นิคารากัว....ตอนที่สอง
หลังจากได้อำนาจรัฐ ซานดินิสต้าได้เสนอโครงการปฏิรูปที่ก้าวหน้าออกมาหลายอย่าง แต่ไม่เคยทำอะไรอย่างจริงจังต่อปัญหากรรมสิทธิ์ในเรื่องปัจจัยการผลิต โดยยอมให้เศรษฐกิจระดับที่สำ คัญยังคงอยู่ในมือของเอกชน ปล่อยให้พวกอนาธิปไตยท้องถิ่นและจักรพรรดินิยมใช้เป็นเครื่อง
มือในการบ่อนทำลายการปฏิวัติจนถูกพิชิตในที่สุด
ปฏิรูปหรือปฏิวัติ: พื้นฐานของรัฐ
ชนชั้นกรรมกรจำนวนหมื่นแสน ทั้งชายและหญิงได้รับโอกาสที่ดีอย่างฉับพลันจากชัยชนะในการปฏิวัตินิคารากัวปี 1979 เรียกร้องการมีรายได้ที่ดีขึ้นเพื่อทดแทนค่าจ้างที่ได้สูญเสียไปในระหว่างการปฏิวัติ ชนชั้นนายทุนก็ตระเตรียมฉวยโอกาสในบรรยากาศใหม่ทางการเมืองที่ซานดินิสต้าเริ่มเข้าบริหารประ เทศหลังจากประชาชนได้ขับไล่โซโมซ่าออกไปแล้ว
ปัญหาอยู่ที่ว่าภววิสัยในนิคารากัว ไม่เหมือนรัสเซียระหว่างปี 1905-1917 ไม่มีกองกำลังองค์กรอิสระใดๆของชนชั้นกรรมกรที่ได้จัดตั้งขึ้นในเมืองเลยในช่วงของการปฏิวัติ ดังนั้นหลังชัยชนะจึงได้เกิดสุญญากาศทางอำนาจขึ้น และถูกเติมให้เต็มด้วยกำลังนักรบกองโจรของ
FSLN
และตัวแทนของชนชั้นนายทุนในชนบท
พื้นฐานของอำนาจใหม่ ที่ควรจะเป็นความร่วมมือของตัวแทนกรรมกร ชาวนา(ตัวแทนประชาธิปไตยที่แท้จริงของชนชั้นกรรมาชีพ) กลับถูกแทนที่ด้วยพื้นฐานโครงสร้างใหม่ของรัฐด้วยการสืบทอดอำนาจของตัวแทนกองทัพเหมือนการปฏิวัติคิวบา จากมุมมองของนักลัทธิมาร์กซเห็นว่า ปัญหารูปแบบของการจัดองค์กรที่ไม่อนุญาตให้มวลชนมีส่วนร่วมตัดสินใจในกระบวนการต่างๆเช่น การเลือกตั้ง การสรรหาผู้นำและอื่นๆ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งคือมันไม่อนุญาตให้มีการควบคุมรัฐและเครื่องมือของรัฐโดยมวลชนนั่นเอง จุดแข็งของประชาธิปไตยชนชั้นกรรมาชีพที่เปรียบเทียบกับระบอบอื่นได้ถูกขว้างทิ้งไปโดยการปฏิวัติที่ต่างเป้าประสงค์ โดยการไม่ใช้กลไกของประชาธิปไตย ชนชั้นกรรมาชีพไปต่อต้านการพัฒนาไปสู่ลัทธิขุนนาง
เลนินได้อธิบายว่าในกรณีที่จะรักษาการปฏิวัติไว้ “อำนาจต้องเป็นของประชาชน” ท่านไม่เคยพูดถึง "อำนาจพื้นฐาน" โดยทั่วไป (ที่ไม่มีการจัดตั้ง)ในงานนิพนธ์ของท่านเช่น รัฐและการปฏิวัติ, นิพนธ์เดือนเมษายน(April Thesis) และ “ความหายนะที่จะเกิดขึ้นและวิธีต่อสู้กับมันอย่างไร” (The impending catastrophe and how to fight it,) ฝ่ายนำบอลเชวิคได้พัฒนาลัทธิมาร์กซขึ้นมาภายใต้ประสบการณ์อันรุ่งโรจน์ของการปฏิวัติ
ชนชั้นกรรมกรไม่อาจใช้กลไกรัฐของชนชั้นนายทุนมาปกครองได้ กองทัพของนายทุน ระบอบรัฐสภา สถาบันทางอุดมการณ์ทั้งมวล มีไว้เพื่อคงความเป็นเผด็จการของชนชั้นนายทุนเอาไว้ เป็นเครื่องมือหลักของชนชั้นนี้ที่ใช้ปกครองชนชั้นกรรมกรและผู้ถูกกดขี่ทั้งมวลในสังคม รัฐชนชั้นนายทุนไม่เหมาะสำหรับอำนาจทั่วไปเพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นการมีส่วนร่วมที่แท้จริงใดๆของคนส่วนใหญ่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เราจะอาศัยอะไรไปเอาชนะชนชั้นนายทุนและยุติระบบเศรษฐกิจ,ระบบการปกครองที่หนุนหลังโดยกองทัพของมัน เพื่อจะสถาปนาโครงสร้างสังคมพื้นฐานที่แท้จริงจากการบริหารจัดการในรูปแบบสามัญที่เกิดขึ้นจากการดิ้นรนต่อสู้ของชั้นกรรมกรจะต้อง
1) อำนาจทั้งหมดจะต้องอยู่ในมือของคณะกรรมการปฏิวัติ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งใน เขตปกครองระดับเมืองและในขอบเขตทั่วประเทศ
กล่าวคือ
-
อำนาจ ทั้งหมดในโรงงาน บริษัท สื่อต่างๆต้องถูกควบคุมโดยคณะกรรมการที่มาโดยการเลือกตั้งจากชุมชนกรรมกรที่ปฏิวัติในแต่ละภาคส่วน
-
อำนาจทั้งหมดของรัฐจะต้องขึ้นอยู่ภายใต้การบัญชาขององค์กรปฏิวัติที่มาจากการเลือกตั้ง
ชี้แจงได้
และยกเลิกได้โดยคณะกรรมการของกรรมกร
ชาวนา
ที่แยกออกจากชนชั้นนายทุน
ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภานายทุน
รัฐบาลแบบนายทุนและระบบศาลของพวกเขา
-
ตัวแทนและผู้แทนทั้งหลายจะต้องมาจากการเลือกตั้ง
จะถูกปลดหรือยกเลิกตำแหน่งได้จากผู้ลงคะแนนที่เลือกตั้งเขาเข้ามาไม่ใช่จากผู้มีอำนาจเพียงคนเดียว และต้องไม่ได้รับค่าจ้างมากไปกว่าค่าจ้างเฉลี่ยของคนงาน นี่คือหนทางที่จะต่อสู้กับระบอบขุนนาง (ในขบวนการปฏิวัติ)
2)
กองทัพต้องประกอบด้วยลักษณะประชาชาติ ประกอบด้วยชนชั้นกรรมกรและชาวนาจนโดยพื้น ฐาน
แทนกองทัพอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่ถูกกีดกันและแยกออกจากประชาชนด้วยกำแพงของป้อมค่าย
-
นายทหารจะต้องมาจากการเลือกตั้ง
และปลดเป็นกองหนุนตามตำแหน่งเดิม
ควบคุมโดยคณะกรรมการปฏิวัติของมวลชนกรรมกรชาวนา ตามเขตเลือกตั้งทั้งในเมืองและชนบท
-
อาวุธยุทโธปกรณ์ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการปฏิวัติที่มาจากเขตการเลือกตั้งของ หมู่บ้าน โรงงาน และทหารจะต้องให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการด้วย
3) กิจการอุตสาหกรรม และบริษัท ที่มีความสำคัญใดๆ
ซึ่งถูกแปรให้เป็นกิจการแห่งชาติต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกรรมกร
และต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่เจ้าของเดิมและบรรดาผู้ร่วมลงทุนตามความจำเป็นที่แท้จริง
-
บรรดาธนาคาร บริษัทประกันภัย บริษัทก่อสร้าง
จะต้องรวมบรรดาธนาคารเอกชนและธนาคารต่างชาติเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวในนามธนาคารแห่งชาติ ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐแห่งชนชั้นกรรมาชีพ
-
ควบคุมสินค้าต่างประเทศและรวมศูนย์ที่ดินจากเจ้าที่ดินรายใหญ่
สถานการณ์ของนิคารากัวภายหลังการปฏิวัติ
พนักงานของรัฐทั้งที่เป็นสมาชิกและที่ไม่ใช่สมาชิกของแซนดินิสต้า มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 6-7เท่ามากกว่าคนงานพื้นฐาน กว่าครึ่งหนึ่งเป็นคนว่างงาน ผู้จัดการอุตสาหกิจเอกชนได้รับค่าจ้างมากกว่าคนงานพื้นฐานกว่า
20 ถึง 25 เท่า ธนาคารที่ขาดเงินทุนสำรองและกำลังอยู่ในภาวะล้มละลายถูกแปรรูปให้เป็นของรัฐ รัฐประเมินหนี้สินของบริษัทเอกชนเช่นธนาคารต่างๆ
มีหนี้เสียถึง 1800 ล้าน ดอลลาร์
ซึ่งพอๆกับของบริษัทเอกชน โดยเฉพาะบริษัทในเครือของตระกูลโซโมซ่าที่ถูกแปรรูปให้เป็นของรัฐ
(มีถึง25%ในระบบเศรษฐกิจของนิคารากัว) โรงงานเหล่านี้ถูกทิ้งร้างจนเสื่อมสภาพไปเรียบร้อยแล้ว
ภาระการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศถ้าไม่ถูกเพิกเฉยหรือไม่ก็ถูกยกเลิกเอาดื้อๆ คนงานถูกกีดกันออกไปจากการควบคุม และตัดสินใจร่วมในระบบเศรษฐกิจหลักๆ
ภาระการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศถ้าไม่ถูกเพิกเฉยหรือไม่ก็ถูกยกเลิกเอาดื้อๆ คนงานถูกกีดกันออกไปจากการควบคุม และตัดสินใจร่วมในระบบเศรษฐกิจหลักๆ
กลไกของระบบโซโมซ่า และกองกำลังติดอาวุธ(the
National Guard) ถูกกวาดล้างไปแล้วจากการปฏิวัติ สภาวะการนำของ FSLN
ได้ก้าวเข้ามาแทนในความว่างเปล่านี้ หลายเดือนก่อนที่จะได้อำ นาจรัฐ
คณะผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดในคณะกรรมการสร้างชาติ
ทำตัวเป็นนายหน้าให้กับนายทุนชาติและต่างชาติจาก คอสตาริกา
และเวเนซูเอลา ที่หลายเดือนก่อนหน้าการปฏิวัติได้แสดงความบ้าคลั่งในข้อตกลงที่เกี่ยวพันกันในการพบปะเจรจาในต่างประเทศระหว่างตัวแทนของฝ่ายนำ FSLN
กับนายทุนนิคารากัวและรัฐบาลนายทุนของ คอสตาริก้า ปานามา เวเนซูเอลล่า และเม๊กซิโก
เพื่อบรรลุเป้าหมายหลักของทุกฝ่าย(รวมถึง FSLN ด้วย) ได้ทำการเจรจากันถึงโฉมหน้าใหม่ของประเทศ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เมื่อมวลชนชาวนิคารากัวได้ถอดโซ่ตรวนของทุนนิยมออกหลังจากโค่นโซโมซ่าลงไปแล้ว นายพล โอมาร์ ทอร์ริโฮ จากปานามาได้ส่งหน่วย ”พิทักษ์ชาติ”มาร่วมเคลื่อนไหวกับ FSLN เป้าหมายก็คือเพื่อให้ความมั่นใจแก่ชนชั้นนายทุนและคงไว้ซึ่งโครงสร้างของข้ารัฐการขุนนางของกองทัพใหม่ ด้วยการช่วยเหลือสนับสนุนด้านการขนส่งลำเลียง กำลังพล ในการรุกขั้นสุดท้ายของซานดินิสต้า กองกำลังที่ตั้งขึ้นในขณะที่ดิ้นรนต่อสู้ถูกยกเลิกจากคำสั่งของส่วนกลาง ซานดินิสต้าได้เบี่ยงเบนไปตามแรงกดดันของนายทุนชาติและนายทุนต่างชาติ
ชนชั้นปกครองต่างหวาดกลัวต่อกองกำลังปฏิวัติ
เพราะสิ่งนี้จะสร้างความเสียหายและทำลายปัจจัยแห่งการกดขี่ของรัฐของชนชั้นนายทุนจากการปฏิวัติ การปลดอาวุธประชาชนเป็นเรื่องแรกๆในการสถาปนา
”รัฐประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน”
ของรัฐบาลสร้างชาติที่นำโดยขบวนการซานดินิสต้า
วันที่ 27 กรกฎาคม
หลังจากการเข้ายึดครองเมืองหลวงมานากัวของกองกำลังซานดินิสต้า ประธาน ฮุมแบร์โต้ ออร์เตก้า ได้ประกาศรวมกองทัพประชาชนเข้ากับกองทหารเดิมของรัฐตามคำแนะนำของหน่วยพิทักษ์ชาติของปานามา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้กองทหารของรัฐเก่าได้รับการฝึกฝนจากนายทหาร
สหรัฐฯและหน่วยสืบราชการลับ CIA เขายังได้สร้างกำลังตำรวจของซานดินิสต้ามีหน้าที่ดูแลความสงบจากคณะกรรมการป้องกันซานดินิสต้า
ข่าวความสำเร็จของการปฎิวัติได้ถูกกระจายเผยแพร่ไปทั่วประเทศ พลังที่ปลุกระดมชาวนายากจนและกรรมกรในชนบทให้ลุกขึ้นมาสนับสนุนการปฏิวัติ แรกสุดคือความต้องการได้เป็นเจ้าของที่ดินทำกินแต่ก็ถูกคณะผู้นำสูงสุดยับยั้งไว้ กระทั่งใช้กำลังตำรวจซานดินิสต้าที่ตั้งขึ้นใหม่ไปเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวชาวนาให้สละการถือครองที่ดิน เพื่อทำเรื่องนี้ให้กระจ่างรัฐมนตรีเกษตรและปฏิรูปได้เข้ามาแทรกแซงและออกคำสั่งมิให้ผู้ใดยึดครองที่ดินโดยพละการไม่ว่าจะเป็นที่ดินรกร้างก็ตาม เพราะรัฐรัฐมนตรีจะได้จัดเตรียมที่ดินให้เมื่อถึงโอกาสเหมาะสม
31 กรกฎาคม วีลล๊อค หนึ่งในผู้นำซานดินิสต้าได้แถลงว่า “เราไม่ต้องการให้เกิดระบอบเสรีนิยมขึ้น เราคือผู้ยึดถือความจริง” ในปี 1981 ซาเวียร์ โกโรสติอากา รัฐมนตรีกระทรวงวางแผนได้ยอมรับว่า “คนส่วนน้อยมากที่จะรู้ความจริงว่า 80% ของผลผลิตทางเกษตรกรรม เช่นเดียวกับผลิตผลทางอุต สาหกรรม 75% อยู่ในมือของเอกชน เอกชนซึ่งควบคุมผลิตผลฝ้ายถึง 72% กาแฟ 53% เนื้อสัตว์ 58% น้ำตาล 51% ในขณะที่ชาวนา 200,000 คนครอบครองที่ดินเพียง14% เท่านั้น มันเป็นความจริงที่ว่า ในขั้นตอนนี้ชาวนาและผู้ใช้แรงงานในภาคเกษตรทั้งหลายได้ตระหนักว่าผู้นำของ FSLN นั่นแหละเป็นผู้ที่ฉุดดึงการปฏิวัติ
ฝ่ายนำของแซนดินิสต้าบริหารประเทศร่วมกับ “ชนชั้นนายทุนชาติผู้ร่ำรวย”มาตั้งแต่เดือนแรกของการปฏิวัติ อย่างไรก็ตามวิกฤติเศรษฐกิจที่เลวร้ายยังคงดำเนินต่อไปอีก แต่สำหรับชนชั้นนายทุนซึ่งบัดนี้มีความแน่ใจว่าฝ่ายนำของ FSLN ได้หยุดการปฏิวัติแล้ว และได้ทิ้งปัญหาทางเศรษฐกิจไว้ให้ซานดินิสต้า เป็นผู้คลี่คลาย การเคลื่อนไหวเบื้องแรกของFSLNในรัฐบาลฟื้นฟูชาติ( ด้วยจำนวนคนเพียงห้าคน) ที่เป็นคณะกรรมการแห่งรัฐ นี่คือรูปลักษณ์ของประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนประกอบขึ้นจากสมาชิก 33 คนได้รับการแต่งตั้งจากทุกภาคส่วนสังคม กลุ่มการเมือง และสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นกลุ่มพลังที่ยอมรับการนำของซานดินิสต้า ในปี1984 รัฐสภานี้ได้แปลงไปเป็น”สมัชชาแห่งชาตินิคารากัว” ซึ่งเป็นสภาของชนชั้นนายทุนปีกซ้ายที่ครองเสียงส่วนใหญ่
ในรูปแบบเช่นนี้ ฝ่ายนำของ FSLN ได้รักษารูปแบบรัฐสภาและโครงสร้างรัฐบาลของรัฐนายทุนเอาไว้ อำนาจของฝ่ายบริหารถูกรวมศูนย์อยู่ในมือของผู้อำนวยการแห่งชาติซึ่งดำรงตำแหน่งโดยประธานา ธิบดีของสาธารณรัฐ ในปี 1984 ประชาชนมากกว่า 80%ที่มีอายุเกิน 16 ได้รับสิทธิ์เลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งมวลชนได้ลงคะแนนให้การสนับสนุน FSLN อย่างท่วมท้น
เล่ห์กลการหลอกลวงของจักรพรรดินิยมอเมริกา
ไม่ได้จำกัดแม้แต่จากการสร้างทัศนะประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนเท่านั้น
ยังใช้วิธีเก่าแก่ดั้งเดิมนี้มากล่าวโทษเรื่อง”การกดขี่ในนิคารากัว”อีกด้วย
นิคารากัวคือประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่สุดในอเมริกากลาง
อาร์ทูโร ครุซ หัวหน้ากลุ่มสมานฉันท์ประชาธิปไตยแห่งชาติ CDN (National Democratic Coordination) ได้ร่วมกับประชาชนกลุ่มต่างๆเพียงในระยะแรกของรัฐบาลซานดินิสต้าเท่านั้น สองสามเดือนต่อมาเขากลับเข้าร่วมกับขบวนการ”คอนทรา”ที่ต่อต้านการปฏิวัติและวิพากษ์การเลือกตั้งปี 1984 ว่าเป็นการต่อต้านประชาธิปไตย(ที่เราได้เห็นตัวอย่าง เวเนซูเอลลาในปัจจุบันนี้) ชนชั้นนายทุนไม่เคยยอมรับรัฐบาลซานดินิสต้าโดยดุษฎีเพราะว่าไม่ใช่รัฐบาลของพวกเขา และไม่อาจวางใจต่อการ บริหารประเทศว่าจะเป็นไปตามความปรารถนาของพวกเขาหรือไม่ ซานดินิสต้าพยายามที่จะบรรลุข้อตกลงกับชนชั้นนายทุนโดยมิได้คำนึงถึงผลประโยชน์ใดๆ พยายามเชื่อในคำเล่าขานเกี่ยวกับ ”ชนชั้นนายทุนที่ก้าวหน้า” ซานดินิสต้าได้ให้ความสำคัญในบทบาทนี้เหนือกว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ไม่เพียงแต่ซานดินิสต้าจะสูญเสียอำนาจในทางการเมืองให้แก่ชนชั้นนายทุนเท่านั้น
ยังให้ดุลอำนาจชี้ขาดทางกำลังอาวุธตกไปอยู่ในมือของพวกนายทุน ที่จะใช้บ่อนทำลายชัยชนะของการปฏิวัตินิคารา กัวอีกด้วย ในขณะที่รัฐบาลกำลังให้การอุ้มชูสนับสนุนธุรกิจภาคเอกชน
เกื้อหนุนด้วยการลดภาษีเพื่อแสวงหาความร่วมมือ พวกนายทุนต่างก็รวมหัวกันคว่ำบาตรต่อต้านและหนุนช่วยขบวนการคอน
ทรา ที่เป็นพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ
เมื่อปี 1977 รายได้สาธารณะมีเพียง 14% ของผลผลิตมวลรวมของชาติ ได้เพิ่มขึ้นเป็น 41% ในปี 1980 หลังจากได้นำมาตรการเวนคืนทรัพย์สินบางอย่างออกมาใช้ โดยเฉพาะทรัพย์สินของตระกูลโซโมซ่า อย่างไรก็ตามหกปีหลังการปฏิวัติ(ปี 1985) ปริมาณการผลิตในชาติทำได้เต็มที่เพียง 60%เท่านั้น ในปี 1981 ดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศที่รวมกันแล้วมีถึง 40% ของรายได้จากการส่งออก จากฐานการผลิตที่แคบอยู่แล้วก็พลอยหดตัวไปตามตามขนาดของนิคารากัว น้อยกว่าแม้กระทั่ง คาราคัส และ ฮาวานา นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า ความต้องการที่แท้จริงของการปฏิวัติคืออะไร? คือต้องขจัดบทบาทของชนชั้นนายทุนให้หมดไป แล้วยกระดับความสัมพันธ์กับคิวบาให้มากขึ้น แต่โชคไม่ดีที่มอสโคว์เล่นบทบาทด้านลบต่อเรื่องนี้ มองว่าการปฏิวัตินิคารากัวเป็นเรื่องภายในของซานดินิสต้า และไม่มีนโยบายช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจแก่ FSLN.ทางฮาวานาเองก็ขึ้นต่อและดำเนินนโยบายตามรัสเซียอย่างสุดขั้ว
บทบาทของมอสโคว์และฮาวานา
ปัญหาใจกลางที่การปฏิวัติของนิคารากัวถูกทำลายลงก็คือ การที่ขบวนการแซนดินิสต้าไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของชนชั้นนายทุน
ลัทธิขุนนางมอสโคว์จะต้องรับผิดชอบต่อการเสื่อมถอยการตกต่ำที่น่าเศร้านี้
สหภาพโซเวียตพอใจที่จะปล่อยให้ปัญหานี้ให้เป็นไปตามทางของมันเอง
พวกเขาไม่เคยคำนึงถึงผลพวงที่จะหยุดยั้งกระบวนการทำลายการปฏิวัติในนิคารากัว แม้กระทั่งการค้ากับนิคารากัวก็อยู่ในปริมาณจำกัด เพราะมอสโคว์ไม่ต้องการมีปัญหากับผลประโยชน์ของจักพรรดิ์นิยมอเมริกาในภูมิภาคลาตินอเมริกาตามนโยบาย
”อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ซึ่ง เช
เกอวาร่า ก็ได้เคยวิจารณ์เรื่องนี้อย่างขมขื่นมาแล้วในอดีต พวกเขาไม่เคยให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการเคลื่อนไหวปฏิวัติในลาติน
อเมริกาเลย
ทำไมหรือ?
ก็เพราะว่าลัทธิขุนนางโซเวียตหวั่นเกรงต่อการปฏิวัติที่กำลังเกิดขึ้นในทุกๆภูมิภาคของโลก และความสำเร็จของการปฏิวัติจะทำให้ดุลกำลังระดับสากลแปรเปลี่ยนไป ซึ่งจะส่งผลให้บรรยากาศ
”อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ของพวกเขาและจักรพรรดิ์นิยมถูกทำลายลง ลัทธิขุนนางมอสโคว์ชอบที่จะอ้างในก้าวไปสู่สังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ แต่ในความเป็นจริงพวกเขาไม่ต้องการเห็นลัทธิสังคมนิยมที่แท้จริงเลยไม่ว่าจะในบ้านของตนหรือในต่างประเทศ รัฐบาลมอสโคว์ไม่ค่อยชอบ เช เกอวาร่า และไม่สนับสนุนการปฏิวัติที่ต่างไปจากวิธีของตนในคิวบา ในปี 1960
สองปีหลังจากคัสโตรก้าวขึ้นสู่อำนาจ
ลัทธิขุนนางโซเวียตได้บีบให้ยอมรับวิธีการขุดรากถอนโคนระบอบทุนนิยมในคิวบาอย่างเป็นสูตรสำเร็จ ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาได้ทำลงไปก็คือการหยุดหยุดยั้งการขยายตัวของการปฏิวัติของประเทศที่เหลือในทวีปนี้
ปี 1979 และ 1980 เพื่อเกียรติภูมิของพวกเขา รัฐบาลคิวบาได้เรียกร้องและรณณรงค์ในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนิคารากัว พวกเขาได้มีการติดต่อเจรจากับประเทศทุนนิยมทั้งหลายในลาตินอเมริกาและทั่วโลกแม้แต่สหรัฐอเมริกาเอง ไม่ใช่เป็นเรื่องประหลาดอันใดที่ไม่มีจีนและสหภาพโซเวียต คิวบาพยายามกันนิคารากัวออกจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับค่ายโซเวียต นี่คือรูปแบบที่แท้จริงที่กดดันซานดินิสต้าจำต้องรักษาความสัมพันธ์กับรัฐบาลนายทุนเสรีนิยมของกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาและคาริบเบียนแทนการมีความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต วันที่ 11 มกราคม 1985 ฟิเดล คัสโตร ได้ ให้สัมภาษหนังสือพิมพ์ บาริคาดา สื่อกลางของ FSLN ว่า
“เมื่อวานนี้เราได้มีโอกาสรับฟังคำปราศรัยสหาย แดเนียล ออร์เตก้า และขอแสดงความยินดีต่อความจริงจังและรับผิดชอบของเขา ที่ได้อธิบายถึงเป้าหมายจุดประสงค์ของขบวนการแนวร่วมซานดินิสตา ในทุกๆส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจแบบผสมผสาน,การเมืองแบบทวิภาคีและการออกกฎระเบียบ ในการลงทุนจากต่างประเทศ ผมเข้าใจถึงแนวคิดของท่านที่ยังให้พื้นที่สำหรับระบบเศรษฐกิจแบบผสมผสานอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการเป็นรัฐบาลที่รับใช้ผลประโยชน์ของนายทุน”
อะไรทำให้ผู้บัญชาการคัสโตร
ไม่กล่าวว่ารัฐบาลไม่ได้รับใช้ผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพ
ในขณะเดียวกันก็ยอมให้ความสะดวกแก่จักรพรรดิ์นิยมเข้ามาจัดการกับระบบเศรษฐกิจแห่งชาติ ขณะที่ออกอากาศคำที่ปราศรัยอยู่ ขบวนแถวของเยาวชนและกองกำลังกรรมกรนิคารากัว
ก็เดินขบวนไปตามถนนของกรุงมานากัวตระโกนคำขวัญต่อต้านจักรพรรดิ์นิยมอย่างมีพลัง
ภาพจำลองของการขจัดการปฏิวัติแบบใหม่ในระดับสากล
หากจะไม่คำนึงถึงพฤติกรรมที่หลอกลวง(ของจักรพรรดิ์นิยม) ทหารรับจ้างฟาสซิสต์ของขบวนการคอนทราไม่ใช่ตัวการทำลายการปฏิวัติ การต่อต้านการปฏิวัติที่ไร้ศีลธรรมของขบวนการคอนทราได้ปิดฉากลงเมื่อกลางปี 1980 พบว่าสาเหตุแท้จริงที่บ่อนทำลายการปฏิวัติมีหลายประเด็นได้ประดังประเดเข้ามา เช่นการตกต่ำของราคาน้ำมันและวัตถุดิบภายใต้การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จของบรรษัทผูกขาดข้ามชาติ บวกกับการบ่อนทำลายทั้งภายในและภายนอกของบรรดานายทุนนิคารากัวผู้ขายชาติ
ก่อนหน้าที่ซานดินิสต้าจะได้อำนาจ สภาวะการครองชีพเริ่มตกต่ำ อัตราเงินเฟ้อสูงถึง400% ในปี 1987 ส่งผลให้เกิดตลาดมืดที่มีผู้เกี่ยวข้องถึง 130,000 คนนับเป็น5%ของพลเมืองเลยทีเดียว จึง
เป็นการอธิบายว่าทำไมกรรมกรต้องออกมาเคลื่อนไหวหยุดงาน และทำไมถึงเกิดเหตุการณ์บุกปล้นพังร้านค้าในมานากัว รัฐบาลตอบโต้ด้วยการประกาศภาวะฉุกเฉินและยกเลิกสิทธิในการชุมนุมหยุดงาน เหมือนเป็นการสนองตอบต่อการคุกคามของรัฐบาลสหรัฐฯที่นำโดย
โรนันด์ เรแกน ประเทศ ถูกบีบให้ต้องใช้จ่ายเงินซื้ออาวุธเพื่อการป้องกันประเทศถึง
40% ของรายได้มวลรวมประชาชาติใน ขณะที่ภาคเอกชนก็ได้ใช้มาตรการรณรงค์เรียกร้องให้ต่อต้านรัฐบาล
ประจวบกับนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของ เรแกน ที่ต้องการความร่วมมือจากสถานการณ์ทางสากล นายทุนใหญ่ในสหรัฐได้เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ในลาตินอเมริกาไปแล้ว พวกเขาเห็นว่าบรรดาผู้ปกครองเผด็จการที่พวกเขาเคยให้ความสนับสนุนมาตลอดนั้นต่างถูกโค่นล้มลงไปแทบจะไม่หลงเหลือ จึงหันมาให้การสนับสนุนบรรดานายทุนที่มีอิทธิพลครอบงำอยู่ในประ เทศต่างๆ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขาดแคลนผู้นำในการปฏิวัติ ปลายปี 1980เป็นที่รู้โดยทั่วไปว่ารัฐบาลหุ่นในเอลซัลวา ดอร์ โคลอมเบีย ได้หันมาสวมหน้ากากประชาธิปไตย แต่เบื้องหลังของมันการฆ่าหมู่กรรมกร-ชาวนาก็ยังดำเนินต่อไป บวกกับสถานภาพและอิทธิพลในระดับสากลของระบอบปกครองสตาลินก็เกิดวิกฤตอย่างหนัก
ในยุโรปการเคลื่อนไหวต่อสู้ของชนชั้นกรรมกรและบรรดาเยาวชนได้สงบลงชั่วคราวเช่นเดียวกับในสหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นเพียงความเงียบงันในขณะหนึ่งเท่านั้น ในเอเชียเผด็จการในฟิลิปปินส์ได้สิ้นสุดลงโดยการเดินขบวนของมวลชน แต่ทฤษฎีสองขั้นตอนของการปฏิวัติ (ขั้นตอนแรกคือ การปฏิวัติประชาธิ ปไตยชนชั้นนายทุนที่นำโดยชนชั้นนายทุน ขั้นตอนที่สองคือ การปฏิวัติสังคมนิยมโดยชนชั้นกรรมาชีพ) แบบเหมาอิสต์และสตานินนิสต์ทำให้สูญเสียโอกาสและประสบความล้มเหลวในหลายๆที่
รัฐบาลใหม่ของชนชั้นนายทุน
ควอรี่ อาคิโน
มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับรัฐบาลเรแกน การสู้รบแบบกองโจรในอัฟ กานิสถานที่สหรัฐให้การหนุนหลังด้านการเงินโดยผ่านปากีสถานเพื่อก่อกวนกองทัพรัสเซีย เศรษฐ กิจโลกถดถอยซบเซา ซานดินิสต้าต้องเผชิญกับการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนักของเรแกนที่เสริมความเข้มแข็งให้แก่ทหารรับจ้างคอนทรา
ขวัญกำลังใจของประชาชนนิคารากัวตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ความคลางแคลงสงสัยไม่แน่ใจต่อรัฐบาลแซนดินิสต้าเริ่มเกิดขึ้นทีละน้อย ผลจากการคุกคามขู่เข็ญของจักรพรรดิ์นิยมได้เกิดกระแสเคลื่อนไหวขึ้นในฝ่ายปีกซ้ายของซานดินิสต้าตระเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนตำแหน่งภายใน ปี 1989 อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นถึง 36,000% อย่างไม่อาจควบคุมได้ อัตราเฉลี่ยรายได้ต่อคนต่ำกว่าครึ่ง หนึ่งของปี 1977 สถานการณ์เข้าขั้นเลวร้ายถึงที่สุด ฐานะของรัฐบาลแขวนอยู่บนเส้นด้าย สวัสดิ การสังคมถูกตัดทอนลงจนเกือบจะถึงจุดต่ำสุดในปี 1990 ซึ่งเป็นปีชี้ขาดการเลือกตั้ง
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและค่ายตะวันออก ในปี1980 การระงับความช่วยเหลือส่งผลให้เกิดการขวัญเสียขึ้นกับฝ่ายนำของซานดินิสต้า และเริ่มหันเหนโยบายการแก้ปัญหาไปทางขวา ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจและการเมือง ผลก็คือการปฏิรูปที่ดินอย่างขอไปทียังเป็นปมเงื่อนที่ค้างคาอยู่ภาย ใต้การกดดันของภาคเอกชน การคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐเริ่มเกิดขึ้นและขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง แดเนียล ออร์เตก้า ประธานแนวร่วมซานดินิสต้า ได้หมดความชอบธรรมลงไปเมื่อหนังสือพิมพ์ราย วัน”ลูนิต้า” ของพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีได้นำเสนอถ้อยแถลงของเขาว่า “เรารักษาคำมั่นสัญญาของเราว่าจะดำรงระบบเศรษฐกิจผสมเอาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้รูปแบบของสวีเดนคือแบบอย่างที่เราชาวนิคารากัวได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ”(จากการให้สัมภาษของแดเนียล ออร์เตก้า เมื่อ 5 พฤษภา คม 1989) แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า....สวีเดนเป็นรัฐที่มีความมั่นคงและศักยภาพมากกว่านิคารากัวและชนชั้นนายทุนสวีเดนนั้นมีบทเรียนมานานกว่าสามร้อยปี ซานดินิสต้าจึงต้องสูญเสียอำนาจในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1990 มันเป็นการประท้วงต่อรัฐบาล FSLN มันเป็นการลงคะแนนต่อต้านความหิวโหยและความขมขื่นของประชาชน
การขาดวิสัยทัศน์ทางการเมืองของฝ่ายนำแซนดินิสต้าในอดีต เผยให้เห็นสถานะภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จากการปราศรัยของ แดเนียล ออร์เตก้า เลขาธิการใหญ่ของ FSLN ที่ส่งผลถึงการเลือกตั้งในปี1990 ซึ่งสหรัฐฯได้หว่านดอลล่าร์ให้แก่การโฆษณาต่อต้านขบวนการซานดินิสต้า ออร์เตก้า กล่าวว่า “นอกเหนือไปจากความความตั้งใจจริงแล้ว เรายังต้องใช้ความซื่อสัตย์เข้าไปต่อสู้กับการคอร์รัปชั่นซึ่งผู้กุมอำนาจ(นักการเมืองปีกขวา) ได้ก่อไว้ในปี 1990 หรือใน 1996 หรือใครก็ตามที่กำลังจะกระทำอยู่ในขณะนี้ นอกเหนือไปจากความพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนิคารากัวความจริงอยู่ที่ว่าพวกเขาไม่มีความมั่นใจในขณะที่เผชิญหน้ากับชาวนิคารากัวกับแนวร่วมซานดินิสต้า ที่ต่อสู้อย่างสง่างามในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ รักษาอธิปไตยทั้งทางสังคมและการเมือง การจะทำเช่น นี้ได้เราจึงต้องการรัฐบาลที่บริการงานด้วยความยืดหยุ่น เปิดใจกว้าง และนอกเหนือสิ่งอื่นใด ต้องประกอบด้วยจิตสำนึกแห่งเกียรติยศและความเป็นอิสระในการตัดสินใจ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งสุดท้ายก็คือรัฐบาลของเราจะต้องมีจิตสำนึกแห่งศักดิ์ศรีและความเป็นอิสระด้วย
มันเป็นความเจ็บปวดและน่าละอายสำหรับเราที่ต้องกล่าวอะไรเช่นนี้แต่มันคือความจริง เราปรารถนาที่จะเห็นรัฐบาลชุดปัจจุบันกอบกู้เกียรติยศ ศักดิ์ศรี อย่างเร่งด่วนด้วยการเข้าไปแก้ปัญหาการผลิตต่างๆ อาหาร สุขอนามัยและการศึกษาของชาติ นั่นจึงจะหมายถึงว่าได้สร้างสิ่งที่ดีงามให้แก่นิคารากัว” (meeting in Managua, July 19, 2004). ภายหลังประสบการณ์ที่ขมขื่นจากการไร้ทิศทางและความอ่อนด้อยทางทฤษฎีลัทธิมาร์กซ ผู้นำระ ดับสูงของแนวร่วมซานดินิสต้ายังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางเพ้อฝันอยู่กับ ”นายทุนก้าวหน้าแห่งชาติ ในประเทศที่พลเมืองกว่าครึ่งไม่มีงานทำและมากกว่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณต้องใช้ชำระหนี้ต่างประ เทศ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่นักการเมืองปีกขวาไม่สามารถทำลายลงไปได้คือวัฒนธรรมของการดิ้นรนต่อสู้ของชนชั้นกรรมกรนิคารากัว การต่อสู้ของ เอากุสโต เซซ่าร์ ซานดิโน และชาวนิคารากัวผู้อุทิศชีวิตเพื่อการปฏิวัติทั้งมวลเป็นสิ่งที่ไม่เคยเหือดหายไปจากสายเลือดของประชาชนนิคารากัว เมล็ดพันธ์ของการปฏิวัติจะงอกงามขึ้นอีกครั้ง แม้ในเวลาที่การกฏิวัติได้ถูกแบ่งแยกโดยที่ผู้นำนัก ปฏิรูปยังกุมการเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิวัติซานดินิสต้าอยู่ก็ตาม
การหวนกลับของกระแสปฏิวัติโลก
การปฏิวัติของประชาชนเวเนซูเอลา คือประสบการณ์อันโอชะที่จะแปรเปลี่ยนสถานการณ์ปฏิวัติในระดับสากล ปัจจุบันนี้โลกทั้งโลกกำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับจักรพรรดินิยม ในระดับกว้างกำลังเป็นช่วงเวลาของการนำเสนอและการเกิดขึ้นของปัจจัยแห่งการปฏิวัติที่แตกต่างไปจากประ วัติศาสตร์การปฏิวัติของศตวรรษที่ผ่านมาได้แก่
1.การเปลี่ยนผ่านจากยุคสมัยของการพัฒนาพลังการผลิตที่ล่าช้าทางสากล
ไปสู่ยุคใหม่แห่งวิกฤติของจักรพรรดิ์นิยมกำลังเริ่มขึ้น (เหมือนกับการไปสู่ทางตันในเวลาเริ่มต้นของศตวรรษที่ยี่สิบ)
สิ่งนี้ได้เป็นตัวกระตุ้นอย่างรุนแรงต่อความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนของสถานการณ์โลกกับภาพขยายของสงคราม
การปฏิวัติ และการต่อต้านการปฏิวัติ
๒. ธรรมชาติที่ก้าวร้าวของจักรพรรดิ์นิยมอเมริกาประกอบกับการเสื่อมของฐานอำนาจ ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้ถดถอยลง ประกอบกับจำต้องรักษาแนวร่วมระดับสากลของตนเอาไว้(คล้ายคลึงกับสถานการณ์สมัยพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนามและวิกฤติการณ์น้ำมันระหว่างปี 1973-75)
๓. การแบ่งขั้วทางสังคมและการฟื้นคืนชีพของการเคลื่อนไหวปฏิวัติทั่วทั้งลาตินอเมริกาเท่ากับเป็นการสิ้นสุดลงของสันติภาพและความมั่นคงในประเทศทุนนิยมที่กำลังพัฒนาทั้งมวล นั่นย่อมหมายถึงว่ากระแสการระแวดระวังและต่อต้านจักรพรรดิ์นิยมมีความหนักหน่วงยิ่งขึ้น
นี่ย่อมเป็นการชี้แสดงให้เห็นว่า
ได้มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาหนุนเสริมยกระดับการต่อสู้ทางชนชั้นให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้นได้แก่
๑. ความเข้มแข็งและเติบใหญ่ของชนชั้นกรรมกรทั่วโลก
ท่ามกลางปลักตมแห่งความทุกข์ยากได้เพิ่มมากขึ้นในสังคมที่มีอภิสิทธิ์ชนเพียงหยิบมือเดียว
๒. ความมั่นคงของชนชั้นปกครองในเอเชีย
อัฟริกา และลาตินอเมริกาได้เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว “นายทุนชาติ” เหล่านี้ ได้ประสบกับความล้มเหลวในระหว่าง 50-100 ปีที่ผ่านมาในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า”การพัฒนาประเทศ”
เราได้เข้าสู่ยุคสมัยของการปฏิวัติโลกที่แน่นอนแล้ว เวเนซูเอลลาคือกองหน้าของกระบวนการนี้ เช่นเดียวกับที่นิคารากัวเคยเป็นเมื่อครั้งอดีตที่ ”คณะผู้ปรึกษา” นักลัทธิปฏิรูปได้แสวงหาหนทางที่จะนำการปฏิวัติถอยหลังกลับ พวกเขาพูดว่าเราต้องใช้ลัทธิระบบเศรษฐกิจผสมนั่นคือเศรษฐกิจระ บอบทุนนิยม พวกเขายังกล่าวอีกว่าต้องชะลอการปฏิวัติเอาไว้ก่อนเราต้องดัดแปลงบรรดานายทุน”ที่ก้าวหน้า” ทั้งมวล นี่ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับนโยบายทั่วไปของนักลัทธิปฏิรูปเสียเหลือเกิน อันเป็นการนำมาสู่การล่มสลายของการปฏิวัตินิคารากัว
มีแต่ต้องอาศัยทฤษฎีปฏิวัติแบบลัทธิมาร์กซ ที่ชนชั้นผู้ใช้แรงงานจะต้องเรียนรู้จากบทเรียนการปฏิวัติในอดีตที่ผ่านมา
จะต้องเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดล้มเหลวของการปฏิวัตินิคารากัวและการปฏิวัติที่ได้เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆด้วย
มีแต่ยืนอยู่บนพื้นฐานเช่นนี้เท่านั้นเราจึงจะสามารถก้าวไปสู่ชัยชนะที่แท้จริงได้
จะต้องเน้นย้ำชัยชนะของการปฏิวัติรัสเซียและยืนหยัดสืบทอดแนวทางการปฏิวัติแบบลัทธิมาร์กซที่แท้จริงเอาไว้ ภาระหน้าที่ของเราคือการขจัดระบอบทุนนิยมแล้วเริ่มต้นก้าวเดินไปกับสหพันธ์สังคมนิยมเวเนซูเอลลาและคิวบา ขยายการปฏิวัติไปให้ทั่วทั้งลาตินอเมริกาและที่อื่นๆ
จบ
No comments:
Post a Comment