลังเกิดขึ้นในทุกๆภูมิภาคของโลก  และความสำเร็จของการปฏิวัติจะทำให้ดุลกำลังระดับสากลแปรเปลี่ยนไป     ซึ่งจะส่งผลให้บรรยากาศ ”อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ของพวกเขาและจักรพรรดิ์นิยมถูกทำลายลง      ลัทธิขุนนางมอสโคว์ชอบที่จะอ้างในก้าวไปสู่สังคมนิยมและคอมมิวนิสต์       แต่ในความเป็นจริงพวกเขาไม่ต้องการเห็นลัทธิสังคมนิยมที่แท้จริงเลยไม่ว่าจะในบ้านของตนหรือในต่างประเทศ    รัฐบาลมอสโคว์ไม่ค่อยชอบ เช เกอวาร่า  และไม่สนับสนุนการปฏิวัติที่ต่างไปจากวิธีของตนในคิวบา     ในปี 1960 สองปีหลังจากคัสโตรก้าวขึ้นสู่อำนาจ   ลัทธิขุนนางโซเวียตได้บีบให้ยอมรับวิธีการขุดรากถอนโคนระบอบทุนนิยมในคิวบาอย่างเป็นสูตรสำเร็จ     ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาได้ทำลงไปก็คือการหยุดหยุดยั้งการขยายตัวของการปฏิวัติของประเทศที่เหลือในทวีปนี้

ปี 1979  และ 1980  เพื่อเกียรติภูมิของพวกเขา รัฐบาลคิวบาได้เรียกร้องและรณณรงค์ในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนิคารากัว      พวกเขาได้มีการติดต่อเจรจากับประเทศทุนนิยมทั้งหลายในลาตินอเมริกาและทั่วโลกแม้แต่สหรัฐอเมริกาเอง    ไม่ใช่เป็นเรื่องประหลาดอันใดที่ไม่มีจีนและสหภาพโซเวียต    คิวบาพยายามกันนิคารากัวออกจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับค่ายโซเวียต  นี่คือรูปแบบที่แท้จริงที่กดดันซานดินิสต้าจำต้องรักษาความสัมพันธ์กับรัฐบาลนายทุนเสรีนิยมของกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาและคาริบเบียนแทนการมีความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต   วันที่ 11 มกราคม 1985 ฟิเดล คัสโตร ได้ ให้สัมภาษหนังสือพิมพ์  บาริคาดา  สื่อกลางของ FSLN ว่า

“เมื่อวานนี้เราได้มีโอกาสรับฟังคำปราศรัยสหาย  แดเนียล ออร์เตก้า   และขอแสดงความยินดีต่อความจริงจังและรับผิดชอบของเขา   ที่ได้อธิบายถึงเป้าหมายจุดประสงค์ของขบวนการแนวร่วมซานดินิสตา ในทุกๆส่วน   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจแบบผสมผสาน,การเมืองแบบทวิภาคีและการออกกฎระเบียบ ในการลงทุนจากต่างประเทศ      ผมเข้าใจถึงแนวคิดของท่านที่ยังให้พื้นที่สำหรับระบบเศรษฐกิจแบบผสมผสานอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า     ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการเป็นรัฐบาลที่รับใช้ผลประโยชน์ของนายทุน”
อะไรทำให้ผู้บัญชาการคัสโตร   ไม่กล่าวว่ารัฐบาลไม่ได้รับใช้ผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพ     ในขณะเดียวกันก็ยอมให้ความสะดวกแก่จักรพรรดิ์นิยมเข้ามาจัดการกับระบบเศรษฐกิจแห่งชาติ    ขณะที่ออกอากาศคำที่ปราศรัยอยู่     ขบวนแถวของเยาวชนและกองกำลังกรรมกรนิคารากัว   ก็เดินขบวนไปตามถนนของกรุงมานากัวตระโกนคำขวัญต่อต้านจักรพรรดิ์นิยมอย่างมีพลัง

ภาพจำลองของการขจัดการปฏิวัติแบบใหม่ในระดับสากล

หากจะไม่คำนึงถึงพฤติกรรมที่หลอกลวง(ของจักรพรรดิ์นิยม)     ทหารรับจ้างฟาสซิสต์ของขบวนการคอนทราไม่ใช่ตัวการทำลายการปฏิวัติ     การต่อต้านการปฏิวัติที่ไร้ศีลธรรมของขบวนการคอนทราได้ปิดฉากลงเมื่อกลางปี 1980       พบว่าสาเหตุแท้จริงที่บ่อนทำลายการปฏิวัติมีหลายประเด็นได้ประดังประเดเข้ามา    เช่นการตกต่ำของราคาน้ำมันและวัตถุดิบภายใต้การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จของบรรษัทผูกขาดข้ามชาติ    บวกกับการบ่อนทำลายทั้งภายในและภายนอกของบรรดานายทุนนิคารากัวผู้ขายชาติ
ก่อนหน้าที่ซานดินิสต้าจะได้อำนาจ   สภาวะการครองชีพเริ่มตกต่ำ   อัตราเงินเฟ้อสูงถึง400% ในปี 1987  ส่งผลให้เกิดตลาดมืดที่มีผู้เกี่ยวข้องถึง 130,000 คนนับเป็น5%ของพลเมืองเลยทีเดียว   จึง     เป็นการอธิบายว่าทำไมกรรมกรต้องออกมาเคลื่อนไหวหยุดงาน   และทำไมถึงเกิดเหตุการณ์บุกปล้นพังร้านค้าในมานากัว    รัฐบาลตอบโต้ด้วยการประกาศภาวะฉุกเฉินและยกเลิกสิทธิในการชุมนุมหยุดงาน    เหมือนเป็นการสนองตอบต่อการคุกคามของรัฐบาลสหรัฐฯที่นำโดย โรนันด์ เรแกน  ประเทศ   ถูกบีบให้ต้องใช้จ่ายเงินซื้ออาวุธเพื่อการป้องกันประเทศถึง 40% ของรายได้มวลรวมประชาชาติใน    ขณะที่ภาคเอกชนก็ได้ใช้มาตรการรณรงค์เรียกร้องให้ต่อต้านรัฐบาล

ประจวบกับนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของ เรแกน  ที่ต้องการความร่วมมือจากสถานการณ์ทางสากล   นายทุนใหญ่ในสหรัฐได้เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ในลาตินอเมริกาไปแล้ว   พวกเขาเห็นว่าบรรดาผู้ปกครองเผด็จการที่พวกเขาเคยให้ความสนับสนุนมาตลอดนั้นต่างถูกโค่นล้มลงไปแทบจะไม่หลงเหลือ    จึงหันมาให้การสนับสนุนบรรดานายทุนที่มีอิทธิพลครอบงำอยู่ในประ เทศต่างๆ    เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขาดแคลนผู้นำในการปฏิวัติ   ปลายปี 1980เป็นที่รู้โดยทั่วไปว่ารัฐบาลหุ่นในเอลซัลวา  ดอร์  โคลอมเบีย ได้หันมาสวมหน้ากากประชาธิปไตย    แต่เบื้องหลังของมันการฆ่าหมู่กรรมกร-ชาวนาก็ยังดำเนินต่อไป      บวกกับสถานภาพและอิทธิพลในระดับสากลของระบอบปกครองสตาลินก็เกิดวิกฤตอย่างหนัก

ในยุโรปการเคลื่อนไหวต่อสู้ของชนชั้นกรรมกรและบรรดาเยาวชนได้สงบลงชั่วคราวเช่นเดียวกับในสหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นเพียงความเงียบงันในขณะหนึ่งเท่านั้น   ในเอเชียเผด็จการในฟิลิปปินส์ได้สิ้นสุดลงโดยการเดินขบวนของมวลชน     แต่ทฤษฎีสองขั้นตอนของการปฏิวัติ (ขั้นตอนแรกคือ การปฏิวัติประชาธิ ปไตยชนชั้นนายทุนที่นำโดยชนชั้นนายทุน      ขั้นตอนที่สองคือ การปฏิวัติสังคมนิยมโดยชนชั้นกรรมาชีพ) แบบเหมาอิสต์และสตานินนิสต์ทำให้สูญเสียโอกาสและประสบความล้มเหลวในหลายๆที่    

รัฐบาลใหม่ของชนชั้นนายทุน ควอรี่ อาคิโน  มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับรัฐบาลเรแกน   การสู้รบแบบกองโจรในอัฟ กานิสถานที่สหรัฐให้การหนุนหลังด้านการเงินโดยผ่านปากีสถานเพื่อก่อกวนกองทัพรัสเซีย   เศรษฐ  กิจโลกถดถอยซบเซา     ซานดินิสต้าต้องเผชิญกับการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนักของเรแกนที่เสริมความเข้มแข็งให้แก่ทหารรับจ้างคอนทรา 

ขวัญกำลังใจของประชาชนนิคารากัวตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว      ความคลางแคลงสงสัยไม่แน่ใจต่อรัฐบาลแซนดินิสต้าเริ่มเกิดขึ้นทีละน้อย    ผลจากการคุกคามขู่เข็ญของจักรพรรดิ์นิยมได้เกิดกระแสเคลื่อนไหวขึ้นในฝ่ายปีกซ้ายของซานดินิสต้าตระเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนตำแหน่งภายใน    ปี 1989 อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นถึง 36,000% อย่างไม่อาจควบคุมได้     อัตราเฉลี่ยรายได้ต่อคนต่ำกว่าครึ่ง หนึ่งของปี 1977 สถานการณ์เข้าขั้นเลวร้ายถึงที่สุด  ฐานะของรัฐบาลแขวนอยู่บนเส้นด้าย  สวัสดิ    การสังคมถูกตัดทอนลงจนเกือบจะถึงจุดต่ำสุดในปี 1990  ซึ่งเป็นปีชี้ขาดการเลือกตั้ง

การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและค่ายตะวันออก ในปี1980 การระงับความช่วยเหลือส่งผลให้เกิดการขวัญเสียขึ้นกับฝ่ายนำของซานดินิสต้า    และเริ่มหันเหนโยบายการแก้ปัญหาไปทางขวา  ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจและการเมือง    ผลก็คือการปฏิรูปที่ดินอย่างขอไปทียังเป็นปมเงื่อนที่ค้างคาอยู่ภาย ใต้การกดดันของภาคเอกชน  การคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐเริ่มเกิดขึ้นและขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง    แดเนียล ออร์เตก้า  ประธานแนวร่วมซานดินิสต้า  ได้หมดความชอบธรรมลงไปเมื่อหนังสือพิมพ์ราย วัน”ลูนิต้า” ของพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีได้นำเสนอถ้อยแถลงของเขาว่า   “เรารักษาคำมั่นสัญญาของเราว่าจะดำรงระบบเศรษฐกิจผสมเอาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้รูปแบบของสวีเดนคือแบบอย่างที่เราชาวนิคารากัวได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ”(จากการให้สัมภาษของแดเนียล ออร์เตก้า เมื่อ 5 พฤษภา คม 1989)   แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า....สวีเดนเป็นรัฐที่มีความมั่นคงและศักยภาพมากกว่านิคารากัวและชนชั้นนายทุนสวีเดนนั้นมีบทเรียนมานานกว่าสามร้อยปี         ซานดินิสต้าจึงต้องสูญเสียอำนาจในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1990  มันเป็นการประท้วงต่อรัฐบาล FSLN  มันเป็นการลงคะแนนต่อต้านความหิวโหยและความขมขื่นของประชาชน  

การขาดวิสัยทัศน์ทางการเมืองของฝ่ายนำแซนดินิสต้าในอดีต   เผยให้เห็นสถานะภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน   จากการปราศรัยของ แดเนียล ออร์เตก้า เลขาธิการใหญ่ของ FSLN   ที่ส่งผลถึงการเลือกตั้งในปี1990 ซึ่งสหรัฐฯได้หว่านดอลล่าร์ให้แก่การโฆษณาต่อต้านขบวนการซานดินิสต้า     ออร์เตก้า กล่าวว่า “นอกเหนือไปจากความความตั้งใจจริงแล้ว  เรายังต้องใช้ความซื่อสัตย์เข้าไปต่อสู้กับการคอร์รัปชั่นซึ่งผู้กุมอำนาจ(นักการเมืองปีกขวา) ได้ก่อไว้ในปี 1990 หรือใน 1996 หรือใครก็ตามที่กำลังจะกระทำอยู่ในขณะนี้     นอกเหนือไปจากความพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนิคารากัวความจริงอยู่ที่ว่าพวกเขาไม่มีความมั่นใจในขณะที่เผชิญหน้ากับชาวนิคารากัวกับแนวร่วมซานดินิสต้า  ที่ต่อสู้อย่างสง่างามในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ  รักษาอธิปไตยทั้งทางสังคมและการเมือง    การจะทำเช่น นี้ได้เราจึงต้องการรัฐบาลที่บริการงานด้วยความยืดหยุ่น  เปิดใจกว้าง   และนอกเหนือสิ่งอื่นใด    ต้องประกอบด้วยจิตสำนึกแห่งเกียรติยศและความเป็นอิสระในการตัดสินใจ   ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งสุดท้ายก็คือรัฐบาลของเราจะต้องมีจิตสำนึกแห่งศักดิ์ศรีและความเป็นอิสระด้วย        

มันเป็นความเจ็บปวดและน่าละอายสำหรับเราที่ต้องกล่าวอะไรเช่นนี้แต่มันคือความจริง     เราปรารถนาที่จะเห็นรัฐบาลชุดปัจจุบันกอบกู้เกียรติยศ ศักดิ์ศรี  อย่างเร่งด่วนด้วยการเข้าไปแก้ปัญหาการผลิตต่างๆ  อาหาร  สุขอนามัยและการศึกษาของชาติ  นั่นจึงจะหมายถึงว่าได้สร้างสิ่งที่ดีงามให้แก่นิคารากัว” (meeting in Managua, July 19, 2004). ภายหลังประสบการณ์ที่ขมขื่นจากการไร้ทิศทางและความอ่อนด้อยทางทฤษฎีลัทธิมาร์กซ   ผู้นำระ ดับสูงของแนวร่วมซานดินิสต้ายังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางเพ้อฝันอยู่กับ ”นายทุนก้าวหน้าแห่งชาติ   ในประเทศที่พลเมืองกว่าครึ่งไม่มีงานทำและมากกว่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณต้องใช้ชำระหนี้ต่างประ เทศ   อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่นักการเมืองปีกขวาไม่สามารถทำลายลงไปได้คือวัฒนธรรมของการดิ้นรนต่อสู้ของชนชั้นกรรมกรนิคารากัว     การต่อสู้ของ เอากุสโต เซซ่าร์ ซานดิโน  และชาวนิคารากัวผู้อุทิศชีวิตเพื่อการปฏิวัติทั้งมวลเป็นสิ่งที่ไม่เคยเหือดหายไปจากสายเลือดของประชาชนนิคารากัว     เมล็ดพันธ์ของการปฏิวัติจะงอกงามขึ้นอีกครั้ง      แม้ในเวลาที่การกฏิวัติได้ถูกแบ่งแยกโดยที่ผู้นำนัก ปฏิรูปยังกุมการเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิวัติซานดินิสต้าอยู่ก็ตาม

การหวนกลับของกระแสปฏิวัติโลก

การปฏิวัติของประชาชนเวเนซูเอลา  คือประสบการณ์อันโอชะที่จะแปรเปลี่ยนสถานการณ์ปฏิวัติในระดับสากล      ปัจจุบันนี้โลกทั้งโลกกำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับจักรพรรดินิยม      ในระดับกว้างกำลังเป็นช่วงเวลาของการนำเสนอและการเกิดขึ้นของปัจจัยแห่งการปฏิวัติที่แตกต่างไปจากประ วัติศาสตร์การปฏิวัติของศตวรรษที่ผ่านมาได้แก่
1.การเปลี่ยนผ่านจากยุคสมัยของการพัฒนาพลังการผลิตที่ล่าช้าทางสากล ไปสู่ยุคใหม่แห่งวิกฤติของจักรพรรดิ์นิยมกำลังเริ่มขึ้น (เหมือนกับการไปสู่ทางตันในเวลาเริ่มต้นของศตวรรษที่ยี่สิบ)  สิ่งนี้ได้เป็นตัวกระตุ้นอย่างรุนแรงต่อความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนของสถานการณ์โลกกับภาพขยายของสงคราม การปฏิวัติ และการต่อต้านการปฏิวัติ

๒. ธรรมชาติที่ก้าวร้าวของจักรพรรดิ์นิยมอเมริกาประกอบกับการเสื่อมของฐานอำนาจ   ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้ถดถอยลง    ประกอบกับจำต้องรักษาแนวร่วมระดับสากลของตนเอาไว้(คล้ายคลึงกับสถานการณ์สมัยพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนามและวิกฤติการณ์น้ำมันระหว่างปี 1973-75)

๓. การแบ่งขั้วทางสังคมและการฟื้นคืนชีพของการเคลื่อนไหวปฏิวัติทั่วทั้งลาตินอเมริกาเท่ากับเป็นการสิ้นสุดลงของสันติภาพและความมั่นคงในประเทศทุนนิยมที่กำลังพัฒนาทั้งมวล   นั่นย่อมหมายถึงว่ากระแสการระแวดระวังและต่อต้านจักรพรรดิ์นิยมมีความหนักหน่วงยิ่งขึ้น      
นี่ย่อมเป็นการชี้แสดงให้เห็นว่า  ได้มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาหนุนเสริมยกระดับการต่อสู้ทางชนชั้นให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้นได้แก่
๑. ความเข้มแข็งและเติบใหญ่ของชนชั้นกรรมกรทั่วโลก    ท่ามกลางปลักตมแห่งความทุกข์ยากได้เพิ่มมากขึ้นในสังคมที่มีอภิสิทธิ์ชนเพียงหยิบมือเดียว 
๒. ความมั่นคงของชนชั้นปกครองในเอเชีย อัฟริกา และลาตินอเมริกาได้เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว  “นายทุนชาติ” เหล่านี้  ได้ประสบกับความล้มเหลวในระหว่าง 50-100 ปีที่ผ่านมาในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า”การพัฒนาประเทศ”

เราได้เข้าสู่ยุคสมัยของการปฏิวัติโลกที่แน่นอนแล้ว     เวเนซูเอลลาคือกองหน้าของกระบวนการนี้     เช่นเดียวกับที่นิคารากัวเคยเป็นเมื่อครั้งอดีตที่ ”คณะผู้ปรึกษา” นักลัทธิปฏิรูปได้แสวงหาหนทางที่จะนำการปฏิวัติถอยหลังกลับ        พวกเขาพูดว่าเราต้องใช้ลัทธิระบบเศรษฐกิจผสมนั่นคือเศรษฐกิจระ บอบทุนนิยม   พวกเขายังกล่าวอีกว่าต้องชะลอการปฏิวัติเอาไว้ก่อนเราต้องดัดแปลงบรรดานายทุน”ที่ก้าวหน้า” ทั้งมวล     นี่ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับนโยบายทั่วไปของนักลัทธิปฏิรูปเสียเหลือเกิน    อันเป็นการนำมาสู่การล่มสลายของการปฏิวัตินิคารากัว 

มีแต่ต้องอาศัยทฤษฎีปฏิวัติแบบลัทธิมาร์กซ    ที่ชนชั้นผู้ใช้แรงงานจะต้องเรียนรู้จากบทเรียนการปฏิวัติในอดีตที่ผ่านมา        จะต้องเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดล้มเหลวของการปฏิวัตินิคารากัวและการปฏิวัติที่ได้เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆด้วย       มีแต่ยืนอยู่บนพื้นฐานเช่นนี้เท่านั้นเราจึงจะสามารถก้าวไปสู่ชัยชนะที่แท้จริงได้        จะต้องเน้นย้ำชัยชนะของการปฏิวัติรัสเซียและยืนหยัดสืบทอดแนวทางการปฏิวัติแบบลัทธิมาร์กซที่แท้จริงเอาไว้     ภาระหน้าที่ของเราคือการขจัดระบอบทุนนิยมแล้วเริ่มต้นก้าวเดินไปกับสหพันธ์สังคมนิยมเวเนซูเอลลาและคิวบา   ขยายการปฏิวัติไปให้ทั่วทั้งลาตินอเมริกาและที่อื่นๆ   
จบ 

No comments:

Post a Comment